อุบายรัก เล่ห์ลวงใจ 我們戀愛吧!-บทที่ 9 ฮีโร่

โดย  Red:cute98

อุบายรัก เล่ห์ลวงใจ 我們戀愛吧!

บทที่ 9 ฮีโร่

บทที่ 9

ฮีโร่


หลินอี้เสียงถึงกับเบิ่งตาโตค้างราวกับถูกสาปให้เป็นหินเมื่อได้ยินคำถามแบบนี้ โจวไห่หลินยิ้มที่มุมปากและพาสายตาเย็นชาหันมาหาเขา

“ไง..ตอบไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะ งั้นฉันไปนอนล่ะ” หญิงสาวกดรีโมทปิดโทรทัศน์ทำท่าจะลุกออกไป พลันเสียงของเขาก็ตอบออกมา

“คนเดียว”

คราวนี้เป็นโจวไห่หลินที่นิ่งไปบ้าง ครู่หนึ่งจึงเอ่ยออกมา

“อย่ามาโกหก! ”

“ฉันไม่ได้โกหก ทำไมฉันจะต้องนอนกับผู้หญิงหลายคนด้วย แล้วทำไมฉันจะต้องนอนกับคนที่ไม่ใช่แฟนฉัน” หลินอี้เสียงกล่าวจริงจังแต่กลับดูใจเย็นอย่างน่าประหลาด

“ฮึ...นายกำลังจะบอกว่านายมีแค่เพื่อนสาวตอนมัธยมที่นายเคยฟันแล้วทิ้งคนนั้นน่ะเหรอ”

โจวไห่หลินเอ่ยถึงข่าวเมื่อครั้งที่หลินอี้เสียงเพิ่งออกอัลบั้มชุดแรกและมีภาพหลุดที่ถ่ายคู่กับสาวคนหนึ่งซึ่งทั้งคู่ยังอยู่ในชุดนักเรียนมัธยมปลาย และจากนั้นก็มีข่าวตามมาว่าสาวในภาพเป็นแฟนกับหลินอี้เสียงซึ่งถูกเขา ‘ได้’แล้วทิ้ง

ข่าวฉาวครั้งนั้นเกือบจะสกัดดาวรุ่งอย่างหลินอี้เสียง เขาเพียงบอกว่าเขาคบหากับสาวในภาพจริงแต่ไม่มีสัมพันธ์ลึกซึ้ง และคิดว่าคงมีการเข้าใจผิดมากกว่า

เป็นอันว่าหลินอี้เสียงยังรอดมารับฉายา ‘เทพบุตรเท้าไฟ’ ได้อย่างราบรื่น

“ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เป็นอะไรกับฉันเลยด้วยซ้ำ....” เขาบอก “พูดตามตรงก็คือเขาตามตื๊อฉัน ขอเดทกับฉันจนฉันใจอ่อนยอมไปเดทด้วยแค่ครั้งเดียวแล้วก็ไม่มีอะไรเกินเลย แล้วภาพพวกนั้นเขาก็เป็นคนถ่าย ฉันพอจะเดาได้ว่าเขาเป็นคนปล่อยภาพพวกนั้นออกมา แต่จะทำไงได้ ถ้าฉันพูดความจริงเขาก็ต้องเสียหาย”

โจวไห่หลินอึ้งไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าความจริงจะเป็นเช่นนี้ แต่....

เธอจะเชื่อเขาหรือ?

“นายกำลังจะบอกว่าเคยมีแฟนแค่คนเดียวงั้นสิ”

“แล้วมันน่าแปลกตรงไหนที่ฉันเคยมีแฟนมาแค่คนเดียว เธอคงไม่คิดว่าฉันเป็นแฟนกับผู้หญิงทั้งโขยงที่เคยเป็นข่าวด้วยหรอกนะ”

โจวไห่หลินนิ่ง...

“เอาล่ะ...” หลินอี้เสียงเอ่ย “ฉันตอบคำถามเธอแล้ว เธอจะเล่าเรื่องของเธอให้ฉันฟังได้รึยัง? ”

“ฉันยังไม่หมดคำถาม” โจวไห่หลินบอก

“โอเค..” ชายหนุ่มยักไหล่ “วันนี้ฉันให้เธอถามได้อีกคำถามแล้วกัน เก็บเรื่องที่เหลือไว้ถามวันอื่นบ้างก็ได้นะ นี่มันก็ดึกแล้ว”

“โอวหยางหนีกำลังจะแต่งงาน นายเสียใจรึเปล่า? ”

โจวไห่หลินเอ่ยถึง ‘โอวหยางหนี’ หรือ ‘นีนี่’ ดาราสาวที่เคยตกเป็นข่าวกับหลินอี้เสียงและหลายคนก็รู้ว่าทั้งสองคบกันจริง คนที่เป็นแฟนคลับของเขาย่อมรู้ดีว่าเรื่องนี้มีมูลที่น่าเชื่อถือได้

เสี่ยงเสียง...ให้มันรู้ไปซิว่านายจะยอมตอบคำถามแทงใจนี้ได้

หญิงสาวจงใจจี้จุดอ่อนของเขาและดูเหมือนว่าจะได้ผลเมื่อเธอเห็นแววตาของเขาสั่นไหวอย่างชัดเจน แต่นั่นกลับทำให้หัวใจของโจวไห่หลินเองสั่นสะท้าน

เขานิ่งไปพักหนึ่ง เธอกำลังจะอ้าปากตัดบทแต่เขากลับตอบออกมาเสียก่อน

“ฉันเสียใจมากตั้งแต่ตอนเลิกกันแล้ว มาถึงตอนนี้ฉันไม่ได้เสียใจเท่าตอนนั้นแล้ว”

“แล้วนายเลิกกับเขาทำไม? ” โจวไห่หลินถามแต่คราวนี้กลับรู้สึกเห็นใจเขาเป็นอย่างยิ่ง

“หึ...” หลินอี้เสียงหัวเราะออกมาอย่างซึมเซาก่อนจะเอ่ยต่อไป “ฉันไปให้สัมภาษณ์รายการบอกว่าระหว่างงานกับคนรัก ฉันขอเลือกงาน นีนี่ดูรายการนี้ก็โทรมาถามฉันว่าจะเอายังไงกับความสัมพันธ์ ฉันบอกไปว่าฉันให้ความสำคัญกับงานมากกว่าคนรักจริงๆ เขาคงน้อยใจเลยค่อยๆ ห่างฉันไป”

“ทำไม? ” โจวไห่หลินรับฟังอย่างสะเทือนใจ เธอเพิ่งเคยเห็นแววตาของหลินอี้เสียงอ่อนไหวมากมายถึงเพียงนี้

“ตอนนั้นฉันเพิ่งได้ฉายาเทพบุตรเท้าไฟ เธอคิดว่าฉันจะให้คนรักสำคัญที่สุดได้ยังไง ถ้าฉันทำแบบนั้นแฟนคลับอีกนับหมื่นจะต้องเสียใจ แล้วนีนี่ก็จะถูกแอนตี้ ไม่ว่าทางไหนมันก็ไม่ดี ฉันไม่ได้อยากจะเลิกกับนีนี่ ถ้าเขารอได้และเข้าใจเราอาจจะคบกันมาได้ แต่ฉันก็ไม่โทษเขาหรอก เขามีสิทธิ์เลือก ถ้ารู้ว่าตัวเองต้องการอะไรก็ต้องเลือกทางนั้น อย่างน้อยก็มีแค่ฉันกับนีนี่ที่เสียใจ แต่ก็ยังดีกว่าให้แฟนคลับเป็นหมื่นเป็นแสนคนต้องเสียใจไม่ใช่เหรอ”

เสี่ยงเสียงทำเพื่อแฟนคลับได้ขนาดนี้เชียวหรือ ถึงกับยอมเจ็บปวด

“แล้วนายยอมให้นีนี่เสียใจได้ยังไง นายรักเขาไม่ใช่เหรอ?”

“แต่แฟนเพลงฉันก็รักฉัน ฉันทำร้ายพวกเขาไม่ได้หรอก ส่วนนีนี่เป็นดาราถึงจะเลิกกับฉันไปก็หาคนอื่นได้อยู่แล้ว” หลินอี้เสียงกล่าวอย่างซึมเซา

“นายนี่มันบ้าจริงๆ! ” โจวไห่หลินโพล่งออกมาผุดลุกขึ้น “ทำไมต้องมาเล่าเรื่องพวกนี้ให้ฉันฟัง! ทำไมต้องเปิดแผลใจตัวเอง! นายจะไม่ตอบก็ได้นี่ ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ได้บังคับ! ”

“ฉันก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่มีความลับกับเธอ!” เขาผุดลุกขึ้นบ้าง “เธอเป็นผู้จัดการส่วนตัวฉัน เรื่องส่วนตัวของฉันเธอก็ต้องรู้! แต่เธอทำเหมือนฉันเป็นคนอื่นทั้งที่อยู่บ้านเดียวกัน! ไม่เคยพูดคุยอะไรให้ฟัง ฉันก็แค่อยากรู้เรื่องของเธอบ้างเท่านั้นเอง! ” ทั้งน้ำเสียงและแววตาสาดความน้อยใจใส่โจวไห่หลินเต็ม ๆ ทำเอาหญิงสาวหัวใจอ่อนยวบในทันใด

“เสี่ยงเสียง ฉันขอโทษ” เธอเรียกเขาเสียงอ่อนลง เห็นชายหนุ่มตรงหน้าขบริมฝีปากแดงอิ่มของเขาอย่างสะกดอารมณ์

โจวไห่หลินเอ่ยต่อไปอย่างเจ็บปวดใจ

“เรื่องของฉัน นอกจากพี่เซิ่งแล้วก็ไม่เคยมีใครอยากฟัง แม้แต่พ่อฉันก็ยังไม่ฟังฉัน”

“แต่ฉันพร้อมจะฟังเธอทุกเรื่อง ขออย่างเดียว....” หลินอี้เสียงกล่าวจริงจัง “อย่าเห็นฉันเป็นคนอื่น”

ร่างสูงใหญ่ของเขาเดินเข้าห้องนอนไปแล้ว ทิ้งให้โจวไห่หลินมองตามด้วยความรู้สึกหลายอย่างระคนกัน

มิทราบว่าควรรำคาญใจหรือซาบซึ้งใจในความเป็นกันเองที่เขามอบให้

มิทราบว่าควรจะเชื่อข่าวหรือว่าเชื่อเขา

และยิ่งไปกว่านั้น...

มิทราบว่าควรจะเห็นเขาเป็น ‘คนอื่น’ ต่อไปหรือไม่

ขณะเดียวกันในห้องนอนของหลินอี้เสียง ชายหนุ่มยืนจ้องหน้าตัวเองอยู่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง พินิจพิจารณาใบหน้าขาวเรียวเป็นรูปไข่รับกับจมูกโด่งตรง ปากแดงอิ่มพึมพำเมื่อจ้องเข้าไปในดวงตาโตของตน

“หน้าตาเรานี่เหมือนพวกหื่นกามมั่วผู้หญิงมากขนาดนั้นเลยเหรอ? ”


หน้าตาดีขนาดนี้คงไม่ได้มีแต่เราคนเดียวที่ชอบเขา.....วริศราคิดในใจเมื่อลอบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของหวังเค่อเหว่ยขณะยืนดูพื้นที่ซึ่งจะใช้ก่อสร้างหมู่บ้าน ‘อภิรมย์ ซิตี้’

“ตรงนี้ควรจะเป็นโซนเอเชี่ยนจะเป็นบ้านสไตล์ญี่ปุ่น สไตล์จีน แล้วก็สไตล์ไทย ส่วนอีกโซนจะเป็นยูโรเปี้ยน จะมีอิตาเลี่ยนสไตล์ มีปารีเซียง แล้วก็วินเทจ คุณหวานอยากได้อะไรเพิ่มมั้ยครับ? ” หวังเค่อเหว่ยหันมาถามลูกค้าสาว

วริศราลงความเห็นว่าตาโตที่แสนอบอุ่นของเขาน่ามองกว่าที่ดินตรงหน้าเป็นไหน ๆ

“คุณหวานครับ” หวังเค่อเหว่ยเรียกซ้ำเมื่อเห็นเธอเอาแต่ยิ้มไม่ตอบ

“คะ? ” วริศราตื่นจากภวังค์หลังจากที่หลงอยู่ในดวงตาคู่นั้นของเขาเนิ่นนาน

“ไม่สบายรึเปล่าครับ? ” หวังเค่อเหว่ยงง

“อ้อ..เปล่าค่ะ เมื่อกี้นี้คุณเควินว่าไงนะคะ? ”

“ลองดูแบบที่ผมวาดมานี่นะครับ อันนี้เป็นแบบคร่าว ๆ นะครับยังไม่ได้วาดจริง” เขายื่นแบบบ้านที่ร่างไว้ในสมุดสเก็ตซ์ภาพให้เธอดู พร้อมทั้งยื่นหน้ามาอธิบาย

“อันนี้เป็นแบบญี่ปุ่น ประตูอยู่ตรงนี้ ผมว่าจะทำเป็นบานเลื่อนแล้วก็......” หวังเค่อเหว่ยอธิบาย แต่หูของวริศราเหมือนไม่ทำงาน ใจเต้นระรัวเมื่อได้แอบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขาใกล้เข้ามาอีกนิด

ผู้ชายอะไรเสน่ห์เหลือร้าย ขนาดมองดูใกล้ ๆ ยังแทบจะไม่เห็นรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าสักนิด จะมีแค่ถุงใต้ตากับขอบตาคล้ำจากการนอนดึกบ้าง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เสน่ห์ในตัวเขาลดลงไปเลย ความอบอุ่นที่ทอประกายออกมามันกลับบดบังจุดด้อยในตัวเขาไปสิ้น

“คุณหวานครับ” หวังเค่อเหว่ยร้องเรียกอีกครา เมื่อเขาถามเธอแล้วเธอไม่ตอบ

“คะ? ” วริศราสะดุ้ง

“ไม่สบายรึเปล่าครับ? รึว่าหิวข้าว? ” เขายกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา “จริงสิ นี่ก็บ่ายโมงแล้ว ขอโทษจริง ๆ ผมนี่เสียมารยาทปล่อยให้คุณหิว ถ้างั้นเราไปทานข้าวกันก่อนดีกว่า เดี๋ยวค่อยคุยต่อนะครับ”

“ค่ะ” เธอเออออก่อนก้าวเดิน แล้วรองเท้าส้นสูงสามนิ้วที่เธอสวมพลันสะดุดก้อนหินตรงหน้า ร่างเพรียวของหญิงสาวซวนเซไปเกือบจะล้มลง แต่หวังเค่อเหว่ยเข้ามารับได้ทัน วริศรารู้สึกว่าใบหน้าของตนร้อนวาบขึ้นมาทันที

“ไม่เป็นไรนะครับ” เขาบอกพลางประคองให้เธอยืน

“ค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ” วริศรายิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะรีบเดินนำหน้าเขาไปด้วยหัวใจที่สั่นไหวเกินบรรยาย

ความรู้สึกตอนที่หวังเค่อเหว่ยเข้ามาประคองเธอนั้นทำให้หญิงสาวถึงกับเก็บไปเพ้อได้อีกไม่รู้จบ


“หวาน” เสียงทุ้ม ๆ ของชายหนุ่มตรงหน้าร้องเรียก

วริศราสะดุ้งก่อนจะพบว่าตนเองนั่งใจลอยคิดถึงหวังเค่อเหว่ยไม่เว้นแม้กระทั่งตอนมารับประทานอาหารเย็นกับโจวไห่เซิ่ง

“อาเซิ่ง ว่าไง? ” เธอถาม

ใบหน้าคมขมวดคิ้วก่อนจะว่า

“คุณไม่ทานข้าวเหรอ อาหารจะเย็นแล้วนะ”

อาหารมาเสิร์ฟเต็มโต๊ะแล้ว และทั้งคู่ก็เริ่มลงมือรับประทานไปได้สักพัก จนกระทั่งโจวไห่เซิ่งพบว่าหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาไม่มีปฏิกิริยาตอบรับกับเรื่องที่เขากำลังคุย เมื่อสังเกตดี ๆ จึงพบว่าเธอหยุดรับประทานไปเสียเฉย ๆ

“ที่จริง ถ้าหาแฟนที่ทำอาหารเก่งก็คงจะดี ผู้ชายทำอาหารเก่งนี่มีเสน่ห์นะ” หญิงสาวรำพึงเมื่อนึกถึงหวังเค่อเหว่ยที่บอกว่ามักจะทำอาหารให้ภรรยารับประทาน

โจวไห่เซิ่งถึงกับหยุดชะงักเมื่อกำลังตักอาหารให้เธอ เขาวางอาหารลงบนจานเธออย่างช้า ๆ แอบหดหู่ซึมเซาชึ้นมาบ้างไม่ได้

เธออยู่ตรงหน้าเขาแต่ใจลอยไปไหนก็ไม่รู้ ก็ผู้ชายแบบที่เธอพูดถึงนั้นไม่เหมือนเขาเลยสักนิด โจวไห่เซิ่งไม่เข้าใจว่าทำไมเขายังไม่ชินสักทีกับการที่เป็น ‘ม้านอกสายตา’ ของวริศราอยู่อย่างนี้ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอเข้าใจความรู้สึกของเขาบ้างหรือไม่

โจวไห่เซิ่งแม้จะเรียนจบปริญญาโท แต่สำหรับเรื่องความรักนั้นเขายังไม่กล้าเอาตัวเองไปเทียบชั้นกับเด็กอนุบาลด้วยซ้ำ

ผู้ชายอย่างเขาเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเรียนไม่เคยสนใจอย่างอื่น นั่นเพราะต้องการให้เป็นที่ยอมรับของบ้านสกุลโจว เขาเป็นลูกชายคนโตของบ้านนั้น แม่เลี้ยงยังพอเกรงใจเขาบ้าง ยิ่งวิเวียนน้องสาวต่างมารดาของเขาเป็นเด็กเรียนเก่ง โจวไห่เซิ่งจึงไม่ยอมด้อยกว่า หาไม่แล้วนอกจากเขาจะได้รับการดูแคลน และทำให้โจวไห่หลินจะยิ่งถูกรังแกมากขึ้นอีกด้วย

ชีวิตของผู้ชายอย่างโจวไห่เซิ่งจึงหมกอยู่กับตำราเรียน และเขาก็ทำสำเร็จเมื่อจบปริญญาตรีและโทมาพร้อมกับเกียรตินิยมอันดับหนึ่งทั้งสองใบ

ตอนนี้เขาพบว่าปริญญากับเกียรตินิยมที่ได้รับมานั้นใช้ประโยชน์ในการจีบผู้หญิงไม่ได้เลย

เขาไม่เคยมีแฟนเป็นตัวเป็นตน แม้จะเคยมีเพื่อนร่วมชั้นหรือรุ่นน้องบางคนแอบชอบเขาและเขาเองก็มีใจ แต่โจวไห่เซิ่งไม่เคยมีปฏิกิริยาใด ๆ ตอบกลับไปเพราะสนใจตำราเรียนมากกว่าผู้หญิง

พอเรียนจบปริญญาตรีเขาทำงานอยู่ที่บริษัทอัญมณีของพ่ออยู่หนึ่งปีจนกระทั่งโจวไห่หลินเรียนจบซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พ่อจากไปพอดี โจวไห่เซิ่งจึงพาโจวไห่หลินออกจากบ้านนั้นและหางานใหม่ จนกระทั่งได้ทำงานในบริษัทแห่งหนึ่ง และได้พบรักกับพนักงานสาวที่นั่น หลังจากมองตากันอยู่นานก็ได้ไปเดทกันครั้งหนึ่ง

แต่ยังไม่ทันได้คบหาเป็นแฟนกันจริงจัง ก็กลับถูกเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่งซึ่งหมายปองหญิงสาวคนเดียวกับเขามาชิงตัดหน้าบอกรักเธอและได้เธอไปเป็นแฟนเสียนี่

ตอนนั้นโจวไห่เซิ่งไม่ถึงกับเสียใจฟูมฟายอะไร แต่รู้สึกมึนงงเหมือนถูกใครมาตีหัวจนสลบก่อนจะชิงทรัพย์หลบหนีไป

นั่นเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาหันไปลงเรียนปริญญาโทแก้มึน

ตอนนี้ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยไหมนะ....

ดูท่าวริศรากำลังหลงใหลได้ปลื้มผู้ชายคนอื่นอยู่ และถ้าเดาไม่ผิดผู้ชายคนนั้นก็คงเป็นคุณเควินเจ้าของบริษัทออกแบบตกแต่งอะไรนั่น ได้ยินเธอพูดถึงหลายครั้งแล้ว และหญิงสาวถึงกับบอกว่าเสียดายที่เจอคุณเควินคนนี้ช้าไป

โจวไห่เซิ่งรู้ว่าวริศราไม่ใช่คนที่จะไปทำร้ายครอบครัวใคร เธอไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้นแน่ ๆ แต่การพร่ำเพ้อถึงแต่คุณเควินเหมือนเด็กวัยรุ่นคลั่งไคล้ดาราแบบนี้ มันเท่ากับเป็นการตอกย้ำโจวไห่เซิ่งว่า ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ โจวไห่เซิ่งคนนี้ก็ยังคงเป็นม้านอกสายตาของเธออยู่ดี

อย่างไรก็อย่างนั้น.....

เฮ้อ....อุตส่าห์ได้มารับประทานอาหารอร่อย ๆ แทนการรับประทานข้าวผัดหรือไข่เจียวแบบที่เคยรับประทานทุกวัน แต่อาหารเย็นแสนอร่อยมื้อนี้กลับพาลทำให้ชายหนุ่มรู้สึกฝืดคอขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

เมื่อไหร่ภาษาไทยของเขาจะคล่องกว่านี้ วันหลังจะได้สั่งอาหารอย่างอื่นมารับประทานเองได้บ้าง

หาไม่แล้วถ้าเขาไม่ต้องจมอยู่กับเมนูเดิม ๆ ก็ต้องมารับประทานอาหารอร่อยกับวริศราและนั่งฟังเรื่องราวที่ชวนให้เขารู้สึกฝืดคอเช่นนี้


อ๊ะ...นั่น พี่เซิ่งมาแล้ว

ม่านฟ้าแอบลอบมองร่างสูงที่พาใบหน้าคมคายเข้ามาในร้านกาแฟยามเช้าเหมือนเช่นเคย เธอกำลังถูพื้นและเข้าข้างตัวเองว่าเขากำลังแอบมองเธออยู่เช่นกัน

ชายหนุ่มสั่งฮอตเอสเปรสโซ่มัคคิอาโต้กับครัวซองต์โฮลวีตหนึ่งชิ้นก่อนจะไปนั่งรออาหารที่โต๊ะ ม่านฟ้ายังคงถูพื้นเลียบ ๆ เคียง ๆ อยู่ใกล้โต๊ะที่เขานั่ง

“เออ....ลิลลี่...”ม่านฟ้าร้องเรียกเพื่อนพนักงานสาวด้วยเสียงที่ไม่ดังไม่เบาเกินไปแต่ก็แน่ใจว่าโจวไห่เซิ่งควรจะได้ยิน

“วันนี้กินข้าวไม่ต้องรอฟ้านะ เมื่อเช้าฟ้ากินข้าวเช้าอิ่มเกินไป เลยคิดว่าสักบ่ายสองโมงค่อยไปโรงอาหาร ถ้าใครหิวก็ไปกินกันก่อน เพราะฟ้าไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ฟ้าเอาข้าวมา”

“ฟ้านี่โชคดีจังเลยนะ มีพ่อทำกับข้าวให้กินทุกวัน” ลิลลี่ซึ่งกำลังเช็ดโต๊ะอยู่ข้าง ๆ กล่าว

“อิจฉาฟ้าล่ะซิ...” ม่านฟ้ายิ้มทะเล้นก่อนจะเอ่ยต่อไปเพื่อยั่วน้ำลายคนหน้าคมที่นั่งอยู่ไม่ไกล “วันนี้พ่อฟ้าทำผัดสาหร่ายดอง กับกุ้งผัดพริกไทยดำด้วยซิ ของโปรดฟ้าทั้งนั้นเลย”

ลิลลี่หัวเราะแล้วว่า

“ถ้าได้กินของอร่อยอย่างนี้ทุกวันคงจะอารมณ์ดีเหมือนฟ้านะ”

ผัดสาหร่ายดอง กุ้งผัดพริกไทยดำ... โจวไห่เซิ่งหูผึ่ง

สองสาวสนทนากันเป็นภาษาจีนกลาง เขาได้ยินทุกถ้อยคำถนัดชัดเจน รู้ว่าเด็กคนนั้นคุยเรื่องอาหารที่พ่อทำให้รับประทาน แค่ได้ยินก็ท้องร้องแล้ว เพราะรู้ดีว่าอาหารที่บ้านเธอนั้นรสชาติดีเพียงไร หลายครั้งพบเธอที่โรงอาหาร เธอก็แบ่งอาหารจากที่บ้านให้เขารับประทานทุกครั้ง วันไหนได้รับประทานอาหารของเธอเขารู้สึกว่าชีวิตมีรสชาติอย่างน่าประหลาด อย่างน้อยวันนั้นก็ช่วยเติมรสชาติข้าวผัดของเขาได้บ้าง


“ผู้จัดการยังไม่ลงไปทานข้าวเหรอคะ จะให้ฉันช่วยซื้อมาให้รึเปล่า? ” เลขาสาวเข้ามาถามโจวไห่เซิ่งเมื่อเห็นว่าถึงเวลาเที่ยงแล้วแต่เขายังคงนั่งในห้องทำงาน

“ขอบคุณมากนะ แต่ผมยังไม่หิว พวกคุณไปกินกันก่อนเถอะ เดี๋ยวบ่าย ๆ ผมจะลงไปกินเอง” โจวไห่เซิ่งบอก เลขาสาวพยักหน้าก่อนจะเดินออกไป

ชายหนุ่มคิดว่าถ้ายังไม่หิวมากขนาดนั้นก็คงไม่ต้องรีบลงไปรับประทาน เขายังมีแซนด์วิชที่ซื้อมาจากร้านกาแฟเมื่อเช้านี้ติดกระเป๋ามาแล้วชิ้นหนึ่งอย่างน้อยก็คงพอกินประทังหิวไปได้อีกสักสองสามชั่วโมง

บ่ายสองโมงตรงชายหนุ่มลงไปที่โรงอาหาร รู้สึกประหลาดใจที่ตนเองคอยมองหาร่างเล็กกับใบหน้าป่อง ๆ ที่คุ้นเคย แต่ก็ยังไม่เห็นเธอมา

ไหนว่าจะมากินข้าวตอนบ่ายสองโมง

ทำไมเราจะต้องมองหาเด็กคนนั้นด้วยนะ....

แต่ที่จริงเราไม่ได้มองหาซะหน่อย ก็แค่ได้ยินว่าจะมากินข้าวตอนบ่ายสอง แค่บังเอิญมาเวลาเดียวกัน

อ๊ะ! นั่นไง เธอไปนั่งตรงนั้นแล้ว...

“หนูฟ้านั่งลงนับหนึ่งยังไม่ถึงยี่สิบ พี่เซิ่งจะต้องมา เชื่อน้าหมี”

ม่านฟ้านั่งลงพลันนึกถึงคำพูดของน้าหมีกุนซือประจำตัวของเธอ หญิงสาวค่อย ๆ หยิบกล่องข้าวกับน้ำออกมาจากกระเป๋าในใจพลางนับ

หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด เก้า.....

“มาคนเดียวเหรอ? ” เสียงทุ้ม ๆ ดังขึ้นตรงหน้า ม่านฟ้าใจระทึกเงยหน้าสบตาคมคู่นั้น พยายามระงับอาการตื่นเต้นเต็มที่ นึกอยากจะเอาธูปเทียนพร้อมมาลัยเจ็ดสีเจ็ดศอกไปถวายหน้าหมีในทันใด เมื่อพบว่าน้าหมีของเธอทายแม่นยิ่งกว่าหมอดูฟันธง

“อ้าว...พี่เซิ่ง เพิ่งมาทานข้าวเหรอคะ? ” หญิงสาวแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างแนบเนียน

“อือม์...” เขายิ้มนิด ๆ ท่าทางเก้อหน่อย ๆ และม่านฟ้ายังแอบเข้าข้างตัวเองว่าเห็นเขาหน้าแดงอีกด้วย

“งั้นนั่งด้วยกันเลยค่ะ จะได้ช่วยฟ้าทานกับข้าวนี่ พ่อฟ้าทำมาให้ตั้งเยอะ ฟ้าทานไม่หมดหรอกค่ะ”

“เดี๋ยวฉันไปซื้อข้าวแล้วจะมานั่งด้วยนะ” เขาบอกก่อนจะพาร่างสูงเดินออกไป สักพักกลับเข้ามาพร้อมกับข้าวไข่เจียว ม่านฟ้าเห็นเช่นนั้นก็แอบอมยิ้ม

“วันหลังฟ้าสอนพี่เซิ่งสั่งอาหารอย่างอื่นบ้างดีมั้ยคะ เวลาไปทานที่อื่นจะได้สั่งเป็น”

“ดีซิ ฉันเบื่อกินแบบนี้จะแย่อยู่แล้ว” เขาบอกอย่างยินดี ในขณะที่เธอตักอาหารในกล่องที่เตรียมมาใส่จานของเขาแล้วว่า

“ฟ้าเอามาเผื่อพี่เซิ่งทุกวันก็ได้นะคะ”

“ไม่ต้องหรอก ขอบใจมาก” โจวไห่เซิ่งบอกอย่างเกรงใจทั้งที่จริงแล้วอยากรับประทานอาหารของเธอทุกวัน ก็รสชาติระดับโรงแรมห้าดาวอย่างนั้น ดีกว่ารับประทานข้าวผัดหมูกับข้าวไข่เจียวซ้ำซากทุกวันเป็นไหน ๆ แต่มันคงไม่ดีแน่ถ้าผู้จัดการอย่างเขามาขอข้าวเด็กเสิร์ฟรับประทานทุกวัน มันคงจะดีกว่าถ้าเขารู้จักเมนูอาหารมากกว่านี้ แต่ทุกวันนี้เขาอยู่เมืองไทยตัวคนเดียว แวดล้อมไปด้วยลูกน้องที่ใช้ภาษาจีนสื่อสารกับเขา กับวริศราเธอก็ไม่ใคร่สนใจเขาเท่าไหร่ ยิ่งระยะหลังมานี้พบหน้ากันทีไรเธอก็เอาแต่พูดถึงแต่คุณเควิน

อยากจะกลับไปเรียนภาษาไทยที่โรงเรียน แต่ก็ต้องเรียนรวมกับคนอื่น บางคราวก็ไม่กล้าถามคำถามที่อยากรู้ ที่จริงเขาอยากได้ครูส่วนตัวมาช่วยสอนภาษาไทยให้เขา หรือว่า....

“ถ้าจะให้ดี เธอช่วยสอนฉันเรียกชื่ออาหาร แต่ที่จริง...เอ่อ...ฉันอยากจะจ้างเธอมาช่วยสอนภาษาไทยให้ฉัน แค่สอนพูด เธอจะคิดชั่วโมงละเท่าไหร่”

ม่านฟ้าใจเต้นระรัวอยากจะตอบตกลงเสียเดี๋ยวนั้น แต่ยังคงสงวนท่าทีถามไถ่ให้ชัดเจน

“อุ้ย...จะดีเหรอคะ ฟ้าไม่ใช่ครูนะคะ ฟ้าไม่กล้าหรอกค่ะ แล้วอีกอย่างพี่เซิ่งจะมีเวลาเรียนเหรอคะ? ”

“ก็ตอนกินข้าววันละชั่วโมงอย่างนี้ เธอก็แค่พูดภาษาไทยกับฉัน แล้วก็สอนคำที่ฉันอยากรู้เท่านั้นเอง”

“เอ่อ...” ม่านฟ้าอิดออดแกล้งเล่นตัว

“ชั่วโมงละพันพอมั้ย? ” เขาถาม

“มันไม่เยอะไปเหรอคะ! ” ม่านฟ้าตาโต นึกไม่ถึงว่าเขาจะยอมลงทุนขนาดนี้

“เอาเป็นว่ารวมค่าจ้างที่เธอทำอาหารให้ฉันกินด้วยแล้วกัน จ่ายสัปดาห์ละห้าพันแล้วทุกวันบ่ายสองเราเจอกันที่นี่ วันไหนมีการเปลี่ยนแปลงค่อยโทรบอก โอเคมั้ย?”

“ก็ได้ค่ะ” ม่านฟ้าตอบตกลงหลังจากที่เล่นตัวมาพอประมาณ

นี่เป็นวิธีจีบสาวของพี่เซิ่งเหรอเนี่ย....

ในขณะที่โจวไห่เซิ่งคิด

เราไม่ต้องทนกินข้าวผัดหมูและข้าวไข่เจียวทุกวันแล้ว

เสียงมือถือของโจวไห่เซิ่งดังขึ้น หน้าจอบอกว่าเป็นน้องสาวของเขาโทรทางไกลมาจากไต้หวันนั่นเอง

“ว่าไง เสี่ยวหลิน? ”

ม่านฟ้าหูผึ่งตามประสาปุถุชนที่ชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้านเมื่อได้ยินชื่อบุคคลที่ตนรู้จัก

“พี่เซิ่ง ฉันมีเรื่องไม่สบายใจนิดหน่อย คืนก่อนฉันเจอวิเวียน” ปลายสายบอก

“ระยะนี้เธอดวงสมพงษ์กับเขาจังนะ”

“ไม่ใช่บังเอิญแต่จงใจ แค่เห็นวิเวียนแต่งตัวเหมือนเด็กใจแตกมันก็น่าตกใจอยู่แล้ว แต่คืนก่อนเขามากับเจียงอิ่ง ดูแล้วไม่น่าไว้ใจเลย”

“เสี่ยวหลิน…เธอจะเป็นห่วงวิเวียนไปทำไม ตอนอยู่บ้านนั้นเธอก็ถูกเขารังแก”

“อย่ามาทำพูดอย่างนี้เลย ฉันรู้นะว่าพี่ก็ไม่ใช่คนใจร้ายถึงขนาดตัดพี่ตัดน้องได้ ถึงยังไงวิเวียนก็เป็นน้องสาวพวกเรา”

“พี่ว่าพี่เป็นห่วงเธอมากว่า ถ้าเธอบอกว่าวิเวียนมากับเจียงอิ่ง สิ่งที่พี่ห่วงก็คือเจียงอิ่งมีจุดประสงค์อะไรกับวิเวียน พี่หวังว่ามันจะไม่เกี่ยวกับเธอ”

“ฉันไม่ชอบขี้หน้าไอ้ผู้ชายคนนี้เลย ให้ตายเถอะ....” โจวไห่หลินบอก พลันมีเสียงแทรกเข้ามาในมือถือให้โจวไห่เซิ่งได้ยิน

“นี่ ยัยเตี้ย! ทำไมเธอไม่บอกเรื่องนี้กับฉันตั้งแต่แรก! ” เป็นเสียงเอะอะของหลินอี้เสียงนั่นเอง

“พี่เซิ่งแค่นี้ก่อนนะ สงสัยเทพบุตรจะธาตุไฟแตก อาละวาดอีกแล้ว แล้วเราค่อยคุยกันนะ บาย”

โจวไห่เซิ่งวางสายอมยิ้มน้อย ๆ เขารู้ว่าตั้งแต่น้องสาวของเขาไปเป็นผู้จัดการให้ซูเปอร์สตาร์หนุ่มดูเหมือนว่าทั้งคู่จะกลายเป็นไม้เบื่อไม้เมากันไปแล้ว หลินอี้เสียงดูจะเอาแต่ใจไม่น้อย แต่โจวไห่เซิ่งก็รู้จักน้องสาวของเขาดี เรื่องแค่นี้มีหรือจะเอาไม่อยู่

“น้องสาวฉันโทรมาจากไต้หวัน....” โจวไห่เซิ่งหันมาเล่าให้ม่านฟ้าที่นั่งเคี้ยวอาหารตุ้ย ๆ อยู่ตรงหน้า

“น้องสาวฉันเป็นผู้จัดการส่วนตัวของหลินอี้เสียงนะ วันหลังฉันจะให้น้องสาวเอารูปถ่ายพร้อมลายเซ็นหลินอี้เสียงมาให้เธอ”

พูดถึงตรงนี้ม่านฟ้าเกิดอาการจุกขึ้นมาในทันใด ไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี โจวไห่เซิ่งช่างใส่ใจจำได้ว่าเธอชอบหลินอี้เสียงนักหนา แต่หารู้ไม่ว่าสิ่งที่เขาจำมานั้นมันผิดเพี้ยนไปจากความจริงอย่างแรง

อุตส่าห์หนีพี่เสียงมาได้แล้ว อย่าเอาอะไรของพี่เสียงมาตามหลอกหลอนฟ้าอีกเลยจะดีกว่า


“ทำไมไม่บอกก่อนว่าคนแสดงเป็นคุณชายค้างคาวคือไอ้ถังชางเจี๋ย! ” หลินอี้เสียงซึ่งอยู่ในชุดจีนโบราณสีขาวสะอาดมาดคุณชายตามบทบาทชอลิ้วเฮียงที่เขาได้รับ

ทว่าเทพบุตรหนุ่มที่ได้รับบทบาทหนุ่มเนื้อหอมตอนนี้กำลังทำหน้าเหม็นบูดจนโจวไห่หลินหมั่นไส้

วันนี้เป็นวันถ่ายภาพฟิตติ้งเสื้อผ้าตามคาแรคเตอร์ของแต่ละคนเพื่อส่งให้นักข่าวในวันแถลงข่าวเปิดตัวละครเรื่องนี้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า นักแสดงทุกคนมากันพร้อมเพรียงรวมถึงถังชางเจี๋ยซึ่งได้รับบทเด่นเป็นคุณชายค้างคาวตามท้องเรื่อง

โจวไห่หลินรู้ล่วงหน้าแล้วว่ารายชื่อนักแสดงมีใครบ้าง เธอจงใจไม่บอกเขาเพราะไม่อยากมีปัญหาตั้งแต่แรก รอให้เขาเซ็นสัญญากับทางสถานีโทรทัศน์ให้เรียบร้อยก่อนเท่านี้ก็ไม่มีทางบิดพลิ้วแล้ว และวันนี้โจวไห่หลินก็เตรียมตัวแคะหูมาอย่างดีเพื่อฟังเสียงโวยวายของเขา

“ใครจะแสดงเป็นอะไรไม่สำคัญ นายแค่แสดงเป็นชอลิ้วเฮียงก็พอแล้ว” เธอนั่งอ่านแมกกาซีนอยู่ที่โซฟาในห้องแต่งตัว เงยหน้ามองร่างสูงใหญ่ของเขาและบอกอย่างใจเย็น

“อ๋อ...นี่เธอคงอยากจะใกล้ชิดกับมันล่ะซิ ถึงได้หาทางให้ฉันได้เล่นเรื่องนี้ คงจะรู้มาก่อนใช่มั้ยว่าไอ้หน้าตูดหมานั่นเล่น”

โจวไห่หลินปิดแมกกาซีนในมือแล้วยืนขึ้นประจันหน้ากับเขาแม้จะต้องเงยหน้ามองร่างสูงเกือบสองเมตรจนเมื่อยคอ แต่สายตาเธอไม่ยอมหลบจากเขา

“พูดให้มันดีหน่อยเสี่ยงเสียง ที่นี่ห้องแต่งตัว ไม่อายคนอื่นเขาบ้างรึไง ถ้าฉันเส้นใหญ่พอที่จะเสนอชื่อนายเป็นชอลิ้วเฮียงได้ ป่านนี้ฉันคงเสนอชื่อนายเข้าชิงออสก้าไปแล้ว หัดคิดซะบ้าง นี่เป็นละครของสถานี นายได้เล่นก็เป็นผลดีทุกอย่าง ได้ร้องเพลงไตเติ้ล แล้วยังได้แสดงแนวกำลังภายในเป็นครั้งแรก เอ๊ะ...รึว่านายกลัว” โจวไห่หลินได้ช่องยั่วเขา

“กลัวอะไร! ทำไมฉันต้องกลัว! ” หลินอี้เสียงเริ่มไม่พอใจ

“ก็ถังชางเจี๋ยน่ะเป็นอดีตนักกีฬายิมนาสติกทีมชาติ เรื่องฝึกกังฟูน่ะเขามีภาษีดีกว่านายอยู่แล้ว นายกลัววิทยายุทธจะสู้เขาไม่ได้ล่ะซิถึงได้ไม่อยากร่วมงานด้วย”

“เธออย่ามาดูถูกฉันนะ คนอย่างฉันไม่มีทางแพ้ไอ้หน้าตูดนั่นหรอก แล้วเธอจะได้เห็นว่าคนอย่างฉันน่ะหัวไวฝึกได้ทุกเรื่อง” เขาคุยโวได้อีก

ขณะนั้นมีเสียงเรียกให้หลินอี้เสียงไปถ่ายภาพเซ็ตต่อไป เขาสะบัดหน้าพรึดไปจากโจวไห่หลินทันที

หญิงสาวมองตามอย่างขำ ๆ และพอใจที่ตนยั่วโมโหเทพบุตรหนุ่มได้อีกแล้ว

เสี่ยงเสี่ยง จะมีเรื่องไหนบ้างมั้ยที่นายจะยอมแพ้…


วริศราติดดอกลิลลี่สีขาวดอกโตลงบนศีรษะที่ปล่อยผมยาวเป็นลอนใหญ่เคลียไหล่เนียน เธอแต่งหน้าเรียบร้อยแล้ว ลิลลี่สีขาวเข้ากับเดรสผ้าชีฟองสีทองระยับ วันนี้เธอใช้เวลาแต่งตัวนานเป็นพิเศษ และถึงกับจ้างช่างฝีมือดีมาช่วยแต่งหน้าทำผมให้ถึงที่บ้าน คืนนี้เธอจะไปงานเลี้ยงคริสมาสต์ของบริษัทคอฟฟี่ อินฟินิตี้

แน่นอนงานนี้คุณเควินสุดหล่อของเธอก็ไปด้วย เขาต้องไปอยู่แล้วเพราะเขากับคุณอลันเจ้าของบริษัท คอฟฟี่ อินฟินิตี้นั้นเป็นเพื่อนสนิทกัน

แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าคุณเควินที่เธอชื่นชมจะมีภรรยาแล้ว และวริศราก็ไม่มีเจตนาจะไปทำให้ครอบครัวใครแตกแยก แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะแต่งตัวสวยเพื่อเขา

วริศรานึกถึงภรรยาที่เขาเคยเล่าให้ฟังแล้วนึกอิจฉาแกมชื่นชมในความรักของทั้งคู่

เธอจินตนาการถึงผู้หญิงวัยห้าสิบกว่าสวมแว่นตาท่าทางภูมิฐานสมเป็นอาจารย์ อายุมากกว่าคุณเควินสองปี ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เธอคนนั้นก็จะอายุห้าสิบห้า ใบหน้าคงมีริ้วรอยเหี่ยวย่นไปตามวัย แต่คนดี ๆ อย่างคุณเควินคงไม่ได้มองคนที่รูปร่างหน้าตา ดูท่าทางเขารักภรรยาคนนี้มาก

เป็นครั้งแรกที่วริศราบอกกับตัวเองว่าเธออิจฉาแกมชื่นชมผู้หญิงสูงวัยคนนี้ทั้งที่ยังไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนด้วยซ้ำ


“สวยแล้วจ้ะเจ๊ ยืนส่องกระจกจนกระจกมันจะแตกอยู่แล้ว” หมีร้องออกมาเมื่อเจ้าหล่อนแต่งหน้าทำผมให้พี่สาวคนสวยอย่างหนึ่งฤทัยเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่พี่สาวคนสวยยังคงยืนหมุนไปหมุนมาอยู่ตรงกระจกบานใหญ่ที่ติดอยู่ตรงผนังหน้าห้องน้ำชั้นล่าง ในขณะที่ปล่อยให้หวังเค่อเหว่ยแต่งตัวอยู่ที่ห้องนอนชั้นบน

คืนนี้ทั้งหวังเค่อเหว่ยกับหนึ่งฤทัยรวมถึงหมีเตรียมตัวไปงานฉลองคริสมาสต์ของบริษัทคอฟฟี่ อินฟินิตี้ ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมคริสตัลพาราไดซ์ งานนี้อลันบอกว่าได้เชิญนักข่าวมาทำข่าวด้วยพอเป็นสีสัน

หนึ่งฤทัยนั้นปกติไม่ค่อยออกงานสังคม จะไปก็แต่งานของสามีเท่านั้น เธอรู้ว่าหวังเค่อเหว่ยแม้จะลดความขี้อายลงกว่าตอนหนุ่ม ๆ แล้ว แต่เขามักไม่ชอบฉายเดี่ยวออกงานจึงมักควงเธอไปด้วยเป็นประจำ

ส่วนงานนี้ถึงอย่างไรเธอก็ต้องไป เพราะเป็นงานของอลันอีกทั้งยังต้องไปดูม่านฟ้าแสดงโชว์อีกด้วย ถ้าไม่ไปงานนี้มีหวังลูกสาวสุดที่รักคงออกอาการงอนยกใหญ่

“ฉันอ้วนขึ้นนิดหน่อยนะ สงสัยต้องออกกำลังกายหนักกว่าเดิมซะแล้ว” หนึ่งฤทัยบ่นขณะมองดูรูปร่างของตนผ่านกระจกเงา เธอชั่งน้ำหนักทุกวันตามประสาคนที่ดูแลตัวเองจึงรู้ว่าน้ำหนักขึ้นมาสองกิโล ที่จริงเธอรูปร่างสูงและค่อนข้างผอม พออายุมากขึ้นก็อวบขึ้นบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับอ้วน

“วุ้ย..เจ๊จ๊ะ เท่าที่อัพแอนด์ดาวน์กับคุณเควินขนาดนี้ยังไม่พออีกรึ เห็นผัวอึดแล้วใช้ใหญ่เลยนะ มิน่า...คุณเควินหมู่นี้ดูท่าทางอิดโรยเหมือนคนอดนอน ที่แท้ก็ต้องทำการบ้านจนดึกนี่เอง” หมีพูดจ้อย ๆ ก่อนจะถูกกระเป๋าถือสีเงินใบโตในมือหนึ่งฤทัยฟาดผัวะลงบนศีรษะของกะเทยปากมากทันที

“ฉันไม่ได้ใช้งานเขาดึกย่ะ อาเหว่ยต้องวาดแบบบ้านจนดึกต่างหาก”

“พูดแค่นี้ทำเป็นปรี๊ด” หมีคลำหัวป้อย

“แล้วอาเหว่ยเมื่อไหร่จะลงมาเนี่ย จะแต่งองค์ทรงเครื่องไปถึงไหน” หนึ่งฤทัยเท้าสะเอวบ่น ทั้งที่รู้ว่าหวังเค่อเหว่ยนั้นเป็นคนพิถีพิถันในการแต่งตัวมาแต่ไหนแต่ไร เขามักแต่งตัวช้าพอ ๆ กับผู้หญิงเสมอ

“ก็หมีบอกแล้วว่าให้แต่งตัวด้วยกันอยู่ข้างบนนั่นแหละจะได้ช่วย ๆ กัน”

“ไม่ได้ย่ะ แกต้องแต่งหน้าทำผมให้ฉัน อาเหว่ยก็ต้องแต่งตัวเขา ฉันไม่ให้แกดูผัวฉันโป๊หรอกย่ะ”

“นี่เจ๊ ถึงหมีจะชอบกินผู้ชาย แต่หมีไม่กินผัวเจ๊หรอกนะ”

“แล้วฉันก็ไม่กินคนอื่นนอกจากเมียตัวเองหรอกนะจ๊ะ” เสียงคุณสามีดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงของเขาในชุดสูทสีดำสนิทที่กำลังก้าวลงมาจากบันได

“อ้าว...ว่าจะไปตามอยู่พอดี” หนึ่งฤทัยร้องออกมา

“วันนี้ต้องแต่งตัวหล่อ ๆ หน่อย เดี๋ยวไม่คู่ควรกับภรรยาสวย ๆ ” เขาว่า หนึ่งฤทัยได้ยินดังนั้นถึงกับยิ้มหวาน หมีสอดขึ้นว่า

“แล้วมีตอนไหนที่เจ๊ไม่สวยบ้างมั้ยฮ้าคุณเควิน”

หวังเค่อเหว่ยยิ้มหวานพอ ๆ กับหนึ่งฤทัยก่อนจะตอบว่า

“ไม่มีครับ”

“ว่าแล้วเชียว น้ำตาลหกเรี่ยราดตามเคย” หมีพูดอย่างถูกใจ

หวังเค่อเหว่ยขับรถพาหนึ่งฤทัยกับหมีมาถึงโรงแรมคริสตัลพาราไดซ์ ป่านนี้ม่านฟ้าคงกำลังแต่งตัวอยู่ เธอออกบ้านมาตั้งแต่ตอนบ่ายแล้ว ความรู้สึกของทุกคนในรถของหวังเค่อเหว่ยตอนนี้ตื่นเต้นเหมือนจะมาดูลูกหลานของตนแสดงในงานโรงเรียนก็ไม่ปาน

หมีซึ่งเคยทำงานเป็นพนักงานต้อนรับอยู่ที่โรงแรมแห่งนี้ถึงกับอดพูดถึงความหลังไม่ได้ เดินไปเม้าท์ไปไม่ทันระวังก็ชนโครมเข้ากับบริการสาวที่กำลังยกค็อกเทลเตรียมเสิร์ฟให้กับแขกที่นั่งอยู่ตรงล็อบบี แต่ตอนนี้ค็อกเทลได้ราดรดลงบนเสื้อเชิ้ตสีแดงแรงฤทธิ์ของหมีแล้ว เจ้าหล่อนโวยลั่น

“ว้าย...ตายแล้ว! เดินยังไงไม่ดูตาม้าตาเรือยะ ดูซิเนี่ย เสื้อกะเทยเปียกหมดเลย! ”

พนักงานสาวละล่ำละลักขอโทษขอโพย แต่หมียังคงด่าไม่หยุดจนหนึ่งฤทัยตัดบทว่า

“ไอ้หมี ฉันว่าแกรีบเข้าไปล้างในห้องน้ำดีกว่า ขืนแกยังยืนด่าอยู่อย่างนี้ก็ล้างไม่ออกพอดี ไปเร็ว” หนึ่งฤทัยพยายามลากหมีออกมาพลางหันหน้าไปพยักพเยิดให้บริกรสาวรีบเผ่นก่อนจะถูกกะเทยเค้นคอตายไปเสียก่อน

“อาเหว่ยเข้าไปในงานก่อนนะ เดี๋ยวฉันตามไป” หนึ่งฤทัยหันไปบอกสามี หมีสอดขึ้นว่า

“เจ๊..เจ๊ต้องเข้าไปกับคุณเควินสิ งานนี้ต้องควงคู่เข้าไปด้วยกันนะ”

“จะควงรึไม่ควงก็มาด้วยกันอยู่ดี แค่เดินเข้าไปก่อนแค่นี้มันจะต่างอะไร อาเหว่ยควรจะไปพบลูกค้าด้วย นี่ก็ถึงเวลางานแล้ว” หนึ่งฤทัยดุ เพราะรู้ว่าหมีเกรงใจไม่อยากให้เธอเสียเวลา

“ไม่เป็นไรนะครับคุณหมี ผมเข้าไปในงานก่อนไม่กี่นาทียังไม่ทันมีกิ๊กหรอกครับ...” หวังเค่อเหว่ยกล่าวติดตลกก่อนจะเอ่ยต่อว่า “แล้วอีกอย่างหนึ่งเสื้อคุณหมีก็เลอะไปถึงข้างหลัง ให้หนึ่งช่วยจะดีกว่า หนึ่งเขาไม่กลัวเรื่องเข้าห้องน้ำชายหรอกครับ”

หมีแม้จะเป็นกะเทยแต่ไม่ได้ผ่าตัดแปลงเพศและไม่ได้แต่งตัวเป็นหญิง ดังนั้นหล่อนจึงต้องเข้าห้องน้ำชาย ส่วนเรื่องที่หนึ่งฤทัยกล้าเข้าห้องน้ำชายนั้นเป็นเรื่องจริง เพราะสมัยสาว ๆ นั้นเธอยังเป็นครูลูกจ้างในโรงเรียนสอนภาษาที่ตอนนี้เธอได้เทคโอเวอร์มาเป็นของตนแล้ว ครั้งนั้นเองที่ทำให้หวังเค่อเหว่ยซึ่งไปสมัครเป็นนักเรียนที่นั่นได้พบกับเธอ

ครั้งหนึ่งเขาเห็นกับตาว่าเธอเข้าห้องน้ำชายเพื่อจัดการกับนักเรียนชายที่แอบเข้าไปสูบบุหรี่ในนั้น หวังเค่อเหว่ยในตอนนั้นถึงกับตกใจไม่น้อย

คาดไม่ถึงว่าครูสาวสุดโหดในวันนั้นจะกลายมาเป็นภรรยาคู่ชีวิตของเขาที่อยู่กินกันมาร่วมยี่สิบกว่าปีอย่างไม่มีเบื่อในวันนี้ แม้ตอนนี้หนึ่งฤทัยจะขี้บ่นมากกว่าแต่ก่อนบ้าง แต่หวังเค่อเหว่ยก็มักจะทำให้เธอยิ้มได้เป็นประจำ

และนี่แหละคือความสุขของเขา


“เดี๋ยวอาเซิ่งเห็นคุณเควินแล้วจะต้องตะลึง คนอะไรทั้งหล่อทั้งเท่ แล้วยังดูอบอุ่น ที่สำคัญนะไม่แก่เลยสักนิดเดียว” วริศราบอกกับโจวไห่เซิ่งขณะยืนดื่มเครื่องดื่มด้วยกันอยู่ในงาน ซึ่งงานนี้มีแต่พนักงานบริษัทคอฟฟี่ อินฟินิตี้เท่านั้น และมีแขกพิเศษที่อลันเชิญมาร่วมงานอีกไม่กี่คนซึ่งส่วนมากก็เป็นคนกันเองหรือบริษัทคู่ค้าที่สนิทกันจริง ๆ นอกนั้นก็มีนักข่าวอีกจำนวนหนึ่ง

“ดูดีขนาดนั้นผมก็ชักอยากจะเห็นเหมือนกันนะ” โจวไห่เซิ่งพูดจากใจจริง เพราะได้ยินวริศรากล่าวสรรเสริญเยินยอคุณเควินคนนี้ให้เขาฟังอย่างนับครั้งไม่ถ้วนจนคล้ายกับฝ่ายนั้นเป็นเทวดาไปแล้ว

“ระหว่างคุณอลันกับคุณเควินใครดูดีกว่ากัน? ” โจวไห่เซิ่งบุ้ยใบ้ไปทางอลันซึ่งกำลังยืนคุยกับแขกในงานโดยมีภรรยายืนอยู่ข้างกาย

“คนละแบบนะอาเซิ่ง คุณอลันดูภูมิฐานเป็นผู้ใหญ่และดูสง่า แต่คุณเควินดูอบอุ่นน่ารักและอ่อนโยน ที่สำคัญแต่งตัวดูทันสมัยเป็นวัยรุ่นมาก ๆ ” พอพูดถึงคุณเควินฮีโร่ของเธอ แววตาของวริศราก็ลอยเพ้อไปไกล โจวไห่เซิ่งถึงกับอับจนถ้อยคำ

จะว่าน้อยเนื้อต่ำใจก็ไม่ใช่ แต่ออกจะอิจฉาคุณเควินอะไรนี่เล็กน้อย ขนาดแก่แล้วยังทำให้สาวสวยอย่างวริศราละเมอเพ้อพกได้ถึงขนาดนี้

“อาเซิ่ง...นั่นไงคุณเควิน” วริศราบุ้ยใบ้ไปที่ประตูเข้างาน


รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว