ภูตกัลยา-ญาติทางแม่

โดย  Khansawad

ภูตกัลยา

ญาติทางแม่

บุรุษหน้าตาคมคายหลานชายเพียงคนเดียวของนางเลียบ เดินออกมาจากบริเวณส่วนครัวด้านหลังเรือน ด้วยท่าทางสงบนิ่ง ในกระเป๋ากางเกงยีนส์ตัดขาที่ใส่อยู่นั้น กลับซุกซ่อนอะไร บางอย่างติดมาด้วย

เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดอยู่เลยภายในเรือน ก็รีบสืบเท้าเข้าห้องส่วนตัว พร้อมปิดประตูตามหลังลงสลักกลอนแน่นหนา

ธนูเทพหยุดยืนตรงหน้ากระจกเงาบานใหญ่ ค่อนข้างเก่าและขุ่นมัวเป็นบางตอน สมบัติของมารดาตั้งแต่สมัยที่ยังมิได้แต่งงาน ดูเหมือนว่าของทุกอย่างในห้องนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นของคุณพิมพ์ศรีโดยทั้งสิ้น

ชายหนุ่มนึกขอบคุณยายและป้า ที่อุตส่าห์รักษาของทุกชิ้นให้อยู่ในสภาพดีเช่นเดิม กลับกันถ้าเป็นที่บ้านของบิดา ป่านนี้คุณนายสุพินมารดาเลี้ยง คงจะเก็บขายของเก่าไปหมดแล้ว

กรรไกรด้ามยาวคมกริบที่นายสมมุติเพิ่งจะเอาไปลับมาใหม่ วางเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงหน้า

ร่างสูงๆเหลียวดูเฝือกอ่อนที่พันอยู่ตรงแขนข้างซ้าย อันที่จริงแล้วอีกสัปดาห์เดียว ก็จะถึงเวลาแก้ออก ทว่าเขากลับไม่สามารถจะทนต่อไปอีกได้ เพราะอากาศในฤดูคิมหันต์ ช่างร้อนจับใจส่งผลให้เกิดอาการ ระคายเคืองต่อผิวหนังใต้เฝือกนั้น

ธนูเทพเองค่อนข้างมั่นใจหนักหนาว่า ระยะเวลาเกือบเดือนที่ผ่านมา กระดูกคงจะสมานกันดีแล้ว เพราะออกจะเบื่อเสียเหลือเกินกับการ ที่จะต้องเช็ดตัวแทนการอาบน้ำ รู้สึกไม่สะอาดอย่างบอกไม่ถูก

เสี้ยววินาทีนั้นที่คมกรรไกรกดลงบนเนื้อผ้า ธนูเทพค่อยๆเลาะเล็มออกอย่างใจเย็น พริบตาเดียว!เฝือกอ่อนที่เคยดามแขนไว้ ก็กลายเป็นเศษชิ้นเล็กน้อยกองอยู่บนพื้นเรือน ทำท่ายืดแขนเข้าออกอยู่นานกว่าจะคุ้นชินได้เช่นเดิม

“อุวะ! ดูแปลกไปเลย”เขาปรารภขึ้นหลังจากที่ได้พิศมองภายในกระจกแล้วเห็นว่า แขนทั้งสองข้างไม่เท่ากัน

แขนซ้ายนั้นดูเหมือนจะลีบเล็กลงไปถนัดตา กล้ามเนื้อที่เคยมีจากการ ออกกำลังกา พลอยหายไปด้วย สีผิวแทบจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

เขาก้มเก็บเศษผ้าเหล่านั้น ทิ้งลงตะกร้าผง แล้วผลัดเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นผ้าขนหนูเพียงผืนเดียว เพื่ออาบน้ำเตรียมไปช่วยเลี้ยงแขก ในงานศพประเสริฐศักดิ์วันสุดท้าย

น้ำเย็นๆที่รดราดลงมาก่อให้ความสบายกายกว่าการเช็ดตัวมากนัก ธนูเทพจะรู้สึกดีกว่านี้ถ้าหากว่าน้ำที่ไหลลงมาจากฝักบัวนั้นไม่มีกลิ่นคาวๆ ของอะไรบางอย่างติดมาด้วย เขารีบวักน้ำจากตุ่มดินขึ้นมาลูบหน้า เพื่อล้างโฟมออกแทนการใช้ฝักบัว เพราะทนกลิ่นคาวคลุ้งนั้นไม่ไหว

“เหม็นบ้าอะไรวะ หรือว่ามีหนูตกลงไปตาย”

เขาลืมตาขึ้นมา ก็แทบผงะเมื่อพบว่าน้ำที่ไหลลงมา ส่วนหนึ่งที่เจิ่งนองบนพื้นนั้นคือ

โลหิตสดๆ สีแดงข้นคลั่ก กลิ่นคาวอบอวล

คราวแรกก็แทบจะอาเจียนออกมาเช่นกัน หากอะไรบางอย่างฉุดให้ชายหนุ่มเขม้นมองอีกครั้ง

ภาพเลือดข้นคลั่กคาวฉุนเมื่อก่อนหน้า กลับกลายเป็นหยาดธารอันชุ่มฉ่ำ ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ

“บ้าไปแล้วกู” รีบอาบน้ำต่อและฟอกสบู่ต่อ สลัดเรื่องไร้สาระอันนั้นทิ้งไปเสีย

ครั้นเดินออกมาจากห้องน้ำ ก็เห็นนางสุยาเดินหิ้วตะกร้ากลับมา จากการจ่ายตลาดนัดหมู่บ้าน ซึ่งมีเพียงอาทิตย์ละวัน นอกจากอาหารสดแล้ว ในตะกร้ายังมีของกินเล่นเช่นลูกชิ้นทอด ขนมปังหน้าหมู และหมี่กะทิติดมาด้วย

แลเห็นหลานชายร่างเปียกชุ่มโชกไปด้วยน้ำ นางก็ร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจว่า

“นู! น่ะนั่นเฝือกหายไหน แล้วอาบน้ำทำไมลูก” หลานชายยิ้มกว้างแลห็นฟันขาวสะอาดภายในปาก

“ตัดทิ้งไปหมดแล้วล่ะครับ มันร้อนและคันด้วย”

“โอ๊ย! ตาย! ลูกเอ๊ย เกิดเป็นอะไรขึ้นมาแล้วจะว่าไง อดทนหน่อยก็ไม่ได้ กะอีแค่อาทิตย์เดียว จะครบกำหนดแล้ว” นางสุยาบ่นพลางรีบวางของ แล้วเดินกลับมาดูแขนธนูเทพ

“ผมกะแล้วไงครับป้า ว่าตอนนี้กระดูก คงจะสมานกันดีแล้ว ไม่ต้องเสียเวลาไปโรงพยาบาลอีก นี่ยาย ป้า แล้วลุงก็ต้องเสียเงินเพราะผมมามากแล้ว”

“เอาเถอะ! ถ้านูไม่เป็นอะไรก็ดีไป แต่คราวหลังอย่าทำอะไร สุมเสี่ยงแบบนี้อีกนะ อย่าห่วงความรู้สึกคนอื่นจนไม่ดูแลตัวเอง นี่ถ้ายายรู้เข้ามีหวังนูคงโดนบ่นหูชาแน่”

***********************************

รถมอเตอร์ไซด์สปอร์ตบิ๊กไบค์คันสีแดงดำ ที่เคยจอดนิ่งสนิทภายในโรงจอดข้างเรือน ถูกชายผู้เป็นเจ้าของเลื่อนออกมาอีกครั้ง หากกระนั้นสภาพของมันก็ยังสวยสด อยู่เหมือนเดิมทั้งนี้เพราะธนูเทพ หมั่นคอยมาเช็ดล้างทำความสะอาดเสมอ เมื่อคราใดน้ำมันเริ่มแห้ง ผู้เป็นลุงเขยก็มักจะซื้อใหม่มาเติมให้เป็นประจำ หลานชายของภรรยาเคยพูดทีเล่นทีจริงกับนายสมมุติ

“ลุงสมไม่ลองขับดูบ้างล่ะครับ จอดไว้นานๆเดี๋ยวเครื่องจะเสีย”

“โว้! ให้ลุงขับคันนี้มีหวังได้ตายห่ะกันพอดี คันก็เบอเร่อเบอร่าลุงขาค้ำไม่ถึงพื้นหรอก” ท่านกล่าวอย่างอารมณ์ดี

ธนูเทพสตาร์ทอยู่ไม่กี่นาที เครื่องยนต์ก็เริ่มทำงาน พี่สาวของมารดาได้ยินเข้าก็รีบโผล่หน้าออกมาดู พร้อมกันนั้นก็ร้องออกมาด้วยความห่วงใยว่า

“เฝือกเพิ่งจะถอดขับไหวเหรอนั่นนู โทรให้เจ้าหมูมันมารับไม่ดีกว่าเหรอ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่อยากกวนเพื่อน ตอนนี้หายแล้ว อยากจะทำอะไร ด้วยตัวเอง”

“อย่างนั้นก็ขับระวังๆหน่อยนะ เดี๋ยวค่ำๆป้ากับลุงจะตามไป แล้วนี่จะไปรับหนูมิ้งค์เขาด้วยไหมล่ะ”

“ไม่ทราบซีครับ” หลานชายตอบเรียบๆ แล้วขับออกไปจากบริเวณนั้นโดยเร็ว

นางสุยาฟังแล้วก็รู้สึกแปลกใจกับท่าทีฝ่ายนั้นเพราะปกติเมื่อเอ่ยถึงมิ่งมารศรี ธนูเทพจะมีอาการเขินอายเสียทุกครั้งไปหากแต่ในวันนี้นั้นหาได้เป็นเช่นนั้น

เมื่อรถแล่นผ่านหน้าบ้านสวนของนางสีตอง เจ้าของมอเตอร์ไซด์สปอร์ตบิ๊กไบค์ก็ค่อยชะลอเครื่องให้ช้ากว่าเดิม เพื่อที่จะมองหาใครบางคนที่ไม่ได้เจอ ตั้งแต่มีปากเสียงกันครั้งนั้น ในใจและสมองของเขาอยากจะขอโทษหล่อนที่ได้พูดไม่ดีใส่ แต่เขาเลือกที่จะนิ่งเฉยไว้มิได้ลงมือตามที่นึก ท้ายที่สุดแล้วโซเชียลมีเดีย ทั้งหลายที่เป็นช่องทางติดต่อ ต้องอันตรธานหายไป เพราะโดนเจ้าหล่อนบล็อก

ธนูเทพจึงเลิกใส่ใจแล้วมุ่งต่อไปยังจุดหมายคือ วัดสาลียิการาม เพียงแต่เลี้ยวรถเข้ามาในเขตพระอารามหลวง สายตาจำนวนหลายสิบคู่ของผู้มาช่วยงานก็มองตรงมาที่บุรุษผู้มาใหม่เป็นจุดเดียว ราวกับว่ามีไฟส่องตรงไปหาธนูเทพก็มิปาน โดยเฉพาะแม่สาวรุ่นๆนั้นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ส่งประกายตาให้กันเป็นแถว แม้จะรู้สึกเก้อเขินเป็นกำลังเพราะไม่เคยถูกคนหมู่มากมองเช่นนี้มาก่อน หากเมื่อเดินเข้ามาแล้วจึงแสร้งทำเป็นเนียนๆเฉยๆเข้าไว้

“ข้าก็นึกว่ามีพระเอกหนังที่ไหนหลงมางาน ที่แท้ก็ไอ้นูนี่เอง นั่นรถมึงเหรอวะ” ภักดีไฉนรีบลุกจากตรงที่นั่งซึ่ง กำลังช่วยกันเช็ดช้อนที่ล้างสะอาดแล้ว ใส่ในตะกร้าใบใหญ่เพื่อที่เอาไว้ใช้เลี้ยงแขก อยู่กับบุรุษรุ่นราวคราวเดียวกันอีกหลายคน หยอกเย้าสหาย ตื่นตะลึงเล็กๆที่เห็นอีกฝ่ายขับรถคันนั้นมา

“เออ! รถข้าเองแหละ” คนพูดเดินไปตักน้ำแข็งใส่แก้วแล้วรินน้ำเปล่าตามลงไป สำหรับดื่มแก้กระหายจากสภาวะอากาศที่ร้อนจัด

“โห! มึงนี่ก็ใช่เล่นๆนี่หว่าขับรถคันละหลายสตางค์ รู้ไหมว่าคนรวยๆแถวนี้เขายังไม่มีรถแบบมึงเลยนะโว้ย” นายหน้าสิว ทำเสียงกระซิบกระซาบในตอนท้าย

“อย่างนั้นข้าคือผู้นำเทรนด์ใช่ไหม”

“จะว่าใช่ก็ใช่น่ะแหละวะ ... ว่างๆก็สอนเพื่อน สอนน้องบ้างแหละเน้อ”

“ไม่มีปัญหา แต่ถ้าเกิดตายขึ้นมา กูไม่รับผิดชอบนะโว้ย” นายหน้าขรุขระนึกย้อนไปถึงข่าว ที่ผู้ขับขี่รถประเภทนี้ ได้รับบาดเจ็บ และเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง ก็อดที่จะขยาดไม่ได้

“อย่างนั้นไม่เอาก็ได้วะ ข้าขับคันเก่าอย่างเดิมก็ได้”

“แล้วนี่ใครช่วยเฮียกับเจ๊ขายของที่ร้านวะ” ชายหนุ่มลงมือล้างแก้วที่เหลืออยู่พอสมควร จากพวกขี้เมาที่ตั้งวงดื่มและเล่นการพนัน เพื่ออยู่เป็นเพื่อนศพจากเมื่อคืน

“นังภานั่นแหละ ช่วงนี้เจ๊ขายแต่กับข้าวสด และปิดร้านบ่ายสามทุกวัน ใครที่สั่งแก๊ส เฮียแก จะเป็นคนเอาไปส่งเอง” เล่าไปภักดีไฉน จึงเริ่มสังเกตความผิดปกติบางอย่างของสหายได้

“ไอ้นู! นั่นแขนเอ็ง ... แขน”

“เออ! เพิ่งตัดออกเอง ใส่นานๆทำไม คันตายชัก”

“วะไอ้บ้านี่ … ห้าวจริงนะเอ็งถึงว่าทำไม่ขับรถมาเอง” พูดแล้วเดินกลับไปนั่งเช็ดช้อนต่อ

เสียงคนหนึ่งในกลุ่มที่กำลังเช็ดช้อนกันอยู่นั้น ถามเรื่องมอเตอร์ไซด์ใหญ่ที่ธนูเทพขับมาด้วยความสนใจ แต่ครั้นพอได้ฟังราคาของมันแล้ว เจ้าหนุ่มหน้าตามอมแมมรายนั้น ถึงกับฝันค้าง เพราะถึงยังไงในชาตินี้คนเช่นเขา คงไม่มีทางที่จะได้ครอบครอง รถคันใหญ่ๆเช่นนี้แน่

“ไอ้จอน! มึงนี่ก็ถามแปลกๆเนาะ ก็เห็นๆอยู่ว่า มันใช่รถธรรมดาที่ไหนกัน”

เด็กหนุ่มยังมิทันจะได้ตอบกลับไป ดันเหลือบไปเห็นกลุ่มคน กำลังก้าวลงมาจากรถเบนซ์ คันสีดำสนิทมันปลาบวาววับ ก็รีบสะกิดต้นแขนภักดีไฉน เบาๆแล้วบุ้ยใบ้ให้ผู้อาวุโสกว่าดู

“นูโว้ย ... โน่นแฟนเอ็งกำลังลงจากรถมากับใครแน่ะ” คำว่า แฟน ที่ภักดีไฉนว่าออกมา ทำให้ธนูเทพหันออกไปดูด้วยความสนใจ เพียงแค่ได้เห็นสตรีผู้ที่มาด้วยกันกับมิ่งมารศรีแล้ว โทสะในร่างกายแล่นพลุ่งพล่านมาเป็นริ้ว

คนที่แต่งกายด้วยชุดเสื้อคอยะวา ตัดด้วยผ้าใยแก้วและผ้าไหมเนื้อละเอียดสีดำ แต่งด้วยลูกไม้สีเดียวกันตลอดคอเสื้อยาวมาถึงอก เช่นเดียวกับกางเกงผ้าฝ้ายที่เบญจาสวมอยู่ประเมินราคาแล้วทั้งผ้าและค่าตัดคงจะหลายบาท

ผมที่เกล้าเป็นมวยสูงและต่างหูกับสร้อยเงินแท้ ช่วยทำให้เธอดูเด็กกว่าอายุไปอักโข

มิ่งมารศรีนั้นแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตลายสก็อตขาวดำพับแขน สวมกางเกงยีนส์ขายาวสีดำที่แต่งอยู่เป็นประจำจนธนูเทพเห็นจนชินตาไปแล้ว ส่วนเด็กสาวหน้าตาจืดๆผู้เดินรั้งท้ายมาด้วยนั้นสวมเสื้อตัดเย็บจากผ้าซาติน ระบายคอและแขนแบบง่ายๆ เหมือนกับผ้าฝ้ายพื้นเรียบที่เธอสวมใส่อยู่

สามคนนั้นเดินตรงมายังบริเวณที่เขา และพรรคพวกกำลังทำงานกันอยู่ ดวงตาคมดุราวกับเนตรพยัคฆ์ภายใต้กรอบอายไลน์เนอร์ มองตรงไปที่ร่างสูงโปร่ง ของหลานชายนางเลียบ อย่างดูแคลน

“เชิญในเต็นท์ดีกว่าครับคุณนาย” นายหมูรีบลุกขึ้นมาต้อนรับแขกทั้งสาม

“นี่ใจคอคุณนูจะไม่ทักไม่ทาย ตามประสาคนรู้จักหน่อยหรือคะ” คำกล่าวของผู้อาวุโสแสนสวยนั้นพลอยทำให้ผู้ที่กำลังคว่ำแก้วลงบนที่วางชะงักมือไปเล็กน้อย แต่ไม่นานก็ลงมือทำงานเช่นเดิมโดยที่ปากนั้นก็พร่ำรำพันมาว่า

“ทัก” ช่างยียวนกวนโทสะยิ่งนัก หล่อนสะกดกลั้นความไม่พอใจไว้ในอก นึกโมโหที่สั่งสอนฝ่ายนั้นน้อยไปในวันนี้

“ก็ยังดีนะคะที่มีแก่ใจทักมา” เธอพูดเท่านั้นก็พาคนอื่นในกลุ่มตามหลังภักดีไฉนไปที่โรงเลี้ยงแขก ธนูเทพลอบมองหลานสาวของนางสีตองอย่างไม่วางตา แม้ว่าฝ่ายนั้นจะมิได้มองตอบมาเลยก็ตาม ความหึงหวงแล่นขึ้นมาแต่ก็ทำอะไรไม่ได้

“พี่นูเป็นแฟนกับหลานยายสีเหรอครับ”

“เปล่านี่ ... เอ็งอย่าเที่ยวไปพูดอย่างนี้กับคนอื่นนะเจ้าจอน ประเดี๋ยวคุณมิ้งค์เธอจะเสียหายเอา”

“ครับพี่” เด็กหนุ่มรับคำด้วยสีหน้าเจื่อนลงเล็กน้อย

“นู! จัดน้ำแข็งกับน้ำมาหน่อยโว้ย” เสียงภักดีไฉนตะโกนมาแต่ไกล แม้จะไม่อยากไปแต่เพื่อผู้ตายแล้ว จำต้องทำตามว่าอย่างเสียไม่ได้

ทานข้าวกันอิ่มหรือเปล่าคะ ... จะรับของคาวของหวานเพิ่มไหมคะ” มารดาประเสริฐศักดิ์เดินเข้ามาดูแลแขกคนสำคัญหลังพวกเขารับประทานเสร็จ ก่อนหน้านั้นนางกลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าพอดี จึงมิได้ออกมาทำหน้าที่ตั้งแต่แรก แม้ว่าปากจะส่งเสียงเจื้อยแจ้ว หากแต่สีหน้าของนางแดงกลับแห้งแล้ง ไม่มีความสุขนับตั้งแต่บุตรชายคนโต ผู้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรง ในการทำงานหาเงินเข้าบ้าน ต้องมาจบชีวิตก่อนวัยอันควรอย่างมีปริศนา ซึ่งตำรวจเองก็ยังหาสาเหตุและจำตัวคนร้ายไม่ได้

“อิ่มแล้วล่ะค่ะเท่าที่จัดมาให้ก็ยังทานกันไม่หมดเลย” เบญจาผู้รับประทานแต่ข้าวสวยกับผักสดตอบพลางแย้มริมฝีปากสีแดงชาด หากมือนั้นก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋าถือ เพื่อหยิบเอาซองเงินทำบุญสำหรับเจ้าภาพ

“ขนมข้าวฟ่างอร่อยดีนะคะป้า” มิ่งมารศรีส่งเสียงหวานๆตอบไปบ้าง

“ขอบใจจ้ะหนู ... แม่ครัวที่นี่เขาฝีมือดีๆกันทั้งนั้นแหละ แล้วคืนนี้น้าๆเขาจะเข้ามาฟังสวดหรือเปล่าจ๊ะ”

“น่าจะมาแหละค่ะป้า” พูดแล้วหล่อนก็เหลือบมองเบญจา ที่ยื่นซองเงินทำบุญให้แก่นางแดง

“ฉันจะขอร่วมทำบุญกับแม่แดงด้วย ฉันรู้ว่าลูกเธอมันเป็นเด็กดี” หญิงผู้นั้นยกมือขึ้นพนมขึ้นเหนือศีรษะ ก่อนจะเอื้อมมือไปรับซองขาวมาด้วยความตื้นตันใจ ไม่คาดคิดมาก่อนว่าคนรวยมีเงินอย่างเบญจา จะมาร่วมทำบุญเพราะไม่เคยรู้จักสนิทสนมกันเลยด้วยซ้ำ

“ขอบคุณมากนะคะคุณนาย”

สุภาพสตรีผู้สวมเสื้อคอยะวายิ้มอ่อนๆแทนคำตอบ พลางลุกจากเก้าอี้เหล็กแบบพับได้ ที่สีบางส่วนเริ่มกะเทาะ สภาพค่อนข้างเก่าพอสมควรซึ่งทางเจ้าของเต็นท์ให้เช่ามาด้วยราคาถูกแสนถูกกว่าปกติ เพราะทราบดีว่าครอบครัวนี้ค่อนข้างกระเป๋ากว่าเพื่อนในหมู่บ้าน

รถเบนซ์สีดำคันนั้น ลับตาจากวัดไปแล้ว นางแดงจึงหมุนตัวกลับไปยังโรงครัว ที่ชาวบ้านหลายคนกำลังประกอบอาหารกันอยู่ สายๆเช่นนี้ไม่ค่อยจะมีแขกมาร่วมงานมากนัก

“โอ๊ย! มาแล้วหรือพี่ ฉันนี่กำลังรออยู่เลย” สตรีนางหนึ่งหยุดการซอยหน่อไม้สดเป็นเส้นๆ สำหรับเตรียมไว้ทำกระเพาะปลาเลี้ยงแขกในคืนนี้พูดขึ้น ตามด้วยเสียงสนับสนุนอีกหลายเสียง นางแดงได้ฟังแล้วก็ทำสีหน้าฉงน ความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์นี่ช่างใหญ่หลวงนัก

“อะไรของเอ็งวะ ... นังหมาย”

“ฉันอยากรู้ว่าคุณนายคนสวย ทำบุญกะพี่แดงเท่าไหร่”

“พวกเอ็งนี่มันเสือกจริงๆเล๊ย เขาจะทำกี่บาทมันก็เรื่องของเขา” นางแดงกล่าวส่ายหน้าน้อยๆ

“เถอะ! พี่แดงจะว่ายังไงก็ได้ แต่ฉันอยากรู้จริงๆ ช่วยแกะหน่อยเหอะน่า”

“แกะเถอะให้ดูหน่อยเถอะอีแดง พวกนี้มันคงนอนไม่หลับถ้าไม่เห็นเงิน” หญิงชรานางหนึ่งที่กำลังนั่งหั่นแตงกว่าเป็นชิ้นๆ สำหรับทานกับน้ำพริกกล่าวอย่างติดตลก

“เรื่องของมันซีพี่เปียก นอนไม่หลับก็ช่างมัน พรุ่งนี้หวยออกจะได้อดโชคไปตามๆกัน”

ปฏิเสธไม่ได้ว่าเสียงยุเสียงแยงเหล่านั้น พลอยทำให้เจ้าภาพหวั่นไหวตามไม่ได้ เพราะส่วนลึกแล้วหล่อนเอง ก็อยากทราบมูลค่า เงินในซองเช่นกัน

ซองเงินที่อยู่ในถุงเสื้อถูกล้วงออกมาอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความลุ้นระทึก ของบรรดาชาวครัว จ้องตาไม่กระพริบ

นางแดง นับเงินสดต่อหน้า ทุกคน ซ้ำไปซ้ำมาอย่างช้าๆ

“หมื่นห้าพอดีเป๊ะ ... เป็นไงพอใจไหม” เหล่าบรรดาผู้มาช่วยงานพากันสูดปากด้วยความตื่นเต้น ด้วยไม่คาดว่าเบญจาจะใจป้ำขนาดนี้

*****************************************

ข่าวเรื่องเงินทำบุญที่เบญจา หยิบยื่นให้นางแดง จำหนวนหนึ่งหมื่นห้าพันบาท แพร่สะพัดไปในวงกว้างอย่างรวดเร็วราวกับไฟลามทุ่ง ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังกลุ่มคนที่มาช่วยงานครัว ในช่วงเช้าได้ประจักษ์แก่สายตาตน เสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงสตรีงามผู้มาซื้อเรือนไทยต่อจาก ลูกหลานางบุญเพ็งเป็นไปในทางที่ดีขึ้น หลังจากที่อยู่ในแง่ลบมานาน

เงินจำนวนนี้อาจดูไม่ได้มากมายเท่าใดสำหรับคนบางคน หากแต่สำหรับครอบครัวนี้แล้ว ถือว่าเป็นจำนวนมหาศาลเลยทีเดียวสำหรับชีวิตลูกจ้างหาเช้ากินค่ำ ที่บางครั้งทำงานทั้งเดือนเอามารวมกันแล้วยังมีไม่ค่อยจะถึงเลย

และอีกประการสำคัญคือชุมชนเล็กๆแห่งนี้ การทำบุญใส่ซองมิได้มากมายเลย เงินจำนวนห้าร้อยบาทถือว่ามากที่สุด ถ้าใครได้จะถือว่าผู้นั้นและผู้ใส่จะต้องมีพระคุณ ต่อกันอย่างแรงกล้าเท่านั้น ถึงจะทุ่มซองหนัก

สำคัญว่าไม่ค่อยจะมีใครใส่กัน นางแดงและนายอ๊อดสามีถึงได้แต่ซองละร้อย ซองละหกสิบ และต่ำสุดคือยี่สิบบาทก็มี ธนูเทพทราบเข้าเรื่องก็ตอนเมื่อบ่ายจัด โดยภักดีไฉนเป็นผู้มาเล่า คิดแล้วชายหนุ่มก็ค่อนข้าง จะเกิดข้อกังขออยู่เหมือนกัน ว่าเหตุไฉนคนอย่างเบญจา หอกสัตตโลหะ ถึงได้กล้าทำบุญกับคนที่ไม่มักคุ้นมากมายขนาดนั้น คิดอยู่นานในที่สุดก็สรุปได้ว่า

“ก็แค่คนอวดรวย เอ็งจะไปเอานิยายอะไร กับเขามากวะหมู”

“ข้าว่าเอ็งมองเขาในแง่ร้ายเกินไปหรือเปล่าวะนู เขาคงจะสงสารครอบครัวไอ้โต้งมันก็ได้นา เอ! ว่าแต่คุณนายท่านนั้นถึงได้รู้จักเอ็งดีจังเลยวะ” สหายของเขาถามด้วยความสงสัยสนใจ

“เรื่องมันยาวน่ะวันหลังค่อยเล่าให้ฟัง” ธนูเทพบอกปัดเรียบๆ หากภักดีไฉนก็ยังคงถามเพราะ ความคาใจต่อไปว่า

“ดูเหมือนเอ็งจะไม่ค่อยชอบ คุณนายเขาด้วยนี่หว่า”

“มึงจะขุดคุ้ยหาสวรรค์วิมานอะไรวะ กูจะชอบหรือไม่ชอบมันก็เรื่องของกู”

เผลอพูดออกมา ด้วยน้ำเสียงค่อนข้างดัง เพราะความลืมตัว ส่งผลให้ใครหลายคนที่อยู่ในเต็นท์ หันมามองเป็นตาเดียว นายหน้าสิวสีหน้าถอดสี เพราะความตกใจด้วยไม่คาดคิดว่า คำพูดของตนจะทำให้สหายต้องหัวเสียขนาดนี้ สุดท้ายแล้วนายหน้าขรุขระจึงละล่ำละลักออกมาได้ว่า

“ข้าขอโทษนะเพื่อนไม่ได้ตั้งใจทำให้โกรธ”

“ข้าเองก็ขอโทษเอ็งเหมือนกันหมู ที่ใช้อารมณ์มากไป”

คนพูดเต็มไปด้วยความสำนึกผิดอย่างแท้จริง ภักดีไฉนเดินมาตบไหล่สหายเบาๆ ราวกับจะให้กำลังใจ

“เรามันเพื่อนกันโว้ย ไม่ถือสาเรื่องแค่นี้หรอก” ธนูเทพพยักหน้าตอบก่อนจะหันไปจัดการงานตรงหน้าต่อ

เหล่าคนอื่นที่อยู่ในเต็นท์เลิกใส่ใจเท่านั้น ด้วยความผิดหวังเพราะคิดว่าจะมวยคู่เอกให้ดูฟรี แต่ก็เป็นเช่นนั้นไม่

“เออ! ว่าแต่ทำไมมิ้งค์เขาไม่พูดกับเอ็งเลยวะ ดูหมางๆเมินๆพิกลโกรธอะไรกันหรือเปล่า” ธนูเทพวางแก้วลงกับโต๊ะหันมาอีกครั้งด้วยสีหน้าอมยิ้ม

“บ๊ะ! ไอ้นี่ช่างสงสัยจริง ประเดี๋ยวจะพาไปฝากงานให้เป็นต.ม.เสียเลยนี่ … แต่ก็เอาเถอะ ถ้าเอ็งอยากรู้ จะเล่าให้ฟังก็ได้ ข้ากับมิ้งค์มีปากเสียงกันนิดหน่อย เพราะเรื่องไอ้โต้งนี่แหละ ข้าไปว่าเขาเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด”

“ไอ้บ้า! มึงไปกล่าวหาเขาชุ่ยๆอย่างนั้นได้ยังไงกัน” ภักดีไฉนรีบขัดขึ้นโดยเร็วอีกฝ่ายยกมือห้ามแล้วว่าต่อไป

“อย่าเพิ่งด่ากูเลยวะหมูก็ตอนนั้นมันยังใหม่ๆอยู่นี่นา กูสงสารไอ้โต้งเลยปากพล่อยพาลไปหมด”

“เออ! เว้ย! แบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนกัน มิ้งค์เขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วย ก็สมแล้วที่เขาทำมึนตึงใส่ เอ็งมันใช้ไม่ได้”

หากเปรียบกับทิพาวรรณคือแม่ของมิ่งมารศรี ภักดีไฉนก็คือพ่อของธนูเทพนี่แหละ เพราะคนทั้งคู่ช่างมีอุปนิสัยคล้ายกันมากทีเดียว แต่กระนั้นก็เข้าใจดีว่าถ้าไม่รักไม่หวังดีสหายคงไม่ทำเช่นนี้

“เออ! อย่าด่าเยอะข้าสำนึกผิดไม่ทัน”

“เอ็งก็หาทางไปขอโทษเขาซีวะ ... ส่งแชทไปหาก็ได้”

“เห็นทีจะยากแหละเพื่อนเอ๋ย ... แม่เจ้าประคุณ เล่นบล็อกข้าหมด ทุกช่องทางขนาดนั้น” ธนูเทพทำสีหน้าท้อแท้

“จะไปยากอะไรล่ะ ก็คอยดักพบเขาซีคืนนี้น่ะ เคลียกันให้จบแล้วจะได้ คบกันอย่างสบายใจ เชื่อข้าสิ”

*****************************************************

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว