หงส์คืนแค้น-Chapter 5 คุณชายชุดสีขาว

โดย  แสงแข

หงส์คืนแค้น

Chapter 5 คุณชายชุดสีขาว

ณ ทวีปเต่าทมิฬ เมืองหลวงฟ้าทมิฬ


เป็นอีกครั้งที่ ซุน ได้พบเห็นสิ่งแปลกใหม่ บรรยากาศของที่นี่ก็มีกลิ่นอายและสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างจะแตกต่างไปจากทวีปพยัคฆ์ขาว รวมไปถึงทวีปมังกรฟ้า... เหล่าหญิงสาวทั้งกลุ่มแสดงท่าทีดีใจกันเสียยกใหญ่ เพราะพวกนางไม่ได้กลับมาที่ร่วมสามปีได้แล้ว


ซุน ได้พูดคุยกับ มู่เม่ยเม่ย ถึงเหตุผลที่พวกนางกลับมา... ส่วนนางเองก็เพิ่งจะทราบเช่นกัน ว่าเป้าหมายของ ซุน ก็คือการมาท้าชิงชัยตำแหน่งราชันย์รุ่นเยาว์ที่สถาบันเทพมังกรศักดิ์สิทธิ์ นางจึงช่วยอธิบายความมืดดำและภัยอันตรายที่เริ่มปกคลุม หลังจบศึกชิงชัยมหาขุมทรัพย์เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้


“รอบ ๆ สถาบันฯ เริ่มมีคนแปลกหน้ามากยิ่งขึ้น จนสถาบันฯ ได้ประกาศออกมาแล้วว่าจะไม่ขอต้อนรับผู้ใดในช่วงนี้ เว้นเสียแค่ผู้ที่เคยนัดหมายกันไว้ก่อนวันที่มหาขุมทรัพย์ถูกเปิดออก... อีกทั้งเหล่าผู้อาวุโสในสถาบันฯ ยังจับคนร้ายที่พยายามจะแทรกแซงเข้ามาในสถาบันฯ ได้ไม่เว้นแต่ละวัน ผลกระทบมีมากจนถึงขั้น ศิษย์ในสถาบันฯ แทบไม่ได้ฝึกฝนกันแล้ว มีความอันตรายที่ค่อย ๆ ยกระดับเพิ่มสูงขึ้น


ล่าสุดที่ทำให้ข้าตัดสินใจ นำพาศิษย์พรรคเสี้ยวจันทรากลับมา เป็นเพราะเกิดการต่อสู้ของยอดฝีมือชนชั้นราชันย์ที่แฝงตัวเข้ามาในสถาบันฯ แม้ว่าสุดท้ายยอดฝีมือผู้นั้นจะถูกสังหาร แต่ผลกระทบก็ทำให้ศิษย์สายนอกของสถาบันฯ ตายไปถึง 5 คน ดังนั้นในเมื่อสถาบันฯ ไม่ใช่สถานที่ปลอดภัยอีกแล้ว ข้าจึงตัดสินใจพาเด็ก ๆ เหล่านี้จากมา...” มู่เม่ยเม่ย กล่าวอธิบายถึงสถานการณ์คร่าว ๆ


ซุน ที่ได้ยินได้ฟัง ก็รู้สึกได้ว่าเป็นเรื่องที่น่ากลัวจริง ๆ และอาจจะทวีความรุนแรงขึ้นตามลำดับจากจำนวนของผู้ที่ทยอยลับลอกเข้ามาในทวีปมังกรฟ้าอย่างต่อเนื่อง... “ขอบคุณผู้อาวุโสสำหรับข้อมูลเหล่านี้ ข้าจะจดจำไว้และจะดูแลตัวเองให้ดียิ่งขึ้น”


หญิงสาวเผยรอยยิ้มเจือจาง... ก่อนนางจะมอบเงิน 1,000 เหรียญทองให้ ซุน ตามสัญญา... “ข้าติดค้างเจ้า 200 ล้านเหรียญทอง หากมีโอกาสได้มาเยี่ยมเยือนที่นี้อีกในภายภาคหน้า เจ้าสามารถมาหาข้าที่พรรคเสี้ยวจันทราได้เสมอ ข้าพร้อมจะคืนเงินในส่วนที่เหลือให้กับเจ้า...”


พวกนางได้แยกตัวจากไป ทั้งยังมีสายตาเย้ายวนจากศิษย์สาวหลายคนที่ทอดมองมายังชายหนุ่ม ทำเอา ซุน รู้สึกกระชุ่มกระชวยหัวใจอยู่ไม่น้อย... ก่อนจะตัดสินใจกลับ ซุน ได้ชำเลืองไปเห็น หอคอยสุสานเทพอสูรเต่าทมิฬ ที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวง


ซุน จึงอดไม่ได้ที่จะนึกถึงการดำรงอยู่ของราชันย์อสรพิษเกล็ดสีทองตนนั้น คราวก่อนที่มันหลบหนีไปหลังจากทราบว่า ซุน เป็นร่างสถิตราชันย์พยัคฆ์ รวมไปถึงท่าทีแปลกประหลาดก่อนจะจากมา คล้ายบ่งบอกว่า ราชันย์อสรพิษกลืนนภาตนนั้น จะต้องปิดบังเรื่องราวบางอย่างอยู่แน่นอน(ตอนที่ 256)


อสรพิษน้อย เฟยเสอ มีอาการสั่นไหวเบา ๆ อยู่ในรอยสักตราประทับ ราวกับว่ารับรู้ถึงกลิ่นอายบิดาแท้จริงของตัวเองที่เจือจาง... ซุน มีแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ “ไม่ว่าจะหอคอยแห่งไหน ๆ ต่างก็ล้วนน่าขึ้นไปพิชิตหาความจริงทั้งสิ้น คอยก่อนเถอะหากข้าสะสางเรื่องราวในส่วนที่ติดพันอยู่หมดสิ้นเมื่อใด ข้าจะไล่เรียงพิชิตในให้ได้ในทุกหอคอย...”


การกลับไปยัง ทวีปมังกรฟ้า ก็มิใช่เรื่องยากเย็น ซุน เพียงแค่แสดงป้ายทองคำพิเศษให้ผู้จัดการสาขาทวีปเฒ่าทมิฬนี้ได้เห็น ก็แทบจะมีเกี้ยวมารับ ซุน กลับเข้าไปในประตูมิติเคลื่อนย้ายแล้ว... ในใจยังนึกเสียดาย ว่าหากตนมาแอบตั้งเก็บค่าเดินทางราคาต่ำอยู่ด้านหน้า กิจการสาขา ก็คงทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำแน่นอน ยังดีที่เจ้าตัวก็พอจะมีสามัญสำนักอยู่บ้าง ผนวกกับที่เวลาไม่ได้คอยท่า สุดท้ายจึงมุ่งหน้าไปยังสถาบันเทพมังกรศักดิ์สิทธิ์ในทันที...


ระหว่างที่ ซุน กำลังเดินทางออกจากเมืองหลวง... ซุน ก็รับรู้ได้ถึงเส้นสายตามากมายที่แอบซ่อนตัวและเพ่งมองมายังตนเอง ตอนอยู่ร่วมกับสองยอดฝีมือชนชั้นราชันย์ขั้นสูงสุดอย่าง เฉียงฟางจุน และ เตียมู่หยง ก็ยังไม่ค่อยรู้สึกเท่าไหร่นัก


แต่พออยู่เพียงลำพังแล้ว ดูเหมือนสายตาเหล่านั้นคล้ายจะยิ่งมีมากขึ้น สิ่งหนึ่งที่ยังเบาใจได้ คือรอบรัศมีในทุกด้านเวลานี้ ซุน สัมผัสไม่ได้ถึงการดำรงอยู่ของยอดฝีมือระดับชนชั้นราชันย์ขึ้นไป อย่างมากก็มีเพียงยอดฝีมือชนชั้นลมปราณสีส้มจำนวนประปลายเท่านั้นเอง...


เขตในเมืองหลวงถือรวมไปถึงรัศมี 10 ลี้รอบเมือง ถือเป็นเขตห้ามบินหากไม่ได้รับอนุญาตมาก่อน ดังนั้นการจะนำ เฝิงน้อย ออกมาให้ช่วยหลบหนี ก็อาจถูกทหารในเมืองหลวงสอยร่วงลงมาได้ จำเป็นที่จะต้องผ่านประตูเมืองออกไปยังด้านนอก ในจุดที่ห่างจากเมืองหลวงเกิน 10 ลี้เสียก่อนตามกฎ...


ซุน แม้ไม่มีป้ายสำมะโนครัวเป็นของตนเอง ส่วนป้ายทองคำก็ไม่อาจนำมาใช้ได้เพราะถึงจะมีติดตัว แต่ ซุน ก็ไม่ใช่สายเลือดตระกูลกุ่ย ตามหลักแล้วถือว่าผิดกฎหมายราชการแผ่นดิน... แต่ชายหนุ่มก็ยังสามารถใช้ป้ายตัวตนของพรรคมังกรฟ้า เพื่อแสดงต่อทหารเวรยามเพื่อออกจากเมืองได้...


จากนั้นชายหนุ่มก็พลันระเบิดฝีเท้าเต็มกำลัง

มุ่งหมายจะออกไปจากเขตรัศมีห้ามบิน...


ทว่าที่ด้านนอกเมือง ก็ดูเหมือนจะมีคนเฝ้าจับตามองอยู่เช่นกัน อีกทั้งยังเป็นชนชั้นยอดฝีมืออีกด้วย พริบตาที่ชายหนุ่มระเบิดท่าร่างออกมา ก็ราวกับทุกฝ่ายที่จับตามองอยู่ได้เริ่มเคลื่อนไหวไปพร้อม ๆ กัน สัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นลมปราณที่กระจายรอบด้าน ซุน รู้สึกถึงวิกฤตที่อันตราย ทำให้ดวงตาฉายความเด็ดเดี่ยวอย่างถึงที่สุด...


ความเร็วของ ซุน สร้างความสะท้านสะเทือนเป็นอย่างมาก เพราะมันมิใช่ความเร็วที่ชนชั้นลมปราณสีเขียวขั้นปลายจะมีได้... แต่ถึงกระนั้นก็มิได้แปลว่าคนอื่น ๆ จะตามไม่ทัน เหตุเพราะด้านนอกเมืองก็ยังมีชุมชนขนาดย่อยกระจัดกระจายอยู่ พื้นที่ไม่ได้เหมาะสมกับการใช้ความเร็วมากนัก ผนวกกับที่กลุ่มคนเหล่านั้น มีบางส่วนที่ดักอยู่ด้านหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว...


ซุน มองเห็นลูกธนูที่ห่อหุ้มไปด้วยลมปราณอันกล้าแกร่งพุ่งตรงเข้ามานับร้อยสาย จึงกัดฟันแน่นดวงตาฉายแสงคมกล้า ระเบิดปราณสายลมสีน้ำเงินระลอกหนึ่ง สร้างกระแสลมเชือดเฉือนทำลายลูกธนูเหล่านั้นทันที...


แต่สุดท้ายกลับพบว่าตนได้ตกอยู่ในวงล้อมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว... ยอดฝีมือชนชั้นลมปราณสีเหลืองและชนชั้นลมปราณสีส้มหลายสิบคน ปกปิดใบหน้ามิดชิดวางค่ายกลบางอย่างไม่ยอมให้ชายหนุ่มหลบหนี...


ทว่าทันใดนั้น ปราณกระบี่ยักษ์หลายสายพลันหล่นร่วงลงมาจากบนท้องฟ้า กวาดทำลายค่ายกลดังกล่าวจนระเบิดออกพินาศสิ้น ส่งเสียงกัมปนาทดังกังวานออกมาสี่ทิศแปดด้าน ก่อนจะสังหารคนที่โอบล้อมจำนวนหนึ่งได้ในชั่วพริบตา...


ซุน รู้สึกใจชื้นขึ้นมาทันที เมื่อเห็นเงาร่างของคนที่คุ้นเคย...

“ผู้อาวุโส โอวหยางสุ่ย!!”


ผู้จัดการสาขา โอวหยางสุ่ย เร่งฝีเท้าตาม ซุน มาจากทางด้านหลัง รอบกายของชายชราเต็มไปด้วยไอสังหารและอำนาจคุกคามอย่างรุนแรง มือขวาถือกระบี่สีแดงฉาน ฝ่าทะลวงเหล่ายอดฝีมือในส่วนที่เหลือด้วยเพลงกระบี่อันเหนือชั้นของตระกูลโอวหยาง ไม่กี่อึดใจก็สามารถเข้าถึงตัว ซุน ได้ในฐานะผู้คุ้มกัน...


“คุณชายซุน ปลอดภัยดีงั้นสินะ”


ซุน ไม่ได้แสดงสีหน้าหวาดกลัวมากมายนัก ทั้งดวงตายังแฝงเร้นไปด้วยปณิธานแห่งการต่อสู้ที่กำลังลุกโชน สร้างความประหลาดใจให้กับ โอวหยางสุ่ย อยู่ไม่น้อย เนื่องด้วยหากเป็นผู้เยาว์โดยปกติแล้วล่ะก็ เหตุการณ์นี้คงมากพอจะเขย่าคลอนจิตใจให้สั่นระรัว แต่ชายหนุ่มผู้นี้กลับเต็มไปด้วยสมาธิและความนิ่งสงบ เห็นได้ชัดว่า ซุน ค่อนข้างจะมีประสบการณ์เผชิญหน้าวิกฤตมาอย่างโชกโชน...


“ข้ายังปลอดภัยดี... เกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นหรือ?”


“ดูเหมือนว่าคนร้ายพวกนี้ จะมีวัตถุวิเศษบางอย่างทำการปิดกั้นหยกสื่อสาร ทำให้ผู้อาวุโสเฉียงฟางจุน ไม่อาจส่งข้อความมาถึงเจ้าได้ จึงเร่งติดต่อมาหาข้าให้ตามมาช่วยเหลือ... ข่าวการมาถึงของกลุ่มพิชิตมังกรที่จะไปยังสถาบันฯ คล้ายจะรั่วไหลออกไป ทำให้คนร้ายเหล่านี้มีจุดประสงค์ที่จะเล่นงานพวกเจ้าและแฝงตัวแทนที่...


ทางด้านผู้อาวุโสเฉียง และกลุ่มพิชิตมังกรที่ออกไปก่อนหน้านี้ ก็ถูกลอบโจมตีเช่นกัน แต่เพราะจำนวนศัตรูมีไม่มากเหมือนกับที่ติดตามเจ้า คาดว่าคงเป็นเพราะพวกมันเห็นสองยอดฝีมือชนชั้นราชันย์ขั้นสูงสุดสองคนที่คอยอารักขาอยู่...” โอวหยางสุ่ย เอ่ยอธิบายด้วยใบหน้าเคร่งขรึม


ซุน ได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับกัดฟันแน่น ไม่คิดว่าคนร้ายจะมาในรูปแบบนี้ ตนนั้นพลาดเองที่คาดคะเนไม่ถี่ถ้วน คิดว่าจะมีศัตรูเฉพาะแค่รอบ ๆ สถาบันฯ ถึงได้กล้าแยกตัวเองออกมาเพียงลำพังเช่นนี้... “ขอบคุณผู้อาวุโสที่ตามมาช่วยเหลือ”


โอวหยางสุ่ย พยักหน้าตอบรับ ก่อนจะทอดสายตามองกลับไปด้านหลัง แผ่รัศมีชนชั้นราชันย์ให้กระจายคุกคามสยบจิตต่อสู้ของคนร้ายให้ไม่กล้าเข้ามาใกล้ ชายชรายังสามารถสัมผัสได้ถึงจำนวนของผู้ที่ติดตามมาอีกไม่น้อยที่ดักซุ่ม หว่างคิ้วของ โอวหยางสุ่ย จึงยับย่นโดยพลัน...


“ตามภาระหน้าที่ตัวข้าเองก็ไม่อาจทิ้งกิจการสาขาไว้ได้นานนัก ดังนั้นข้าจะคุ้มกันเจ้าไปจนถึงเขตที่สามารถให้วิหคพาหนะบินได้ ห่างจากจุดนั้นไปทิศตะวันออกอีกราว ๆ 300 ลี้ กลุ่มของผู้อาวุโสเฉียง กำลังหยุดรอเจ้าอยู่ที่นั่น รีบไปเถอะข้าจะคอยสกัดพวกมันเอาไว้ให้เอง...”


ทั้งสองเร่งฝีเท้าขึ้นมาอีกระดับ ตลอดเส้นทาง โอวหยางสุ่ย ได้ปลดปล่อยรังสีกระบี่ให้กระจัดกระจายออกไปรอบรัศมี ไม่มีคนร้ายหน้าไหนกล้าที่จะตอแยชายชราผู้นี้ หรือต่อให้หาญกล้าเผชิญหน้าสุดท้ายก็กลายเป็นศพ จมกองเลือดเซ่นสังเวยกระบี่แดง ความร้ายกาจนั้นสมกับที่เป็นคนดูแลกิจการสาขาของเมืองหลวง...


จริงอยู่ที่ผิวเผินเหตุการณ์นี้ไม่อาจนับเป็นเรื่องปกติสามัญ จะเรียกได้ว่าเป็นวิกฤตอันตรายรูปแบบหนึ่งก็ยังได้... ทว่าสำหรับ ซุน ที่พบเจอวิกฤตนับครั้งไม่ถ้วนมาตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมาอยู่แล้ว จึงมิได้รู้สึกรู้สาใด ๆ ต่อเหตุการณ์นี้มากมายนัก เพราะศัตรูที่ติดตามมา ยังอยู่ในขอบเขตที่ตนเองกล้าเผชิญหน้า...


ที่สำคัญ...นอกจากชายหนุ่มจะไร้ความหวาดกลัวใด ๆ กับสถานการณ์เช่นนี้แล้ว ยังแอบแสยะยิ้มอยู่เป็นระยะ เนื่องด้วยจู่ ๆ ก็ได้มีทรัพยากรหายากทั้งดวงวิญญาณและซากศพของยอดฝีมือ มามอบให้ตนอย่างต่อเนื่อง โดย ซุน ยังคงให้เหตุผลกับ โอวหยางสุ่ย ว่าจะเอาศพและดวงวิญญาณเหล่านี้กลับไปตรวจสอบหาที่มา...


ไม่นานทั้งสองก็มาถึงเขตที่สามารถใช้วิหคพาหนะได้แล้ว... ซุน ขัดใจเล็กน้อยที่ยังไม่มีศพของยอดฝีมือชนชั้นราชันย์หลุดมาให้ได้เห็นบ้าง มิเช่นนั้นคงสามารถเอาดวงวิญญาณยอดฝีมือระดับราชันย์ไปสกัดเป็น โอรถปราณวิญญาณ เพิ่มพูนพื้นฐานให้กับตนเองได้อีกระดับ...


“รีบไป!! ข้าจะตรึงสกัดพวกคนร้ายทั้งหมดไว้ที่นี่ จะไม่ยอมให้ใครสามารถติดตามเจ้าไปได้อีก... ทว่าทางเจ้าก็อย่าเพิ่งประมาทเกินไปนัก เพราะข้าเองก็ไม่ทราบได้ว่าหนทางข้างหน้ายังจะมีศัตรูดักซุ่มรออยู่อีกหรือไม่...” โอวหยางสุ่ย เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแน่นหนักทั้งย้ำเตือน


ซุน ประสานมือทำความเคารพ รู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง ก่อนจะเรียก เฝิงน้อย ออกมา ห้อทะยานโผบินด้วยความเร็วมหาศาล บัดนี้ เฝิงน้อย ที่ผ่านการบำรุงกำลังวังชามาอย่างมากมาย แม้ยังมิอาจลบเลือนความแก่ชราที่ปรากฏ หากแต่พื้นฐานที่แผ่ล้นออกจากเรือนกายนั้น มิใช่สัตว์อสูรวิหคชนชั้นลมปราณสีน้ำเงินอีกแล้ว แต่ถูกยกระดับขึ้นเป็นสัตว์อสูรชนชั้นลมปราณสีเขียว ร่างกายได้ขยายใหญ่โตและแข็งแกร่งขึ้นอีกหลายเท่าตัว ระเบิดความเร็วเพียงครั้ง ก็ประหนึ่งพญาวิหคที่ถลาบินเป็นเส้นตรง...


แววตาของชายหนุ่มเผยความเด็ดเดี่ยวเหี้ยมหาญ ระยะทางนับจากนี้ไปอีกหลายร้อยลี้จะไร้ยอดฝีมือที่คอยปกป้องตนเองอีกแล้ว เหลือเพียงพื้นฐานวิชาและศัสตราวุธเท่านั้นที่จะใช้พึ่งพิงได้...


.....................................................

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว