ตะวันหลงทิศ

บทที่ ๘.

“น้ำอย่าออกไป” ครูวายุลุกพรวดขึ้นมาจากเก้าอี้ยาวคว้ามือของชลธิดาเอาไว้ เขาปล่อยให้ศีรษะน้ามะปรางที่เคยอยู่บนไหล่ของเขาร่วงลงบนพื้นไม้และกองอยู่เก้าอี้ยาวนั้นอย่างไม่ไยดี น้ามะปรางก็ยังคงหลับสนิทเหมือนคนต้องมนต์สะกดอยู่เช่นนั้น

ชลธิดาเหลือบตาดูน้าสาวที่ยังคงหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว น้ามะปรางยังคงปลอดภัยอยู่ในเกราะป้องกันแห่งนี้แต่ธารกำลังตกอยู่ในอันตราย เธอรวบรวมพละกำลังทั้งหมดที่มีสะบัดจนสุดแรงเพื่อให้หลุดพ้นจากข้อมือแข็งแรงของครูวายุ เธอวิ่งตามธารลงไปยังริมหาดด้านล่าง เธอรีบเร่งจนพลาดสะดุดขาตัวเองล้มกลิ้งลงไปตามขั้นบันไดดินและนี่ก็จัดเป็นสถิติใหม่ของเธอเพราะเธอเคลื่อนที่ลงได้เร็วกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เพียงแต่เธอไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนที่ในครั้งนี้ได้เท่านั้น เธอหมุนติ้วๆ ลงไปเรื่อย ๆ ตามขั้นบันได

จ๋อม!!! ร่างของเธอร่วงลงสู่แม่น้ำโขงอย่างไร้การควบคุม

อ้อมแขนกำยำของใครคนหนึ่งคว้าร่างบางของเธอลอยละลิ่วขึ้นมาจากแม่น้ำ แขนเล็กเรียวพยายามจะไขว่คว้าอะไรให้ได้สักอย่างตามสัญชาตญาณและเธอคว้าต้นคอด้านหลังของผู้ชายผู้นั้น

ดวงตาคู่สวยมองสบตา..เขาคือชายหนุ่มผู้มีดวงตาสีเขียว

“อนันดา!!” เธออุทานออกมาอย่างดีใจทว่ามีเสียงเล็ก ๆ ดังมากระทบโสตประสาท “..ธาร..”

ชลธิดาดิ้นจนหลุดออกจากอ้อมแขนของเขา เธอร่วงลงสู่แม่น้ำอีกครั้ง ระดับน้ำอยู่ระหว่างอกของเธอ เธอพยายามจะเดินลงไปในแม่น้ำโขงให้ลึกลงไปอีกเพื่อตามน้องชายลงไป แต่ท่อนแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามคว้าเอวเล็กคอดกิ่วเอาไว้ ออกแรงเพียงนิดเดียวร่างบางก็ถลาเข้าสู่อ้อมกอดจนแผ่นหลังแนบชิดกับอกกว้าง อ้อมแขนกำยำก็ตวัดรัดร่างบางทันที ยิ่งเธอพยายามดิ้นรนหนีเขายิ่งรัดแน่นขึ้นเหมือนการโอบรัดของอสรพิษทว่าเป็นอสรพิษที่ไม่เป็นภัยกับเธอ ตรงกันข้ามการโอบรัดนี้คือรักและห่วงใย

“คุณลงไปไม่ได้ คุณจะจมน้ำตาย” เสียงนุ่มกระซิบเตือน

ชลธิดาจ้องมองไปยังแม่น้ำโขงที่เชี่ยวกราก ตอนนี้มันกลายเป็นสีน้ำตาลขุ่น มีลูกคลื่นกระเพื่อมขึ้นลงเป็นระยะ ธารในร่างของพญานาคโผล่ศีรษะขึ้นมาจากผิวน้ำเพียงเล็กน้อย ลำตัวยาวสีดำสนิทของเขาพยายามดิ้นรนหนีจากการถูกจำกุมของพญานาคราวหกถึงเจ็ดตน

ความมืดมิดเข้ามาปกคลุมทั่วบริเวณ ลมพัดแรงจนระลอกคลื่นของแม่น้ำกระเพื่อมขึ้นสูง วุ๊บ วุ๊บ วุ๊บ วี๊ด วี๊ด วี๊ดดดด!!! เสียงนี้อีกแล้ว มันดังก้องอยู่กลางอากาศ มันบินโฉบลงไปกลางแม่น้ำแล้วคว้าร่างพญานาคของธารติดอุ้งเท้าของมันไปด้วย

“ธาร!!!” ชลธิดากรีดร้องออกมาจนสุดเสียง

ร่างของเธอถูกคว้า..ใครบางคนหรืออะไรบางอย่างคว้าร่างของเธอไปจากอ้อมกอดที่ปลอดภัย เธอถูกเคลื่อนย้ายจากจุดที่ยืนอยู่ไปยังที่ไหนสักแห่งด้วยความเร็วสูง ทุกหนทุกแห่งที่เธอเคลื่อนที่ผ่านไป เธอจะมองไม่เห็นมันด้วยตาเปล่า แต่มองเห็นเป็นภาพที่พร่ามัวเหมือนการดูภาพยนตร์ที่เพิ่มความเร็วจนไม่อาจจะจับภาพได้ เธอสัมผัสมันได้แค่เพียงความรู้สึกเท่านั้น

ชลธิดารู้สึกเหมือนมีลมพัดผ่านผิวหนังอย่างรวดเร็ว บางครั้งสายตาพร่ามัวของเธอก็มองเห็นก้อนหินขนาดใหญ่โตมหึมาอยู่ตรงหน้า แล้วเธอก็ถูกพาเลี้ยวหลบก้อนหินก้อนนั้นก่อนที่จะพุ่งชนอย่างจัง เฉียดไปเพียงนิดเดียวเท่านั้นให้ใจหายใจคว่ำ นี่ถ้าเป็นโรคหัวใจคงช็อกไปแล้ว บางครั้งก็ผ่านทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตา บางครั้งก็ผ่านหาดทรายสีขาวละเอียดทว่าเท้าไม่อาจจะสัมผัสความนุ่มของผืนทรายได้ บางครั้งเธอก็รู้สึกเหมือนมีใบพัดขนาดมหึมากระพืออยู่ด้านบนเหนือศีรษะ ใบพัดขนาดใหญ่มันพัดแรงจนเธอหนาวสะท้านไปทั้งกระดูกไขสันหลัง

ชลธิดาถูกเคลื่อนย้ายผ่านแม่น้ำที่เย็นเฉียบแล้วไปโผล่ยังโขดหินที่ไหนสักแห่ง มันเป็นโขดหินขนาดใหญ่เรียงกระจัดกระจาย เธอไม่เคยมาที่นี่แต่เธอรู้สึกคุ้นเคยกับมันอย่างบอกไม่ถูก เหมือนสถานที่แห่งนี้คือความทรงจำในอดีตเมื่อนานมาแล้ว เธอถูกวางลงและโดนประคองให้ยืนตัวตรง เธอรู้สึกเหมือนตัวเองจะยืนทรงตัวไม่อยู่ แม้เธอจะพยายามควบคุมตัวเองให้หยุดยืนนิ่ง ๆ แต่ความรู้สึกมันเหมือนเธอเพิ่งเดินลงมาจากรถไฟเหาะตีลังกาที่ผาดโผนไปมาด้วยความเร็วสูงโดยหมุนติ้วอยู่กลางอากาศหลายสิบรอบแล้วดิ่งลงสู่พื้นดินอย่างรวดเร็ว

ชลธิดายืนโซเซไปมาภายใต้อ้อมแขนของชายคนหนึ่ง มันไม่ใช่อ้อมแขนที่เธอคุ้นเคย เธอสัมผัสได้เพียงแค่ความเยือกเย็นในอ้อมแขนนั้น แต่แล้วก็เหมือนมีพลังงานลึกลับบางอย่างโผล่เข้ามาและผลักร่างของชายคนนั้นให้พ้นไปจากตัวเธอ เขาเข้ามาแทนที่เพื่อประคองร่างบางของเธอเอาไว้ให้มั่นคง

ชายคนแรกที่ขโมยตัวเธอมา เขาพาเธอเดินทางข้ามกาลเวลา ผ่านโขดหิน ทุ่งหญ้า หาดทรายและสายน้ำที่เย็นเฉียบ จนมาโผล่ที่โขดหินแห่งนี้และเขาก็ประคองเธอไว้ให้ยืนอย่างมั่นคงก่อนจะโดนผลักให้กลิ้งหลุน ๆไปกับพื้นหินเบื้องหน้า

“มึงอย่ามายุ่งกับผู้หญิงของกู!!!” อนันดารีบตามมาทันทีที่หัวใจดวงน้อยถูกขโมยไปจากอ้อมกอด เขาตวาดหัวขโมยเสียงดังลั่น นี่ถ้าไม่ใช่เพราะห่วงใยเจ้าร่างบางที่ยังทรงตัวไม่อยู่ ไอ้คนขี้ขโมยคงเจอดีแน่

“น้ำจะต้องขอบใจเราที่พาเธอมาเพราะนายไม่มีวันพาเธอตามมาในระยะกระชั้นชิดแบบนี้แน่” ริมฝีปากบางกระตุกยิ้ม คิ้วดกดำเลิกขึ้นอย่างยียวน ชลธิดาจำใบหน้านี้ได้ เขาคือนาคราชผู้มีนามว่า “อนาคิน” เธอพบเจอเขาในความทรงจำของธาร เธอจำได้แม่นว่านาคราชตนนี้ทำให้ธารต้องถูกพ่อสาปให้กลายเป็นนาคชั้นต่ำ

“ใช่ไหมจ๊ะคนสวย” เขาหันมายิ้มละไมให้เธอ ชลธิดาจ้องเขม็งไปยังใบหน้าหล่อเหลามีเสน่ห์มัดใจสาวอย่างขุ่นเคือง ใบหน้านั้นดูคล้ายคลึงกับอนันดา ดวงตาก็เป็นสีเขียวเหมือนกันทว่าแววตาของอนาคินนั้นคล้ายคน “เจ้าเล่ห์” ยิ่งกระตุกยิ้มมุมปากแบบนี้ยิ่งเหมือนตัวร้าย แต่แววตาของอนันดานั้นดู “อ่อนโยน” เธอไม่รู้ว่าเขาอ่อนโยนกับเธอคนเดียวหรืออ่อนโยนกับทุกคนกันแน่

เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดดังขึ้น

ชลธิดาละสายตาจากชายหนุ่มตรงหน้าและมองไปยังพญานาคลำตัวสีดำที่กำลังถูกกรงเล็บขนาดใหญ่ยักษ์คีบเอาไว้ เจ้าของกรงเล็บนั้นครึ่งบนเป็นมนุษย์ ครึ่งล่างตั้งแต่เอวลงมาถึงบั้นท้ายและช่วงขาเป็นนก ปีกใหญ่โตมหึมากระพือขึ้นลงอยู่กลางอากาศ ศีรษะคือมนุษย์ผู้ชายทว่าปากที่ยื่นออกมาไม่ใช่ปากมนุษย์ แต่มันคือปากของนกยักษ์ ความใหญ่โตของปากเกือบจะกินพื้นที่ทั้งหมดบนใบหน้า

“ปล่อยนาคราชน้อยนั่นไปเถอะท่าน มันเป็นแค่นาคชั้นต่ำ ไม่คู่ควรจะเป็นอาหารครุฑชั้นสูงอย่างท่านหรอก” อนาคินพูดขึ้นอย่างยียวน คล้ายกับเคยรู้จักและคุ้นเคยกันมาก่อน

ชลธิดายังทรงตัวไม่ได้ มันคือผลข้างเคียงจากการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วเมื่อครู่ ร่างบางจึงยืนพิงอยู่กับอกกว้าง มือใหญ่แข็งแรงจับที่แขนเล็กกลมกลึงเบาๆ อย่างทะนุถนอม เขาเพียงแค่ประคองเธอให้ยืนนิ่งไม่โอนเอนไปมาจนอยากจะอาเจียน

“ใครบอกเจ้าว่าเราจะเอามันมากินเป็นอาหารให้เป็นเสนียดปากของเรา” เสียงที่โต้ตอบกลับมาไม่ใช่ภาษามนุษย์!! แต่เป็นเสียงจิ๊บ จิ๊บเหมือนเสียงนกที่กำลังส่งเสียงเจรจาทว่าชลธิดากลับเข้าใจความหมายในภาษาประหลาดนั้น

“เช่นนั้นท่านจับมันมาทำไมให้แปดเปื้อนอุ้งเท้าของท่านเล่า”

“มิใช่ธุระกงการอะไรของเจ้า เจ้ากล้าดียังไงบังอาจมาเจรจาพาทีกับเรา แม้เจ้าจะบำเพ็ญเพียรสร้างบารมีจนกลายเป็นนาคราชผู้มียศศักดิ์ แต่ศักดาของเจ้าก็ยังน้อยกว่าเรานัก เราไม่อยากเสียเวลาไปเสวนากับเจ้า จงไปซะ ก่อนที่เราจะเล่นงานเจ้าเสียอีกคน” เสียงจิ๊บๆ ดังขึ้นเหมือนเสียงนกกรีดร้องอย่างโกรธเคือง

“ปล่อยน้องชายเราไปเถอะท่าน เราขอร้อง” เสียงเล็ก ๆ จิ๊บๆ ดังออกมาจากริมฝีปากของชลธิดา เธอมองเห็นมันและเข้าใจภาษาของมัน แต่..เธอพูดภาษาของมันได้ด้วยหรือ เธอเองก็สงสัยในอำนาจลี้ลับที่ซ่อนเร้นอยู่ในกาย นี่มันคือเวทมนตร์อะไรกัน

“มนุษย์!!!” ดวงตาคมกริบเพ่งมองมาที่ชลธิดาอย่างสงสัยใคร่รู้กึ่งตกใจ ไม่เคยมีมนุษย์ใดมองเห็นครุฑ นี่นางมนุษย์ผู้นี้ไม่ใช่แค่มองเห็น แต่นางพูดภาษาครุฑได้เชียวหรือ

“เจ้ามนุษย์ผู้นี้มองเห็นเรารึ” เสียงพึมพำดังจิ๊บๆ

“เป็นไปไม่ได้ ไม่เคยมีมนุษย์หน้าไหนมองเห็นเรามาก่อน” ปีกมหึมาโบกพัดอย่างแรงจนร่างบางแทบปลิวไปตามกระแสลม อนันดาโอบกอดร่างของเธอเอาไว้อย่างมั่นคงด้วยพละกำลังแห่งพญานาค มนุษย์ตัวน้อยจึงยืนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดของนาคราชผู้มีใจรักมั่นคง

นกยักษ์พุ่งตรงมาที่มนุษย์ตัวน้อยและก่อนที่เธอจะถูกอุ้งเท้ายักษ์ขยุ้มตัวลอยขึ้นจากพื้น ร่างเล็กของนางมนุษย์ก็ถูกเคลื่อนย้าย แม้จะเป็นการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วเหมือนครั้งที่เพิ่งผ่านมาทว่าครั้งนี้มันอบอุ่นและปลอดภัยกว่า

อนันดาพานางมนุษย์ผู้เป็นดั่งดวงใจหลบหนีอย่างรวดเร็ว เขาพาเธอกลับมาที่รีสอร์ต วางร่างบางลงบนพื้นในท่านอนหงายอย่างทะนุถนอม ค่อยๆ ผลักมนุษย์ตัวน้อยให้กลิ้งเข้าไปในบริเวณเกราะป้องกัน เขาเข้าไปไม่ได้ เขาทำได้เพียงหนีให้เร็วที่สุด นกยักษ์บินตามมาด้วยความเร็ว มันบินขึ้นไปเกาะอยู่ด้านบนของเกราะป้องกัน มันพยายามใช้กรงเล็บ ขูด ขีดทำลายแต่ไม่สำเร็จ เกราะป้องกันยังคงแข็งแรง มันกรีดร้องอย่างโกรธเคือง จิกกรงเล็บแหลมคมลงไปยังร่างของธารที่ขยุ้มติดอยู่ในอุ้งเท้าอีกข้างของมัน

ธารกรีดร้องขึ้นอย่างเจ็บปวด

สัตว์ทิพย์ขนาดใหญ่และยาวเหมือนงูแต่มีหัวเป็นเปลวเพลิง ลำตัวมีเกล็ดสีดำ ดวงตาสีเขียวเป็นประกายเจิดจ้า พุ่งตัวจากพื้นทะยานขึ้นสู่ด้านบนของเกราะป้องกันอย่างรวดเร็ว งูยักษ์ตัวใหญ่เท่ารถไฟจู่โจมนกยักษ์ตัวเท่าภูเขา การต่อสู้ระหว่างหนึ่งพญานาคและหนึ่งพญาครุฑก็ได้เริ่มต้นขึ้น

พญานาคกับพญาครุฑต่อสู้กันอย่างดุเดือด พญาครุฑทิ้งร่างของธารออกจากอุ้งเท้าเพื่อต่อสู้เต็มฤทธิ์เดช เพียงอึดใจเดียวอีกสองอสรพิษก็โผล่เข้ามาจู่โจม เป็นสามพญานาคต่อหนึ่งพญาครุฑ มันคือการต่อสู้อย่างไม่ยุติธรรม พญาครุฑมองเห็นความปราชัยของตนที่คงบังเกิดขึ้นในอีกไม่ช้าจึงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบน สูงเกินกว่าที่อสรพิษทั้งสามจะดีดตัวตามขึ้นไปเล่นงานได้ วุ๊บ วุ๊บ วุ๊บ วี๊ด วี๊ด วี๊ดดดด! เสียงนกร้องดังลั่น นกยักษ์โบยบินหายวับไปจากเส้นขอบฟ้าสู่ดินแดนที่มนุษย์หรืออสรพิษทั้งสามไม่อาจจะติดตามไปได้

“ธาร!!!” ชลธิดากรีดร้อง

ร่างยาวเหยียดของธารม้วนตัวไปมาอย่างเจ็บปวด ช่วงท้องถูกจิกกัดลึกจนเป็นแผลเหวอะหวะน่าเวทนา ชลธิดาวิ่งเข้าไปเพื่อประคองศีรษะของน้องชาย มันไม่ใช่ศีรษะของเด็กหนุ่มวัยสิบห้าปี แต่มันเป็นหัวของอสรพิษที่มีเปลวเพลิงลุกไหม้ครอบอยู่ เธอผละมือออกมาเพราะความแสบร้อนของเปลวไฟ เธอพยายามอีกครั้งที่จะเข้าไปสัมผัสธารที่กำลังม้วนตัวดิ้นพล่านอย่างทุกข์ทรมาน ทว่าเธอไม่สามารถสัมผัสได้ ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดของร่างพญานาค

“ธาร!!!” น้ำตารินออกมาจากสองดวงตาคู่สวย เลือดซึมตามมือและแขนทั้งสองข้าง ชลธิดาพยายามจะสัมผัสและโอบกอดน้องชายทว่าธารดิ้นพล่านด้วยความทรมาน เกล็ดตามลำตัวของเขาจึงบาดตามมือและแขนของพี่สาวโดยไม่ได้เจตนา

อนันดาและอนาคินพุ่งเข้าไปในพุ่มไม้เพื่อแปลงกายเป็นมนุษย์ สองพี่น้องเกิดบนบกเหมือนธารจึงต้องแปลงกายบนบกโดยมิให้มนุษย์เห็นทว่าอีกหนึ่งอสรพิษลำตัวสีนิลดวงตาสีเขียวเป็นประกายได้พุ่งตัวลงไปในแม่น้ำโขงและไม่กลับขึ้นมาอีกเลย

“คุณสัมผัสธารไม่ได้” เสียงอบอุ่นและคุ้นเคยปลอบโยน

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับธาร”

“ธารกำลังจะตาย พญานาคจะต้องกลายร่างเป็นนาคเมื่อเข้าสู่สภาวะสุดท้ายของชีวิต นั่นคือ ตาย” เสียงเยือกเย็นตอกย้ำ แววตาเจ้าเล่ห์และเยือกเย็นคู่นั้นไร้ซึ่งความรู้สึกเจ็บปวดหรือเวทนาใด ๆ

“ไม่!!! ไม่จริง” อ้อมแขนอบอุ่นดึงร่างบางเข้าไปโอบกอดไว้แน่น

ชลธิดาสะอื้นไห้อยู่ในอ้อมกอดของอนันดา การสูญเสียครั้งนี้มันเจ็บปวดเกินกว่าจะยอมรับได้ เธอไม่อยากเสียคนสุดท้ายในครอบครัวไป เธอกับธารเพิ่งหันหน้าปรับความเข้าใจกัน เธอเพิ่งจะได้น้องชายคนเดิมคืนมา แต่แล้วเธอก็ต้องเสียเขาไปในวันที่ทุกอย่างกำลังจะเดินไปข้างหน้าอย่างสวยงาม

อีกหนึ่งความเจ็บปวดคือหัวใจที่ด้านชาของอนาคิน ดวงตาสีเขียวมองออกไปสู่ท้องฟ้ากว้างเพราะไม่อาจทนมองชลธิดาซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของอนันดา แววตาเจ้าเล่ห์และเยือกเย็นสลดลงเกินครึ่งเหลือไว้เพียงความเลื่อนลอย หัวใจของเขาเวลานี้มันช่างหงอยเหงา อ้างว้างและโดดเดี่ยว

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว