จากใจนักเขียน
ไม่มีใครอยากทำเลว ไม่มีใครอยากทำผิด และไม่มีใครอยากถูกตราหน้าว่าชั่วช้า แต่บางครั้งเมื่อถึงเวลาต้องเลือกทั้งๆ ที่รู้ดีว่าสิ่งที่เลือกนั้นผิด เลว ชั่วช้า แต่ว่าเราก็ยังต้องเลือกมันอยู่ดี จะมีใครสักกี่คนที่สามารถยืนอยู่ในสถานะที่สามารถ ‘เลือกได้’ อย่างที่ตนเองอยากเลือกอยู่ตลอดเวลา?
มาติดตามทางเลือกของ ออม-อมาวดี ผู้หญิงที่งดงามด้วยหัวใจคนนี้ดูบ้างว่าเมื่อถึงเวลาต้องเลือก เธอ ‘เลือกได้’ อย่างที่เธออยากจะเลือกหรือไม่
ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านค่ะ
จากใจ – เจนนิสา
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
บทที่ ๑.
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“เราคงได้แต่ทำใจล่ะนะ”
เสียงทอดถอนใจอย่างท้อแท้และสิ้นหวัง ตามมาด้วยเสียงดัง ‘พึ่บ’ ของหนังสือพิมพ์ฉบับใหม่ประจำเช้าวันนี้ มันถูกโยนลงไปแหมะอยู่ตรงขอบโต๊ะกลางเก่ากลางใหม่ในมุมพักผ่อนสำหรับพักดื่มชากาแฟ ระหว่างเวลาทำงาน
แทบทุกบริษัทในยุคนี้ต่างจัดให้มี ‘มุมน้ำชา’ สำหรับเวลาช่วงพักย่อยอย่างที่ฝรั่งเรียกกันว่า ‘Tea time’ แต่สำหรับคนไทยแล้ว มุมน้ำชาไม่มีความจำเป็น น่าจะมีคนเสนอญัตติเปลี่ยนชื่อมุมนี้เสียใหม่นัก
จาก ‘มุมน้ำชา’ น่าจะเปลี่ยนไปเป็น ‘มุมนินทา’ มากกว่า
“เราทำอะไรไม่ได้จริงๆ น่ะหรือ?”
“ทำอะไรล่ะ? พวกเรามันมีแค่สองมือสองเท้าจะไปสู้รบตบมืออะไรกับคนที่นั่งสั่งการอยู่เหนือบัลลังก์ศักดิ์สิทธิ์บนสวรรค์ชั้นวิมานโน่นได้กันเล่า”
“นั่นสิ! ไม่ว่ามันจะขยับตัวออกกฎอะไรมาก็เข้าข้างพวกพ้องพี่น้องลูกเมียของมันไปเสียหมด ขนาดหมาในบ้านมัน มันยังจะเอาชื่อไปใส่ในรายการครอบครองทรัพย์สินของมันได้เลยไม่ใช่หรือ? นับประสาอะไรกับอีแค่ออกกฎหมายให้เอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจของโคตรเหง้าวงศ์ตระกูลของมันกันเล่า”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์เริ่มเข้มข้นรุนแรงพาดพิงไปถึงผู้นำคณะรัฐบาลด้วยเห็นว่าท่านผลักดันกฎระเบียบที่ไม่เป็นกลางออกมาบังคับใช้ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่แสนจะปกติและธรรมด๊า... ธรรมดา ไม่ว่าท่านผู้นำจะกระทำสิ่งใดออกมาก็ไม่อาจถูกใจคนทั้งหมดได้อยู่แล้ว ถูกใจคนแรกอาจไม่ถูกใจคนที่สอง และคนกลุ่มนี้ที่กำลังจับกลุ่มนินทากันอยู่ เป็นกลุ่มคนที่เสียผลประโยชน์กับกฎใหม่ที่ออกบังคับใช้ จึงมองว่าการออกกฎหมายของท่านเอื้อผลประโยชน์ให้บางฝ่ายและส่งผลร้ายให้บางหน่วยงานจนมิอาจยอมรับได้
มีคนทำงานย่อมมีคนตามตรวจสอบ ทำหน้าที่จับผิดขุดคุ้ยไล่เรียงสิ่งที่ได้กระทำลงไปแล้วทั้งหมด เมื่อเห็นเค้าลางความไม่ชอบมาพากล เห็นครีบกระโดงหลังของปลาสันหลังหวะที่แหวกว่ายหลบอยู่ใต้ใบบัว พวกเขาก็จะรีบจับมันขึ้นมาชำแหละ ตราหน้าเรียกว่า ‘ปลาทุจริต’ แล้วก็ตากแห้งแขวนไว้บนตะแกรงแข่งกับปลาสลิดบางบ่อ
ผิดกันก็แต่กลิ่นของปลาสลิดบางบ่อ แม้จะเหม็นแต่ชวนให้คนซื้อหากลับไปรับประทาน แต่กลิ่น ‘ปลาทุจริต’ โกงกินบ้านโกงกินเมืองอาจต้องเหม็นโฉ่ข้ามเดือนข้ามปี ไม่เลือนหายไปกับกาลเวลาได้ง่ายๆ
“ไม่รู้มันจะงกอะไรกันนักกันหนา ดูสิแม้แต่สมบัติของชาติมันยังพยายามเอาออกเร่ขายทอดตลาด สั่งการอะไรทีก็เอื้อให้กับกลุ่มทุนต่างชาติจนหน่วยงานภาครัฐแทบจะล้มประดาตายกันอยู่แล้ว”
“หากยังไม่มีใครเข้ามาดูแลอย่างนี้อีกสองสามปี พวกเราเองก็คงจะแย่คงไม่พ้นกลายเป็นหนึ่งในรัฐวิสาหกิจที่ประสบผลขาดทุนจนไม่สามารถเยียวยาได้แน่”
“ดูสิ... ไม่ว่าจะคิดโครงการอะไรออกมาก็โดนมันเตะสกัดขัดแข้งขัดขาหาทางดึงถ่วงไม่ให้เราได้ลงมือทำอย่างเต็มที่ เปิดโอกาสให้กับกลุ่มธุรกิจของพวกพ้องพี่น้องของมันเองเดินหน้าลุยทำไปก่อน จนที่สุดเมื่อพวกมันครองตลาดได้แล้ว ก็ค่อยปล่อยให้เราเดินตามหลังพวกพ้องของมันต้อยๆ แล้วแบบนี้เราจะเอาอะไรไปสู้กับพวกมันได้ ถามจริงๆ เถอะ!”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์คนละประโยคสองประโยคเริ่มเปลี่ยนแนวมาพาดพิงไปถึงทิศทางของรัฐวิสาหกิจแห่งนี้ที่หนทางข้างหน้ามีแต่แย่กับแย่ ไม่มีทางแก้ไขเอาเสียเลย ทำให้คนฟังรู้สึกห่อเหี่ยวในหัวใจ เพราะไม่มีใครอยากให้องค์กรของตัวเองเดินเข้าสู่ทางตัน
เมื่อก่อนองค์กรนี้เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจชั้นดีมีผลกำไรงดงามหลังนำส่งรายได้เข้าภาครัฐแล้วยังคงเหลือเงินแบ่งเป็นโบนัสให้กับพนักงานได้คนละหลายๆ เดือน ทำให้ใครต่อใครก็มุ่งหวังสอบแข่งขันกันเพื่อเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรนี้ สุดท้าย...
แย่งชิงกันหัวร้างข้างแตกเลือดโชกแผลเหวอะหวะไปทั้งตัวแล้วคว้าได้ไข่เน่าที่เราไม่กล้าทำแตกมาฟองหนึ่ง!
การผันเปลี่ยนของระบบเศรษฐกิจและการแทรกแซงของต่างชาติ บีบให้รัฐบาลต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบขององค์กรจากรัฐวิสาหกิจ ผันไปเป็นบริษัทมหาชนจำกัด เพื่อเปิดขายหุ้นให้แก่บุคคลภายนอก อนาคตขององค์กรยังไม่มีใครสรุปได้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไปยังคงเป็นอนาคตที่ไม่แน่นอน แต่ที่แน่นอนคือในตอนนี้มีบริษัทภายนอกที่ทำธุรกิจในรูปแบบเดียวกันกับองค์กรแห่งนี้เกิดขึ้นแล้วสามถึงสี่ราย
แต่ละรายต่างก็มีเงินทุนต่างชาติเข้าถือครองเป็นหุ้นส่วนใหญ่ การเมืองภายในประเทศไทยก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจของคู่แข่งรุ่งเรือง ในขณะที่ตัวรัฐวิสาหกิจเองกลับย่ำแย่ไม่สามารถก้าวเดินอย่างมั่นคงได้เสียทีหนึ่ง
หากผู้นำรัฐบาลคือพ่อของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ
พ่อคนนี้ก็ถือได้ว่าเล่นไม่ซื่อกับลูกน้อยตาดำๆ ของตัวเอง เมื่อท่านซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้นำของบ้านกลับเรียกรับเงินสินบนจากคนภายนอกแล้วเก็บยักยอกเข้ากระเป๋าของตนเอง
หันมาออกคำสั่งให้ลูกในบ้านเดินหลงทิศหลงทางซ้ำยังวางยาถ่ายให้ลูกๆ กินกันจนกระทั่งไม่มีเรี่ยวแรงจะออกไปแข่งขันกับคนภายนอก ที่ร้ายยิ่งกว่านั้นคือพ่อมักหาโอกาสเข้ามาในห้องส่วนตัวของลูกๆ แล้วหยิบฉวยทรัพย์สินสำหรับทำมาหากินของลูกๆ ไปแบบหน้าด้านๆ เสียด้วย แถมพ่อยังคอยขัดขวางไม่ให้แม่จ่ายเงินสนับสนุนช่วยเหลือลูกได้อีก
เออ... สงสัยพ่อคนนี้คงจะเป็นพ่อเลี้ยงนะ หรือไม่... บางทีพวกเราเองแหละที่เป็นลูกชู้! เพราะถ้าท่านเป็นพ่อของเราจริงๆ คงไม่ทำแบบนี้กับลูกๆ หรอกน่ะ หรือบางทีท่านอาจจะเป็นพ่อตัวปลอมเป็นหนึ่งในตัวร้ายสมาชิกขององค์กรชายชุดดำที่โคนันกำลังตามล่าตัวอยู่ กระทั่งมันต้องปลอมตัวมาเป็นพ่อให้กับเราก็อาจเป็นได้ มันถึงได้ขายลูกกินเสียขนาดนี้!
“ออม... ผลเปิดซองได้หรือยัง?”
ฉันสะดุ้งตื่นจากภวังค์ความคิดอันแสนจะเลอะเทอะของตนเองทันที เลิกตัดพ้อต่อว่าพ่อเลี้ยงใจดำไปชั่วคราว หันไปส่งยิ้มแหยๆ จืดเจื่อนให้กับหัวหน้าแผนกที่เดินเข้ามาทวงถามงาน
“ทำสรุปเรียบร้อยแล้วค่ะหัวหน้า อยู่ระหว่างส่งให้ประธานกับกรรมการร่วมอีกสามท่านตรวจสอบความเรียบร้อยก่อนร่วมลงนามรับรองผลการเปิดซองค่ะ”
“มีปัญหาอะไรไหม?”
“ไม่มีค่ะหัวหน้า บริษัทเข้ายื่นซองทั้งหมดสามราย เสนอเกินงบประมาณหนึ่งราย ต่ำกว่างบประมาณและต่ำกว่าราคากลางสองราย”
ทั้งที่มีการขึ้นประกาศผ่านเว็บไซต์กลางสำหรับจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจแล้วแท้ๆ ว่าการยื่นซองประกวดจัดจ้างครั้งนี้มีงบประมาณอยู่เท่าไหร่ มีกำหนดราคากลางอยู่เท่าไหร่ ผู้ยื่นซองทุกคนต่างรู้ดีว่าห้ามยื่นซองเกินจากราคากลางนี้ไม่เช่นนั้นจะไม่ได้รับการพิจารณา ฉันก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดกลับมีคนที่ยื่นซองประกวดราคาที่สูงกว่าราคากลางทั้งยังสูงกว่างบประมาณที่อนุมัติเสียด้วยซ้ำไป
หรือบางทีพวกเขาอาจจะตั้งใจพลั้งพลาดโดยเจตนา แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจะเหนื่อยแรงทำเอกสารยื่นซองประกวดราคาทำไมหนอ?
“ก็ดี”
พูดจบหัวหน้าก็หันหลังเตรียมจากไปแต่เกิดเปลี่ยนใจหันกลับมาสั่งให้ฉันเอาสำเนาเอกสารสรุปผลการเปิดซองเข้าไปให้ท่านตรวจทานความเรียบร้อยอีกครั้ง ฉันละชื่นชมหัวหน้าคนนี้มากเหลือเกินเขาจริงจังและตรวจสอบขั้นตอนการเปิดซองประมูลงานทุกชิ้นด้วยตนเองเสมอแม้จะไม่มีส่วนร่วมหรือไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการเปิดซองประกวดราคาจัดซื้อจัดจ้างก็ตามที ท่านคงถือเป็นหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติ ด้วยรักในองค์กรเป็นสำคัญ... มั้งนะ
งานนี้เป็นงานชิ้นแรกที่ฉันรับผิดชอบแบบเต็มตัว นับแต่สอบเข้าทำงานที่นี่ได้เมื่อแปดเดือนก่อนหน้า ทำเอาฉันตื่นเต้นเสียไม่มีดี ฉันได้รับการเรียกบรรจุเข้าทำงานที่ฝ่ายจัดหาพัสดุซึ่งทำหน้าที่จัดหาพัสดุอุปกรณ์และอีกจิปาถะมากมายเพื่อสนองตอบต่อการทำธุรกิจขององค์กรนี้
งานแรกของฉันมีมูลค่าลงทุนตามงบประมาณที่อนุมัติกว่า 300 ล้านบาททีเดียว มันมากจนฉันรู้สึกว่าฉันเกิดแล้วตายอีกสิบชาติฉันก็หาเงินจำนวนมากเท่านี้ไม่ได้แน่นอน
‘ระบบคอมพิวเตอร์เสมือนจริง’ จะปรับเปลี่ยนให้พนักงานทุกคนเป็นอิสระจากโต๊ะทำงาน ไม่ว่าพนักงานจะอยู่ที่ไหนเพียงมีโครงข่ายอินเทอร์เน็ต พนักงานจะสามารถเชื่อมต่อผ่านระบบคอมพิวเตอร์เสมือนจริงนี้เข้ามาทำงานที่ได้รับมอบหมายได้ตลอดเวลา
ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองไปทำความดีความชอบอะไรเอาไว้ ผู้ใหญ่ถึงได้อนุมัติแต่งตั้งฉันเป็นตัวแทนของฝ่ายจัดหาพัสดุ เป็นหนึ่งในจำนวนคณะกรรมการทั้งห้าคน ทำหน้าที่เปิดซองประกวดราคาโครงการยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้ ทำไมผู้ใหญ่ถึงไม่เลือกเจ้าหน้าที่ที่มีประสบการณ์ด้านการเปิดซองประกวดราคาที่สั่งสมมานานปีให้ทำหน้าที่รับผิดชอบงานนี้ แล้วย้ายฉันไปดูการจัดซื้อจัดจ้างที่มีมูลค่างบประมาณน้อยกว่านี้เพื่อสั่งสมประสบการณ์ก่อนก็มิอาจรู้ได้
‘ไม่ต้องเครียดหรอกออม ออมไม่ได้ทำงานคนเดียวทุกคนที่นี่พร้อมให้คำปรึกษาและช่วยเหลือออมอยู่ตลอดเวลานะ’
นั่นเป็นคำอธิบายเดียวของหัวหน้าเมื่อฉันเดินถือคำสั่งหน้ามุ่ยเข้าไปขอคำอธิบายจากท่าน ในวันที่ได้รับหนังสือแต่งตั้งให้เป็นหนึ่งในคณะกรรมการเปิดซองประกวดราคาจัดสร้างในครั้งนี้
“ออม! เข้ามาในห้องหน่อย”
เสียงของหัวหน้าตะโกนข้ามปีกห้องมาเรียกฉันหลังจากอ่านรายงานการเปิดซองที่ฉันสรุปจบลงด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทำเอาฉันหวั่นใจพิลึกอย่าบอกนะว่าฉันไปทำอะไรผิดกฎผิดระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุข้อไหนเข้าโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์น่ะ
“นั่งสิ”
“ค่ะ สรุปเปิดซองมีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ?”
“ผมอ่านรายงานการเปิดซองของออมแล้วนะ ‘บริษัทเทพไทยยูเนี่ยน’ กับ ‘บริษัทสยามคอร์ป’ เป็นสองรายที่เสนอต่ำกว่างบประมาณและราคากลาง ออมสรุปว่าทั้งคู่ผ่านด้านเทคนิค มีสิทธิ์เข้าไปแข่งขันด้านราคา ออมด่วนสรุปไปหรือเปล่าผมเห็นว่า ‘บริษัทเทพไทยยูเนี่ยน’ ผิดข้อกำหนดด้านเทคนิคนะ ไม่น่าจะผ่านเข้าไปแข่งขันด้านราคาได้เลย”
“ออมไม่ได้ด่วนสรุปนะคะหัวหน้าถึง ‘บริษัทเทพไทยยูเนี่ยน’ จะผิดข้อกำหนดก็จริงแต่ไม่ใช่ข้อติดดาวที่เป็นสาระสำคัญ ออมมองว่ามันเป็นความผิดเล็กน้อยโดยภาพรวมแล้วองค์กรของเราไม่เสียประโยชน์จึงสามารถผ่อนปรนให้เขาเข้าไปแข่งขันด้านราคาได้ค่ะ”
“ออมปรึกษาเรื่องนี้กับกรรมการคนอื่นในทีมหรือยัง?”
“ยังค่ะ ออมแค่ทำสรุปให้ตรวจสอบกันก่อนยังไม่ทันคุยกับประธานและกรรมการอีกสามท่านค่ะ”
“ดี! งั้นออมไปทำสรุปเปิดซองเสียใหม่ตัดสิทธิ์ ‘บริษัทเทพไทยยูเนี่ยน’ เหตุเพราะเสนอผิดข้อกำหนดไปเลย”
หัวหน้ายื่นแฟ้มสำเนาสรุปเปิดซองประกวดราคาจัดสร้างระบบคอมพิวเตอร์เสมือนจริงคืนมาให้ฉันที่รีบรับมันมาถือไว้อย่างงงๆ หมายความว่าอย่างไร? หัวหน้าสั่งให้ฉันตัดสิทธิ์ ‘บริษัทเทพไทยยูเนี่ยน’ ผู้ยื่นซองประกวดราคาเพราะเสนอผิดข้อกำหนดที่ไม่ใช่สาระสำคัญออกไปอย่างนั้นน่ะหรือ?
อย่างนั้นเท่ากับผู้ยื่นซองทั้งสามราย รายหนึ่งถูกตัดสิทธิ์เพราะเสนอเกินงบประมาณ อีกรายหนึ่งถูกตัดสิทธิ์เพราะเสนอผิดข้อกำหนดที่ไม่เป็นสาระสำคัญ คงเหลือผ่านเข้าไปแข่งขันด้านราคาเพียงรายเดียว แบบนี้เท่ากับได้ผู้รับเหมาจัดสร้างระบบคอมพิวเตอร์เสมือนจริงโดยไม่ต้องแข่งขันด้านราคากันเลยใช่หรือไม่? ฉันพกเอาคำสั่งของหัวหน้าเดินออกจากห้องมาอย่างมึนงง เฝ้าถามตัวเองว่าฉันสามารถทำตามที่หัวหน้าสั่งได้หรือไม่ได้กันแน่?
“เป็นอะไรออมทำหน้าประหลาดนะ”
“พี่เล็ก...”
หลังจากที่ฉันทำท่านั่งงงอยู่เป็นนาน ในที่สุดพี่เล็กเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ที่อยู่ในส่วนงานเดียวกับฉันก็สังเกตเห็นท่าทางที่แปลกเปลี่ยนไปของฉันจึงร้องทักขึ้นมา
“มีอะไรหรือออม สงสัยเนื้องานตรงไหนถามพี่ได้นะ”
ถามได้จริงๆ น่ะหรือ?
ก่อนจะถามพี่เล็กฉันต้องถามตัวเองเสียก่อนว่าเรื่องแบบนี้ฉันควรถามพี่เล็กไหม ความจริงหลักการเบื้องต้นในการปฏิบัติหน้าที่ก็คือเชื่อฟังคำสั่งของหัวหน้า แต่ถ้าคำสั่งนั้นมาพร้อมกับความสงสัยว่ามันอาจจะมิชอบด้วยกฎเกณฑ์ ฉันควรจะทำอย่างไร?
“พี่เล็ก เอ่อ... ออมถามหน่อยค่ะ พี่เปิดซองมาหลายสิบรายการแล้ว เคยมีบ้างไหมที่ผู้ยื่นซองประกวดราคาเสนอผิดข้อกำหนดที่ไม่เป็นสาระสำคัญจะสามารถได้รับการผ่อนปรนให้เข้าไปแข่งขันด้านราคาต่อไป”
“ก็บ่อยไป ระเบียบพัสดุก็เปิดเอาไว้และระบุชัดแล้วนี่ออมไม่ได้อ่านระเบียบหรอกหรือ?”
“อ่านแล้วค่ะพี่เล็ก”
ฉันรีบคว้า ‘ระเบียบพัสดุ’ ซึ่งเปรียบเสมือนคัมภีร์ชี้ทางสว่างให้กับพนักงานทุกคนที่ต้องทำหน้าที่จัดซื้อจัดหาพัสดุได้เดินตามแนวทางที่กำหนดเอาไว้ขึ้นมากางหาระเบียบข้อที่ 30 และอ่านออกเสียงดังๆ ให้พี่เล็กฟังอีกรอบหนึ่ง
“ระเบียบพัสดุข้อที่ 30 วรรค 2 กล่าวไว้ว่า ‘การประกวดราคาครั้งใด ถ้าผู้เสนอราคารายใดเสนอรายละเอียดแตกต่างไปจากเงื่อนไขที่กำหนดในเอกสารประกวดราคาในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ และความแตกต่างนั้นไม่มีผลทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบต่อผู้เสนอราคารายอื่น หรือเป็นการผิดพลาดเล็กน้อยให้พิจารณาผ่อนปรนให้เป็นผู้เข้าประกวดราคาโดยไม่ตัดผู้เข้าประกวดราคารายนั้นออกไป และให้ถือว่าผู้เสนอราคารายนั้นมิได้เสนอรายละเอียดแตกต่างไปจากเงื่อนไขที่กำหนด’ ค่ะ”
“ก็ชัดเจนแล้วนี่ แล้วออมยังจะมีอะไรสงสัยอีกหรือ?”
“ก็ออม... คือ...”
ฉันจะบอกให้พี่เขาเข้าใจได้อย่างไรกันว่าฉันทำตามระเบียบพัสดุทุกประการแล้ว แต่หัวหน้ากลับไม่เห็นด้วยและให้ฉันมองว่าผู้ยื่นซองประกวดราคารายแรกนั้นทำผิดข้อกำหนดและตัดสิทธิ์เขาออกจากการเป็นผู้มีสิทธิ์แข่งขันด้านราคาต่อไป
“หัวหน้าไม่เห็นด้วยค่ะบอกให้ออมตัดสิทธิ์รายนี้ออกไปเลย”
“ไหน? ให้พี่ดูที่ออมทำสรุปเปิดซองซิ!”
ฉันรีบยื่นแฟ้มสำเนาเอกสารสรุปการเปิดซองให้พี่เล็กเอาไปเปิดอ่านบทสรุปที่ฉันทำสรุปไว้ทันที อ่านจบพี่เขาก็หัวเราะจนตาหยีมองฉันอย่างมีเลศนัยแฝงประกายหยามเหยียดที่ฉันไม่เข้าใจนัก พี่เขาหยามเหยียดฉันหรือ? ไม่น่านะ... น่าจะไม่ใช่ฉันนะที่พี่เขาหยามเหยียดน่ะ
“ออมทำผิดระเบียบหรือพี่เล็ก?”
“ไม่ผิดระเบียบ แต่ไม่ถูกใจนาย”
พูดจบพี่เล็กก็เดินหัวเราะจากไป แล้วอย่างนี้ฉันควรทำอย่างไร?
“พี่เล็กอย่าเพิ่งไปสิอย่างนี้ออมควรทำอย่างไรดี?”
“ไม่รู้สิ พี่ให้ความเห็นไม่ได้แล้วละออม เดี๋ยวพี่จะพลอยกลายเป็นผีหัวขาดไปด้วยเท่านั้นเอง”
“อ้าว!”
ฉันได้แต่เกาหัวแกรกกรากทำหน้ายุ่งคิ้วขมวดกันมุ่น ดูเหมือนว่าพี่เล็กจะรู้ดีและรู้ว่าในเหตุการณ์ครั้งนี้ฉันควรทำอย่างไรด้วยซ้ำไป แต่ทำไมพี่เขาถึงไม่กล้าบอกไม่กล้าแนะนำฉัน นั่นต่างหากคือปัญหา?
เพราะความเครียดและคิดไม่ตกว่าฉันควรแก้ไขปัญหาเรื่องการเปิดซองประกวดราคาชิ้นนี้อย่างไรดี เย็นนี้เลิกงานปุ๊บฉันก็มุ่งหน้าสู่ห้างสรรพสินค้าปั๊บ เวลาเครียดฉันมักจะมาเดินเลือกซื้อเลือกหาสินค้าสวยๆ งามๆ เพื่อคลายความเครียด ช่างเป็นทางออกที่ไม่ได้เรื่องได้ราวสักเท่าไหร่และเป็นนิสัยที่ไม่ดีเอามากๆ เลยทีเดียว
ปรกติฉันไม่มาเดินท่อมๆ อยู่คนเดียวหรอกจะต้องมีเพื่อนซี้อีกสองคนมาเดินด้วยกันฉันถึงจะอยากมา แต่วันนี้มันไม่ปรกติฉันเครียด! โทรหาเอ๊กกี้ไม่ได้เพราะชีกำลังทำงานอยู่ อ้อ... ฉันลืมบอกไปว่าเอ๊กกี้เพื่อนซี้ตัวชายใจหญิงทำงานเป็นไกด์นำเที่ยวทั้งในและนอกประเทศ ส่วนเพื่อนซี้อีกคนก็คือหญิงปอย รายนี้หญิงแท้ทั้งสวยทั้งเปรี้ยวทั้งเฉียบและเด็ดขาด นางเป็นเลขานุการคนเก่งของนักธุรกิจหญิงชั้นแนวหน้า เวลาว่างไม่แน่นอน ที่แน่นอนคือวันนี้ไม่ว่าง...
ทำให้น้องออมผู้น่าสงสารต้องมาเดินท่อมๆ อยู่คนเดียวกลางห้างใหญ่โตหรูหราแห่งนี้
เดินๆ ไป ฉันสะดุดตาเสื้อกันหนาวเนื้อแน่นสีชมพูกลีบบัวสดสว่างบุนวมบางๆ ตามสมัยนิยม ริมตัวเสื้อทุกด้านระบายด้วยขนสัตว์แท้สีขาวออกแบบมาได้สวยถูกใจฉันมากจริงๆ
“สวยมากๆ เลยค่ะสีนี้ช่วยขับผิวขาวผ่องของน้องให้ยิ่งขาวสว่างใสขึ้นจนแทบจะมีออร่ากระจายออกมาเลยล่ะ”
สาวพนักงานขายรีบออกแรงเชียร์สินค้าของตนเองไม่ขาดปากนัยน์ตาเธอดูมีความหวังเมื่อเห็นประกายความพอใจจากสีหน้าและท่าทางของฉัน
“เนื้อผ้าก็ไม่หนามากนักรับรองว่าหน้าหนาวปีนี้ใส่ขึ้นเหนือลุยยอดดอยได้สบายๆ ค่ะน้อง”
“งั้นหรือคะ แล้วถ้า... หิมะตกล่ะ?”
“อุ๊ย... น้องจะไปต่างประเทศหรือคะ ว๊ายตายแล้วพี่นี่ตาต่ำจริงๆ นึกว่าน้องกำลังมองหาเสื้อกันหนาวขึ้นเหนือเสียอีกค่ะแต่ไม่เป็นไรค่ะน้อง ตัวนี้ไปต่างประเทศไหวต่อให้หิมะตกนะตัวนี้ก็เอาอยู่เพียงแต่น้องต้องเพิ่มชุดเลกกิ้งใส่กันหนาวไว้ด้านในอีกชุดก็สบายแล้วค่ะ ไปที่ไหนคะญี่ปุ่นเกาหลีหรือว่าฝั่งยุโรปคะน้อง?”
“กลางเดือนจะไปโซนยุโรปก่อนค่ะ ส่วนปลายเดือนจะไปญี่ปุ่นกะเอาช่วงใบไม้กำลังเปลี่ยนสีค่ะ”
“ว๊าย... อิจฉาจริงๆ เลยค่ะคุณน้อง ว่าแต่รับตัวเดียวจะพอหรือคะเตรียมเผื่อไว้อีกสักสองสามตัวดีไหมคะคอลเลคชั่นใหม่ๆ เข้ามาหลายแบบเชียวค่ะ”
“ไม่เอาที่หนาเทอะทะนะคะสีแป๋นแหล๋นออมก็ไม่เอานะคะ”
“คุณน้องไม่ต้องเป็นห่วงค่ะเดี๋ยวพี่คัดเลือกสีหวานๆ มาให้ดูค่ะ”
พนักงานขายยิ้มหน้าบาน เมื่อมีเสื้อสีกลีบบัวตัวแรกที่ฉันชอบเป็นแบบอยู่แล้ว พนักงานขายชั้นยอดนั้นย่อมต้องเดารูปแบบของลูกค้าได้จากเสื้อตัวต้นแบบที่ลูกค้าชอบ ดังนั้นเธอต้องหยิบเฉพาะรูปแบบและสไตล์ที่คาดว่าลูกค้าจะชอบมานำเสนอ รับรองได้ว่าวันนี้พนักงานขายจะทำยอดขายได้กระฉูดแน่นอน ยิ่งเธอเห็นฉันท่าทางตัดสินใจง่ายจ่ายคล่องแถมใช้จ่ายมือเติบเช่นนี้มีหรือที่เธอจะผิดหวัง
ระหว่างรอแบบเสื้อที่พนักงานไปเอามาจากหลังร้าน พลันมีเสียงโหวกเหวกด่าทอตบตีทำร้ายกันด้านนอกดังลอดเข้ามาในร้านเสื้อ ฉันรีบเดินไปแอบดูข้างช่องกระจกประตูร้านด้านหน้าตามประสาไทยมุงที่ดี
ฉันก็ยังเป็นคนโดยเฉพาะเป็นคนที่ยังไม่ตัดกิเลสและความอยากได้อยากมี โดยเฉพาะอยากรู้ (เรื่องคนอื่น) ฉันเป็นอย่างนี้ต้องโทษเอ๊กกี้คนเดียวเลย ถ้าคุณไม่เชื่อลองเป็นเพื่อนสนิทกับเอ๊กกี้สักครึ่งปีสิ ไม่ต้องคบนานเหมือนฉันกับหญิงปอยก็ได้ คุณจะได้เข้าใจว่า ‘เรื่องของชาวบ้านเขาคือเรื่องของเรา’ ตามคติของเอ๊กกี้นั้นเป็นเช่นไร
ช่วงแรกฉันกับหญิงปอยมักจะปลิวติดมือของเอ๊กกี้ไปข้างละคนเวลามีเรื่องให้ได้มุงดู ผ่านปีแรกไปได้ฉันกับหญิงปอยก็เริ่มมีพัฒนาการ พวกเราวิ่งตามเอ๊กกี้ได้อย่างกระชั้นชิด แต่พอผ่านปีที่สองเท่านั้นแหละ หญิงปอยก็เข้าวิน สามารถเข้าถึงเหตุการณ์ก่อนเอ๊กกี้ได้ทุกสนาม ส่วนฉันนะ... ผลัดกันแย่งตำแหน่งรองอันดับหนึ่งกับเอ๊กกี้เรื่อยมา ดังนั้นทันทีที่มีเรื่องให้มุงไม่ว่าจะดีหรือร้าย ตำแหน่งของฉันต้องอยู่แถวหน้าเสมอ
แต่ฉันเป็นไทยมุงสายพันธุ์แร็พเตอร์ มีทั้งพละกำลังและมันสมองที่เฉียบแหลม ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใด ไม่ว่าฉันจะอยากรู้มากแค่ไหนรับรองได้ว่าฉันสามารถหาที่ซุ่มมุงดูได้อย่างปลอดภัย
ไม่มีทางเข้าไปจ๊ะเอ๋กับลูกหลงของฝ่ายไหนง่ายๆ เป็นแน่!
ฉันแอบอยู่ข้างประตูกระจกด้านในของร้านขายเสื้อผ้า มีแถวของเสื้อผ้าช่วยปกปิดทำให้คนภายนอกไม่ทันสังเกตว่าตรงนี้มีหญิงสาวจิตไม่ปกติแอบดูอยู่ด้วยคนหนึ่ง เอ่อ... ฉันน่าจะพูดว่า ‘จิตปกติ’ มากกว่านะ เพราะมันเป็นพฤติกรรมของมนุษย์ส่วนใหญ่ 99% ของโลกใบนี้ อะไรนะ... คุณคิดว่า 99% นี้มากไปเหรอ ได้... ได้... งั้นลดเหลือสัก 95% ก็ได้ (ลดมากกว่านี้ไม่ได้แล้วนะ!)
เชื่อฉันเถอะ ใน 100 คนต้องวิ่งไปดูทันทีที่เกิดเรื่องประหลาด 95 คน อีก 5 คนจะรอเวลาสัก 3 นาทีถ้าเหตุการณ์นั้นไม่หยุดลง พวกเขาจะเดินเข้าไปดูด้วยอย่างแน่นอน
ฉันฟันธง!!
ฉันมัวแต่คิดเลื่อนลอยเรื่อยเปื่อย เหตุการณ์นอกร้านรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมที่ถกเถียงกันเสียงดังตอนนี้มีฉุดลากกันขึ้นแล้ว ฝ่ายชายหน้าตาน่ากลัวไม่น้อย แค่มองใบหน้าถมึงทึงตอนลากหญิงสาวติดมือถูไปกับพื้นที่นางพยายามยันตัวเอาไว้ไม่ยอมเดินตามไปดีๆ ก็ว่าน่ากลัวสุดๆ แล้ว ฉันว่านะอีตานี่ต้องเป็นตัวร้ายแน่นอนไม่มีทางเล่นบทพระเอกได้แน่ เพราะเวลาพระเอกกล่อมนางเอกจะไม่ใช้กำลังอย่างนี้ แต่เวลาอยู่บนเตียงนั้นคนละเรื่องกันนะ เอ่อ... ฉันเริ่มคิดนอกเรื่องอีกแล้วละ
“ปล่อยนะ หยุดนะ... ช่วยด้วยยยยย”
นั่นปะไร! ฉันกำหมัดแน่นเลยทีนี้ เปล่าหรอก... ไม่ได้คิดวิ่งออกไปช่วยนางเสียเมื่อไหร่เล่า ตัวฉันผอมบางอย่างกับกุ้งขืนวิ่งทะเล่อทะล่าเข้าไป ไอ้ตัวร้ายมันตบมาเปรี้ยงเดียวฉันก็ตายเท่านั้นเองสิ ที่กำหมัดเนี่ย... กำลังลุ้นอยากให้มีพระเอกพุ่งมาช่วยนางต่างหากเล่า...
“อีนี่... แหกปากร้องเรียกคนอื่นมาช่วยรุมผัวมึงรึไง”
ไอ้ตัวร้ายกวาดตามองไทยมุงนอกร้านที่เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยสายตาเกรี้ยวกราด ฉันรีบซุกตัวเข้าราวเสื้อผ้าทันทีที่สายตามันกวาดผ่านหน้าฉันไป แม้จะมั่นใจว่าไม่มีใครเห็นแต่ฉันก็ไม่อยากเสี่ยงหรอกนะ
“พวกมึงอย่ามาเสือกเรื่องผัวๆ เมียๆ นะเว้ย”
“ไม่... ไม่... ช่วยด้วย ไม่ใช่... กรี๊ดดดดด”
ยังไม่ทันที่นางจะพูดจบประโยค ยังไม่ทันที่จะได้รู้ว่า ‘ไม่ใช่’ หมายถึงอะไร ฝ่ามือใหญ่เท่าใบตาลของมันก็ตบผัวะลงบนใบหน้าของนางจนหน้าหันทันที ตายห่... ตบผู้หญิงแบบนี้ไม่ใช่ตัวร้ายอย่างเดียวแล้วมันเป็นไอ้โคตรเลวเลย!
“การใช้กำลังทุบตีทำร้ายมันผิดกฎหมายนะคุณ”
ฉันหันขวับไปทางต้นเสียงห้าวทุ้มที่ร้องห้ามไอ้หนุ่มมือโหดตบผู้หญิงคนนั้นทันที แหม่... ฟังจากเสียงเจ้าตัวน่าจะหล่อ พอเห็นหน้าเขาก็หล่อจริงๆ เสียด้วย ผิวขาวที่คล้ำแดดเป็นสีทองแดงจางๆ ตัดกับคิ้วเข้มหนาได้รูปดกดำ ดวงตายาวรีแยกชั้นตาชัดเจนที่คมกริบแฝงแววฉลาดล้ำและนิ่งสงบ คล้ายแววตาของท่านชายพจน์เวอร์ชั่น พี่ติ๊ก-เจษ แสดงเป็นพระเอกเสียเหลือเกิน
โอย... หล่อลากใจน้องออม ฉันตกหลุมรักดวงตาคู่นั้นไปแล้ว...
“อย่าเสือกเรื่องของผัวเมียโว้ย!”
ภาพชายพจน์ในวิมานที่ฉันสร้างขึ้นพังทลายทันที ภาพความจริงกลับเข้ามาแทนที่ ชายพจน์ขมวดคิ้วจ้องมองไอ้โจรร้าย เป็นโจรไปเถอะนะไอ้หน้าโหดที่ฉันเลื่อนยศให้แบบไร้เหตุผล ท่าทางแบบนี้ฉันว่า... ชายพจน์คงไม่ยอมแล้วละ บทพระเอกกินขาดเลยงานนี้ ทำเอาฉันใจเต้นตู้มๆ ไม่เป็นจังหวะ ตามประสาสาวใจง่ายสิ้นดี
เฮ้อ... ก็พี่หล่อเร้าใจเกินไป...
“ถึงจะเป็นภรรยาแต่คุณก็ไม่มีสิทธิ์ทำร้ายร่างกายของเธอ ปล่อยเถอะครับพูดจาตกลงกันให้ดีๆ อย่าใช้กำลังกันเลย ไม่อย่างนั้นคุณจะมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายได้นะครับ”
โอ๊ยยยยย ยิ่งพูดน้องออมยิ่งหลงรัก! หากใครมาเห็นท่าทางบิดตัวไปมาอย่างน่าอายของฉันในตอนนี้คงหาว่าฉันนี่มันบ้าแน่นอน ทำท่าเพ้ออยู่หลังแถวเสื้อผ้าได้คนเดียว แม้จะน่าอายแต่ฉันก็ยังไม่หยุดเพ้อหาท่านชายพจน์อยู่ดีละ
“กูบอกว่าอย่าเสือก!”
“ช่วยด้วยคุณช่วยด้วย ฉันไม่ใช่... โอ๊ยยยย”
เสียงเผี๊ยะหนักๆ ตบลงบนหน้าของนางอีกครั้ง ทำเอาฉันย่นคอหนี โอย... ตายๆ ขนาดฉันไม่ได้โดนตบฉันยังเจ็บแทนหลับตาปี๋ ไม่กล้ามองภาพความรุนแรงที่จำกัดเรทอายุคนดูแบบนี้เลย แม้ฉันจะอายุ 22 ปีแล้วเรียนจบปริญญาตรีจนสอบเข้าทำงานได้แล้ว แต่ในแง่ของความรุนแรงหัวใจฉันยังไม่ผ่านเด็กอายุ 12 ปี นะ ก็ฉันไม่เคยโดนทำโทษด้วยการตีมาก่อนนับประสาอะไรกับการตบผัวะๆ แบบนี้
ฉันไม่ได้จินตนาการไปเอง จากเสียงเผี๊ยะ... ตามมาด้วยเสียง ผัวะๆ สองครั้งติดกันแล้วก็เสียงตุ้บ... หนักๆ อย่าบอกนะว่าชายพจน์ของฉันโดนเข้าให้แล้วน่ะ!
ฉันรีบเปิดตาเบิ่งดูทันที เฮ้อ... โล่งไป ที่แท้พระเอกยังคงเป็นพระเอก ชายพจน์สามารถช่วยนางเอกออกมาจากมือไอ้โจรร้ายได้แล้ว ส่วนไอ้โจรร้ายก็ลงไปนอนแอ้งแม้งคลุกฝุ่นบนพื้นเรียบร้อยแล้ว แสดงว่าไอ้สองผัวะหลังนี่ชายพจน์ประเคนให้มันไปสินะ
แหม่... เสี่ยดายยยยย ไม่ได้เห็นฉากพะบู๊ของพระเอกเสียได้!
ดูท่าไอ้โจรร้ายสลัดศีรษะด้วยความมึนงง ใต้จมูกมีรอยเลือดกำเดาไหลแดงเข้มข้น ใต้คางช้ำแดง แสดงว่าสองผัวะเมื่อครู่ซัดไปครึ่งจมูกครึ่งปากกับเสยปลายคางแบบที่เรียกว่าอัปเปอร์คัตใช่ไหมหนอ
ดวงตาวาวโรจน์ขึ้นด้วยความโกรธของไอ้โจรร้ายทำให้ฉันชักจะใจไม่ดี ขึ้นชื่อว่าโจรร้ายพวกมันยังจะกลัวอะไรอีกหรือ มันทำได้ทุกอย่างนั่นแหละ แต่พระเอกของเราสิจะแย่เอา ใครจะไปรู้ว่าใต้เสื้อแจ๊คเก็ตของมันจะมีปืนเสียบอยู่หรือเปล่าหากมันชักปืนออกมาโป้งป้าง...
แม้จะรักชายพจน์ขนาดไหน แต่หนูออมขอวิ่งไปหลบให้ไกลๆ ก่อนเป็นคนแรกแน่นอนเจ้าค่ะ!
เสียงไทยมุงแตกฮือวี๊ดว้ายในขณะเดียวกับที่น้องออมทรุดกายแนบกับพื้นแล้วคลานกระดื๊บๆ หลบไปหลังเคาเตอร์วางกระบะโชว์ของด้านข้างทันที มันชักปืนออกมาแล้วใช่ป่ะ? โอย... ตายแน่ชายพจน์ของออม...
มีแต่เสียงพลั่กๆๆ ผัวะๆๆ เป็นชุด ไม่เห็นจะมีเสียงเปรี้ยงปร้างอย่างที่คิด ฉันเลยค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยก็ไม่มีลูกกระสุนวิ่งพล่านให้ไทยมุงหวาดเสียวหัวใจละนะ สักพักเสียงทุกอย่างก็เงียบลง มีเพียงเสียงร้องครางโอย... โอย... ฉันเลยทำใจกล้าโผล่หน้าออกมาดูเหตุการณ์ด้านนอกร้านต่อทันที
อ้า... ชายพจน์ของออมเก่งจริงๆ กดไอ้โจรร้ายไว้กับพื้นมือไพล่หลังล็อกกุญแจมือดังฉับ เฮ้ยยยย กุนแจมือ!
หมายความว่าไง? ชายพจน์เป็นตำรวจเหรอ?
บ๊ะ... มิน่า ถึงว่าไม่กลัวโจรเลย ที่แท้ก็...
หัวใจของฉันกระหน่ำเต้นรัวแรงอีกครั้งรีบลุกขึ้นปัดๆ ฝุ่นแอบออกไปยืนข้างประตูร้านขายเสื้อกันหนาวมากขึ้นกว่าเดิม ประมาณว่าหากชายพจน์หันมาคงได้สบตากับปริศนา เอ๊ย... กับออมแน่ อิอิ
“ไปโรงพัก... คุณถูกจับข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่น ห้ามปรามแล้วไม่ยอมรับฟังยังตั้งใจใช้มีดพยายามฆ่านายตำรวจนอกเครื่องแบบอีก!”
ชายพจน์ลากไอ้โจรร้ายขึ้นมา ก่อนหันไปบอกให้หญิงนางนั้นก้าวตามเขาไปทางตำรวจจะให้ความเป็นธรรมกับเธอเอง ฉันยิ้มกว้างอย่างดีใจ เฮ้อ... นี่แหละหนาเมืองไทย หากไม่มีตำรวจไว้คอยดูแลความเรียบร้อยของประชาชนแล้ว สังคมคงวุ่นวายไม่น้อย
ไม่รู้ว่าจิตของฉันจะแรงเกินไปหรือสัญชาตญาณระวังภัยของเขาจะยอดเยี่ยมจนเกินเหตุ จังหวะหนึ่งเขาหันกลับมาจริงๆ เป็นจังหวะที่รอยยิ้มของฉันยังระบายอยู่เต็มหน้าอย่างชื่นชมวีรกรรมของเขา จังหวะนั้นฉันเห็นเขานิ่งงันตะลึงไปเหมือนกัน!
อ่า... ไม่ใช่ว่าดันมาตกหลุมรักฉันเข้าแล้วล่ะ!
มันช่วยไม่ได้จริงๆ นะ ฉันรู้ตัวดีว่าฉันเองก็ทั้งสวยและน่ารักใช่เล่นอยู่เสียเมื่อไหร่กันเล่า อิอิ สองเพื่อนซี้มักเตือนฉันเสมอว่าอย่ายิ้มเต็มหน้าให้ผู้ชายคนไหนได้เห็นเชียว ไม่งั้นรอยยิ้มของฉันมันจะเกี่ยวเอาหัวใจของเขาติดสอยห้อยตามฉันไปได้ทุกที่ เพราะเวลาฉันยิ้มอย่างมีความสุข ฉันมักจะยิ้มทั้งปากทั้งตาและหัวใจ ทำให้ตัวฉันเหมือนกับมีรัศมีเรืองรองจับอยู่อย่างไรอย่างนั้นเลย
ฉันว่า... สองเพื่อนซี้มันก็พูดเกินไป...
เพราะสุดท้ายแล้วชายพจน์ก็ยังคงก้าวเดินจากไปอยู่ดี แม้จะแอบหันกลับมามองฉันอีกหลายครั้งจนลับตาไป
เฮ้อ... ฉันยังคงยิ้มอารมณ์ดีและหันกลับไปเลือกเสื้อกันหนาวของตนเองต่อไป ไม่รู้นิยายเล่มไหนที่ฉันเคยอ่าน มันบรรยายเอาไว้ว่า ‘คนเรามีวาสนาพบเจอกันครั้งหนึ่งได้ เนื่องจากร่วมทำบุญกันมาในชาติปางก่อนหลายครั้ง’ อย่างนั้นการที่ฉันได้พบกับชายพจน์ในวันนี้ คงเป็นเพราะเราเคยรู้จักกันในชาติปางก่อนและอาจเคยทำบุญร่วมกันมากระมัง
แต่ช่างเถอะ... ระหว่างเรามันก็แค่นั้น...
ได้พบกัน ได้สบตากัน ได้รู้สึกว่าหัวใจของเราเต้นจังหวะเดียวกัน แล้วก็แยกจากกันไป เรื่องมันก็แค่นั้นจริงๆ ไม่มีภาคต่อไม่มีการทำความรู้จัก ไม่มีการเดินเข้ามาทักทายหรือขอเบอร์ หรืออะไรก็ตามที่จะทำให้เราสามารถวนกลับมาพบกันได้ใหม่อีกครั้งในวันข้างหน้า
นั่นเพราะว่าพวกเรามีวาสนาร่วมกันแค่นั้นเอง...
เมื่อฉันเลือกซื้อสินค้าที่คิดว่าจำเป็นสำหรับหน้าหนาวในคราวนี้ครบแล้ว ก็หอบหิ้วสินค้าเต็มกำมือบรรจุไว้กระโปรงหลังของรถเก๋งคันใหญ่ แต่จัดเรียงอย่างไรก็บรรจุลงไปไม่หมดเดือดร้อนให้ต้องแบ่งอีกหลายสิบถุงไปเก็บไว้ในที่นั่งตอนหลังของรถ ก่อนออกมายืนหอบหายใจมองข้าวของที่ฉันจ่ายเงินซื้อไปทั้งหมดในวันนี้
ความเบิกบานยามใช้จ่ายเพื่อสลายความคับข้องใจเป็นอาการที่มักเรียกกันในสังคมคนมีเงินว่า ‘ช็อปกระเจียด’ หมายถึงซื้อกระจายเพื่อสลายความเครียดนั่นเอง มันช่วยได้จริงๆ ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าตัวเองหายเครียดหายหงุดหงิดไปได้เยอะพอดู ยิ่งบวกกับเรื่องที่ได้เจอชายพจน์ฉันก็ยิ่งมีความสุขแทบลืมเรื่องเครียดๆ ไปเลยทีเดียว
เมื่อหายเครียดฉันก็ตะกายขึ้นรถและขับกลับบ้านไปอย่างมีความสุขพยายามไม่คิดถึงเรื่องงานที่ยังหาทางแก้ไม่ได้ว่าควรทำอย่างไรและพยายามหันไปคิดถึงเรื่องเที่ยวที่กำหนดเอาไว้แล้วว่าจะไปไหนในช่วงไหนของปีแทน
“ออม... ทำไมกลับเสียมืดค่ำปานนี้ นี่พ่อกะว่าอีกยี่สิบนาทีไม่โผล่มาพ่อจะโทรหาแล้วนะลูก”
พ่อของฉัน... พันตำรวจเอกเกรียงสิทธิ์กำลังเงยหน้าขึ้นจากหนังสือที่ถืออยู่ในมือมองฉันที่หอบหิ้วข้าวของส่งให้กับเด็กในบ้านสั่งให้เอาขึ้นไปเก็บมุมปากท่านแย้มยิ้มนิดๆ เมื่อรู้ว่าที่ฉันกลับบ้านมาสายป่านนี้เพราะมัวแต่ไปขนซื้อของมามากมายก่ายกองเตรียมพร้อมสำหรับทริปท่องเที่ยวส่งท้ายปลายปี พ่อไม่เคยดุว่าและไม่เคยจำกัดการใช้จ่ายเงินของฉัน พ่อเปิดบัตรเครดิตวงเงินสูงลิบไว้ให้ฉันใช้จ่ายตั้งหลายใบด้วยซ้ำไป
“ออมขอโทษค่ะที่ไม่ได้โทรบอกพ่อก่อน วันนี้ออมเครียดค่ะพ่อ ออมเลยไปสลายความเครียดตั้งใจซื้อเสื้อกันหนาวแค่ตัวสองตัว พอเดินไปเดินมาออมก็ไม่คิดว่าจะได้ของติดมือกลับมาเสียเยอะปานนี้ค่ะ”
ฉันโผเข้าไปนั่งข้างๆ พ่อเกาะแขนท่านลงมือนวดเฟ้นให้อย่างเอาใจแกมประจบที่วันนี้ฉันไปถลุงเงินของท่านเสียมากโข
“ใครกันที่ทำให้ออมของพ่อเครียดได้ปานนั้น?”
“เฮ้อ... อย่าไปพูดถึงมันเลยค่ะพ่อ พอนึกถึงออมก็พานเครียดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว”
น้ำเสียงท้อแท้ปนเคร่งเครียดของฉันทำให้พ่อต้องวางหนังสือในมือลง หันกลับมาจ้องมองฉันอย่างค้นหาคงจะจริงที่คนเขาว่าสายสัมพันธ์พ่อลูกมักสื่อความในใจถึงกันได้ โดยเฉพาะเรื่องทุกข์ยากในจิตใจ หรือว่าไม่จริง? บางทีอาจเป็นเพราะว่าพ่อซึ่งเป็นผู้ใหญ่กว่าผ่านโลกมามากกว่า เพียงมองปราดท่านก็เลยรู้ว่าใบหน้านี้ของผู้เป็นบุตรสาวอมทุกข์เพียงใด
“เรื่องงานน่ะค่ะพ่อ”
“ก็คงต้องเป็นอย่างนั้นร้อยวันพันปีออมของพ่อเคยมีเรื่องทุกข์ร้อนใจเสียที่ไหน ตอนเรียนก็เป็นเด็กนักเรียนดีเด่นความประพฤติดีเรียบร้อยไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง จู่ๆ เรียนจบมาทำงานก็มีสีหน้าอมทุกข์มีหรือว่าจะไม่ใช่เรื่องงาน มีอะไรออมก็ปรึกษาพ่อได้เสมอ อย่าลืมสิถึงพ่อจะเป็นตำรวจแต่พ่อไม่ได้เป็นตำรวจพะบู้วิ่งสู้ฟัดกับโจรผู้ร้ายหรอกนะ พ่อเป็นสิงห์เอกสารทำงานอยู่เบื้องหลังคอยส่งกำลังปัจจัยจำเป็นสนับสนุนให้ตำรวจแถวหน้า เพราะฉะนั้นงานของออมเชื่อเถอะว่าพ่อสามารถทำความเข้าใจและหาทางแก้ไขให้ได้อยู่แล้วละลูก”
จริงสินะ! ฉันลืมไปเลยว่าพ่อเองปีๆ หนึ่งเกี่ยวพันกับงานจัดซื้อจัดหามากยิ่งกว่าฉันเสียอีก เพียงระลึกได้เรี่ยวแรงพลังที่เคยสูญหายและท้อแท้ใจก็พลันกลับฟื้นตื่นขึ้นมา กำลังวังชาของฉันบริบูรณ์พร้อมทันที
“จริงด้วยค่ะพ่อ ออมก็ลืมไปซะสนิทเลย แม้หน่วยงานของตำรวจกับรัฐวิสาหกิจจะแตกต่างกัน แต่ก็ไม่มากไม่มายอะไรน่าจะปรับใช้และทำความเข้าใจได้ไม่ยากค่ะพ่อ”
หลังจากนั้นฉันก็เล่าเรื่องทั้งหมดอย่างละเอียดให้พ่อฟังตั้งแต่ต้นจนจบ แถมพกด้วยคำสั่งของหัวหน้าที่ทำให้ฉันเครียดแทบเป็นแทบตาย
“เท่าที่ออมเล่าให้พ่อฟังพ่อสรุปได้ว่าหัวหน้าของออมกำลังพยายามทำให้คนที่ผ่านการยื่นซองประกวดราคาในครั้งนี้เหลือแค่เพียงรายเดียวที่เขาพอใจเท่านั้น”
“แต่มันผิดระเบียบพัสดุนะคะพ่อ”
“ก็ไม่แน่ว่าจะผิด”
“อย่างไรคะ?”
ฉันเริ่มงงแล้วจริงๆ เมื่อตอนกลางวันที่ฉันคุยกับพี่เล็ก เราสองคนต่างก็เข้าใจตรงกันว่าหัวหน้ากำลังบีบให้เราทำผิดระเบียบพัสดุ แต่พอมาฟังพ่อ พ่อกลับบอกว่าไม่แน่นักที่จะผิดระเบียบ
“ระเบียบพัสดุระบุว่าหากผู้ยื่นซองประกวดราคารายใดเสนอรายละเอียดที่ผิดจากข้อกำหนด แล้วไม่ส่งผลเสียเปรียบได้เปรียบกับผู้ยื่นซองรายอื่นจึงจะสามารถผ่อนปรนได้ไม่ใช่หรือ”
“ค่ะพ่อ”
“แล้วใครเป็นคนตีความว่าส่งผลได้เปรียบเสียเปรียบต่อผู้ยื่นซองประกวดราคารายอื่นล่ะ?”
“ก็คือหนู”
“นั่นสิ แล้วการตีความของลูกจำเป็นต้องเหมือนกับคนอื่นไหม? หัวหน้าของลูก ประธานการตรวจรับและกรรมการร่วมสามคน อาจตีความว่าส่งผลได้เปรียบและเสียเปรียบต่อรายอื่นก็ได้นี่”
“แต่ความจริงคือมันไม่ส่งผลต่อคนอื่นนี่คะพ่อ ข้อที่เทพไทยยูเนี่ยนเขาผิดคือเขาระบุว่าจะส่งข้อมูลตัวโปรแกรมทั้งหมดที่ได้พัฒนาให้โดยบันทึกลงใน Flash Drive ในขณะที่ข้อกำหนดระบุว่าให้บันทึกลงในแผ่น CD หรือ DVD”
“นั่นก็คือผิดจากข้อกำหนดแล้วนะลูก”
“แต่ข้อกำหนดอีกข้อหนึ่งระบุเอาไว้ว่าผู้ยื่นซองประกวดราคาสามารถเสนอรายละเอียดแตกต่างไปจากเงื่อนไขที่กำหนดได้หากมีเหตุผลชี้แจงว่าดีกว่าที่ข้อกำหนดระบุเอาไว้อย่างไร”
“ออมต้องแยกระเบียบออกเป็นทีละประเด็นก่อน หากมองเพียงว่าผิดข้อกำหนดหรือไม่ออมย่อมตอบได้ทันทีว่า ‘ผิด’ บริษัทเทพไทยเสนอผิดข้อกำหนด แต่การผิดข้อกำหนดนั้นได้รับการผ่อนปรนจากข้อกำหนดอีกข้อหนึ่งว่าสามารถเสนอรายละเอียดแตกต่างได้หากชี้แจงว่าดีกว่าข้อกำหนดเดิมอย่างไร แล้วเขามีคำชี้แจงมาหรือไม่ในประเด็น Flash Drive กับ CD/DVD เท่าที่พ่อฟังออมเล่า เขาก็มิได้แจกแจงมามิใช่หรือ? นั่นก็ถือเป็นความบกพร่องของเขาแล้ว ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้ตรวจสอบว่าจะให้ผ่านหรือไม่ให้ผ่านก็ได้ทั้งนั้น”
“พ่อกำลังบอกให้หนูทำตามที่หัวหน้าแนะนำหรือคะ?”
“มองเผินๆ ก็ควรทำอย่างนั้น แต่หากมองให้ลึกซึ้งออมก็ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง”
ฉันไม่เข้าใจพ่อเลยจริงๆ ทำไมพ่อถึงพูดอะไรวกไปวนมาจนฉันงงหนักกว่าเก่าเสียอีกเล่านี่? พ่อนั่งอธิบายฉันมาตั้งนานทำให้ฉันยอมรับโดยไม่อาจโต้แย้งว่าบริษัทเทพไทยยูเนี่ยนทำผิดข้อกำหนดจริงๆ แต่ตอนนี้พ่อกลับบอกว่าฉันไม่ควรทำตามคำแนะนำของหัวหน้าเสียได้!
“เพราะความเป็นจริงคือแม้บริษัทเทพไทยยูเนี่ยนจะทำผิดข้อกำหนด แต่เขาเสนอราคาโดยรวมต่ำกว่าอีกรายที่เสนอรายละเอียดถูกต้องทุกประการ ต่างกันถึงสิบล้านกว่าบาทไม่ใช่หรือออม?”
“ค่ะพ่อ มันเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ออมปัดให้เขากลายเป็นผิดข้อกำหนดไม่ลง”
“ส่วนต่างสิบล้านก็มากพอที่จะซื้อใครได้หลายคนเพียงแต่ผู้ยื่นซองต้องคิดให้ดีว่าควรซื้อใคร”
“พ... พ่อ!”
ฟังพ่อเปรยแล้วฉันแทบหาปากของตัวเองไม่เจอ พ่อกำลังจะบอกว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้อาจเกิดความไม่โปร่งใสขึ้นในการเปิดซองประกวดราคา และฉันเป็นตัวหลักหนึ่งที่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ท่ามกลางเงื่อนไขที่คลุมเครือสามารถชี้ให้กลายเป็นผิดก็ได้ชี้ให้กลายเป็นถูกก็ได้แบบนี้ คนตัดสินชี้เป็นชี้ตายสามารถเรียกรับผลประโยชน์ได้อย่างลับๆ หากพ่อเป็นคนของบริษัทสยามคอร์ป พ่อจะไม่ปล่อยให้บริษัทเทพไทยยูเนี่ยนผ่านข้อกำหนดเข้าไปแย่งงานของพ่อได้เด็ดขาด พ่อยอมจ่ายเงินใต้โต๊ะให้หัวหน้าออมเพื่อพลิกเกมให้ตัวเองได้งานนี้อย่างโปร่งใส หากให้เดาพ่อเชื่อว่าคงเรียกรับกันใต้โต๊ะไม่ต่ำกว่าห้าล้านแน่นอน”
“พ่อ!”
ฉันตกใจมากกับการวิเคราะห์ของพ่อใช่ว่าฉันไม่เคยรับรู้รับฟังเรื่องที่เกี่ยวกับการคอร์รัปชัน บ้านนี้เมืองนี้ก็ติดอันดับการคอร์รัปชันมาทุกยุคทุกสมัยอยู่แล้ว แต่ฉันไม่เคยคิดเลยว่าตนเองจะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของวงจรอุบาทว์เหล่านี้ ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องประจันหน้ากับพวกกินบ้านกินเมืองกินโดยที่ไม่มีจิตสำนึกไม่เกรงกลัวต่อบาปกรรมและคำสาปแช่ง!
“ออมควรทำอย่างไรดีคะ?”
“ทำทุกอย่างที่ออมคิดว่าถูกต้องและควรทำ”
“เช่นนั้นออมไม่ตัดสิทธิ์เทพไทยยูเนี่ยนนะคะ ออมถือว่าพวกเขาทำผิดข้อกำหนดที่ไม่ใช่สาระสำคัญและผ่อนปรนให้ผ่านเข้าไปแข่งขันด้านราคาต่อไปได้”
เสียงพ่อหัวเราะกับคำพูดเด็ดเดี่ยวของฉัน ท่านวางมือลงบนศีรษะเล็กๆ ก่อนจะขยี้มันเบาๆ อย่างรักใคร่ ส่งสายตาบอกฉันว่าถูกต้องแล้วทำเช่นนั้นมันถูกต้องอย่างที่สุดแล้ว
“แต่ออมยังไม่รู้ว่าประธานกับกรรมการร่วมอีกสามคนจะเห็นพ้องกับออมไหมนะคะพ่อ ขึ้นอยู่กับพวกเขาด้วย หากพวกเขาไม่เอาด้วยกับออม พวกเขาก็จะกลายเป็นเสียงส่วนใหญ่ สามารถตัดสิทธิ์เทพไทยยูเนี่ยนได้อยู่ดีค่ะ เสียงของออมคงไม่มีประโยชน์อะไรอีก”
ฉันถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้มแม้ฉันจะพยายามช่วยให้องค์กรได้ผู้รับเหมาที่เรียกรับค่าตอบแทนต่ำกว่าอีกรายถึงสิบล้านบาท แต่เงินสิบล้านก็ซื้อใครได้หลายคนจริงอย่างที่พ่อว่า อาจไม่ใช่แค่หัวหน้าของฉันเพียงคนเดียวที่เรียกรับเงินผลประโยชน์ หากบริษัทสยามคอร์ปสามารถโน้มน้าวประธานกับกรรมการร่วมอีกสองคนได้ เท่ากับว่าคำคัดค้านของฉันจะเสียเปล่าในทันที
“มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกออมระบบของราชการและรัฐวิสาหกิจแตกต่างกันก็จริงแต่มันยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่คล้ายคลึงกันอยู่ การสรุปผลการเปิดซองของคณะกรรมการหากมีความเห็นไม่เป็นเอกฉันท์เมื่อไหร่จะกลายเป็นจุดให้คนอื่นสนใจและเรียกสอบย้อนหลังได้เสมอ ดังนั้นคณะกรรมการจึงมักจะประนีประนอมและพยายามให้ความเห็นออกมาเป็นหนึ่งเดียวกัน รับก็รับด้วยกันไม่รับก็ไม่รับด้วยกัน”
“อย่างนั้นหรือคะพ่อ”
“อืม... ออมยืนกรานตามความเป็นจริงไปก่อน เชื่อเถอะเรื่องนี้ไม่จบง่ายๆ หรอก แน่นอนว่าเพื่อผลประโยชน์ที่ไม่น้อยเหล่านั้นหัวหน้าของออมต้องมากดดันออมหนักแน่ ออมต้องอดทนเอาไว้ ขอเพียงออมยืนกรานเสียงแข็ง หัวหน้าของออมทำอะไรออมไม่ได้หรอก เพราะคนที่ถูกแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการเปิดซอง ถือเป็นคนที่มีสิทธิ์เต็มที่กับการสรุปผลการเปิดซองนั้นๆ ถึงจะเป็นหัวหน้าก็ไม่มีสิทธิ์บังคับให้ออมทำตามที่เขาต้องการได้”
“ค่ะพ่อ”
ฉันยิ้มอย่างสบายใจโผตัวเข้าไปสู่อ้อมกอดอันแสนอบอุ่นของพ่อ พ่อฉันเป็นคนดีเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี พ่อรักฉันอย่างไม่มีเงื่อนไขแม้ฉันจะเป็นกำพร้าแต่ฉันกลับไม่รู้สึกว่าชีวิตขาดอะไร มีพ่อเพียงคนเดียวฉันกลับรู้สึกเหมือนท่านเป็นแม่ไปด้วยในตัวอยู่แล้ว
“อุ๊ย พ่อลูกคู่นี้รักกันดีจริงๆ นะคะนี่ ออมเพิ่งกลับมาเหรอ? กินอะไรมาหรือยังเดี๋ยวน้าไปหาอะไรให้กินเอาไหม?”
“ออมทานมาเรียบร้อยแล้วค่ะ น้องอ๋องหลับแล้วหรือคะ?”
“หลับแล้ว น้าเลยกะจะลงมาอยู่เป็นเพื่อนพี่เกรียงรอออมอยู่นี่ล่ะจ๊ะ ลูกสาวสุดที่รักยังไม่กลับมาพี่เกรียงคงหลับไม่ลงหรอก”
น้าเอ็มหัวเราะคิกคักแสร้งทำเป็นแซวพ่อของฉันเล่น เห็นท่านยิ้มๆ ฉันก็พลอยถึงบางอ้อไปด้วย ที่แท้พ่อก็ไม่ได้นั่งอ่านหนังสือจริงจังอะไร แต่ที่ยังไม่ขึ้นนอนเพราะต้องการรอให้ฉันกลับมาถึงบ้านก่อนเท่านั้นเอง ความอบอุ่นโอบล้อมจิตใจของฉันทันที ฉันโชคดีมากจริงๆ ที่มีคนรุมกันมอบความรักให้มากขนาดนี้
“ออมขอโทษค่ะน้าเอ็มที่ลืมบอกว่าเย็นนี้ออมแวะไปหาซื้อของเตรียมไปเที่ยวทริปปลายปีเพลินไปหน่อยค่ะ น้าเอ็มล่ะคะพาน้องอ๋องไปหาซื้อเสื้อผ้ากันหนาวหรือยัง ระวังจะเตรียมไม่ทันนะคะอีกไม่กี่วันก็ต้องบินกันแล้ว ของพ่อล่ะให้น้าเอ็มจัดให้หรือให้ออมหาให้ดีคะพ่อ?”
“โอย... ออมไม่ต้องห่วงจ๊ะ ทั้งของพี่เกรียงทั้งของน้องอ๋องน้าเตรียมเรียบร้อยแล้วจ้า ก็ว่าจะถามออมอยู่เหมือนกันว่าของออมเตรียมหรือยังเห็นยุ่งๆ กับงาน ถ้าไม่ว่างให้น้าช่วยเตรียมก็ได้นะ”
“ไม่ทันแล้วค่ะน้าเอ็ม ออมแวะไปจัดการมาเรียบร้อยแล้ว”
“ก็ดีจ๊ะเลือกเองจะได้ของถูกใจมากกว่า ว่าแต่ออมอย่าลืมลางานนะหยุดยาวสามอาทิตย์จะลาได้หรือเปล่าเราน่ะ เพิ่งทำงานได้ไม่ถึงปีไม่ใช่หรือ?”
น้าเอ็มแสดงความเป็นห่วงออกมา ทุกปีพอถึงช่วงหน้าหนาวและเป็นช่วงปิดเทอมย่อยของน้องอ๋อง เราทั้งครอบครัวเป็นต้องจัดทริปเที่ยวกันทีหนึ่งอย่างน้อยก็สองสัปดาห์อย่างมากก็สามสัปดาห์ และปีนี้เราจองทริปต่างประเทศไว้สองสัปดาห์ จะกลับมาเที่ยวต่อภาคเหนือของไทยอีกหนึ่งสัปดาห์รวมเป็นสามสัปดาห์ แต่ทว่าปีนี้ฉันเพิ่งทำงานเป็นปีแรกอาจไม่สามารถหยุดยาวเที่ยวได้เหมือนตอนที่ยังเรียนอยู่นั่นเอง
“จะไปยากอะไรช่วงอาทิตย์แรกก็ใช้วันลากิจ อาทิตย์ถัดมาก็ยื่นลาพักร้อนแล้วค่อยลาป่วยตบท้ายอีกทีก่อนไปทำงานออมก็หาหมอเสียหน่อย ขอใบรับรองแพทย์ไปยื่นกับหน่วยงานเชิงว่าไปเที่ยวเขตหนาวมาเลยป่วย แค่นี้ก็จบแล้วเราไม่ได้ลาบ่อยๆ นี่ ตั้งแต่ออมเริ่มทำงานมาเพิ่งจะลาเป็นครั้งแรกไม่น่าเกลียดหรอกน่ะ”
“ค่ะพ่อ”
ฉันหัวเราะกับลูกเล่นที่พ่อสอนให้ฉัน แม้จะเป็นมุกเล็กๆ แต่พ่อก็อดไม่ได้ที่จะต้องตบท้ายกันเอาไว้ไม่ให้ฉันเอามุกนี้ไปใช้พร่ำเพรื่อ พ่อเองเป็นตัวอย่างที่ดี พ่อไม่เคยลางานไม่เคยลากิจไม่เคยลาป่วยจะลาพักร้อนบ้างก็ปีละสองครั้ง ช่วงที่ฉันกับน้องอ๋องปิดเทอมเพื่อพาเราทั้งครอบครัวตระเวนเที่ยวไปตามที่ต่างๆ สุดแต่ว่าน้องอ๋องหรือฉันอยากไปที่ไหน
ส่งพ่อขึ้นห้องนอนไปกับน้าเอ็มแล้ว ฉันก็เดินเข้าครัวหานมมาอุ่นดื่มรองท้องก่อนขึ้นห้องไปอาบน้ำเตรียมตัวเข้านอนบ้าง ห้องข้างล่างก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเด็กในบ้านมาจัดเก็บและทำความสะอาดไป
ฉันเป็นลูกกำพร้าแต่ทว่าชีวิตฉันกลับไม่เคยรู้สึกว่าขาดสิ่งใดเลย แม่เสียไปเมื่อฉันอายุได้สิบขวบ ตอนนั้นฉันเสียใจมากนอนร้องไห้คิดถึงแม่อยู่เป็นปี ทุกคืนพ่อจะมานอนกับฉันกอดฉันเอาไว้จนกว่าฉันจะหลับไป ทุกเช้าพ่อจะตื่นมาทำกับข้าวใส่กล่องให้ฉันนั่งกินในรถมือสองสภาพกลางเก่ากลางใหม่ที่พ่อรีบขับฝ่าการจราจรของกรุงเทพไปส่งฉันที่โรงเรียน ชีวิตของเราไม่ถึงกับตกอับแต่ก็ไม่หรูหราฟุ่มเฟือยเช่นทุกวันนี้
สี่ปีหลังจากที่แม่ตาย พ่อก็มีเมียคนใหม่พ่อถามฉันก่อนว่ายอมรับน้าเอ็มได้ไหม ใช่ว่าฉันจะไม่กลัวปัญหาเรื่องแม่เลี้ยงกับลูกเลี้ยงแต่เรื่องนี้จะว่าไปก็เหมือนฉันโชคดี พ่อเลือกคนได้ดีน้าเอ็มเข้ากับฉันได้และไม่ใช่แม่เลี้ยงใจร้าย ฉันจึงตอบรับเธอได้อย่างดีเพียงแต่ฉันขอเรียกเธอว่า ‘น้า’ ไม่เรียกว่า ‘แม่’ เธอก็ไม่ว่าอะไร
ตอนนั้นฉันยังเด็กฉันยังไม่รู้อะไรมากนัก แต่ตอนนี้ฉันโตแล้วฉันจึงรู้ว่าระหว่างพ่อกับน้าเอ็มคนที่เป็นฝ่ายรักคือน้าเอ็มไม่ใช่พ่อ น้าเอ็มต่างหากที่หลงรักพ่อจนสุดหัวใจ ส่วนพ่อก็นะ... รักฉันมากกว่าสิ่งใดรักมากกว่าที่พ่อจะรักตัวเองเสียอีก นั่นจึงเป็นที่มาของการที่น้าเอ็มดีกับฉันและรักฉันด้วย เพราะน้าเอ็มเป็นคนฉลาดและรู้ว่าเพียงฉันชอบเธอพ่อก็จะเลือกเธอโดยไม่มีข้อแม้และเงื่อนไขอะไรอีกเลย
ปีถัดมาน้าเอ็มก็คลอดน้องอ๋องน้องชายของฉัน พ่อดีใจมากฉันก็ดีใจมากมีน้องแล้วน้าเอ็มก็ยังคงเส้นคงวาปฏิบัติกับฉันเหมือนเดิม ยิ่งทำให้พ่อเอ็นดูน้าเอ็มมากขึ้น ช่วงเวลาหลังจากนั้นไม่นานชีวิตครอบครัวของเราก็พลิกผันค่อยๆ เปลี่ยนบ้านเปลี่ยนรถ มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นตามการเจริญเติบโตทางหน้าที่การงานของพ่อที่รุ่งเรืองมากขึ้น ยิ่งถือเป็นโชคหลายสิบชั้นเมื่อวันหนึ่งพ่อบอกกับพวกเราว่าพ่อถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งหลายใบ ตอนนี้เงินที่ได้มาเก็บอยู่ในบัญชีของพ่อเรียบร้อยแล้ว
แม้ฉันกับน้าเอ็มจะไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเงินรางวัลที่พ่อได้รับมามากน้อยแค่ไหน แต่ฉันกับน้าเอ็มก็รู้ว่ามันมากโขเอาการที่สามารถเปลี่ยนบ้านใหม่ให้เราใหญ่ขึ้น ชีวิตหลังจากนั้นถือได้ว่าเราเป็นครอบครัวที่มีเงินมีอันจะกิน เที่ยวต่างประเทศได้ปีละหลายๆ ครั้ง ใช้สิ่งของฟุ่มเฟือยได้โดยที่พ่อไม่เคยบ่นว่า
พ่อบอกว่าเงินที่ได้มาพ่อเอาไปลงทุนเพื่อให้มันเจริญงอกงามมากขึ้น พอฉันถามว่าลงทุนอะไรพ่อก็ตอบว่าพ่อกับเพื่อนร่วมกันประมูลบ้านหลุดจำนองของธนาคารเอามาปรับปรุงใหม่และขายออกไป ทำกำไรไม่น้อยทีเดียวแต่พ่อไม่อยากให้พวกเราเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการลงทุนแบบนี้ของพ่อ เพราะพ่อบอกว่าเกรงใจเพื่อนให้เพื่อนจัดการทุกอย่างอยู่แล้ว หากโยกย้ายฉันเข้าไปยุ่งเกี่ยวเดี๋ยวเพื่อนจะหาว่าพ่อไม่ไว้วางใจเขา
ฉันเลยเลือกที่จะไปสอบเข้าทำงานที่รัฐวิสาหกิจแห่งนี้แทน ฉันไม่ดื้อรั้นไม่มุ่งไปแตะธุรกิจของพ่อ ฉันเพียงรับรู้ว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี แค่นี้ฉันก็ว่าดีนักหนาแล้วในเมื่อพ่อแนะนำให้ฉันสอบเข้าทำงานที่นี่พ่อคงคิดดีแล้ว ฉันเชื่อมั่นในคำแนะนำของพ่อเสมอ เพราะในชีวิตนี้คนที่รักฉันที่สุดก็คือ... พ่อ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++