แรกรักพันใจ-บทที่ 16 ตะลุยเยาวราช

โดย  มาสฬฎา

แรกรักพันใจ

บทที่ 16 ตะลุยเยาวราช


เมื่อครบทีม กลุ่ม ‘อยู่เพื่อกิน’ ก็มุ่งหน้าสู่เยาวราชด้วยรถคันเดียว แน่นอนว่าไปรถวรีวาฏิกาเพราะต้องมีบอดี้การ์ดติดสอยห้อยตามไปด้วย โดยมีไมเคิลนั่งเบาะหลังกับสองสาวและสตีเฟนนั่งคู่คนขับ เมื่อไปถึงเยาวราชตอนเกือบสองทุ่ม มะลิก็พาทั้งกลุ่มตระเวนเข้าร้านนู้นออกร้านนี้ ไล่ตั้งแต่ก๋วยจั๊บชื่อดัง ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ หอยทอดกระทะร้อน แวะกินน้ำส้มเช้งระหว่างทาง ปิดท้ายด้วยของหวานอย่างลอดช่องสิงคโปร์ และระหว่างกินลอดช่องอยู่นั้นเอง ที่มะลิเริ่มจะเม้าท์

“นี่ แกรู้รึยังว่าในที่สุด แผนกฉันก็หาเลขาให้คุณพาร์คได้แล้ว”

จบประโยคนั้น ทั้งกลุ่มก็เห็นท่าทีเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของวรีวาฏิกา หญิงสาวยิ้มเหมือนคนโง่งม แถมตาเป็นประกายอย่างกับยกดาวทั้งจักรวาลมารวมกัน พร้อมพูดดังลั่นด้วยความดีใจ

“ในที่สุด ในที่สุดสวรรค์ก็เมตตาฉันแล้ว เค้าจะมาเมื่อไหร่ จะมาเมื่อไหร่ จะมาเมื่อไหร่”

พูดไม่พูดเปล่า เธอเขย่าตัวมะลิผู้คาบข่าวมาบอกไปด้วย

“อาทิตย์หน้า คนนี้นี่เส้นล้วน ๆ แกต้องระวังให้ดี ฉันแอบไปอ่านประวัติมาแล้ว เป็นลูกสาวของเพื่อนสนิทคุณแม่คุณพาร์คฝากให้มาทำงาน นี่ฉันได้ข่าวมาว่าปกติคุณพาร์คจะปฏิเสธ แต่คนนี้ทำแบบนั้นไม่ได้เพราะคุณแม่ถึงขนาดมาขอร้องด้วยตัวเอง เลยต้องรับมาทำงานอย่างเสียมิได้ แกก็ระวัง ๆ ไว้หน่อยละกัน ฉันเห็นแค่ภาพถ่ายยังไม่ถูกชะตา หน้าตาน่ารักคุณหนู แต่รอยยิ้มในภาพนั่นนางมารชัด ๆ!”

แต่เพื่อนก็หาได้ฟังไม่ เพราะเพียงจบประโยคแรกว่าเริ่มงานอาทิตย์หน้า ความคิดของวรีวาฏิกาก็ล่องลอยไปไกล แถมยังยิ้มจนแก้มแทบปริ จนคนสาระแนอย่างไมเคิล อดที่จะถามทะลุกลางปล้องขึ้นมาไม่ได้ว่า

“นี่วาไม่อยากทำงานกับไอ้พาร์คขนาดนั้นเลยเหรอครับ มันใจร้ายกับวามากนักเหรอ”

ถามจบเลยได้คำตอบจากสองสาวประสานเสียงกันว่า

“มากกกกกกกกค่ะ!”

ก่อนมะลิจะอาสาเป็นคนร่ายความใจร้ายให้แทนว่า

“ตั้งแต่มะลิทำงานที่นี่มาสามปีนะคะ รู้กันอยู่ว่าคุณพาร์คใจร้าย เย็นชา แต่พอเห็นที่คุณพาร์คทำกับวาเนี่ย โห เป็นมะลิ มะลิลาออกไปนานแล้ว คุณพาร์คโคตรจะใจร้ายเลยค่ะคุณไมค์ ด่าโหด ๆ ต่อหน้าพนักงานเป็นสิบ ทำเป็นไม่รู้จักต่อหน้าพนักงานเป็นร้อย แถมทั้งดุ ทั้งว่า ทำดีไม่เคยชม พลาดเมื่อไหร่แทบจะเหยียบจมดิน แล้วพอไปเป็นเลขา โอ๊ย มะลิไม่อยากจะพูด เห็นวาโดนใช้งานหยั่งกับทาสค่ะ เลขาคนเก่าคุณพาร์คไม่เห็นใช้เยอะขนาดนี้เลย นี่ไม่รู้ทำไมเพื่อนมะลิถึกขนาดนี้นะคะ”

กล่าวจบมะลิก็โดนเพื่อนมองหน้า ก่อนจะเริ่มเอะอะโวยวายว่า

“แกไม่เห็นเคยบอกฉันเลยว่าขนาดแกยังดูออกกว่าคุณภควัตน์ชั่วผิดมนุษย์มนากับฉัน!! แล้วก็ไม่เคยบอกด้วยว่าเป็นแก แกลาออกไปแล้ว! แกมันเพื่อนทรยศ!”

ยังไม่ทันจะได้ด่าต่อ สตีเฟน ผู้นั่งฟังอยู่เงียบ ๆ ก็เอ่ยถามหน้าซีดขัดจังหวะขึ้นมาว่า

“นี่คุณภควัตน์ไม่โอเคกับวาเหรอครับ ตอนผมมาทำงานใหม่ ๆ แล้วฝ่าย HR ขอตัวคุณไป ผมก็นึกว่าเพราะทำงานเข้าขากันได้ดี ผม...ผมขอโทษนะครับ”

ขอโทษตอนนี้ก็สายไปแล้วเฟ้ย!

อยากจะตอกกลับเจ้านายประจำแผนกแบบนี้ชะมัด แต่เพราะทำไม่ได้ วรีวาฏิกาเลยเอ่ยถนอมน้ำใจไปแทน ทั้ง ๆ ที่ตายังขวางอยู่ว่า

“ไม่ใช่ความผิดคุณสตีเฟนหรอกค่ะ ในเมื่อคุณไม่รู้ แต่ตอนนี้คุณก็รู้แล้วนะคะ เพราะฉะนั้นถ้าจะมีใครโดนยืมตัวไปแผนกอื่นล่ะก็ วาขอร้องนะคะ ว่ารอบหน้าให้คุณช่วยถามความสมัครใจเค้าก่อน อย่าอนุมัติไปเลยเหมือนอย่างคราววา”

ถึงไม่ได้ด่า แต่ก็แอบแขวะไปหลายประโยค จนเจ้านายฝรั่งยิ้มเจื่อน แต่ไมเคิลกลับหัวเราะกร๊าก พร้อมส่ายหัวด้วยความระอา แล้วเอ่ยเสียงไม่เบากับตัวเองว่า

“ไอ้พาร์ค นะไอ้พาร์ค”

ก่อนจะขำต่อไปคนเดียว โดยคนที่ตกเป็นเหยื่อเพื่อนเขาหน้าเขียวด้วยความโมโหขึ้นทุกที

ตลอด 1 สัปดาห์หลังจากนั้น ไม่รู้มะลิไปทำอะไรให้ภควัตน์ไม่พอใจ รู้แต่ว่าเพื่อนสาวโทรมาบ่นกระปอดกระแปดว่างานงอก งานเข้า ก่อนจะโดนวรีวาฏิกาซ้ำเติมว่า

“ทีนี้แกเข้าใจฉันแล้วใช่ไหม เข้าใจแล้วใช่ไหม! วันหลังอย่ามาหาว่าฉันโอดครวญ แกแค่งานงอก ฉันโดนด่าประจานตลอด แกยังมีหน้าบอกให้ฉันอย่าไปถือสาเพราะคุณพาร์คของแกหล่อ เพราะฉะนั้นที่แกโดนอยู่ตอนนี้แกก็ปลอบใจตัวเองไปละกันว่าอย่าถือสาคนหล่อ!”

จบประโยค วรีวาฏิกาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องมาตามสาย และสุดท้ายเพื่อนตัวดีจบบทสนทนาว่า

“เออ ก็บอกตัวเองอยู่ทุกวันเนี่ย โอ๊ย ชีวิตฉัน ชีวิตส่วนตัววันเสาร์-อาทิตย์ฉัน! คุณพาร์คทำพังหมดแล้ว!!!!”


อาทิตย์ถัดไป เลขาคนใหม่ที่จะช่วยชีวิตก็มาถึง วันนี้จึงเป็นวันที่วรีวาฏิกาลัลล้า ระริกระรี้จนออกนอกหน้าอย่างเห็นได้ชัด แถมยังมาก่อนเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง เลขาคนใหม่ของภควัตน​์ชื่อเมย์ หรือ เมทิยา สาวน้อยหน้าใส ผู้จบปริญญาโทจากต่างประเทศมาหมาด ๆ แถมยังเป็นถึงลูกสาวเพื่อนสนิทของแม่ภควัตน์ วรีวาฏิกามองสาวผู้มาใหม่ดุจตัวช่วยที่จะทำให้เธอได้ปลดระวางกลับไปทำหน้าที่เดิมอย่างตื่นเต้น ก่อนจะเข้าไปแนะนำตัวด้วยความยินดีอย่างออกนอกหน้า

เมทิยา เป็นสาวขี้อาย เรียบร้อย อันนี้ก็ไม่รู้จริงรึเปล่า แต่ต่อหน้าเธอหญิงสาวดูจะเป็นอย่างนั้น หลังจากหาที่นั่งให้เสร็จสรรพ ก็ให้นั่งเก้าอี้เธอไปเลยนั่นแหละ วรีวาฏิกายังเตรียมคอมพิวเตอร์ไว้ให้เรียบร้อย พร้อม folder ถ่ายงานที่จัดอย่างเป็นระเบียบ รวมถึงโน้ต Tutorial ที่หญิงสาวทำไว้ให้ด้วยความหวังดี

แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อเธอเดินไปเคาะห้องภควัตน์เพื่อลากลับแผนกเดิม จะถูกท่านรองประธานออกคำสั่งว่า

“คุณต้องอยู่เป็นพี่เลี้ยงให้คุณเมย์ก่อน เธอยังไม่เคยทำงาน จะได้รู้ว่าระบบเป็นยังไง”

ไม่อ่ะ ไม่จริง! เธออยากไปใจจะขาดแล้ว ทีตอนเธอถูกย้ายมาทำงานเป็นเลขาทาสไม่เห็นจะมีคนสอนงานสักกะคน แถมยังโดนด่าเช้าด่าเย็น ถ้าอยากอยู่ช่วยต่อก็บ้าเต็มที คิดได้เสร็จสรรพคนไม่อยากอยู่ต่อเลยรีบหาทางลงให้ตัวเองด้วยการโบ้ยงานหน้าตาเฉย

“คุณภควัตน์ให้พี่จิตตาเป็นคนสอนดีกว่าค่ะ งานที่แผนกวาตอนนี้ก็กองสุมหัวเยอะแล้ว ขอกลับไปเคลียร์งานนะคะ”

“ไม่ได้! ที่แผนกคุณ คุณจุ๋มกลับมาแล้วนี่ งานแผนกนู้นก็ควรจะน้อยลงกว่าเดิม ถูกไหม? ​เพราะฉะนั้นคุณต้องสอนเมทิยาจนกว่าจะเป็นงาน และ หยุด ไม่มีข้อโต้แย้ง!”

เออ ไม่โต้แย้ง ก็ไม่โต้แย้ง!

หลังจากสอนงานเลขาสาวคนใหม่ไปจนเกือบเที่ยง ภควัตน์ก็เดินมาบอกว่าจะพาเมทิยาไปเลี้ยงข้าวกลางวันมื้อแรก

เออะ ตอนเธอมาทำงานเป็นเลขาเขาวันแรก เธอจำได้แม่นนะว่าโดนเจ้านายขโมยข้าวกล่อง แต่พอเมทิยามา เจ้านายกลับพาไปเลี้ยงข้าว เขานี่ก็ช่างสองมาตรฐานไม่บันยะบันยังเสียจริง!

แต่ช่างมันเถอะ! เธอเป็นพลเมืองชั้นสองมานานแล้ว แถมไม่เคยได้ฟ้องกรมแรงงานเรื่องการถูกเหยียดนี่เลยสักนิด เพราะเธอมันคนจิตใจดี

พอเห็นเมทิยากำลังเตรียมของเพื่อไปกินข้าวกลางวันกับภควัตน์ วรีวาฏิกาก็เปิดลิ้นชักเพื่อหยิบกระเป๋าตังเหมือนกัน ก่อนจะยิ้มหวานให้ทั้งเจ้านายและลูกน้องคนใหม่ของเขา พร้อมบอก

“งั้นวาขอตัวไปทานข้าวกับเพื่อนก่อนนะคะ”

พร้อมก้าวจากไปอย่างสวยงาม ถ้าคนเป็นเจ้านายจะไม่เดินมาบังทาง แล้วบอกเสียงเข้ม

“คุณก็ต้องไปทานกับผมด้วย”

แต่ด้วยความที่วรีวาฏิกาไม่อยากไปเป็นก้างขวางคอ และการไปกินข้าวกับเจ้านายทำให้เธอกินข้าวไม่สะดวกเลยปฏิเสธไป แต่ในที่สุดภควัตน์ก็บังคับให้ไปด้วยจนได้ ด้วยเหตุผลว่า

“ถ้าคุณไม่ไปด้วย เดี๋ยวคนเค้าจะเอาเรื่องนี้ไปลือให้เมทิยาเสียหาย ว่าผมไม่เอาใจใส่พนักงานอย่างเท่าเทียม”

ณ จุด ๆ นี้ อยากบอกภควัตน์มากว่าเธอไม่ต้องการความเท่าเทียม เธอขอเป็นพลเมืองชั้นสองเหมือนเดิม โดยจะไม่แทงเรื่องไปยังกระทรวงแรงงานเลยสักแอะ!

ส่วนเรื่องที่ภควัตน์กับเมทิยาจะโดนนินทานั้น มันโดนตั้งแต่รับเลขาสาวคนใหม่มาทำงานแล้วล่ะย่ะ นี่ก็ลือกันให้ทั่วทั้งออฟฟิศแล้วว่าคุณหญิงแม่ท่านส่งว่าที่ลูกสะใภ้มาประกบ เพราะฉะนั้นไอ้การไปกินข้าวกลางวันด้วยกันสองต่อสองนั้น มันไม่ได้มีอะไรเสียหายเพิ่มเติมแม้แต่น้อย แต่ถึงจะบอกปฏิเสธไปอย่างแข็งขัน วรีวาฏิกาก็โดนลากไปทานข้าวด้วยอยู่ดี

ภควัตน์พาเลขาทั้งสองมายังภัตตาคารอาหารจีนในโรงแรมห้าดาวข้าง ๆ ออฟฟิศ พอเจ้านายเปิดโอกาสให้สั่งได้ตามใจ วรีวาฏิกาก็สั่งแบบไม่ยั้ง ไหน ๆ เลี้ยงต้อนรับเธอเขาไม่เคยทำ เลี้ยงอำลาก็คงจะไม่มีวันมี เลยต้องอาศัยโอกาสนี้กินเสียให้คุ้มกับที่โดนโขกสับมาตลอดหลายเดือน

ระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟ เมทิยาก็ผูกขาดการสนทนากับภควัตน์โดยสิ้นเชิง ซึ่งสาวอีกคนที่ถูกทิ้งไว้นอกวงอย่างเธอก็หาได้ใส่ใจไม่ วรีวาฏิกาเอามือถือมาเปิดอ่านข่าวอักษรย่อดาราที่มะลิส่งมาอย่างสนุกสนาน ก่อนจะผลัดกันทายว่าดาราที่ข่าวเม้าท์กล่าวถึงคือใคร พร้อมบทวิเคราะห์ที่ผลัดกันเขียนโดยละเอียด เอาจริง ๆ นะ เธอว่าเธอกับมะลิควรจะลาออกแล้วไปเป็นผู้สื่อข่าวบันเทิง!

เมื่ออาหารทยอยมาเสิร์ฟ คนติดข่าวดาราก็เตรียมตะเกียบมารอท่าเรียบร้อยแล้ว แต่พอเธอจะกินหนังหมูของขาหมูหมั่นโถวที่สั่งมา ภควัตน์ก็ถือวิสาสะยื่นตะเกียบมาคีบหนังหมูออกจากจานเธอหน้าตาเฉย แล้วตักเนื้อหมูมาวางให้แทน พร้อมบอก

“กินเข้าไปได้ยังไง เท่านี้ยังอ้วนไม่พอรึไง เดี๋ยวใครเค้าจะหาว่าผมเอาเลขาอ้วน ๆ มานั่งหน้าห้อง ไม่เจริญหูเจริญตาเอาซะเลย”

นี่เลขาหรืออะไรยะ จะได้ต้องเจริญหูเจริญตา เลขานะยะ ไม่ใช่ PR บริษัทจะได้ต้องสวยตลอดเวลา!

“ฉันเป็นเลขาคุณอีกไม่กี่วัน คงทำน้ำหนักให้กลายเป็นตุ่มไม่ทันหรอกค่ะ ไม่ใช่ซูโม่นะคะจะได้น้ำหนักขึ้นได้ทีละหลาย ๆ โล”

พูดจบภควัตน์ก็หงุดหงิดใส่เธอทันที พร้อมยังยืนกรานห้ามกินหนังขาหมูโดยเด็ดขาด ทำเอาคนสั่งขาหมูมาทำตาละห้อย เอาจริง ๆ นะ ไอ้ที่ด่าเธออ้วน ๆ เนี่ย เธอสูง 165 แต่น้ำหนักแค่ 53 เองนะยะ สามเดือนลดไปเจ็ดโลตั้งแต่มาทำงานหฤโหดเป็นเลขาเขาไง แล้วจะให้ผอมขนาดไหนไม่ทราบ เท่ากระดูกเดินได้ไปเลยไหม! เพราะฉะนั้นเธอจะต้องได้กินหนังขาหมู เธอจะต้องได้กินคากิ!

คิดจบ วรีวาฏิกาก็ใช้ตะเกียบคีบหนังหมูเข้าปากทันที ถึงแม้จะโดนภควัตน์จ้องเขม็ง แต่เธอไม่แคร์ อีกไม่กี่วันเธอก็รอดละ จะแคร์ทำไมให้เสียเวลา

มื้ออาหารนั้นจบลงแบบอิ่มแปล้ ก่อนวรีวาฏิกาจะขอแยกตัวไปซื้อกาแฟมากินกันง่วงยามบ่าย ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นกาแฟใส่นม เดือดร้อนให้เจ้านายที่พามาเลี้ยงข้าววันนี้ออกปากเตือนว่า

“กินเข้าไปตั้งเยอะ ยังจะกินกาแฟใส่นมอีกเหรอวรีวาฏิกา”

“กระเพาะวาแยกของคาวกับของหวานออกจากกันค่ะ เคยได้ยินไหมคะว่า There’s always room for dessert” กล่าวจบก็เดินแยกวงไปร้านกาแฟทันที แบบไม่สนคนสบถตามหลังสักนิด

เมื่อกลับไปถึงออฟฟิศ เมทิยาก็นั่งรอเธอหน้าห้องเรียบร้อยแล้ว เมื่อช่วงเช้าเธอสอนพนักงานคนใหม่เรื่องการจองห้องประชุม และวิธีการทำนัดหมายต่าง ๆ ดังนั้นตอนบ่ายเธอเลยกะจะสอนวิธีจดรายงานประชุมและพาไปแนะนำตัวกับแผนกต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ส่วนวันพรุ่งนี้เธอจะสอนบรรดาเรื่องจิปาถะอย่างบิลบัตรเครดิต ร้านที่ต้องสั่งข้าว รวมไปถึงบรรดาบุคคลสำคัญที่เมทิยาต้องจดจำไว้

เอาจริง ๆ นะ วรีวาฏิกาว่าตัวเองหัวทึบแล้ว แต่สาวมาใหม่นี่ดูจะงงกับทุกอย่างซะยิ่งกว่าเธอ นอกจากหน้าตาน่ารักสดใส พร้อมรอยยิ้มน่าเอ็นดูนั่นแล้ว วรีวาฏิกาอยากจะจับสาวข้าง ๆ มาเขย่าหัวสักหลาย ๆ รอบ งานง่าย ๆ อย่างจองห้องประชุม ทำไมมันสอนยากสอนเย็นแบบนี้ ที่น่าโมโหคือ เมทิยาไม่แม้แต่จะจด!

ทำไมไม่จดล่ะ? เธอทำโน้ตไว้ให้ก็จริง แต่ก็ควรจดบ้างรึเปล่า นี่ไม่จดอะไรทั้งสิ้น แถมยังแอบเล่นมือถือเป็นระยะ หลังจากสามชั่วโมงผ่านไป วรีวาฏิกาก็ทนไม่ไหว ถึงกับเอ่ยเตือนแบบพยายามรักษาน้ำใจว่า

“วาว่าเมย์จดไว้ดีไหมคะเรื่องนี้ เวลาทำงานพลาดคุณภควัตน์โมโหเอาเรื่องอยู่นะคะ”

ซึ่งเลขาสาวคนใหม่หาได้สนใจคำเตือนของเธอไม่ เพราะเมทิยาสวนทันควันว่า

“ไม่ต้องจดหรอกค่ะ เมย์จำได้ เมย์ความจำดี”

ห๊ะ? ความจำดี? สูงกว่าความมั่นหน้าของเมทิยาก็ชั้นฟ้าสตาร์โทสเฟียร์แล้วล่ะย่ะ! ความจำดีบ้าอะไรกัน! เรื่องที่สอนไปเมื่อกี๊สาวตรงหน้าดูไม่เห็นจะจำได้เลยสักนิด

ช่างเถอะ เป็นตายยังไงเธอไม่ยอมสอนงานให้เกินห้าวันเด็ดขาด ถ้าเมทิยาสอนแล้วไม่จำก็ตัวใครตัวมันก็แล้วกัน เธอไม่สนแล้ว!!!




--------------------

ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์ปลายปากกา

เปิดจองวันที่ 8 ธันวาคม 2563 – 31 มกราคม 2564

เต็มอิ่มจุใจด้วยจำนวน 458 หน้า พร้อมตอนพิเศษ 4 ตอนรวด

แอบกระซิบว่ายังไม่เคยลงตอนพิเศษมาก่อนเลย ตอนเขียนไรท์ชอบมาก

กะว่าให้นักอ่านทุกคนได้อ่านตอนพิเศษที่เผยความบ้าบอของพี่พาร์คแบบอิ่มอกอิ่มใจกันไปเลยค่ะ :)

มาในราคาเพียง 319฿ จากราคาปก 350฿

นิยาย 400 กว่าหน้า หนามากกกก แต่มาในราคานี้ คุ้มมากค่ะทุกคน ไปตำกันค่ะ!

ยังค่ะ ยังไม่พอ...ส่งฟรีแบบลงทะเบียนด้วยค่ะ

ส่วนใครอยากอ่านไว ๆ เลือกแบบจัดส่ง EMS บวกเพิ่มเพียง 45฿ เท่านั้นค่ะ

**พร้อมจัดส่งต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2563**

ช่องทางสั่งจอง

- Inbox เพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ http://bit.ly/2HZDPZC

- Line: plaipakkabooks

- เมล์ plaipakkabooks@gmail.com

-ร้านนิยายออนไลน์ที่ร่วมเปิดจอง (ชื่อร้านดูได้ในเพจสำนักพิมพ์)

**การสั่งจอง กรุณาแจ้งชื่อนิยายที่สั่งจอง จำนวน และวิธีจัดส่ง + ชื่อผู้สั่งจอง**

เตือนแล้วนะ! เชฟป้อมไม่ได้กล่าว...

---------------------------------------------------------------------------------

รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว