ภูตกัลยา-ลางร้าย

โดย  Khansawad

ภูตกัลยา

ลางร้าย

หน้าร้อนปีนั้นมาถึงอย่างรวดเร็ว เกินกว่าที่ชาวบ้านในตำบลสาลีจะได้ตั้งตัว รังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์ที่สาดทอลงมา ทำให้ลำน้ำบัวที่เริ่มจะตื้นเขิน ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมนั้น แห้งขอดไม่เหลือแม้แต่ปลักโคลน แทบไม่รู้เลยว่า ณ สถานที่แห่งนี้เคยเป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่มาก่อน

แม้แต่ปลาที่ชาวบ้านเคยจับไปขายเพื่อหารายได้ มาเลี้ยงชีวิตก็พลอยหายไปด้วย ไม่เหลือกระทั่งซากให้ดู

นอกจากผืนดินแยกแตกระแหง และต้นหญ้าแห้งๆบางส่วนแทงยอดขึ้นประปราย

แต่ถึงกระนั้นตรงบริเวณที่ ธนูเทพประสบอุบัติเหตุ ซึ่งเป็นจุดเดียวกับที่ผู้อื่นเสียชีวิตราย

กลับมีร่องรอย อารยะธรรมโบราณบางอย่าง โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินให้เห็น ดูไปแล้วก็คล้ายกับจะเป็นยอดปราสาทก็ไม่ใช่ หรือวิหารก็ไม่เชิงสุดจะเดาได้ เพราะสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว จมมิดอยู่ในดิน เห็นเพียงแต่ยอด

บางแห่งของลำน้ำกลับปรากกฎเศษซาก พวกเครื่องปั้นดินเผากระจายเกลื่อน อยู่ทั่วทุกตารางเมตร หากว่าสิ่งเหล่านี้กลับมิได้สร้างความตื่นเต้นให้กับชาวบ้านแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับจะทำให้ผู้นำชุมชน และชาวตำบลสาลีหนักใจและวิตกกังวลกันมากกว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่ลงความเห็นกันว่า คงเป็นเพราะอาเพศบางอย่างแน่

โดยที่ ผู้ใหญ่เล็ก ก็มิได้นิ่งนอนใจ ตระเวน ขับมอเตอร์ไซด์คันเก่าไปตาม บ้านโน้นที บ้านนี้ที เที่ยวเข้าออกแต่ละบ้าน โดยมาถึงเรือนนางสีตองตอนสายของวันนั้น

“ป้าสีจ๊ะ ป้าสี อยู่หรือเปล่าน่ะ นังหยอยโว้ย” ผู้ใหญ่บ้านร่างท้วมส่งเสียงร้องเรียกอยู่ตรงตีนบันไดเรือน พร้อมกับสอดสายตาหาผู้เป็นเจ้าของบ้านไปด้วย

“ขึ้นมากินน้ำกินท่ากันก่อนซีพ่อผู้ใหญ่ มีเรื่องอะไรกันล่ะถึงได้มาที่นี่”

“พรุ่งนี้ฉันอยากจะให้ทุกคนเข้าร่วมประชุมหน่อยจ้ะ อยากจะขอความคิดเห็น และความร่วมมือกับพวกเราทุกคน”

“ได้ซีพ่อ ว่าแต่ให้เข้าประชุมเวลาไหนล่ะ” นางสีตองซักต่อ

“บ่ายโมงตรงจ้ะ” ผู้นำชุมชนว่าขรึมๆ

“แล้วที่พี่ผู้ใหญ่ ให้เข้าประชุมนี่มันคือ เรื่องอะไรกัน ทำไมไม่ประกาศเสียงตามสายล่ะ” นางสาวหยอยที่นั่งฟังมานาน อดจะถามด้วยความสงสัยไม่ได้

“เรื่องลำน้ำบัวนั่นแหละหยอย พี่ไปดูมาแล้วก็ไม่สบายใจเลย พอดีลำโพงมันเสีย ใช้งานไม่ได้มาสองเดือนแล้ว พี่เลยต้องขับรถมาบอกเอง ขืนรองบหลวงก็ไม่รู้ว่าจะได้ศตวรรษไหน”

“น้ำแห้งมากเลยหรือพี่”

“ใช่! แห้งขนาดที่ว่า มีเมืองโบราณโผล่ ออกมาจากใต้ผืนดินเลยนะ พวกถ้วยชามรามไห ที่เป็นเศษๆซากๆกระจายเต็มพื้นไปหมด เห็นแบบนี้แล้วก็ไม่แปลกใจ ว่าทำไมตากลิ้งถึงตกได้ ของโบราณอยู่บ่อยๆ”

“คุณพระช่วย! นี่มันแล้งหนักถึงขนาดนี้เลยหรือ” ผู้อาวุโสมีสีหน้าหวั่นวิตก

นางสีตองเดินเข้าห้องพระด้วยจิตใจหดหู่ มือเหี่ยวย่นเพราะความชราเอื้อมหยิบธูปหอมจากในห่อ จ่อกับเปลวเทียน พร้อมกับอธิษฐานอยู่นานท้ายที่สุดแล้วก็ปักลงในกระถาง ปากนั้นยังคงพร่ำต่อไปว่า

“ขออย่าให้เป็นอย่างที่ลูกช้างคิดเลยนะเจ้าคะ ขอพุทธคุณจงคุ้มครอง และปัดเป่าอย่าได้เกิด เหตุร้ายแรงใดๆเลยเจ้าค่ะ”

*******************************************************

ใต้ร่มอโศกใหญ่แผ่กิ่งใบปกคลุม เข้าหากันเป็นแนวยาว ที่ทางวัดได้ทำการปลูกใช้หลบร้อน ของทั้งสงฆ์และฆราวาส เก้าหินอ่อนไม่ที่ครบชุด เหล่าพระ สามเณร รวมไปถึงลูกศิษย์วัด ได้จัดการเอาที่ตัวเหลือ มาเรียงต่อกันเป็นแถวเพื่ออำนวยความสะดวกให้บรรดาเหล่าญาติโยม

ที่ดูเหมือนว่าวันนี้จะไม่พอรองรับชาวบ้าน ที่พร้อมใจกันมาเข้าร่วมประชุมกันอย่างล้นหลาม ร้อนถึงผู้ใหญ่น้อย

ต้องเกณฑ์คน ไปช่วยขนเก้าอี้พลาสติก มาแสริมถึงจะพอกันได้

ตรงที่ผู้นำชุมชนยืนอยู่เป็นแท่นปูนขนาดใหญ่ ทรงกลมขัดมัน มีชาวบ้านนั่งอยู่ล้อมรอบ ดูไปแล้วก็คล้ายกับว่าผู้ใหญ่คือนักร้องอันลือชื่อ ซึ่งกำลังขับกล่อมบรรเลงเสียงทิพย์ให้บรรดาเหล่าแฟนเพลง ที่ซื้อบัตรเข้ามาชมก็ไม่ปาน

“อ้าว! ช่วยเงียบๆ และตั้งใจฟังกันหน่อยนะ ทุกคน” เสียงจ้อกแจ้กจอแจวุ่นวายค่อยสงบลงได้ เมื่อเสียงประกาศออกไมค์ดังขึ้น

“ที่นัดมาประชุมวันนี้ เพื่ออยากจะให้ร่วมกันแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับลำน้ำบัว ว่าคนในบ้านเราจะทำยังไงต่อไปดี ทุกคนล้วนเสนอ ความคิดตัวเองได้ ไม่มีผิดความคิดของใคร ที่คนอื่นยกมือโหวตมากที่สุดจะถือเป็นเอกฉันท์”

หลายคนต่างพยายามเสนอความคิดเห็น ของตนที่คิดว่าเข้าท่าแล้ว หากก็ยังไม่มีผู้ใดยกมือขึ้นโหวตให้เพราะยังไม่เข้าที ไม่มีผู้ใครสังเกตว่า นอกจากชาวบ้านดั้งเดิมแล้วนั้น ยังมีชาวบ้านหน้าใหม่ เช่นลัดดาเข้ามาร่วมฟังด้วย ตามคำสั่งของผู้เป็นนายท่าน แม่สาวน้อยเลือกนั่งด้านนอกสุด เพราะบริเวณนั้นไม่มีผู้ใดนั่งอยู่เลย

“ผมขอเสนอให้พวกเรา ช่วยกันขุดลำน้ำครับ” ชายรูปร่างผอมคล้ำนามว่า ตากลิ้ง มีอาชีพจับปลาขายยกมือขึ้นแล้วลุกขึ้นยืนตาม ส่งเสียงอ้อแอ้เพราะฤทธิ์สุราที่ดื่มเข้าไปเป็นนิจ จนติด ยากเกินจะถอนตัวกลับได้

“ขุดหาพ่อมึงสิ ... น้ำไม่มีฝนก็ไม่ตก จะขุดเพื่ออะไร” ใครผู้หนึ่งว่าขึ้นลอยๆ ตามาด้วยเสียงหัวเราะและปรบมือชอบใจของอีกหลายราย ชายชรากระทืบเท้าเร่าๆด้วยความโมโห ปากก็ส่งเสียงเอ็ดตะโรท้าตีท้าต่อย จนญาติคนหนึ่งที่มาเข้าร่วมประชุมด้วย รีบมาพากลับบ้านไป ด้วยทนขายหน้าไม่ไหว

“มีใครจะเสนออะไรเพิ่มเติมก็ว่ามาเถอะ” ผู้ใหญ่เล็กถึงกับกุมขมับ ด้วยความกลัดกลุ้ม เพราะผ่านมาร่วมสองชั่วโมงก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ มีแต่ข้อเสนอล้วนแล้วแต่ไม่เข้าท่าทั้งสิ้น ขณะที่กำลังอับจนหนทางอยู่นั้น ใครบางคนที่นั่งอยู่ด้านหน้าเพื่อนติดกับแท่นปูนที่ผู้ใหญ่ยืน ยกมือขึ้นเพื่อเสนอข้อคิดเห็น ก่อนที่เจ้าหล่อนจะกรีดกราย นวยนาดลุกขึ้น

“ว่ายังไงนังมุเอ็งมีข้อเสนอดีๆ อะไรก็ขึ้นมาบนนี่ซี” มุหรือ มุลิลา ชายใจหญิง เจ้าของร้านทำผมแห่งเดียวในหมู่บ้าน อย่าง “มุลิลาซาลอน” ก้าวขึ้นแท่นกลมอย่างว่องไว

“คือดิฉันอยากจะบอกกับทุกๆคน ว่าที่ลำน้ำบัวเกิดเหตุขึ้นเช่นนี้ เพราะว่ามีอาถรรพ์ค่ะ ไม่เช่นนั้นแล้วคงจะไม่มีคนประสบอุบัติเหตุ หรือเสียชีวิตที่นั่นหรอกนะคะ เมื่อเรื่องมันเป็นเช่นนั้นแล้ว เราต้องล้างอาถรรพ์ค่ะ โดยจะต้องทำพิธีแบ่งเป็นสองวันดังนี้ค่ะ วันแรกจะต้องใช้ร่างทรงเพื่อเป็นตัวสื่อสารกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ว่าต้องการอะไรแบบไหนยังไง ข้อนี้ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ดิฉันจะเป็นคนจัดหามาเอง รับรองได้ว่าสำนักนี้ไว้ใจได้ล้านเปอร์เซ็นค่ะ ส่วนอีกวันเราก็จัดพิธีสงฆ์ร่วมกันถวายภัตตาหารกันดีไหมคะทุกคนว่ายังไง”

เรื่องราวที่ยืดเยื้อกันมาหลายชั่วโมงจบลงที่ข้อเสนอของมุลิลา ที่ทุกคนต่างเทใจให้อย่างท่วมท้น โดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆเลย เพราะความเชื่อเช่นนี้มักอยู่คู่คนไทยมานาน เจ้าของร้านเสริมสวยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ประหนึ่งนักการเมือง ที่ชนะการเลือกตั้งจากพรรคฝ่ายตรงข้าม

“แล้วเอ็งจะให้ชาวบ้านเขาเตรียมอะไร ให้ร่างทรงเขาหรือเปล่าวะนังมุ”

“โหย! ไม่ต้องเสียเวลาหรอกพ่อผู้ใหญ่ ทางนั้นเขาเตรียมของเขามาเอง เราเตรียมแค่สถานที่ พานทอง อาหารและขนมผ้าเจ็ดสีเจ็ดศอก แล้วก็บายศรีไว้ให้ก็พอแล้ว” ผู้ที่เป็นเหมือนความหวังของหมู่บ้านตอบด้วยสีหน้าแช่มชื่น

*****************************************************

“เป็นยังไงบ้างแม่ดา เรื่องไปฟังได้ความว่าเช่นไร” สตรีในชุดเสื้อสีเขียวใสตัดจากผ้าใยแก้ว นุ่งผ้าไหมย้อมดำสอดดิ้นเงิน แย้มปากน้อยๆคล้ายว่าหล่อนทราบคำตอบดี หากก็ยังอยากจะฟังจากลัดดาด้วยเช่นกัน

“เห็นว่าวันมะรืน เขาจะมีทรงเจ้าเข้าผีกันค่ะ ส่วนอีกวันเห็นว่าจะ มีการทำบุญตักบาตร ที่จริงแล้วมีคนเสนอความคิดเห็น มากกว่านี้นะคะ แต่ไม่ได้เรื่องเลยสักคน” แม่สาวน้อยที่แต่งกายด้วยเสื้อแขนสั้น คอกลมมีระบายรอบๆสีแดงสด นุ่งผ้าเชิงทองสีกรมท่า ส่ายหน้าน้อยๆกับประโยคท้าย

“งั้นรึ! แล้วใครล่ะที่เป็นคนเสนอความคิดข้อนี้”

“พี่มุ เจ้าของร้านเสริมสวย ค่ะนายท่าน” ลัดดาตอบถนอมเสียง ในใจนั้นภาวนาขออย่าให้เบญจาทำอันใด แก่คนที่เสนอความคิดเลย เพราะอย่างน้อยตอนที่เธอเป็นลูกสุนัข ก็เคยได้รับความเมตตาจาก มุลิลาเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นข้าวคลุกโครงไก่ทอด อาหารเม็ด แม้กระทั่งปาท่องโก๋จิ้มนมข้นหวาน หล่อนก็เคยเอามาป้อนใส่ปากลัดดาบ่อยๆ

“อย่าวิตกไปเลยแม่ดา ฉันไม่ทำอะไรแก่ผู้มีบุญคุณของแกหรอก หากจะทำก็ต้องทำ คนชั่วช้าสามานย์ต่างหากถึงจะถูก แต่ฉันก็จะให้บทเรียน แก่นังมุลิลาผู้นั้นบ้างเล็กน้อยนะ โทษฐานที่ชักนำคนชั่วมาวุ่นวาย ในเขตพระราชฐาน จะว่ายังไงแม่ดา” ดวงตาคมดุราวกับเสือคู่นั้นมองครั้งใด ก็ให้นึกเย็นยะเยียบไปทุกอณูขุมขนทุกครั้ง แม้ตอนนี้เบญจาจะอยู่ในอารมณ์ดีก็ตาม

“แล้วแต่นายท่านเลยค่ะ ดิฉันได้ทั้งนั้น”

“ดี! งั้นเอาล่ะ วันมะรืนฉันไปดูทรงเจ้าเข้าผีด้วย แกต้องไปกับฉันด้วยนะแม่ดา อย่าลืมบอกนังเพ็งมันล่ะ ฉันจะพาไอ้คร้ามเครงกับอีชม้อยไหม ไปกันให้หมดทั้งเรือน นี่แหละสนุกดี”

“ค่ะ! นายท่าน”

“แล้วนี่นังเพ็งมันตัดเสื้อ ตัวใหม่ให้ฉันเสร็จหรือยัง”

“เสร็จเมื่อเช้านี้เองค่ะนายท่าน ประเดี๋ยวอิฉันจะไปเอามาให้ดูนะคะ” หล่อนคลานเข่าออกไปโดยไม่รอฟังคำอนุญาต และเบญจาเองก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะตรงกับความประสงค์พอดี

“เป็นไงบ้างพอไปวัดไปวาได้หรือเปล่า” เบญจาเอ่ยขึ้นขณะที่ก้าวออกมา หลังฉากกั้นขนาดใหญ่

“งามมากค่ะ นายท่านสีส้มแกมแดงแบบนี้ ใส่แล้วช่วยขับผิวให้เนียน ผุดผ่องอย่าบอกใคร” ฟังแล้วเบญจาก็อดเผลอไผลไปกับคำชมของเด็กที่เก็บมาชุบเลี้ยง

เธอรีบสาวเท้ายาวๆไปยังคันฉ่อง บานใหญ่ภายในห้องนอน พิศโฉมตนเองแลเห็นว่ากายหยาบนั้นไม่ผิดเพี้ยนหรือ

แก่ลงแต่อย่างใดนับตั้งแต่อดีตกาลที่ผ่านมา ด้วยความที่งดเว้นเนื้อสัตว์ และดำรงตนอยู่ในพระเวทย์ของ นางยักษ์ปัตขยา

มา นาน ถึงได้ดำรงความสาวอยู่ได้เช่นนี้

“แกจงเอาเงินนี้ไปซื้อของ มาทำอาหารใส่บาตร ให้นังเพ็งมันนะแม่ดา ถือว่าเป็นสินน้ำใจเล็กๆ ที่มันอุตส่าห์นั่งหลังแข็งเย็บเสื้อให้”

***************************************************

ลำน้ำที่แห้งขอดตลอดสายเวลานี้ คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา หลากสีสันของอาภรณ์ที่สวมใส่ เพื่อจะมาเข้าร่วมพิธีกรรมเข้าเจ้าทรงผี ตามข้อเสนอของมุลิลาเจ้าของร้านเสริมสวย ที่วันนี้เจ้าหล่อนอยู่ในชุดไทยเรือนต้นสีเขียวสดซึ่งไปหาเช่ามาจากร้านชุดเช่า ชุดดรัมเมเยอร์ ชุดแฟนซี สำหรับผู้ใหญ่แห่งหนึ่ง ในตัวเมืองด้วยราคาหลายพันบาท แต่งหน้าทาปากสีจัดจ้านสุดฤทธิ์กำลังต้อนรับแขกอยู่ตรงหน้าซุ้มทางเข้า ที่ทำด้วยวัสดุธรรมชาติอย่างทางมะพร้าวให้อารมณ์คล้ายกับว่ากำลังเดินเข้างานแต่งเจ้าหล่อนอยู่ก็มิปาน

นางสาวหยอยที่เดินเคียงคู่มากับนางสีตอง ถึงกับตะลึงเมื่อมาถึงหน้างาน หล่อนกระตุกแขนผู้เป็นน้องสาวมารดาเบาๆก่อนจะลดเสียงเกือบเป็นกระซิบว่า

“ตกลงเรามา ผิดงานหรือเปล่า นี่น้าสี”

“ถูกนี่แหละไม่ผิดหรอก ... เพียงแต่นังมุมันจัดให้อลังการ ตามแบบของมัน นั่นแหละวะ”

สองเท้าพาตรงไปยังซุ้มทางเข้า มุลิลาก็หันมาเคารพคนทั้งคู่ท่าทีอ่อนช้อย ริมฝีปากที่ฉาบเคลือบไว้ด้วยลิปสติกสีแดงดำ แย้มกว้างแล้วเอ่ยทักทาย ตามประสาคนช่างพูดว่า

“สวัสดีค่ะป้าสี ... สวัสดีค่ะพี่หยอย เชิญเข้าด้านในก่อนซีคะ รับทานอะไรกันมาหรือยัง ทางเรามีบริการ ขนม น้ำชา กาแฟ น้ำผลไม้ ไว้คอยให้บริการด้วยนะคะ”

“ป้าทานมาเรียบร้อยแล้วจ้ะแม่มุ ... แหม่! วันนี้แต่งตัวสวยเชียวนะ อย่างกะนางฟ้าจุติลงมาเทียว” มุลิลาบิดตัวไปมาด้วยความเขินอายเพราะเป็นคนบ้ายอมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

ท่ามกลางเสียงดนตรีปี่พาทย์ไม้นวมเล่นเพลงวิลันดาโอดจากแผ่นซีดี ที่เปิดต่อเข้ากับลำโพงสองดอกใหญ่ ดังกึกก้องไปทั่วทั้งงานและย่านนั้น ตรงบริเวณที่เป็นเมืองโบราณ โผล่ขึ้นมาเหนือพื้นดิน มีบายศรีนาคเก้าชั้นวางอยู่ทั่วทั้งสี่ทิศ กลางลำน้ำที่แห้งสนิทมีโต๊ะขนาดใหญ่ยาว ปูทับด้วยผ้าขาวบาง มีพานเล็กพานน้อยและพานใหญ่ วางเรียงรายกันอยู่เต็ม

แต่ละพานมีใบตอง เย็บแบบคอม้า ประดับอยู่ทุกอัน จากที่นางสาวหยอยสังเกตได้ก็มี เหล้าขาว ไก่ต้มตัวใหญ่ ไข่เป็ดต้มย้อมเปลือกสีชมพู ของหวานอาทิเช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง เม็ดขนุน ทองเอก ขนมชั้นเก้าชั้น วุ้นกะทิ ข้าวตอก ถั่วงา น้ำนม ผลไม้จำพวก ส้มเขียวหวาน อ้อย ส้มโอ

ของหอมจำพวกดอกไม้ต่างๆปลิดเป็นกลีบ น้ำปรุง น้ำอบ ธูป และผ้าเจ็ดสีเจ็ดศอกวางพับอยู่ตรงกลาง ตามที่มุลิลาได้ขอ ผู้ใหญ่เล็กไว้

“ฉันว่าของพวกนี้แต่ละอย่างมันเหมือน กับของในขันหมากชัดๆเลยนะ”

“เออ”

“เสียดายเน้อที่วันนี้น้องมิ้งค์ติดแก้ปกให้ลูกค้า ไม่งั้นจะชวนมาถ่ายรูปเสียให้เข็ด” เธอเอ่ยถึงหญิงสาว ที่ตกลงกันเสียดิบดีเมื่อวานแล้วว่าจะมา เพราะผู้ประพันธ์นิยายแจ้งมากับ ทางกองบรรณาธิการว่า อยากจะให้ปรับแก้ปกหนังสือ เนื่องจากมิ่งมารศรีตีความหมาย ผิดจากที่ตนเองนำเสนอ

“ฮื่อ! เจ้าพุธก็ดันไม่อยู่เสียด้วยเห็นว่ามีกิจกรรมกับทางมหาลัย”

“นั่นซีน้า ช่วงนี้บ้านดูเงียบๆไปเลย” นางสาวหยอยพูดแค่นั้นก็หันไปมอง ชายผู้หนึ่งซึ่งแต่งกายด้วยชุดขาว แลคล้ายพราหมณ์กำลังเดินเข้ามาในปะรำพิธี ด้วยท่าทีสงบเย็นน่าเกรงขาม โดยมีเหล่าบรรดาลูกศิษย์เดินตามหลังมาเป็นขบวน

ชาวบ้านหลายคนพากันยกมือ แซ่ซ้องสรรเสริญสาธุด้วยความศรัทธา

เสียงดนตรีปี่พาทย์ไม้นวม ค่อยเบาลงเรื่อยๆที่แล้วสุดก็เงียบไป

กลายเป็นเสียสวดภาษาบาลี จากชายชุดขาวขึ้นมาแทนที่ เหล่าชาวบ้านที่นั่งอยู่บนเก้าอี้พลาสติกแบบมีพนักพิงในเต็นท์ ยกมือพนมพร้อมกันโดยอัตโนมัติ ต่างก็มุ่งหวังเพียงสิ่งเดียวคือ

ให้ลำน้ำแห่งนั้นกลับมาสงบเช่นเดิมอีกครั้ง ล้างอาถรรพ์อันร้ายแรงออกไปเสีย ทุกคนจะได้สบายใจ

ไม่มีผู้ใดเลยจะเหลือบเหลียวไปมอง สตรีสองวัยที่กำลังเดินเข้ามาในพิธีแบบเงียบๆ และเลือกนั่งตรงเก้าอี้แถวหลังสุดเช่นเคย เพราะเก้าอี้ว่างทั้งแถว

เลือกเวลาได้อย่างเหมาะเจาะ เพราะแม่งานอย่างมุลิลานั้นเห็นว่า สายมากแล้วคงจะไม่มีผู้ใดมาอีก หล่อนจึงกลับไปนั่งฟังสวดร่วมกับชาวบ้านคนอื่นแถวหน้าสุด จะได้คอยอำนวยความสะดวกให้แก่ พ่อหมอผู้ทำพิธีท่านนั้นโดยง่าย

เบญจาถอดแว่นตากันแดดที่สวมอยู่บนดั้งจมูกออก วันนี้เธอแต่งหน้าค่อนข้างเข้มจัดกว่าทุกวันเพื่อไม่ให้กลืนกับชุดสีส้มแกมแดง ที่หล่อนออกแบบเอง

วันนี้เบญจาเกล้าผมแล้วแบ่งเป็นช่อๆ ด้วยฝีมือของลัดดาที่ลองหัดทำตามวิดีโอในอินเตอร์เน็ต เครื่องประดับไม่ว่าจะเป็นต่างหูหรือสร้อยเป็นไข่มุกทั้งหมด สวยสง่าสมกับเป็นราชินีแห่งพระบัวบัณฑูร

เช่นเดียวกับหญิงสาวผู้ติดตามที่วันนี้สวมชุดเดรสคอกลมตัดจากผ้าจอเจียแขนสั้น ที่นำแบบมามาจากอินเตอร์เน็ตเช่นกันนำมาเย็บและตัดเอง เพราะเบญจาได้ขอร้องเอาไว้ว่า ถ้าออกงานกับเธอลัดดาต้องสวมกระโปรงห้ามนุ่งผ้าเด็ดขาด ส่วน ส่วนลูกสมุนคู่ใจทั้งสอง ก็มาเช่นกันแต่ต้องพรางตัว ไว้มิให้ใครเห็น นางบุญเพ็งนั้นค่อยสบายขึ้นมาหน่อย

กลางวันเช่นนี้ใครก็ไม่สามารถเห็นเธอได้ ครั้นเจอเพื่อนฝูงหรือคนรู้จัก ก็อยากจะเข้าไปทักทาย แต่ก็ทำไม่ได้เพราะไม่มี ชีวิตอยู่แล้ว

พิธีกรรมนั้นค่อนข้างนาน กินเวลาตั้งแต่แรกเริ่มจนเบ็ดเสร็จ ไปถึงสองชั่วโมงครึ่ง จึงไม่แปลกที่จะเห็นชาวบ้านบางคนหลับบ้างตื่นบ้าง บางรายก็หลับยาวโดยเอาหน้าฟุบกับพนักพิงคนหน้า หนักๆเข้าบางท่านก็ลุกขึ้นไปชงน้ำชา กาแฟ หยิบขนมมาทานคนละหลายรอบ กว่าที่พิธีช่วงแรกจะจบลง

พิธีช่วงสองเริ่มต่อกันทันที คนคุมเครื่องเสียงหยิบแผ่นเพลง วิลันดาโอด มาเปิดอีกครั้ง

ตอนนั้นเองขบวนเสลี่ยงก็เข้ามาถึงในพิธี โดยเหล่าผู้ที่แบกเสลี่ยง ล้วนแต่งตัวเป็นทหารเสนาโบราณ ด้วยชุดไทยล้านนาประยุกต์ เช่นเดียวกับเหล่าข้าไท นางกำนัล ถือพานดอกไม้ และกางร่มกลดทอง ทั้งหมดล้วนแต่เป็นพรรคพวกของมุลิลาทั้งสิ้น

ไม่แปลกนักที่หล่อนจะลุกขึ้นออกไปพร้อมดอกไม้ในมือ สาดโปรยไปตามที่ขบวนแห่เดินผ่าน

เบญจานั่งมองด้วยความคับแค้นใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อถูกลบหลู่ล้อเลียนทั้งที่ความจริงมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น “พวกชาติชั่วมึงกล้าหลบหลู่ กูเช่นนี้เชียวรึ”

เหตุการณ์ยิ่งเลวร้ายลงไปใหญ่ เมื่อเหล่าชาวบ้านลุกจากเก้าอี้ ลงไปนั่งล้อมที่ประทับ ร่างทรงองค์นั้นด้วยความศรัทธา สตรีประเภทสองในชุดไทยดุสิตสีม่วงเม็ดมะปริง ทำท่านั่งสมาธิอยู่เพียงไม่ถึงห้านาที ก็ลืมตาขึ้น

พร้อมกันนั้นก็ดัดเสียงตน ให้แหลมเล็กราวสตรีออกมาจาก ปากหนาเตอะสีเดียวกับชุด ขณะที่มือก็ชี้กราดไปหาทุกคนที่นั่งอยู่

“พวกเจ้า! มีเรื่องสำคัญกระไรรึ ถึงได้เรียกข้ามาที่นี้”

“พระนางคือ มหาเทวีแห่งแห่งเมืองพระบัวบัณฑูร ใช่ไหมเจ้าค่า” เสียงใครผู้หนึ่งเอ่ยถาม

“ใช่แล้ว! ข้านี่แหละคือ พระนางรัตติยาเทวีศรีสโมสร

แม้จะแต่งกายด้วยชุดไทยดุสิต หากตัวเสื้อเป็นไปในลักษณะไม่มีแขน ร่างทรงนางนั้นก็ไม่สามารถ ปกปิดเพศชายที่แท้จริงของตนไว้ได้ ด้วยกล้ามแขนที่ใหญ่เกินสตรีเพศนั่นเอง

คำว่าพระนางรัตติยาเทวีศรีสโมสร ทำให้เบญจาถลันลุกจากเก้าอี้โดยเร็ว

“นอกจากจิตใจจะไม่ดีแล้ว ปากก็ยังตอแหลอีกต่างหาก”

กระนั้นก็ยังคอยสังเกตอากัปกิริยาของร่างทรงนางนั้นไปอีกระยะ เพื่อจะดูความเป็นไป

สมุนคู่ใจทำท่าจะบุกเข้าไปเล่นงาน แต่ก็ถูกพระนางห้ามเอาไว้

“ฟังว่ามันพูดอะไรไปก่อน อย่าเพิ่งใจร้อน”

“พวกเรา ... ทำอะไรผิดหรือเจ้าค่า ถึงได้สังเวยชีวิต ไปมากมายเพียงนี้”

“พวกเจ้าเคยบ้างหรือไม่ ที่จะทำบุญให้กับข้า ข้าต้องอดอยากปากแห้ง หิวโหยมานานร้อยปี จะมีใครรู้บ้างเล่าพวกเจ้ามันเห็นแก่ตัว” พระนางตัวปลอมตรัสแล้วทำท่าร่ำไห้โฮๆ

“ถ้าอย่างนั้น พวกเราจะทำบุญไปให้พระนางพรุ่งนี้ ทรงอยากจะเสวยอะไรเป็นพิเศษขอรับ” ผู้นำชุมชนอย่างผู้ใหญ่เล็กก็พลอยฟ้าพลอยฝนตามไปด้วย เจ้าหล่อนที่นั่งร้องไห้อยู่นั้นหยุดกึก หันมาทำตามขวางใส่แล้วตอบว่า

“ข้าอยากได้เลือดสดๆ เครื่องในตับไต ไส้พุง พวกเจ้าหามาได้หรือไม่”

คำพูดเหล่านั้นนั้นจบลง พร้อมกับเบญจา ทำมือในลักษณะ ให้ชม้อยไหมกับคร้ามเครง เข้าไปทำลายพิธีได้

“เยี่ยงไรเล่าข้าถามเหตุใดจึงไม่ตอบ”

ร่างทรงในชุดไทยสีเม็ดมะปริง สัมผัสได้ว่า คล้ายกับจะมีอะไรบางอย่างเคียงกับเท้า เนื่องจากได้กลิ่นเหม็นของเล็บขบปะทะจมูกอย่างแรง

พริบตาเดียว!!!! นังคนที่เคยนั่งอยู่บนแท่นสูง ร่วงละลิ่วลงสู่พื้นดิน ท่ามกลางเสียงหวีดร้อง ของชาวบ้าน

ลมร้อนๆพัดกระโชกเข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หอบเอาเก้าและอี้เต็นท์ ปลิวไปคนละทิศละทาง ผู้เข้าร่วมพิธีแตกฮือ

พากันวิ่งหนี เอาตัวรอดกันอย่างไม่คิดชีวิต เช่นเดียวกับร่างทรงและทีมงาน ที่ลืมแม้กระทั่งหน้าที่ที่ตนอวดอ้างเอา ไว้อย่างดีเมื่อแรกมา

“ทิ้งทุกอย่างที่จ้างมา ต่างพากายา

หนีจากภยันตราย

ลืมหมดแม้นสหาย หาที่หลบกาย

ชีพไม่วายคงพบกัน”

*************************************************************

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว