บทที่10
การเดินทาง (1)
สองวันต่อมาชิงเฮยหลง เซี่ยซ่งเว่ย และ กู่เทียนห้าวก็ออกเดินทางสู่เมืองหลวงแคว้นชิงหลง เพื่อมุ่งตรงไปยังสำนักศึกษามังกรผงาดฟ้า เพียงแต่ยังไม่ทันก้าวพ้นประตูเมืองขบวนรถม้าของนายท่านอวิ๋นก็ผ่านมาเสียก่อน
“ได้ยินว่าพวกเจ้าจะเดินทางไปสำนักศึกษามังกรผงาดฟ้า ช่างบังเอิญนักที่ข้าก็กำลังจะเดินทางไปเมืองหลวงพอดี”
ชิงเฮยหลงยกมุมปากเล็กน้อยไม่เอ่ยวาจาใด อวิ๋นตงเสวียนขมวดคิ้วเข้มของตนเด็กน้อยผู้นี้นอกจากใบหน้าที่นิ่งดุจน้ำแข็งพันปีแล้ว นิสัยเย่อหยิ่งของเขาก็ช่างน่าโมโหยิ่ง
“คุณชายน้อยเมืองหลวงอยู่ไกลนักเส้นทางก็ยากลำบาก อย่างไรไม่สู้ท่านเดินทางไปกับนายท่านอวิ๋น”
แม้อยากปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นแววตาห่วงใยของหรูเย่หรง ชิงเฮยหลงก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วทะยานตัวเองขึ้นหลังม้าตัวหนึ่งที่ว่างอยู่
“เสี่ยวหลง เจ้าขี่ม้าเป็นด้วยหรือ”
กู่เทียนห้าวเอ่ยถามอย่างตกตะลึง สหายตัวน้อยของเขามิใช่พึ่งพ้นวัยห้าขวบมาได้ไม่นานหรือไร เหตุใดจึงมีความสามารถเกินวัยได้มากมายเพียงนี้ เซี่ยซ่งเว่ยยกยิ้มเล็กน้อยก่อนขึ้นควบม้าอีกตัว เมื่อเห็นว่าสหายสองคนต่างขึ้นไปอยู่บนหลังม้ากู่เทียนห้าวก็กระโดดขึ้นตามไปในทันที
“ทำไมต้องเป็นข้าที่คอยตามหลังพวกเจ้าในทุกที”
ชิงเฮยหลงยกยิ้มมุมปากกับเสียงบ่นของสหายร่างบึกบึน ท่าทางน้อยใจนี้ของเขาช่างขัดกับรูปร่างใหญ่โตนั้นนัก
อวิ๋นตงเสวียนมองหญิงสาวร่วมรถม้าด้วยแววตาขุ่นมัว นับจากที่ชิงเฮยหลงร่วมขบวนเดินทางมาสายตาของนางก็เอาแต่มองออกไปนอกหน้าต่าง จดจ้องเพียงร่างเล็กบนหลังม้านั่นตลอดเวลา
“หรงเอ๋อร์ข้าหิวน้ำ”
อวิ๋นตงเสวียนขบกรามแน่นเขาเอ่ยประโยคนี้มาสามรอบแล้ว แต่คนที่เรียกขานก็ยังทำคล้ายไม่ได้ยิน
ปัง!!
หรูเย่หรงพลันสะดุ้งสุดตัวเมื่อหน้าต่างตรงหน้าปิดลงอย่างกะทันหันพร้อมทั้งร่างสูงใหญ่ของคนร่วมรถม้าที่เข้ามาประชิดนาง
“นายท่าน...ต้องการสิ่งใดหรือเจ้าคะ”
หรูเย่หรงแนบแผ่นหลังตนกับผนังรถม้า สายตาสบกับแววตาคมนิ่งดุดันของคนตรงหน้า ริมฝีปากบางสวยสีชมพูอ่อนขยับเล็กน้อยด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
“สนใจข้าด้วยหรือ”
หรูเย่หรงขมวดคิ้วเรียว คำถามนี้ของเขากำลังหมายถึงสิ่งใดกัน ด้วยสถานะของนางยามนี้นางย่อมต้องสนใจเขาอยู่แล้วมิใช่หรือ
“ข้าหิวน้ำ”
อวิ๋นตงเสวียนค่อยๆ ถอยห่างจากร่างบอบบางตรงหน้า ไม่รู้ด้วยเหตุผลใดยามที่เขาเข้าใกล้นางคล้ายเลือดลมในกายจะติดขัดขึ้นมาเสียทุกครั้งไป
หรูเย่หรงรินน้ำชาส่งให้เขา ก่อนค่อยๆ หันไปเปิดหน้าต่างที่เข้าใจว่าถูกลมภายนอกทำให้ปิด
“ข้าแพ้ฝุ่น ห้ามเปิดหน้าต่าง”
แม้ในใจจะสงสัยแต่หรูเย่หรงก็ได้แต่เม้นริมฝีปากเอาไว้ในแน่น ไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา เพียงแต่ความห่วงใยต่อองค์ชายน้อย ทำให้มิอาจหักห้ามสายตาของนางที่มักมองไปที่หน้าต่างบ่อยครั้ง ราวกับนางสามารถมองทะลุออกไปยังด้านนอกได้
“หรงเอ๋อร์มานี่”
มือหนาซบที่เบาะบุนวมด้านข้างเขาเบาๆ หรูเย่หรงค่อยๆ ขยับกายไปนั่งข้างเขาแต่ยังคงเว้นระยะห่างจนชิดผนังรถม้า อวิ๋นตงเสวียนยกมุมปากเล็กน้อยก่อนทิ้งศีรษะของตนบนตักนุ่มของนาง
“นายท่าน...”
หรูเย่หรงตกใจกับการกระทำของเขา มือบางจับศีรษะของเขายกขึ้นไว้ไม่ยินยอมให้วางบนตักของตน
“ข้าเวียนหัวอยากพักสายตา ในนี้ไม่มีหมอนเจ้าก็เป็นหมอนไปก่อนแล้วกัน”
กล่าวจบก็ปิดเปลือกตาลงทิ้งศีรษะบนตักนางอย่างแท้จริง หรูเย่หรงถอนหายใจยาวก่อนค่อยๆ วางมือบนขมับของเขาแล้วนวดคลึงเบาๆ ด้วยน้ำหนักมือและฝีมือการนวดที่ชำนาญในที่สุดคนที่คิดแกล้งหลับก็หลับไปจริงๆ
การเดินทางจากเมืองหนานอี้ที่เป็นเมืองชายแดนติดแคว้นจูเชวี่ยน เพื่อไปยังเมืองหลวงแห่งแคว้นชิงหลงนั้นมีเส้นทางสองเส้นทางหลัก หนึ่งคือเดินทางผ่านเมืองหนิงเหอที่ตั้งติดแม่น้ำชิงเหอ สองคือเดินทางผ่านเมืองหนิงหลงที่ตั้งติดเขตแดนป่าอาถรรพ์ซึ่งเป็นที่อยู่ของสัตว์เทพ
“นายท่านตอนนี้มาถึงทางแยกแล้ว”
เกาอี้เอ่ยถามที่ข้างรถม้า อวิ๋นตงเสวียนค่อยๆ ปรือตาขึ้นดวงตาคมมองร่างบางที่เป็นหมอนให้ตนมาร่วมสองชั่วยามกำลังนั่งหลับด้วยแววตาอ่อนโยน
“ไปทางเมืองหนิงหลง”
กล่าวจบมือหนาก็ค่อยๆ ประคองร่างที่นั่งโคลงไปมาลงบนตักอย่างอ่อนโยน ก่อนหน้านี้นางยอมเป็นหมอนให้เขา เช่นนั้นครั้งนี้ก็ถือเสียว่าเขาเป็นหมอนคืนให้นางก็แล้วกัน
ชิงเฮยหลงและสหายไม่ได้เอ่ยแย้งอะไร เขาเป็นเพียงผู้ติดตามผู้นำคณะว่าอย่างไรพวกเขาก็เพียงทำตามอย่างนั้น
เพียงแต่เมื่อเดินทางเข้าเขตเมืองหนิงหลงได้ไม่นานนัก คล้ายกับรอบตัวพวกเขามีบางสิ่งผิดปกติ
“สัตว์เทพ!!”
อวิ๋นตงเสวียนเอ่ยบอกเสียงตื่นตระหนก ด้วยพลังปราณระดับเขาย่อมดักจับไอสังหารที่ส่งออกมาได้ เมื่อเขาวิเคราะห์ดูแล้วจึงพบว่าไอสังหารเหล่านั้นมาจากสัตว์เทพที่กำลังพุ่งตรงมายังพวกเขา และไม่ใช่เพียงหนึ่งแต่นับสิบตัว
“หยุด!!! ผู้ที่มีพลังปราณต่ำกว่าระดับห้าถอยไปให้หมด”
เสียงสั่งการเด็ดขาดดุดันดังมาจากในรถม้าก่อนที่ร่างสูงโปร่งของอวิ๋นตงเสวียนจะประคองหรูเย่หรงลงจากรถม้า
“เกาอี้พานางไปอยู่ในที่ปลอดภัย คุ้มครองนางให้ดี”
“แต่ว่า...”
“ไม่มีแต่!!”
เกาอี้นับว่าเป็นผู้มีฝีมือมากที่สุดในบรรดาลูกน้องของเขา ปกติแล้วหน้าที่ของเกาอี้คืออยู่ข้างกายนายท่านอวิ๋นเพื่อคุ้มครองเขาโดยเฉพาะ แต่ยามนี้เพื่อคุ้มครองหญิงม่ายผู้หนึ่งนายท่านถึงกับส่งเกาอี้ออกมา ดูแล้วน้ำหนักของนางในใจนายท่านอวิ๋นคงมิน้อยทีเดียว
“เทียนห้าวเจ้ามิใช่มีพลังปราณขั้นสี่หรือไร ทำไมยังไม่ไปหลบที่ด้านหลังอีก”
เซี่ยซ่งเว่ยเอ่ยเตือนสหายด้วยสีหน้ากังวล หากแต่กู่เทียนห้าวกับส่งสายตาไม่พอใจมาให้เขาพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน
“ซ่งเว่ย!! เจ้าดูถูกฝีมือข้าหรืออย่างไร”
เซี่ยซ่งเว่ยถอนหายใจยาว เขาไม่ได้คิดดูถูกฝีมือของกู่เทียนห้าว เพียงแต่หากนายท่านอวิ๋นกล่าวเช่นนั้น เกรงว่าศัตรูที่ต้องเผชิญหน้าฝีมือคงมิธรรมดา กู่เทียนห้าวมีพลังปราณเพียงขั้นสี่อาจจะมิอาจรับมือศัตรูได้
“พวกเจ้าสองคนเป็นสหายข้า ยามมีอันตรายจะให้ข้าเอาตัวรอดเพียงผู้เดียวได้อย่างไร”
“เช่นนั้นก็ถือเสียว่าซ้อมมือ”
เมื่อเห็นว่ากู่เทียนห้าวไม่คิดถอย ชิงเฮยหลงจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบคลายสิ่งที่กำลังจะเผชิญนั้นเป็นเพียงการเดินชมตลาดเช้าเท่านั้น เมื่อสหายตัวน้อยกล่าวเช่นนั้นเซี่ยซ่งเว่ยก็ได้แต่ถอนหายใจยาวเอาเถิดสหายเพียงคนเดียวเขาย่อมปกป้องได้ไม่ยากนัก
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว