ภาพฝันเหล่านั้นละลายหายจางไปประดุจหมอกควัน ร่างของผู้ได้รับบาดเจ็บลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกงงงวย หากแต่มิทันที่จะได้คิดหรือทำอะไรต่อ ประตูห้องก็ค่อยๆถูกเปิดผลัวะเข้ามา
เขาเบนหน้าออกไปมองด้วยความสนใจ เห็นนางสุยาผู้เป็นป้าพร้อมด้วยนายสมมุติลุงเขยและนางเลียบผู้เป็นยาย เดินชักแถวตามหลังกันเข้ามา
ทว่าใจของธนูเทพกลับกระตุกเต้นอย่างแรง เมื่อเห็นร่างระหงส์ของใครคนนั้น ก้าวเข้ามาพร้อมด้วยสุภาพสตรีอีกสองคนที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าซึ่งบอกให้ทราบโดยทันทีว่าท่านคงจะเพิ่งกลับจากทำงานเป็นแน่ หญิงทั้งสามก้าวเข้ามาทันเวลาที่ประตูกำลังจะปิดพอดี
“ไหว้พระเถอะหลานนู” สตรีคนตัดผมซอยสั้นลักษณะคล้ายกับบุรุษคนนั้น เรียกชื่อชายหนุ่มได้อย่างสนิทปาก
“รู้ไหมถ้าวันนั้นหนูมิ้งค์ไม่ไปเจอเราเข้าล่ะก็ ป่านนี้ยายคงได้อยู่ช่วยงานต่อที่วัดยาวเลย” นางเลียบพูดกลั้วหัวเราะพร้อมกับที่คนอื่นๆในห้องพลอยหัวเราะตามไปด้วย ธนูเทพหันไปสบตาหญิงสาวในชุดเสื้อยืดคอกลมสีแสด นุ่งกางเกงยีนส์ขาวยาวสีน้ำเงิน ผมดัดหยิกตรงปลายถูกรวบขึ้นไปมัดไว้เป็นกระจุกเดียวตรงกลางกระหม่อม เผยให้เห็นใบหน้าเรียวรูปไข่ซึ่งดูจะรับกับเครื่องหน้าได้ทั้งหมดเป็นอย่างดี เผลอส่งรอยยิ้มหวานให้แก่มิ่งมารศรีโดยที่ไม่รู้ตัว ต่อเมื่อสติมาแล้วนั่นแหละจึงค่อยละล่ำละลักออกมาอย่างเก้อๆว่า
“ขอบใจนะมิ้งค์ที่ช่วยฉันเอาไว้”
“ไม่ต้องขอบออกขอบใจหรอกน่า .... ที่ช่วยก็เพราะแค่เห็นแก่เพื่อนมนุษย์เท่านั้นแหละ” เจ้าหล่อนแสร้งพูดเพื่อให้อีกฝ่ายเห็นว่ามิได้ใส่ใจอะไรต่อเขามากมาย ฟังแล้วธนูเทพก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้กับวาจาและท่าทีของเธอ ต้องยอมรับว่ามิ่งมารศรีนั้นอาจเป็นผู้หญิงคนเดียวในโลกเลยก็ย่อมได้ที่สามารถทำให้เขามองโลกได้รื่นรมย์ได้อีกคราหนึ่ง ส่วนลึกๆในใจนั้นชายหนุ่มรู้สึกผูกพันคุ้นเคยกับหญิงสาวมานานอย่างประหลาด ทั้งที่เพิ่งจะได้เห็นหน้าค่ากันเพียงเดือนเดียวเท่านั้น
“แล้วยังเจ็บตรงไหนหรือเปล่าจ๊ะนี่” คุณผ่องพรรณที่อยู่ในชุดสีกากีถามยิ้มๆ
“เจ็บน่ะไม่เจ็บแล้วล่ะครับน้า ในหัวก็มียังมึนๆอยู่บ้าง”
“พ่อคนนี้เขากระดูกเหล็กจ้ะน้องผ่องน้องอร ดูดู๊ขนาดตกลงมาขนาดนั้นมีแต่แขนที่หัก ส่วนอื่นไม่มีเคล็ดไม่ยอกอะไรทั้งสิ้น พี่ว่าจะตั้งฉายานูกระดูกเหล็กแข่งกับดาราแล้วนี่” ผู้เป็นป้าผู้ที่กำลังเอาของจัดเข้าตู้ข้างเตียงกล่าวติดตลก
“แล้วนี่พ่อหลานเขามาเยี่ยมบ้างหรือยังจ๊ะ” คุณบังอรถามเพราะความไม่รู้อิโหน่อิเหน่
“ช่วงนี้พ่อเขายุ่งๆน่ะครับแถมยังต้องไปช่วย ราชการที่เชียงใหม่อีกก็เลยไม่ได้มาเยี่ยม” คุณผ่องพรรณและคุณบังอรได้ฟังแล้วก็คล้อยตาม พ.ต.ท.อเนศ สินธูกระแสโด่งดังจากการจับกุมผู้ต้องหาคดีลอบสังหารนายธนาคารท่านหนึ่ง ซึ่งคดีนี้ทำให้ท่านได้เลื่อนยศอย่างรวดเร็วและมีชื่อเสียงระดับประเทศตามไปด้วย คนใหญ่คนโตเช่นนี้คงจะมีงานรัดตัวไม่ได้มาเยี่ยมก็ไม่น่าแปลก ใครเลยจะรู้ว่าแท้จริงแล้วนั้นธนูเทพนั่นแหละเป็นคนสั่งไม่ให้บอกเรื่องนี้ให้บิดาทราบ เพราะรู้ดีว่าอย่างไรเสีย พ.ต.ท.อเนศก็คงจะไม่มาใส่ใจกับลูกนอกสายตาอย่างเขาหรอก
“อย่างนั้นก็หายไวๆนะจ๊ะ”
“ขอบคุณครับน้า”คนเจ็บกระพุ่มมือไหว้ผู้อ่อนอาวุโสกว่าบิดาหากแต่สายตานั้นยังคงจับจ้องไปที่หลานสาวของท่านอย่างไม่วางตา
“นายเล่นเฟสบุ๊คหรือเปล่านายนู” มิ่งมารศรีถามเบาๆขณะที่น้าทั้งสองหันไปพูดคุยอยู่กับญาติคนเจ็บ
“มี! แต่ฉันไม่ค่อยจะได้เข้าไปเล่นเท่าไหร่หรอกนะ สังคมหลอกลวงทั้งนั้นแหละเธอถามทำไมกัน”
“ฉันจะเพิ่มนายไว้เพื่อคอยถามข่าวเรื่องนายหนุ่ยเพื่อนนายน่ะ ฉันไม่ค่อยไว้ใจอีตาคนนี้เท่าไหร่เลยบอกตรงๆ ดูตาก็รู้แล้วว่าเจ้าชู้ตัวพ่อ กลัวว่าจะมาหลอกนุ๊กนิคมันน่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็เอาไปซี” พูดแล้วก็เอื้อมมือไปคว้ากระดาษและปากกาที่วางไว้บนโต๊ะข้างเตียง พลางเขียนชื่อเฟสบุ๊คตามด้วยเบอร์โทรลงไปอย่างรวดเร็ว ครั้นพออีกฝ่ายรับกระดาษมาแล้วก็แอบยิ้มด้วยความเก้อเขิน
“เอาเบอร์ไปเซฟไว้ซีจะได้คุยกันในไลน์ด้วย เผื่อว่ามีอะไรฉุกเฉินจะได้โทรหา” เขากล่าวสำทับ
“อื้ม! อย่างนี้ก็ดีเหมือนกันขอบใจมากนะ” มิ่งมารศรีรู้สึกร้อนผ่าวตามใบหน้านี่คือครั้งแรกที่คนในใจทำแบบนี้กับหล่อน
ภาพถ่ายนับสิบๆใบถูกบรรจุลงในซองสีน้ำตาลพร้อมปิดผนึกอย่างดี ที่หน้าซองระบุถึงผู้รับไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว สตรีผู้ทรงอำนาจมองภูติร้ายที่มีขาอยู่เพียงข้างเดียวซึ่งเป็นลูกสมุนคู่กายมาตั้งแต่กระโน้น กำลังหมอบคุดคุ้บรรจุภาพเข้าในซองอยู่ตรงพื้นห้อง โดยที่ตังหล่อนเองนั้นนั่งประทับอยู่บนเตียงไม้สักทองพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วยแววตาสุขสม
“วันนี้มึงสองตัวทำงานกันได้ดีถูกใจกูมาก ประเดี๋ยวเสร็จจากตรงนี้แล้วจะไปไหนก็ไปเถอะไอ้คร้ามเครง ส่วนอีชม้อยไหมมึงจงไปกินของที่แม่ดาเตรียมไว้ในครัวให้อิ่มหนำเถิด”
“แล้วพระนางทรงเจ็บตรงไหนบ้างเพคะ ที่ถูกไอ้ขุนเดือกชนจนล้มคว่ำไป” นิ้วมือกลมกลึงทั้ง5ถูกยกขึ้นโบกรวดเร็ว
“ไม่เป็นไรหรอกไม่เจ็บด้วยซ้ำไป กูตั้งใจให้อ้ายโง่นั่นมันชนกูเองละหวาม้อยเอ๋ย อ้ายขุนเดือกมันทำท่าจะหลงตามกลกูแล้วซี” คาถาพระเวทย์ที่ได้ร่ำเรียนมาจากนางยักษ์ปัตตขยานั้น ยังคงใช้ได้ดีมิเสื่อมสูญไปตามกาลเวลาแต่อย่างใด ผีกองกอยได้ฟังความก็พลันยกมือที่มีเล็บดำยาวสกปรกขึ้นเหนือศีรษะด้วยท่าทางประหลาด ดวงตาแดงก่ำของมันเหลือกโปนขึ้นมาอย่างน่ากลัวขณะที่พูดออกมาว่า
“คงจะเป็นด้วยเพราะว่าพระเวทย์ของท่านแม่ปัตตขยา ผู้ประเสริฐเลิศล้ำในปฐพียังไม่เสื่อมคลายกระมังเพคะ” ภูติตนนั้นเอามือตบกระดานสามทีเพื่อเป็นการทำความเคารพผู้ที่เอ่ยถึงด้วยจิตคาราวะอย่างสูงสุด
“ถ้าเช่นนั้นแสดงว่าคาถาแปลงกาย มึงยังคงใช้ได้ดีอยู่ใช่หรือไม่” ดูเหมือนว่าองค์รานีจะพึงนึกแผนการอะไรบางอย่างออกมาได้
“หม่อมฉันก็คิดว่าเช่นนั้นเพคะ” นางผีร้ายตอบด้วยน้ำเสียงแหบพร่าชวนสยอง
“เออ! ดี! กาลข้างหน้ากูจะให้มึงทำการใหญ่” อสูรร้ายขยับปากที่มีน้ำลายไหลยืดจะถามต่อ หากแต่ก็ต้องรีบก้มหน้างุดลงไปเช่นเดิมเมื่อเห็นสายตาที่เบญจามองมา
“มึงไม่ต้องกระหายใคร่รู้ตอนนี้หรอกนะ บัดเดี๋ยวถึงเวลามึงก็จะได้รู้เอง” นางผีร้ายค่อยคลานเอาซองจดหมายฉบับนั้นไปวางไว้บนโต๊ะขาคู้ข้างที่ผู้เป็นนายนั่งอยู่อย่างยากลำบาก ก่อนที่จะกระโดดออกไปด้วยขาข้างเดียวที่มีอยู่ เมื่อชม้อยไหมพ้นออกไปแล้วลัดดาจึงค่อยๆจรดปลายเท้าเข้ามาภายในห้องนั้นแทนที่ เด็กสาวในชุดเสื้อคอกลมตัดจากผ้าจอเจียสีเหลือง นุ่งผ้าฝ้ายลายขวางสีเขียวสลับขาวยอบกายนั่งลงอย่างรวดเร็ว ภายในห้องนอนของเบญจา
“น้ำที่นายท่านให้เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนดวงหน้าอ่อนเยาว์ที่ปราศจากการเติมแต่งสีสัน
“เออ! ข้าเกือบลืมไปแล้วซี ... แล้วนี่นังบุญเพ็งมันหายหัวไปไหนของมัน เดี๋ยวนี้ชักจะหลบหน้าหลบตาข้าบ่อยไปแล้วกระมัง” ผู้พูดผลัดเปลี่ยนเครื่องแต่งกายอย่างรวดเร็วจนเหลือแต่ผ้ากระโจมอกเพียงผืนเดียว ผมยาวสลวยเลยสะโพกลงมา เมื่อเจ้าตัวถอกเกี้ยวห่วงกลมเล็กๆนั้นออก แสงเทียนเรืองรองอาบไล้ร่างนั้นให้นวลละมุนผุดผาดมากยิ่งขึ้น ดูเหมือนว่าทั้งบ้านจะมีแค่ห้องนอนของลัดดา ห้องครัว และห้องน้ำเท่านั้นที่ติดไฟฟ้า ส่วนอื่นๆและห้องที่เหลือจะตามด้วยเทียนและตะเกียงเป็นส่วนมาก ขนาดว่าห้องอื่นที่ติดไฟนั้นก็ยังเป็นไฟสลัวแทบไม่ต่างจากส่วนอื่นเท่าใดนัก
“ยายกำลังเย็บเสื้อให้นายท่านอยู่ค่ะ คืนนี้คงจะเสร็จหมดตามแบบที่วาดไว้” เจ้าของห้องพยักหน้ารับรู้ผ่านทางคันฉ่องไม้สักตั้งพื้นบานใหญ่ แล้วค่อยๆหมุนกายกลับมาช้าๆอย่างสง่างาม
“ดีแล้ว .... นี่แกได้ให้ข้าวให้น้ำมันอยู่บ้างหรือเปล่าแม่ดา”
“ให้ค่ะนายท่านดิฉันให้ยายทุกวันเลยค่ะ”
“ฉันจะไปอาบน้ำล่ะแกมีอะไรก็ไปทำเสียไป๊ ประเดี๋ยวกลัวว่าจะเลยเวลาเอา” เพียงแค่แหงนหน้ามองพระจันทร์ที่ลอยอยู่นอกหน้าต่างเบญจาก็สามารถรู้ได้ทันทีว่า ขณะนี้เป็นเวลาเท่าใดหล่อนมิได้ใส่ใจและรอฟังคำตอบของหญิงสาว ก้าวบาวๆเดินออกจากห้องไป ปล่อยให้ลัดดาเก็บเสื้อผ้าที่วางพาดอยู่ใส่ตะกร้าและเตรียมชุดใหม่เอาไว้ให้เธอ
กลิ่นหอมของดอกไม้นานาพรรณและสมุนไพรหลากหลายชนิดที่ลอยตัวอยู่ภายในอ่างไม้ขนาดใหญ่ ระคนด้วยกลิ่นหอมเย็นๆของกำยานที่กำลังถูกเผาจนแดงโร่ภายในเตาดินเผาเล็กๆทำเลียนแบบสัตว์จำพวกคางคก ควันสีเทาๆที่ลอยออกมาจากปากแลเผินคล้ายกับมันสูบบุหรี่อยู่ก็มิปานได้ เบญจา หอกสัตตโลหะเปลื้องอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายที่ห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ ค่อยๆย่างเยื้องกายลงในอ่างใบนั้นด้วยเนื้อตัวเปลือยเปล่า ด้วยอากัปคล้ายดั่งกินรีและสง่าองอาจอย่างนางสิงห์ระคนกัน สองตานั้นหลับลงช้าๆอย่างสบายอารมณ์ดูหล่อนจะผ่อนคลายอย่างเต็มที่ ภายใต้แสงจันทร์ในคืนเดือนหงายที่ส่องตระการ ลอดผ่านทางฝาไม้ที่แตกระแหงบางส่วนของห้องอาบน้ำ เรื่องราวเก่าๆวนเวียนเข้ามาภายในหัวอีกครา
สตรีผู้มีศักดิ์ถึงตำแหน่งพระอัครมเหสีแห่งเมืองพระบัวบัณฑูร ในเครื่องทรงผ้าแถบสไบสีครามและพระภูษาทรงสีหมากสุกที่ทรงอยู่ เสด็จดำเนินมา ณ น้ำตกบนภูเขาด้านหลังสวนดอกพร้อมกับนางข้าไทคนสนิท ตามลำพังเพียงสองคน ปราศจากผู้ติดตามและคนอื่นๆเพราะต้องการความเป็นส่วนพระองค์จริงๆ เมื่อมาถึงยังน้ำตกที่ไหลลงมาจากโตรกผาแล้ว พระนางรัตติยาเทวีก็หันมารับสั่งแก่นางกำนัลผู้นั้นว่า
“อีม้อย ! บัดเดี๋ยวกูจักลงเล่นน้ำที่นี่ล่ะ จะได้เก็บดอกนางแย้มไปถวายพระเสียเลย มึงออกไปรอกูที่ใต้ต้นตะเคียนโน่นแน่ะนะ”
“เพคะ ... พระนาง” นางสาวม้อยหรือชม้อยไหมที่พระนางได้ทรงตั้งนามใหม่ให้ ตอบรับแล้วยอบกายลงเพื่อเป็นการทำความเคารพ หญิงสาวในชุดผ้าแถบเนื้อหยาบสีเขียวหม่นกับผ้านุ่งพื้นสีน้ำตาลเข้ม อันเป็นเครื่องแต่งกายประจำราชสำนักพระบัวบัณฑูร รับเครื่องประดับจากพระนางหลวงมาเก็บรักษาเอาไว้ เมื่อเห็นนางข้าไทลับตาไปแล้วนั่นแหละ จึงค่อยถอดอาภรณ์ที่ทรงอยู่ออกแล้วพับเก็บเอาไว้บนโขดหินใหญ่ริมน้ำตก วรกายเปลือยเปล่านั้นกระโดดลงใส่แอ่งน้ำขนาดใหญ่อย่างรวดเร็ว น้ำใสๆไหลเย็นช่วยดับความรุ่มอันเกิดจากอากาศในวันนั้นได้เป็นอย่างดีทีเดียว หัตถ์ขวาและหัตถ์ซ้ายวักน้ำขึ้นมาลูบพระพักตร์ด้วยความเกษมสุข โดยหาได้รู้ไม่ว่าด้านหลังม่านน้ำตกแห่งนั้นมีใครผู้หนึ่งกำลังแอบซุ่มดูอยู่อย่างเงียบเชียบ และค่อนข้างที่จะตื่นตะลึงกับบัวทองสองดอกงามที่กำลังเบ่งบานชูชันเต็มที่เพราะความเย็นแห่งสายน้ำ
“บัวทองสองคู่ชื้น ชิดชู (พี่เอย)
ตูมเต่งชวนพิศดู ต่อเต้า
ผืนนาป่าเฟื่องฟู เปียกชุ่ม (ฉ่ำแฮ)
ชายหนึ่งผู้แอบเฝ้า มากด้วยการมย์”
ร่างสูงใหญ่ที่อุดมไปด้วยมัดกล้ามเนื้อซึ่งแอบซ่อนอยู่บริเวณหลังม่านน้ำตกแห่งนั้น ขยับกายออกจากที่กำบังอย่างเงียบเชียบพร้อมกันนั้นก็เปลื้องแบบสั้นและทิ้งหางเหน็บอย่างที่เรียกว่ากระเบนเหน็บ ที่ทรงอยู่ออกอย่างรวดเร็วเหลือเพียงแค่ร่างกายกำยำล่ำสัน อาวุธสำหรับล่าสัตว์ที่ถือติดมือมาด้วยก็ถูกวางทิ้งไว้ที่เดียวกันกับผ้าทรง ก่อนที่จะค่อยๆว่ายแหวกตรงไปยังเรือนร่างร่างงามของพระนางรัตติยาเทวี โดยไม่ให้ฝ่ายนั้นที่กำลังเอื้อมมือโน้มเก็บเก็บดอกนางแย้มที่ขึ้นเต็มพื้นที่บริเวณน้ำตกแห่งนั้นเต็มไปหมดได้ทันรู้ตัวผนวกเข้ากับเสียงซู่ซ่าของน้ำตกที่ดังก้องสนั่นป่า ประเดี่ยวนั้นเองพระหัตถ์อันหนาหนักและร้อนจัดของบุรุษเพศ ก็เอื้อมมาอุดพระโอษฐ์ของพระนางคนงามส่วนอีกข้างหนึ่งก็กดประคองถันของสตรีผู้สูงศักดิ์เอาไว้ให้ลอยตามมาด้วยกัน จนถึงบริเวณที่รโหฐานชายผู้นั้นก็บรรจงจูบรานีแห่งเมืองพระบัวบัณฑูรอย่างนุ่มนวลและหนักแน่นอยู่ในที สตรีผู้สูงศักดิ์แห่งเมืองนี้ถึงกับอ่อนระทวยอยู่ในอ้อมแขนแข็งแกร่งทันที หากแต่ก็มีแก่ใจตรัสถามต่อไปว่า
“เจ้าทำกับข้าแบบนี้ได้อย่างใดกัน รู้หรือไม่ว่าข้าคือผู้ใด” สุรเสียงที่เคยแข็งแกร่งดุดันเนื่องจากต้องปกครองคนหมู่มากแทนพระสวามีผู้อ่อนแอและขลาดเขลา เจ้าหลวงจโกระนั้นเป็นที่เลื่องลือกันว่าทรงเกรงกลัวพระชายาองค์นี้มากนัก จะกระทำสิ่งใดก็ต้องให้พระนางรัตติยาเทวีตัดสินพระทัยให้เสมอ บัลลังก์ที่ครองอยู่นั้นเจ้าหลวงเป็นเพียงแค่ละครตัวหนึ่งเท่านั้นเอง คนที่คอยชักใยบงการอยู่เบื้องหลังเห็นจะเป็นพระนางองค์ต่างหาก
“รู้ซีทำไมข้าจักไม่รู้เล่า .... พระนางก็คือองค์รัตติยาเทวี รานีแห่งพระบัวบัณฑูร” หนุ่มน้อยผู้น้อยผู้นั้นหัวเราะเบาๆด้วยความสบอารมณ์ พลางจูบประทับบนริมฝีปากอิ่มแลดูคล้ายกับกลีบกุหลาบอย่างนุ่มนวล หนักแน่น จนสตรีเพศนั้นแทบจะละลายกลายเป็นน้ำไปเสียเดี๋ยวนั้นหากแต่ก็มิได้ขัดขืนแต่อย่างใด เพราะทรงห่างหายอย่างเช่นนี้มาเป็นเวลานานเพราะพระผู้เป็นสวามีก็ทรงขลุกอยู่แต่พระตำนักบาทบริจาริกา หากแต่พระนางก็มิเคยทรงออกมาแสดงอาการน้อยเนื้อต่ำใจแต่อย่างใด แม้ว่าจะทรงต้องบรรทมอยู่เดียวดายทุกค่ำคืน ความแปลกใหม่ที่ได้รับจากชายหนุ่มที่อ่อนพระชนม์มายุมากกว่าถึงยี่สิบพรรษา ประหนึ่งดั่งน้ำอมฤตชั้นดีที่ราดรดลงมาให้ต้นไม้ที่กำลังจะใกล้ตายได้ฟื้นคืนมาอีกครั้ง
“บันดาลพลาหกเทวบุตร
ก็ผึ่งผุดตั้งทั่วทิศาศาล
โพยมพยับอับอึงอนธการ
สะท้านถึงเมรุราชสีขรินทร์
สัตภัณฑ์บรรพตก็ไหวหวั่น
คงคาลั่นเป็นระลอกกระฉอกสินธุ์
ฝูงมหามัจฉาในวาริน
ก็โดดดิ้นเล่นน้ำลำพองกาย
อันดอกดวงสิมพลีที่ตูมกลัด
ครั้นฝนซัดเชยแช่มแย้มขยาย
ที่ตูมบานก้านกลีบขจรจาย
รำพายกลิ่นรื่นรสเสาวคนธ์
แมลงภู่ทิพรีบเร่งมาเอาซาบ
อาบละอองต้องทั่วทุกขุมขน
สองสุขสองเกษมเปรมสกนธ์
สองกมลสองสวาทไม่คลาดกัน”[1]
สองร่างที่กอดรัดกันอยู่ภายใต้แผ่นน้ำใสเย็นดุจดั่งกระจกนั้น เมื่อเสร็จสมอารมณ์หมายแล้วต่างก็หอบหายใจถี่ๆหากแต่ใบหน้ากลับมีความสุขอย่างที่มิเคยได้เป็นมาก่อนเมื่อพายุสวาทได้ผ่านมาและพัดผ่านไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“เจ้ายังมิได้บอกข้าเลยว่านามเจ้าชื่อใด” มหาเทวีถามเสียงกระเส่าโดยที่สองหัตถ์นั้นยังคงโอบต้นคอบุรุษแปลกหน้าคนนั้นเอาไว้โดยไม่ยอมปล่อย
“พระนางมิจำเป็นต้องรู้ตอนนี้ดอก … บัดเดี๋ยววันพรุ่งก็จักทรงทราบเอง” เจ้าของดวงหน้าคมคายผู้นั้นประทับริมฝีปากลงกับพระถันพระนางรัตติยาเทวีอีกครา จนผู้มากด้วยความงามถึงกับร้องเสียงหลง
“พอเถอะ! บัดเดี๋ยวจักมีผู้ใดมาเห็นเข้า” เขาสบสบตากับผู้พูดอีกคราหนึ่งแล้วค่อยว่ายอ้อมไปยังม่านหลังน้ำตกอย่างรวดเร็ว พระนางผู้นั้นเกาะโขดหินชะเง้อมองด้วยความสนพระทัยแต่ก็ไม่ถนัดนัก ชายคนนั้นนุ่งผ้ากระเบนเหน็บทิ้งหางสีเปลือกมังคุดเช่นเดิมก่อนที่จะหันมายิ้มให้แก่พระนางรัตติยาเทวี เร้นกายหายเข้าไปภายในอ้อมกอดผืนป่าอย่างว่องไว
มหาเทวีแห่งเมืองพระบัวบัณฑูรทรงว่ายกลับมาบริเวณที่วางเครื่องทรงเอาไว้ก่อนหน้า บรรจงหยิบมันมาสวมอย่างอ้อยสร้อยในพระทัยก็นึกไปถึงเรื่องเมื่อก่อนหน้า มันเกิดขึ้นจนไม่สามารถตั้งตัวได้ทันหากแต่มันก็ได้เกิดขึ้นแล้วหาใช่ความฝันแต่อย่างใด พระพักตร์แดงระเรื่อด้วยความกระดากอายด้วยนึกลุแก่โทษ เสียงฝีเท้าของนางข้าไทคนสนิทที่ดังมาแต่หนหลัง ทำให้พระนางต้องหยุดแย้มพระโอษฐ์แล้วปั้นสีพระพักตร์กลับไปเหมือนอย่างเดิมอย่างเร็วที่สุด ภาพอดีตค่อยสลายลงไปทันที เมื่อเบญจาเห็นจากในนิมิตว่ามีดวงตาของมนุษย์ผู้หนึ่ง กำลังแนบกับรอยแตกของเนื้อไม้เพื่อถ้ำมองหล่อนที่กำลังแช่ตัวอยู่ในอ่างน้ำ เล็บยาวๆบนนิ้วมือกลมกลึงของเธอครูดกับอ่างไม้เบาๆสามครั้ง เมื่อเสียงครูดหยุดลงเจ้าของตาปริศนารายนั้นถึงกับร้องโหยหวน
“ใครกันนะที่เปิดประตูให้มันเข้ามา เห็นจะเป็นแม่ดาแน่ๆ” เบญจาพึมพำกับแต่เองขณะที่ก้าวขึ้นมาจากอ่างน้ำ เพื่อที่จะทำการถูสบู่ฟอกร่างกาย
“แม่ดา! เราเป็นคนเปิดประตูให้นายก้านเข้ามาหรือ” ร่างอวบอัดในชุดนอนเนื้อบางเบาถามเรียบๆ เมื่อก้าวเข้าไปภายในห้องพักส่วนตัวของเด็กสาวที่มีชาติกำเนิดจากสุนัข ลัดดาวางมือจากการสอยชายเสื้อของตนเองที่เพิ่งจะตัดมาเสร็จใหม่ๆลงกับที่นอน และหลีกทางให้กับผู้อาวุโสเข้ามาได้สะดวก
“ค่ะ ... เห็นนายก้านบอกว่ามีธุระสำคัญจะคุยกับนายท่านค่ะ”
“ธุระสำคัญงั้นหรือ ... รู้หรือเปล่าว่าเมื่อครู่ไอ้ก้านมันมาดูฉันอาบน้ำ” ฟังแล้วลัดดาก็อดที่จะตกใจไม่ได้ นึกสงสารในชะตากรรมของบุตรคนโตนางบุญเพ็งขึ้นมาอย่างจับใจ
“แล้วมันได้ทำอะไรนายท่านหรือเปล่าคะ” เธอแสร้งถามไปเช่นนั้นเพราะทราบดีว่าอะไรเป็นอะไร
“อย่าถามอะไรโง่ๆหน่อยเลยนะแม่ดา ไอ้ก้านมันจะทำอะไรฉันได้เล่า เรื่องแบบนี้เลิกคิดไปได้เลยไม่มีอ้ายอีหน้าไหน ที่ทำแบบนี้กับฉันได้สำเร็จหรอกนะสุดท้ายมันจบลงเช่นไรหล่อนก็รู้ดีอยู่แล้วนี่” เบญจาหยิบเสื้อที่วางคาอยู่ขึ้นมาพิจารณาโดยไม่ได้ใส่ใจต่อคำตอบลัดดา
จักรเย็บผ้าแบบไม้โบราณตัวเก่าหลังนั้นที่ปราศจากคนใช้งาน แต่ทว่ามันกลับดำเนินต่อไปได้เรื่อยๆเสมือนว่ามีใครบางคนกำลังใช้มันทำหน้าที่ตัดเสื้อผ้าอยู่มีอันต้องสะดุดลง เงาอันสลัวรางของนางบุญเพ็งเจ้าของเรือนคนเก่าปรากฏกายออกมาอย่างรวดเร็วสีหน้าของนางนั้นแฝงไปด้วยความตื่นกลัวตกใจ เมื่อได้ยินเสียงบุตรชายคนโตร้องโหยหวนออกมาจากบริเวณห้องแคบสุดท้ายที่ตังอยู่ในครัว เงาจางๆสีควันบุหรี่ของหญิงชราผู้ขาดส่วนบุญและกุศล เนื่องจากลูกหลานไม่เคยอุทิศไปให้ ลอยทะลุฝาเรือนไปยังห้องสุดท้ายห้องนั้นอย่างรวดเร็ว เดิมทีห้องนี้นั้นนางใช้เป็นที่เก็บของจำพวกถ้วยชามสมัยเก่า หากแต่เมื่อเสียชีวิตลงบรรดาเหล่าลูกหลานอันเป็นที่รักยิ่งของนางก็ร่วมใจพากันไปขายต่อจนหมด วิญญาณหญิงชราแทบจะล้มประดาตายอีกคราหนึ่งเมื่อเห็นนายก้านบุตรชายคนโต กำลังคลานหนีชม้อยไหมกับคร้ามเครงด้วยความหวาดกลัวสุดชีวิต
“นี่มันอะไรกันหาอีม้อย ไอ้คร้ามเครง” ภูติสองตนนั้นรีบหันขวับมาโดยเร็ว
“ลูกมึงบุกเข้ามาในเรือนเพื่อแอบดูพระนางอาบน้ำ” กองกอยสาวหันมาตวาดเสียงดังลั่น นางบุญเพ็งได้ฟังแล้วก็ตกใจไม่น้อยเพราะคาดคิดมาก่อนว่าบุตรชายคนโตจะกระทำตนเช่นนี้ หากแต่ความเป็นมารดาที่ย่อมจะเห็นบุตรของถูกกระทำไม่ได้จึงละล่ำละลักพูดต่อไปว่า
“กูขอร้องล่ะนะพวกมึงสองตนอย่าทำอะไรลูกกูเลยนะ กูสัญญาว่าจะไปดลจิตดลใจมันไม่ให้ทำแบบนี้อีก” แม้จะไม่เคยได้รับบุญไม่ว่าจะจากลูกชายคนนี้หรือลูกคนไหนๆก็ตาม หากเมื่อยามมีภัยด้วยความรักและสายใยผูกพันของมารดา ทำให้นางบุญเพ็งมองตรงข้ามจุดนี้ไปโดยไม่คิด
“ไม่ได้โว้ย! นี่คือพระบัญชาจากพระนาง .... ใครหน้าไหนก็ขัดไม่ได้” ชม้อยไหมตวาดเสียงดังกว่าเดิมพร้อมกับแยกเขี้ยวคำรามจนผีชราไม่กล้าขยับ
“กูจะไปขอความเห็นใจจากพระนางเดี๋ยวนี้แหละ” ทันทีที่ประโยคนั้นจบลงประห้องก็ถูกเปิดเข้ามาอย่างแรง เหล่าภูติร้ายและวิญญาณที่อยู่ภายในห้องยอบกายนั่งลงเพื่อถวายเคารพกันเป็นแถว ร่างอวบอัดในชุดนอนเนื้อละเอียดสีเทาผ่านเลยเหล่าบริวารตรงไปยังแท่นประทับ ก่อนมีรับสั่งแก่ชม้อยไหมและคร้ามเครงว่า
“จัดการมันได้” ผีแก่รู้สึกคล้ายกับจะเป็นลมให้ได้เสียเดี๋ยวนั้น น้ำใสๆคลอเอ่อขึ้นมาภายในเบ้าทั้งสอง เบญจาทำเหมือนกับว่าเธอเป็นเพียงแค่เศษฝุ่นภายในห้องนี้
“โปรดไว้ชีวิตไอ้ก้านมันด้วยเถอะเพคะพระนาง แค่นี้มันก็รู้สึกกลัวจะแย่อยู่แล้ว” ท่านรวบรวมความกล้าและอ้อนวอนผู้สูงศักดิ์ทั้งน้ำตา
“ลูกมึงทำเกินไปนะอีบุญเพ็งถ้ามันไม่คิดชั่ว อุบาทว์เช่นนี้กูก็ไม่เคยคิดจะทำอะไรมันหรอก” ไม่ทันทีจะได้ร้องอ้อนวอนต่อ นางก็ถูกคร้ามเครงใช้น้ำเต้าดูดวิญญาณของนางบุญเพ็งเอาไว้ชั่วคราว หญิงผู้เรืองอำนาจและบารมียิ้มเหี้ยมเกรียมด้วยความสาแก่ใจ ชม้อยไหมกระโดดเข้าหานายก้านจับเท้าอีกฝ่ายยกขึ้นมาใช้ปากกว้างๆดูดเอาเลือด จากหัวแม่เท้าของนายก้านราวกับหิวกระหายอย่างรุนมาหลายวัน ร่างของชายผู้เคราะห์ร้ายสั่นกระตุกเพียงไม่กี่นาทีก็หมดลม ร่างที่เคยล่ำสันแข็งแรงกลับซูบผอมลงถนัดตา ผิวพรรณขาวซีดไร้ซึ่งสีสันและชีวิตชีวาดวงทั้งคู่กลับเบิกโพลงด้วยความหวาดกลัวอย่างจับใจ ชม้อยไหมใช้หลังมือเช็ดปากแล้วจึงค่อยใช้เล็บดำสกปรกทั้งสองมือแหวกหน้าท้องนายก้าน ราวกับใช้มีดชำแหละขนุนปานฉะนั้น เครื่องในไส้พุงบางส่วนร่วงลงมากองกับพื้น ชม้อยไหมกอบกินไส้ปากอย่างมูมมามและตระกละตระกราม
กลิ่นความของโลหิตนั้นแทบจะไม่มีเพราะมันได้ดูดกลืนไปหมดแล้ว
“กินเสร็จแล้วก็จัดการพาร่างมันไปทิ้งๆไกลบ้านกูด้วยล่ะ” เบญจาว่าขรึมๆ
“เพคะ” ชม้อยไหมในขณะที่ตับสดๆยังคงคาอยู่ในปาก
“กูจะไปนอนแล้วล่ะถ้ามึงกลัวอีบุญเพ็งจะหิว จะปล่อยมันอกมาช่วยกินเนื้อลูกมันก็ได้นะ” คราวนี้เธอหัวเราะเสียงดังนานและยาวด้วยความสาแก่ใจ
******************************************
[1] จากวรรณคดีไทยเรื่องกากี ประพันธ์โดย เจ้าพระยาคลังหน
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว