ตะวันหลงทิศ

บทที่ ๔.

ชลธิดาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ข่าวร้ายที่เธอได้รับมันเหมือนฝันร้ายที่ยังคงวนเวียนอยู่ในสมองและจิตใต้สำนึก เธออยากให้มันเป็นเพียงแค่ฝันร้ายพอตื่นขึ้นมาทุกอย่างก็กลับคืนมาเหมือนเดิมทว่าความเป็นจริงคือเธอได้สูญเสียครอบครัวไปแล้ว

“น้ำ! น้ำฟื้นแล้ว” เสียงซุบซิบดังเข้ามากระทบโสตประสาท มันคือเสียงของฝน ฟ้าและไผ่ เพื่อนสนิทที่คบหากันมาตั้งแต่วัยเด็ก ทั้งสามมีท่าทีดีใจกับการฟื้นคืนสติของเพื่อน

ข่าวการเสียชีวิตของพ่อและแม่ของชลธิดาแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ยกเว้นข่าวการสูญเสียความทรงจำของเธอซึ่งมีคนรับรู้เพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น นั่นก็คือน้ามะปราง ผู้หมวดรุจน์และเพื่อนสนิททั้งสามของเธอซึ่งรีบมาทันทีที่ได้ยินข่าว

“นี่เราฝนนะ จำเราได้ไหม” สาวน้อยผิวเข้ม หน้าคม ดวงตาเศร้า รูปร่างเล็กกะทัดรัด ตัดผมสั้นแค่ติ่งหู ยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนชลธิดามองเห็นใบหน้าเล็ก ๆ ของเพื่อนสนิทได้ชัดเจน

“อือ จำได้”

“แล้วน้ำจำเราได้ไหม ไผ่ไง” เด็กหนุ่มผิวเข้ม ใบหน้ากว้างมีโหนกและกรามเด่นชัด รูปร่างสูงใหญ่หุ่นนักกีฬาแทรกตัวเข้ามาพร้อมยิ้มโชว์ฟันขาวเกือบครบสามสิบสองซี่เหมือนเช่นเคย ชลธิดาหันไปมองเพื่อนชายคนเดียวในกลุ่มแล้วพยักหน้าแทนคำตอบ

“เราฟ้าคนสวย น้ำจำเราได้ใช่ไหม” สาวน้อยรูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาวเนียน ใบหน้ากว้าง โหนกแก้มและกรามชัดเจน ผมยาวดัดเป็นลอนสวยงามแทรกตัวเบียดเข้ามาอยู่ตรงหน้าของชลธิดาเพื่อยืนยันตัวตนเป็นคนสุดท้าย

“อือ..จำได้ เราจำได้หมดทุกคน แต่...” ชลธิดาตอบอย่างไร้อารมณ์

“แต่..เราจำเหตุการณ์ในวันนั้นไม่ได้เลย รถเกิดอุบัติเหตุแต่มันเกิดอะไรขึ้นกับพ่อและแม่ของเรา เป็นเพราะเราแท้ ๆ เพราะเราคนเดียว ถ้าพ่อกับแม่ไม่ไปส่งเราเข้าเรียนมหาลัย ถ้าพ่อไม่พาเราขับรถเลียบริมโขงแวะเที่ยวฉลองวันเกิดให้กับเรา อุบัติเหตุก็คงจะไม่เกิดขึ้น ทั้งหมดเป็นเพราะเราคนเดียวแท้ ๆ”

ชลธิดาพร่ำบ่นโทษตัวเองอยู่นานจนเพื่อน ๆ เข้ามาปลอบโยน

“พวกเราเสียใจด้วยจริง ๆ เรื่องพ่อกับแม่ของน้ำ แต่มันเป็นอุบัติเหตุอย่าโทษตัวเองเลยนะ” ฝนเดินเข้ามาใกล้พร้อมโอบกอดเพื่อนรักผู้รอดชีวิตจากอุบัติเหตุไว้ในอ้อมกอดเล็ก ๆ ของเธอ

“ใช่ เรื่องแบบนี้ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นหรอกนะ” ไผ่พยายามปลอบโยน เขาไม่รู้จะสรรหาคำปลอบโยนใดมาพูดปลอบใจเพื่อนสาวที่เขาแอบรักให้รู้สึกดีขึ้น เขาทำได้เพียงแค่ยืนกุมมือตัวเอง ขยับแข้งขาไปมาอย่างอยู่ไม่สุข อยากจะเข้าไปกอดด้วยก็ไม่ยังไม่กล้าเพราะเป็นเพื่อนต่างเพศ

“เราน่าจะตายไปพร้อมกับพ่อและแม่ของเรา ทำไมเราต้องเป็นคนเดียวที่รอดชีวิต เราไม่เหลือใครแล้ว ฮือ..” ชลธิดายังคงพร่ำบ่นและสะอื้นไห้อย่างไม่มีวี่แววว่าจะหยุด แขนเล็กกลมกลึงกอดร่างเล็ก ๆ ของเพื่อนเอาไว้แน่น ซุกใบหน้าสวยเปื้อนคราบน้ำตาลงไปกับอกอุ่นของเพื่อน

“น้ำยังเหลือพวกเราไง ยังเหลือน้ามะปราง ยังเหลือธาร ถ้าน้ำตายไปอีกคนพวกเราคงเสียใจมากแน่ ๆ เรารู้ว่าน้ำเสียใจมาก พวกเราเองก็เสียใจกับข่าวนี้เหมือนกัน พวกเรายกเลิกการเดินทางทั้งหมดเพราะต้องการมาอยู่เป็นกำลังใจให้กับน้ำนะ” ฟ้าเดินเบียดตัวเข้ามาโอบกอดเพื่อนรักพร้อมปลอบประโลม

“ใช่ๆ น้ำยังมีพวกเรานะ เราจะไม่มีวันทิ้งน้ำไปไหนเด็ดขาด เราสัญญา” ไผ่ยืนยันหนักแน่น เขาอยากจะเข้าไปโอบกอดชลธิดาด้วยทว่าใจของเขาไม่กล้าพอจึงทำได้เพียงแค่ตบไหล่เพื่อนสาวที่อยู่ในอาการโศกเศร้าเบาๆ แทนความห่วงใยที่เขามีมากมาย

“น้ามะปรางไปไหน” ชลธิดาถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ยังคงสะอื้นอยู่เมื่อเธอกวาดตามองรอบห้องแล้วไม่เห็นน้าสาวรวมอยู่ด้วย เธอหวาดกลัวกับการสูญเสีย เธอทำใจไม่ได้ที่ต้องเสียใครไปอีก

“น้ามะปรางไปจัดการงานศพแต่เดี๋ยวก็คงจะมาแล้วล่ะ” มือน้อยของฝนลูบตามเส้นผมนุ่มของเพื่อนแผ่วเบา

“น้ามะปรางให้พวกเรามาอยู่เป็นเพื่อนน้ำไปก่อน กลัวว่าถ้าน้ำตื่นขึ้นมาไม่เจอใคร น้ำจะ..โอ๊ย...” ไผ่ต้องหยุดพูดทันที เมื่อฝ่ามืออรหันต์จากเพื่อนสาวร่างเล็กฟาดเข้าที่กลางหลังแทนการห้ามปราม ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นว่า..'กลัวเพื่อนฆ่าตัวตาย'

“ศพพ่อกับแม่ของเราอยู่ที่ไหน”

“ศพตั้งอยู่ที่วัดใกล้บ้าน ตะกี้พวกเราก็เพิ่งแวะไปกราบศพพวกท่านมา ศาลานั้นมีคนไปกราบศพเยอะแยะเลย” ไผ่ตอบพลางซี๊ดปากอย่างเจ็บปวด ฝ่ามือของเพื่อนสาวร่างเล็กเจ็บไม่เบาซ้ำดวงตาคมคู่นั้นยังจิกกัดอีกด้วย มันเจ็บยิ่งกว่าโดนฝ่ามือเสียอีก

“เราอยากจะไปหาพ่อกับแม่” ชลธิดาขยับตัวลุกจากเตียง แต่จู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนเตียงคนไข้หมุนคว้าง ไผ่ซึ่งมีร่างกายแข็งแรงสมชายชาตรีเข้ามาล็อกตัวเธอเอาไว้พร้อมกดร่างเพรียวบางลงไปกับเตียงคนไข้ ชลธิดาพยายามขัดขืนแต่เพื่อนสาวอีกสองคนก็โผล่เข้ามาช่วยกันจับล็อกตัวเธอไว้จนขัดขืนไม่ได้ ความเครียดก็แล่นเข้าสู่สมอง ความพะอืดพะอมจากช่วงท้องขึ้นมาจุกอยู่ที่คอและรอเวลาถูกปลดปล่อย

“น้ำยังกลับไม่ได้ หมอยังไม่อนุญาตให้กลับ” เพื่อน ๆ ช่วยกันห้ามปราม

“ปล่อยเรา เราอยากจะ...” ชลธิดาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงพะอืดพะอมแต่เพื่อนรักทั้งสามคนยังคงล็อกตัวเธอไว้แน่นโดยมีไผ่ซึ่งแข็งแรงมากที่สุดเผชิญหน้ากับเธอตรง ๆ

“ไม่ปล่อย หมอบอกว่าห้ามลงจากเตียงไปไหนทั้งนั้น” เพื่อนๆ ยังคงยืนกรานจะปล่อยคนป่วยให้เป็นอิสระ

“อื้อ...” ความพะอืดพะอมที่อดกลั้นเอาไว้แปรสภาพเป็นอาเจียนพุ่งออกมาก่อนที่เพื่อนๆ ทั้งสามจะรู้ตัวและหลบหลีกได้ทัน

นี่คือการสลายตัวของเพื่อนๆ อย่างรวดเร็ว

“ยี้! ขยะแขยง” ฟ้าอุทานออกมาเป็นคนแรก เธอคือคนที่อยู่ใกล้กับชลธิดารองลงมาจากไผ่ แน่นอนว่าสภาพของเธอตอนนี้ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ เธอได้แต่หรี่ตามองดูสภาพของตัวเองอย่างรังเกียจ

“น้ำ..คุณหมอมาแล้ว” เสียงหวานดังขึ้นพร้อมประตูห้องคนไข้ถูกเปิดออก ใบหน้าสวยของน้ามะปรางลอยเด่นมาพร้อมกับชายวัยกลางคนรูปร่างท้วม ผิวขาวเนียน ใบหน้าคล้ายคนไทยเชื้อสายจีน สวมเสื้อกาวน์แพทย์และถือแฟ้มเอกสารเข้ามาด้วย มีป้ายชื่อติดอยู่ที่อกเสื้อว่าเขาคือนายแพทย์นพดล

“วันนี้คนไข้รู้สึกเป็นยังไงบ้าง มีอะไรผิดปกติไหม มีอาการปวดหัวหรือว่าอาเจียนออกมาบ้างหรือเปล่า” คุณหมอวัยกลางคนหน้าตาใจดีกล่าวทักทายอย่างเป็นกันเองพร้อมชำเลืองมองเพื่อนๆ ของคนไข้ด้วยแววตาขบขัน

“ปวดหัวรึเปล่าไม่รู้..รู้แต่ว่าอาเจียนออกมาแล้ว ยี้!!” ริมฝีปากสวยของฟ้าบ่นขมุบขมิบพร้อมหยิบทิชชูที่วางอยู่บนโต๊ะใกล้กับเตียงคนไข้มาเช็ดอาเจียนของเพื่อนที่เลอะตามเสื้อผ้าสวยๆ ของเธอ นับว่าเธอโชคดีที่เลอะเทอะแค่เพียงเสื้อผ้าเท่านั้น

“เต็มหน้าเราเลยล่ะ เราอยู่ใกล้สุด” ไผ่บ่นเช่นกัน เพียงแต่เขาไม่ได้รังเกียจสภาพของตัวเอง หลังล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำเสร็จก็รีบออกมาดูอาการของเพื่อนอย่างเป็นห่วง ใจของเขาจดจ่ออยู่ที่เพื่อนสาวและคุณหมอที่กำลังตรวจสอบอาการเบื้องต้น

“ดีนะ เราอยู่ไกลกว่าเพื่อนเลยหลบทัน” ฝนหัวเราะคิกๆ อย่างอารมณ์ดี

“หนูกลับบ้านได้หรือยังคะ” ชลธิดาถามคุณหมอ

“หมอยังอนุญาตให้กลับไม่ได้ วันนี้คนไข้ต้องนอนพักก่อน เพิ่งฟื้นจากอาการช็อกและหมดสติ รอดูอาการวันพรุ่งนี้อีกที หมอถึงจะบอกได้ว่าควรจะให้กลับบ้านได้รึเปล่า”

“แต่พ่อกับแม่ของหนูเสียแล้ว หนูต้องไปงานศพ หนูอยากอยู่กับพ่อและแม่เป็นครั้งสุดท้าย คุณหมออนุญาตให้หนูกลับบ้านนะคะ” ชลธิดาพยายามอ้อนวอน น้ำตาที่รินไหลออกมาไม่ใช่เสแสร้งทว่ามันคือน้ำตาของความโศกเศร้าและเสียใจจริง ๆ

“หมอเสียใจด้วยเรื่องพ่อกับแม่ของหนู” คุณหมอนพดลสีหน้าสลดลงเล็กน้อยพร้อมก้มลงไปจดบันทึกรายละเอียดลงบนแฟ้มกระดาษที่ถือติดมือมา

“ศพยังเก็บไว้อีกกี่วันละ คุณมะปราง” คุณหมอหันไปถามน้ามะปรางที่ยืนอยู่ข้างๆ

“อีกสี่วันค่ะ”

“อืม ก็ยังพอมีเวลานะ รอดูอาการไปก่อนนะจ๊ะ ถ้าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง อีกวัน สองวัน หมอถึงจะอนุญาตให้กลับได้ ว่าแต่..หนูจำชื่อเพื่อนๆ ที่มาเยี่ยมหนูวันนี้ได้หมดทุกคนใช่ไหม” คุณหมอเจ้าของไข้สอบถามเบื้องต้น

“จำได้ค่ะ”

“แนะนำให้หมอรู้จักกับเพื่อน ๆ หน่อยซิ”

“คนนี้ฝน ฟ้าและไผ่” ชลธิดาชี้มือไปที่เพื่อนๆ ทีละคน

“หมอขอสอบถามประวัติส่วนตัวหน่อยนะ”

ชลธิดาถูกสอบถามประวัติส่วนตัวอย่างละเอียด เริ่มจากวัน/เดือน/ปีเกิด ชื่อพ่อแม่ ชื่อคนรู้จักและเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งเธอก็ตอบได้อย่างครบถ้วนและถูกต้อง ยกเว้น เหตุการณ์ในอุบัติเหตุที่เธอไม่สามารถตอบคำถามใด ๆ ได้เลยเพราะเธอจำอะไรในเหตุการณ์ครั้งนั้นไม่ได้

น้ามะปรางผู้เป็นญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวของชลธิดาถูกเชิญเข้าไปฟังอาการของคนไข้ในห้องพักแพทย์ คุณหมอนพดลอธิบายให้เธอฟังอย่างละเอียดพร้อมสรุปสั้นๆ

“คนไข้ได้สูญเสียความทรงจำระยะสั้นไป”

“มันเกิดขึ้นได้ยังไงคะ คุณหมอ”

“ขณะเกิดอุบัติเหตุศีรษะของคนไข้อาจจะถูกกระแทกอย่างรุนแรงจนกระทบกระเทือนกับสมองหรืออาจจะเกิดจากการถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจขั้นรุนแรง บางทีคนไข้อาจจะเห็นภาพการตายของพ่อและแม่จนยอมรับความจริงไม่ได้ สมองจึงสั่งปิดการทำงานลงเป็นการชั่วคราว ความทรงจำส่วนนั้นจึงได้สูญหายไป อาจจะเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งหรือเป็นไปได้ทั้งสองอย่างพร้อมกัน”

“แล้วน้ำจะรักษาหายไหมคะ” น้ามะปรางถามอย่างเป็นกังวล

“อาจจะหายหรืออาจจะไม่หาย ความทรงจำส่วนที่หายไปอาจจะกลับคืนมาหรือไม่กลับมาอีกเลยก็ได้ เวลาเท่านั้นที่จะพิสูจน์ได้ ทางที่ดีที่สุดอย่าปล่อยให้คนไข้อยู่ตามลำพัง เดี๋ยวจะกลายเป็นโรคซึมเศร้าจนถึงขั้นฆ่าตัวตายได้” คุณหมอเตือนอย่างห่วยใย



น้ามะปรางเดินออกมาจากห้องพักของแพทย์ด้วยสีหน้าเป็นกังวล คิ้วสวยได้รูปเกือบพุ่งเข้าชนกันเพราะความเครียด ร่างสูงเดินเหม่อลอยกลับเข้ามายังห้องผู้ป่วยของหลานสาว ตลอดเส้นทางที่เดินมาเธอยังคิดไม่ตกว่าจะจัดการเรื่องทั้งหมดนี้อย่างไร เธอเป็นสาวโสดที่ยังไม่เคยมีครอบครัวและยังไม่เคยมีลูก แต่เวลานี้มีเด็กวัยรุ่นสองคนมาอยู่ในความดูแล

มือเรียวผลักประตูเข้าไปในห้องผู้ป่วย

“น้ามะปราง คุณหมอบอกว่าน้ำเป็นอะไรคะ/ครับ”

เพื่อน ๆ ของหลานสาวขยับตัวเข้ามากระซิบถามเบาๆ ทุกสายตาจับจ้องไปยังคนป่วยที่นอนพิงอยู่บนเตียงคนไข้ที่ปรับขึ้นในท่านั่ง ร่างสูงเพรียวชันเข่าขึ้น ดวงตากลมโตเหม่อลอยไปด้านนอกอย่างไรจุดหมาย ใบหน้างามเหลือเพียงแววตาเศร้าๆ และเหม่อลอย

น้ามะปรางถอนหายใจ

คุณหมอบอกว่า น้ำสูญเสียความทรงจำระยะสั้นไป” น้ามะปรางตอบเบา ๆ ให้ได้ยินเพียงแค่เธอและเพื่อนสนิททั้งสามของหลานสาวเท่านั้น เสียงถอนหายใจก็ดังขึ้นพร้อมกัน

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว