บทที่ 2
แผลงฤทธิ์
“มองได้แต่อย่าชอบ เพราะมันจะทำให้ใจฉันบอบช้ำ คุยได้แต่อย่านาน อย่าสร้างความผูกพันให้ใจฉันไหวหวั่น” ม่านฟ้าฮัมเพลงพร้อมกับกระโดดโลดเต้นไปตามทาง จุดหมายของเธอคือเรือนไทยทรงล้านนาประยุกต์ตรงหน้าซึ่งอยู่ในบริเวณไร่ม่านฟ้า เรือนไทยหลังนี้บ้านของคุณตาคุณยายเธอนั่นเอง
วันนี้พ่อแม่ของเธอพร้อมด้วย ‘น้าหมี’ เพื่อนชายใจสาวของแม่ม่านฟ้าจะมาถึงที่นี่
หญิงสาวเบิกบานใจตั้งแต่เช้า กระตือรือร้นตื่นขึ้นมาพาหลินอี้เสียงเข้ากองถ่ายจนกระทั่งถ่ายทำเสร็จสิ้น เขายังพอมีมารยาทที่อยากจะมาไหว้พ่อแม่ของม่านฟ้าในฐานะคนคุ้นเคยกัน แต่ม่านฟ้ากลับห้ามไว้เพราะรู้ว่าหากพี่เสียงของเธอออกจากที่พักเมื่อไหร่คงจะต้องถูกบรรดาแฟนคลับที่มาเฝ้ากันตั้งแต่เช้ารุมทึ้งรุมจิกจนหมดสภาพแน่ เขาจึงได้แต่โทรศัพท์ไปทักทายพ่อของเธอแทน
ม่านฟ้าไม่รู้ว่าพี่เสียงคุยอะไรกับพ่อของเธอบ้าง เพราะตอนที่เขากดมือถือโทรออก ม่านฟ้าก็เผ่นออกจากที่พักตรงมายังที่นี่แล้ว
นึกถึงหน้าคุณพ่อสุดที่รักที่ม่านฟ้าโทรหาวันละสามรอบ กับคุณแม่สุดสวยที่ม่านฟ้าโทรหาอีกวันละสามรอบ แค่นี้ก็ตื่นเต้นที่จะได้พบกันวันนี้
แต่เอ๊ะ...ทำไมจู่ ๆ จึงขนลุกซู่ขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุทั้ง ๆ ที่แดดเปรี้ยงขนาดนี้
หญิงสาวยังคงร้องเพลงเจื้อยแจ้วไปจนกระทั่งขึ้นบันไดบ้าน กระโดดโลดเต้นร้องเพลงจนหางเปียที่มัดไว้ด้านหลังแกว่งไปมา
แล้วก็ได้พบคุณตาคุณยาย คุณพ่อคุณแม่และน้าหมียืนต้อนรับเธอพร้อมหน้า
อ้อ...ยังมีพี่คำหล้าอีกคน
แล้วพี่คำหล้ามาทำอะไรที่นี่? ทำไมไม่ไปเฝ้าสปา?
“โอ๊ะ...โอ นี่มาต้อนรับฟ้ากันพร้อมเพรียงเลยเหรอจ๊ะ” หญิงสาวกล่าวทักทายก่อนจะเพิ่งสังเกตว่าทุกคนต่างก็มีสีหน้าหวาดหวั่นด้วยเรื่องอันใดนั้นม่านฟ้าก็ไม่อาจทราบได้
มีแม่คนเดียวที่ยืนหน้าตึง
“เอ๊ะ...ทุกคนเป็นอะไรไป โถๆๆ นี่คงเห็นว่าฟ้าโทรมไปใช่มั้ยจ๊ะ” ม่านฟ้าเดา
“ฟ้า...เมื่อคืนลูกไปทำอะไรมา? ” หนึ่งฤทัยถามเสียงเยือกเย็น
ม่านฟ้าเข้าใจในบัดดลว่าอาการขนลุกซู่ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้มาจากรังสีอำมหิตที่แม่แผ่ออกมานั่นเอง
หญิงสาวหันไปมองคำหล้าที่ก้มหน้างุดอยู่ข้าง ๆ ก็รู้แล้วว่าเรื่องของเธอนั้นรู้ถึงหูแม่เรียบร้อยแล้ว ทำไมแม่ของเธอช่างรวดเร็ว กระชับฉับไวอย่างนี้เสมอนะ
ว่าแต่ทำไมแค่เรื่องที่เธอไปช่วยพี่คำหล้าที่สปาจะต้องทำให้แม่หน้าตึงขนาดนี้ด้วยล่ะ
“ฟ้าก็เอ่อ...ไปช่วยงานที่สปาน่ะจ้ะ”
“ฟ้า...ลูกจะช่วยอะไรก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่นวด ถึงลูกจะเรียนนวดมาจนได้ใบประกาศมาแล้วแต่ฝีมือนวดของลูกยังไม่ชำนาญ นวดให้พ่อสองครั้งก็ทำพ่อเอวเคล็ดไปทั้งสองครั้ง แล้วรู้มั้ยว่าลูกค้าที่ลูกนวดให้เขาเมื่อคืนนี้ก็เกือบจะต้องเข้าโรงบาล”
“ฮ้า...” ม่านฟ้าเบิ่งตาโตอ้าปากค้าง
“ลูกเอาเรื่องแบบนี้มาเล่นได้ยังไง ถ้าเขาพิการขึ้นมาจะว่ายังไง”
“ฟ้าไม่ได้ตั้งใจ” ม่านฟ้าเสียงอ่อย
“นั่นเป็นข้ออ้างเหรอฟ้า” หนึ่งฤทัยยังคงหน้าตึง
“โถ...แม่จ๋า ฟ้าผิดไปแล้วนะ แม่อย่าโกรธฟ้าเลยนะจ๊ะ ฟ้าไม่ทำอีกแล้ว”
“ไม่ทำอีกแล้วก็ดี แต่คราวนี้แม่ต้องทำโทษ” คนเป็นแม่เสียงเข้ม คนเป็นลูกทำตาโตในทันใดพร้อมทั้งร่ำร้อง
“แม่จ๋า คุณแม่สุดสวย ละเว้นฟ้าสักครั้งเถอะนะ พ่อจ๋า...” เมื่อขอร้องคนเป็นแม่ไม่ได้ผลเลยหันไปหาพ่อแทน
หวังเค่อเหว่ยกำลังจะอ้าปากช่วยพูดให้ลูกสาว แต่พอเจอหนึ่งฤทัยถลึงตาใส่ก็ต้องรีบหุบปากหัวหดในทันใด ก่อนจะกล่าวเสียงอ่อย ๆ กับลูกว่า
“ตัวใครตัวมันครับคุณลูก”
ม่านฟ้าเหงื่อหยดติ๋ง เพราะรู้ว่าวิธีลงโทษของแม่นั้นสุดแสนจะทารุณโหดร้ายปานใด แม่ไม่ต้องลงมือตีให้มันเจ็บมือ และไม่ทำให้ม่านฟ้าเจ็บตัว
แต่จะจับเธอจั๊กกะจี้เท้าให้เธอหัวเราะจนเหนื่อยไปเลย
โอย...รับไม่ไหวจริง ๆ แค่คิดก็สยองแล้ว
“คำหล้า! ” หนึ่งฤทัยเรียกเสียงเข้ม
“เจ้า” ลูกจ้างสาวขานรับ
ม่านฟ้าผวาหนักเมื่อรู้ตัวว่ากำลังจะโดนเชือด
“เดี๋ยวก่อนนะที่รักจ๋า” หวังเค่อเหว่ยรีบขัดจังหวะในทันใดทั้งที่ตัวเองก็กลัวหนึ่งฤทัยเหมือนกัน แต่ความรักลูกมีมากจนถึงกับลืมกลัวเมีย
“มีอะไรค่อยพูดค่อยจากันก็ได้ ไหน ๆ ลูกก็ยอมรับผิดแล้วนี่”
“หมายความว่าถ้าทำผิดแล้วยอมรับผิดทุกครั้งก็จะพ้นผิดได้ยังงั้นเหรอ” หนึ่งฤทัยหันขวับ
“แต่ลูกเพิ่งเจอหน้าเราก็อย่าเพิ่งมาทำโทษอะไรกันเลยนะจ๊ะ...” หวังเค่อเหว่ยกล่าวเสียงสั่นพร้อมทั้งหันไปส่งสายตาให้ลูกสาวเป็นสัญญาณบางอย่าง และม่านฟ้าก็รับรู้สัญญาณที่พ่อส่งมาให้
“นาน ๆ เราสามคนพ่อแม่ลูกจะเจอกันที...”หวังเค่อเหว่ยยังคงกล่าวต่อไป “ฉันว่าปล่อยลูกไปก่อน แล้วเรามาฮันนีมูนกันดีกว่านะจ๊ะที่รัก”
และเกินกว่าหนึ่งฤทัยจะทันตั้งตัว หวังเค่อเหว่ยก็ช้อนร่างระหงของภรรยาขึ้นมาทำเอาเธอกรี๊ดลั่น
“ว้าย!อาเหว่ย! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ! จะทำอะไร! บ้ารึไงเนี่ย! ปล่อยนะ! ”
หวังเค่อเหว่ยอุ้มร่างของหนึ่งฤทัยเข้าไปไม่วายหันมาพยักพเยิดให้ลูกสาว
เสียงน้าหมีรวมถึงคุณตาคุณยายของม่านฟ้าร้องประสานเสียงกันสนับสนุนขึ้นมาอีก
“หนูฟ้า หนีเร้ว....”
ม่านฟ้าได้โอกาสรีบเผ่นออกมาในทันใด ยังได้ยินเสียงแม่ร้องโวยวายลั่น
ดีนะเนี่ยที่พ่อของเธอยังแข็งแรงพอที่จะอุ้มแม่ได้ ตอนนี้แม้พ่อจะอายุห้าสิบกว่าแล้วแต่ใคร ๆ ก็มักจะคิดว่าเขาอายุแค่สี่สิบต้น ๆ เท่านั้น ยิ่งเวลาที่อยู่ในวันพักผ่อนเขาสามารถสวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์ออกไปเดินห้างกับม่านฟ้าทำให้ใคร ๆ เข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นพี่ชายหรือแฟนเธอด้วยซ้ำไป ส่วนหนึ่งฤทัยคุณแม่สุดสวยของม่านฟ้าซึ่งอายุมากกว่าพ่อสองปีนั้นยังดูสาวและสวยจนมีลูกศิษย์บางคนแซวว่าอาจารย์หนึ่งฤทัยอาจจจะเป็นปีศาจพันปี เพราะไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่กลับไม่มีความชราให้เห็นเลย
ที่จริงถ้าทุกคนรู้จักครอบครัวของม่านฟ้าก็จะรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะพ่อแม่ของเธอใส่ใจสุขภาพทั้งเรื่องการออกกำลังกายและอาหารการกินมาตลอด บวกกับการทำสปาเป็นประจำ นั่นจึงทำให้พ่อแม่ของม่านฟ้าหน้าใสเด้งแถมยังรูปร่างดีอย่างที่ทุกคนเห็น
ตอนนี้ม่านฟ้าคงต้องปล่อยให้คุณพ่อคุณแม่ฮันนีมูนกันตามสบาย ส่วนตัวเธอ.....
ขอควบ ‘เจ้าไมโล’ ม้าคู่ใจออกไปก่อนแล้วกัน
ม่านฟ้าควบม้าพ่วงพีสีน้ำตาลอ่อนมาถึงบริเวณร้านอาหาร เธอนั่งลงที่โต๊ะริมระเบียงด้านนอก แม้ตอนเที่ยงแดดจัดจ้าไปหน่อยแต่อากาศไม่นับว่าร้อนจนเกินไป การนั่งชมทิวทัศน์ด้านนอกซึ่งมีแมกไม้เป็นร่มเงาจึงนับว่าดีกว่านั่งในห้องแอร์มากนัก ม่านฟ้าสั่งน้ำสตรอว์เบอร์รี่ปั่นกับพนักงานสาว ก่อนจะนั่งสูดอากาศสดชื่นเข้าเต็มปอด
ดูเหมือนวันนี้จะมีคณะนักท่องเที่ยวมาที่นี่ เนื่องจากร้านอาหารม่านฟ้านั้นมีทั้งอาหารไทยและอาหารจีน จึงเป็นที่หมายของนักท่องเที่ยวชาวจีนทั้งหลายที่บริษัททัวร์มักจะพามาเยี่ยมเยือนอยู่เสมอ
“โอ้ว...นี่วาดรูปหลินอี้เสียงเหรอครับพี่สาว” เสียงยียวนกวนประสาทของวัยรุ่นชายคนหนึ่งดังขึ้นเบื้องหลังม่านฟ้า ชายคนนั้นพูดภาษาจีนกลาง ม่านฟ้าเดาว่าเขาคงจะเป็นนักท่องเที่ยว
แน่นอนว่าเสียงยียวนนั้นมันสะดุดหูม่านฟ้าจนเธอต้องเหลียวหลังไปมอง
คนที่นั่งหลังชนหลังกับม่านฟ้าเป็นสาวร่างเล็กมัดผมหางม้า ม่านฟ้าเห็นเพียงเท่านี้ก็ไม่กล้าหันไปมองตรงๆ
“พี่ว่ามันหล่อเหรอ หน้าก็ยังกะตุ๊ด” หนุ่มจอมกวนถาม ‘พี่สาว’ ที่กำลังวาดภาพหลินอี้เสียง
เฮ้อ...ขนาดหนีพี่เสียงมาได้ไม่กี่นาทียังต้องมาได้ยินชื่อพี่เสียงอีกแล้ว คำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ม่านฟ้าได้ยินจนชิน หญิงสาวคิดว่าไม่ใช่เรื่องที่ตนจะต้องสนใจจึงนั่งดูดน้ำสตรอว์เบอร์รี่ปั่นเย็นเจี๊ยบเข้าไปให้สบายอารมณ์ ไม่ได้เห็นสายตาคมกริบของสาวผมหางม้าที่นั่งด้านหลัง
ดวงตากลมหางตาชี้ขึ้นเหมือนตาแมวทอประกายอำมหิตอยู่เนือง ๆ ปากบางเล็กที่ริมฝีปากบนเชิดขึ้นน้อย ๆ บัดนี้เม้มเข้าหากันแน่นคล้ายกำลังข่มพายุอารมณ์ที่หมุนติ้วอยู่ภายใน
“ไอ้เสี่ยงเสียงคนนี้นะจะว่าไปมันก็ไม่เท่าไหร่...” หนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่ข้างวัยรุ่นจอมกวนออกปากวิจารณ์ “ถ้ามันไม่ได้เป็นลูกของหลินอี้เหวินมันก็คงไม่ดัง ร้องเพลงก็ไม่เก่ง เต้นก็งั้น ๆ รางวัลที่ได้มาสงสัยใช้เส้นพ่อมันว่ะ”
ม่านฟ้าได้ยินถึงกับถอนใจ
มีคนวิจารณ์พี่เสียงอย่างนี้อีกแล้ว ถึงแม้ม่านฟ้าออกจะเอือมระอากับพฤติกรรมกร่างและกวนอารมณ์ของพี่ชายคนนี้อยู่บ้าง แต่นั่นมันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา ส่วนเรื่องการแสดงไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลงหรือเล่นละครจะว่าไปแล้วพี่เสียงล้วนแต่ตั้งใจจนได้รับคำชม และไม่มีรางวัลใดที่พี่เสียงได้มาโดยใช้เส้นพ่อของเขาสักนิด
“แล้วหน้าเหมือนคางคกถูกสิบล้อทับอย่างแกมันมีอะไรดีกว่าเขาไม่ทราบ” เสียงของสาวผมหางม้าเยือกเย็นน่ากลัว
“อ้าว..พูดงี้ได้ไงพี่สาว ปกป้องมันยังกะเป็นพ่อตัวเองยังงั้นแหละ” หนุ่มจอมกวนเริ่มมีอารมณ์ หนุ่มคู่หูที่มาด้วยกันส่งเสียงมาว่า
“แต่เชื่อดิ ว่าต่อให้มีคนมาว่าพ่อเจ๊เขา เขาคงไม่ออกโรงปกป้องขนาดนี้หรอก ฮ่าๆๆ กิ๊วๆ ”
ม่านฟ้าพลันได้ยินเสียงน้ำในแก้วที่คาดว่าน่าจะสาดโครมเข้าใบหน้าของหนุ่มปากเสีย แล้วก็ตามมาด้วยเสียงฮือฮาของโต๊ะรอบข้าง
เกิดเรื่องแน่แล้ว....
ม่านฟ้าก้มหัวหลบร่างที่ถูกเหวี่ยงมาได้ทัน นั่นเป็นร่างผอมบางของหนึ่งในเด็กหนุ่มที่กล่าววาจายียวนเมื่อครู่นี้ ตอนนี้ถูกเหวี่ยงมากองอยู่บนโต๊ะตรงหน้าม่านฟ้า หญิงสาวกระโดดออกจากที่นั่งของตนทันที ยังไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงโครมดังขึ้นที่เบื้องหลังเมื่อร่างผอมสูงของชายปากเสียอีกคนถูกซัดไปชนกับโต๊ะข้างๆ ตามด้วยเสียงวี้ดว้ายของบรรดาแขกที่นั่งรับประทานอาหารในร้านที่ต้องมาชมฉากบู๊โดยไม่ได้ตั้งใจ
“หยุดนะ! หยุดนะ! คุณทำร้ายลูกทัวร์ผม ผมจะเอาเรื่องคุณ! ” เสียงมัคคุเทศก์วัยกลางคนดังขึ้นนั่นทำให้ม่านฟ้าหันขวับไปในทันใด
“ผู้ชายสองคนนี้หาเรื่องพี่สาวคนนี้...” ม่านฟ้าแก้ต่างในทันใด.” ฉันได้ยินเต็มสองรูหู ถ้าอยากจะเอาเรื่องให้ไปแจ้งตำรวจ แต่ฉันขอบอกว่าที่นี่มีกล้องวงจรปิด” หญิงสาวชี้มือไปที่กล้องวงจรปิดหลายตัวที่ติดไว้ตามที่ต่าง ๆ ในร้าน “ใครผิดใครถูกหลักฐานมีชัดเจน ใครมีปัญหามาเคลียร์กับฉัน! ”
“นี่หนู เรื่องของผู้ใหญ่อย่ามายุ่งดีกว่า” มัคคุเทศก์กล่าวอย่างวางอำนาจเมื่อเห็นอีกฝ่ายเป็นผู้อ่อนวัยกว่า
“ฉันเป็นเจ้าของร้าน! ” ม่านฟ้าเท้าสะเอวเสียงกร้าว
“เจ้าของร้านคือคุณหวังเค่อเหว่ยผมรู้จักดี อย่ามาแอบอ้าง”
“ฉันเป็นลูกสาวเขา แล้วชื่อร้านนี้ม่านฟ้ามันก็เป็นชื่อฉัน” ม่านฟ้าบอกเสียงดังฟังชัด ทำเอาสาวผมหางม้าถึงกับม่านตาขยาย
มัคคุเทศก์ผู้นั้นหน้าเสียไปทันที
ม่านฟ้าหันไปทางสองหนุ่มปากเสียที่ตอนนี้ปากบวมช้ำไปตาม ๆ กัน และกำลังตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาหลังจากโดนซัดไปคนละทิศคนละทาง
“ว่าไง...จะแจ้งความมั้ย คนเขาจะได้รู้กันทั่วว่าผู้ชายสองคนสู้ผู้หญิงคนเดียวไม่ได้” ม่านฟ้าส่งเสียงเป็นภาษาจีนกลางชัดเจน
สองหนุ่มจอมกวนก้มหน้าจ๋อยส่ายหน้าพร้อมกัน
“เด็ก ๆ ” ม่านฟ้าร้องเรียกพนักงานในร้าน
“เจ้า” เสียงขานรับพร้อมเพรียง พนักงานสาวในชุดพื้นเมืองเสื้อแขนกระบอกสีทองกับผ้าซิ่นสีน้ำตาลมายืนเรียงแถวราวกับเป็นนางสนมกำลังจะรับบัญชาองค์หญิง
“เคลียร์! ” หญิงสาวออกคำสั่ง ในใจยืดอกภูมิใจได้บ้าง นานมากแล้วที่เธอไม่ได้เป็นคนออกคำสั่งเรียกใคร มีแต่โดนพี่เสียงเรียกใช้อยู่เสมอ
“เจ้า” บรรดาพนักงานรับคำพร้อมเพรียงก่อนจะกุลีกุจอทำความสะอาดโต๊ะ คนเป็น ‘คุณหนู’ หันไปมองนาฬิกาบนผนังซึ่งบอกเวลาบ่ายโมงครึ่งก่อนจะหันไปสั่งผู้จัดการร้านซึ่งเป็นชายหนุ่มวัยสามสิบกว่า
“คนที่นั่งโซนนี้ ลดให้ครึ่งราคา”
ผู้จัดการร้านค้อมศีรษะรับคำก่อนจะหันไปดูแลการเก็บกวาด
“พี่สาว เสื้อผ้าเลอะเทอะหมดแล้ว เดี๋ยวฉันจะพาไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเอง” ม่านฟ้าหันไปทางหญิงสาวร่างเล็กมัดผมหางม้า แล้วก็จำได้ทันที..
คนนี้นี่เองที่ลุงอลันบอกว่าเป็นน้องสาวของพี่สุดหล่อคนนั้น
บังเอิญแท้ ๆ...ไม่ใช่สิ มันควรจะเป็นบุพเพสันนิวาสในชาติปางก่อนที่ทำให้เราต้องมาเกี่ยวพันกับสองพี่น้องนี้ ม่านฟ้าคิดอย่างกระหยิ่มใจ แอบหันไปพินิจร่างเล็กบางของแฟนเพลงหลินอี้เสียงคนนี้ ถ้าจำไม่ผิดจากข้อมูลที่รับมาเมื่อคืนนี้ หญิงสาวตาคมคนนี้เป็นแฟนเพลงที่ติดตามผลงานของหลินอี้เสียงอย่างใกล้ชิด และตอนนี้เพราะตามพี่ชายมาเมืองไทยจึงทำงานอยู่ที่ร้านกาแฟใต้ตึกออฟฟิศของอลัน
ร่างเล็กบางที่สูงกว่าม่านฟ้าเล็กน้อยอยู่ในชุดกางเกงขาสามส่วนสีดำกับเสื้อยืดสีเขียวขี้ม้า เข้ากันกับกำไลเส้นสีดำเป็นพวงบนข้อมือ มือข้างนั้นที่ถือกระดานสเก็ตซ์ภาพหลินอี้เสียงซึ่งเจ้าตัวปกป้องมันอย่างดี แม้เสื้อผ้าจะเลอะเทอะไปด้วยเศษอาหาร แต่ภาพสเก็ตซ์ของหลินอี้เสียงกลับไม่ได้รับการกระทบถูกเลยแม้แต่น้อย
แฟนเพลงพี่เสียงรักพี่เสียงมากขนาดนี้ ขนาดมีคนมาด่าว่ายังออกรับแทน แถมยังฝีมือดีเสียด้วย.....
แล้วความคิดอย่างหนึ่งก็แวบเข้ามาในสมองน้อย ๆ ของม่านฟ้า แต่งานนี้ต้องมีตัวช่วย
“น้าหมีจ๋า...” ม่านฟ้ากดมือถือหาน้าชายใจสาวของเธอด้วยเสียงออดอ้อนขณะพา ‘พี่สาว’เดินไปยังรถกอล์ฟที่จอดอยู่หน้าร้านอาหาร
ส่วนเจ้าไมโล…เธอเรียกคนมาเก็บเข้าคอกไปตั้งแต่แรกแล้ว
“ว่าไงจ๊ะ หนูฟ้า” น้าหมีตอบด้วยเสียงหวานไม่แพ้กัน
“ทางนั้นเรียบร้อยมั้ยจ๊ะน้าหมี”
“เรียบร้อยโรงเรียนจีนไปแล้วจ้ะหนูฟ้า พอคุณแม่จะทำโทษหนูฟ้าปุ๊บ คุณพ่อก็ทำโทษคุณแม่ปั๊บเลยจ้า”
“ถ้ายังงั้นน้าหมีมาหาฟ้าที่สปาได้มั้ยจ๊ะ ฟ้าคิดถึงฝีมือนวดหน้าของน้าหมีจังเลย อ้อ...แล้วเอาเสื้อผ้าของฟ้ามาสักสองชุดด้วยนะจ๊ะ ฟ้าจะให้เพื่อนใส่”
“ได้เลยจ้ะคุณหลาน งั้นเดี๋ยวเราเจอกันนะจ๊ะ”
ม่านฟ้าวางหูแล้วหันมาทางพี่สาวที่เดินข้าง ๆ
“ไปสปากัน เดี๋ยวไปทำสปาแล้วอาบน้ำแต่งตัวที่นั่นกันดีกว่า”
“ไม่นะ” ฝ่ายนั้นหน้าตาตื่นเล็กน้อย เมื่อนึกถึงพี่ชายของตนที่กลับจากสปาเมื่อคืนนี้แล้วมานอนเอวเคล็ดในตอนเช้า
“ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ต้องเสียตังค์ ทำแล้วสวยนะ” ม่านฟ้าโฆษณา
“ฉันไม่ชอบนวด” เสียงขยาดเต็มทน
ม่านฟ้าจึงพลันนึกถึง ‘คดี’ ที่ตนได้ก่อเอาไว้เมื่อคืนขึ้นมาได้ก็เข้าใจทันที จึงรีบแก้เกม
“ไม่นวดก็ได้ แค่อบสมุนไพร อบซาวน่า นวดหน้า พอกหน้า แช่น้ำนม”
“ฉันไม่ชอบแก้ผ้าให้ใครเห็น ไม่ชอบให้ใครมาถูกตัว” ฝ่ายนั้นยังคงสั่นศีรษะ
ยังงี้ก็มีด้วย..ม่านฟ้าเกาหัวแกรก ก่อนจะแก้เกมต่อไปว่า
“ถ้างั้น...อาบน้ำเสร็จก็นวดหน้าก็แล้วกัน แค่นี้ก็ไม่ต้องแก้ผ้าให้ใครเห็นแล้ว”
พอเห็นฝ่ายนั้นทำท่าชั่งใจลังเลม่านฟ้าจึงรีบสรุปว่า
“เอาล่ะ เอาเป็นว่าเอาตามนี้แล้วกัน” คุณหนูพาพี่สาวขึ้นไปนั่งบนรถกอล์ฟก่อนจะขับพาออกไป
“เธอเป็นผู้จัดการของเสี่ยงเสียง แล้วก็เป็นลูกสาวของอาจารย์หนึ่ง” พี่สาวตาดุเอ่ยออกมานั่นทำให้ม่านฟ้าตกใจจนเกือบจะกระทืบเบรกโดยพลัน
พี่สาวพูดน้อยต่อยหนักคนนี้ที่ผ่านมากล่าววาจาน้อยเต็มที แต่เมื่อใดที่กล่าวออกมากลับทำให้ผู้คนต้องสะดุ้งสะเทือนอยู่ร่ำไป
“อุ้ย...จำได้ด้วยเหรอเนี่ย อุตส่าห์ไม่เปิดเผยตัวออกสื่อแล้วนะเนี่ย” ม่านฟ้าหัวเราะแหะ ๆ และเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นพี่สาวคนนี้คลี่ยิ้มออกมาบ้าง แต่รอยยิ้มดูโหด ๆ เย็น ๆ พิกล
“หึ! ใคร ๆ เขาก็รู้ว่าเธอเป็นผู้จัดการของเสี่ยงเสียง แต่เรื่องที่เธอเป็นลูกสาวอาจารย์หนึ่งฉันเพิ่งรู้เมื่อกี้นี้”
“อ้อ..แหะ ๆ ความจำดีเนอะ” ม่านฟ้ายิ้มแห้งก่อนจะถามต่อ “แล้วพี่สาวชื่อแซ่อะไร?”
“ฉันแซ่โจว ชื่อโจวไห่หลิน เรียกว่าเสี่ยวหลินก็ได้” พี่สาวตาดุเริ่มมีสายตาที่เป็นมิตรขึ้นมาบ้างแล้ว
“งั้นฉันเรียกว่าพี่เสี่ยวหลินแล้วกันนะ”
“แล้วฉันควรเรียกเธอว่าอะไร? ”
“ชื่อไทย ‘ม่านฟ้า’ ชื่อจีน ‘หวังม่านฟาง’ ชื่ออังกฤษ ‘มิรันด้า’ จะเรียกอะไรก็ได้ตามสะดวก”
“งั้นเรียกตามที่เสี่ยงเสียงเรียกเธอแล้วกัน เขาเรียกเธอว่าอะไรล่ะ? ”
“บางทีก็เรียกว่า ‘ยัยตัวเล็ก’ แต่ส่วนมากพี่เสียงเขาชอบเรียกฉันว่า ‘ยัยเด็กบ้า’ ” ม่านฟ้าหัวเราะหน้าทะเล้น โจวไห่หลินเองยังถึงกับกลั้นหัวเราะไม่อยู่
“แต่ฉันคงไม่เรียกเธอว่ายัยเด็กบ้า”
“เวลาพี่เสียงอารมณ์ดีเขาก็เรียกฉันว่า ‘ฟ้า’ นั่นแหละ”
“โอเค ถ้างั้นฉันจะเรียกเธอว่าฟ้า”
โจวไห่หลินมองดูสารถีตัวเล็กข้าง ๆ ตนแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะคนชวนเป็นผู้จัดการส่วนตัวของหลินอี้เสียง โจวไห่หลินคงจะปฏิเสธที่จะไปสปาตั้งแต่แรกแล้ว เธอไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้ ไม่ชอบให้คนมาถูกเนื้อต้องตัว ไม่เคยใส่ใจเรื่องความสวยความงามเท่าไหร่
แต่ตอนนี้เมื่อเธอพบหนทางที่จะมอบภาพวาดให้หลินอี้เสียงแล้ว เธอจะไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป
“เหยื่อติดเบ็ดแล้วใครจะปล่อยไปง่าย ๆ ล่ะน้าหมี ฮะฮ่า...ในที่สุดฟ้าก็ค้นพบทายาทอสูรจนได้” ม่านฟ้านั่งสาธยายแผนการของตนให้น้าหมีของเธอฟังอยู่ที่ห้องพักผ่อนในสปา ขณะที่นั่งรอโจวไห่หลินซึ่งกำลังอาบน้ำอยู่ด้านใน
“ที่จริงเรื่องอย่างนี้ หนูฟ้าก็น่าจะจัดการเองได้นะ เพราะหนูเสี่ยวหลินอะไรนั่นก็ชอบพี่เสียงของหนูฟ้าอยู่แล้วนี่” หมีบอก
“ไม่แน่หรอกน้าหมี ฟ้าว่าพี่เขาดูเลือดเย็นแล้วก็ท่าทางแปลก ๆ ฟ้าไม่มั่นใจฝีมือตัวเอง เลยเรียกน้าหมีสุดสวยของฟ้ามาช่วยดีกว่า แล้วอีกอย่างนึงนะ ฟ้าก็คิดทึ้ง คิดถึงน้าหมีม้ากมาก ไม่ได้เจอกันเกือบปีมีเรื่องจะคุยให้ฟังตั้งเยอะ”
“เด็กคนนี้ ขี้อ้อนเหมือนคุณพ่อตอนหนุ่ม ๆ ไม่มีผิด” น้าหมีหยิกแก้มป่องของหลานสาวอย่างเอ็นดู
หมีจัดเป็นกะเทยหน้าตี๋ที่หนึ่งฤทัยรู้จักมาตั้งแต่เด็ก ม่านฟ้าก็คุ้นเคยสนิทสนมกับน้าหมีของเธอมาตลอด แม่บอกว่าน้าหมีเป็นลูกของคนงานในไร่นี้และน้าหมีก็มีใจเป็นหญิงมาตั้งแต่เกิด แม่ของม่านฟ้าเสียอีกที่ที่ชอบเล่นขี่ม้าและยิงธนูบู๊ไปทั่วไร่มาตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งโตเป็นสาวก็ยังไปทำงานเป็นอาสาสมัครกู้ภัยที่ผาดโผนมาแล้วทุกรูปแบบ
อย่างไรก็ตามแม้หมีจะมีใจเป็นหญิง แต่จนกระทั่งบัดนี้กลับไม่ได้ผ่าตัดดัดแปลงส่วนใดออกไป ร่างกายอาจจะอ้อนแอ้นบ้าง แต่ยังคงเป็นชายครบถ้วนเหมือนเดิม นั่นเป็นเพราะหนึ่งฤทัยขอร้องเอาไว้ เนื่องจากไม่อยากให้หมีเป็นกะเทยอายุสั้นเพราะการศัลกรรมเหมือนเช่นกะเทยคนอื่น ๆ
หมีนั้นแม้จะเป็นกะเทยหน้าตี๋ แต่เดิมทีพูดภาษาจีนไม่ได้เลยสักคำ ตอนนี้หมีมีหน้าที่ช่วยหนึ่งฤทัยดูแลกิจการสปาม่านฟ้าสาขากรุงเทพฯ และหนึ่งฤทัยนี่เองที่บังคับให้หมีเรียนภาษาจีนเพื่อต้อนรับลูกค้าชาวจีนจากคณะทัวร์ที่เข้ามาใช้บริการสปาทุกวัน มาวันนี้หมีจึงพูดภาษาจีนได้คล่องแคล่วพอ ๆ กับภาษาอังกฤษที่เจ้าหล่อนเคยใช้มันอยู่บ่อย ๆ เมื่อสมัยที่เคยทำงานเป็นพนักงานต้อนรับในโรงแรม
“อ้าว..หนูเสี่ยวหลินเสร็จเรียบร้อยแล้ว ใส่เสื้อผ้าหนูฟ้าพอดีเลยนะเนี่ย” หมีร้องทักเมื่อโจวไห่หลินสวมเสื้อผ้าของม่านฟ้าออกมา
“พี่เสี่ยวหลินใส่แบบนี้แล้วก็น่ารักดีเหมือนกันนะ ดูสดใสกว่าใส่เสื้อผ้าสีมืด ๆ ตัวเมื่อกี้นี้ตั้งเยอะ” ม่านฟ้าบอก แต่โจวไห่หลินกลับรู้สึกว่าการที่ต้องสวมเสื้อสีชมพูแจ๋นกับกางเกงสีเหลืองแป๊ดของยัยเด็กคนนี้มันทำให้เธอดูพิลึกชอบกล เธอบอกกับตัวเองว่ารอเสื้อผ้าของเธอแห้งเมื่อไหร่จะรีบเปลี่ยนคืนทันที ขืนใส่ชุดสีแจ๋นอย่างนี้กลับที่พัก มีหวังพี่เซิ่งหัวเราะตาย
ม่านฟ้าพาโจวไห่หลินไปยังห้องนวดหน้าและนั่งบนเก้าอี้คนละตัว หมีเป็นคนนวดหน้าให้ม่านฟ้า ส่วนคำหล้าเป็นคนนวดหน้าให้โจวไห่หลิน
“น้าหมี ฟ้าสงสัยนะ” ม่านฟ้าเริ่มปากไม่อยู่สุข ขณะที่น้าหมีของเธอกำลังนวดหน้าให้ด้วยสมุนไพรชั้นดีที่ทำให้ทุกคนในบ้านเธอหน้าขาวเด้งอย่างที่ใคร ๆ เห็นกัน
“สงสัยอะไรจ๊ะ? ”
“ฟ้าสงสัยมานานแล้ว แต่ไม่กล้าถามพ่อกับแม่”
“งั้นถามน้าหมีมาเลยจ้ะ”
“พ่อกับแม่ฟ้ารักกันมากถึงมากที่สุด ตั้งแต่จำความได้พ่อกับแม่ไม่เคยทะเลาะกันสักครั้ง ไม่มีผิดใจกัน ไม่มีวันไหนที่พ่อไม่หอมแม่ แล้วพ่อก็ดูจะเป็นคนขยัน ‘ทำการบ้าน’ ในเมื่อรักกันขนาดนี้แล้วทำไมไม่มีน้องให้ฟ้าซักคน รึว่าร่างกายของใครมีอะไรผิดปกติ”
“วุ้ย..คิก คิก” หมีหัวเราะคิกคักในทันใด “หนูฟ้าถามอะไรอย่างนี้จ๊ะ พ่อกับแม่ของหนูไม่มีอะไรผิดปกติหรอกลูก แต่ที่มีหนูฟ้าคนเดียวเพราะสองคนงานยุ่ง กลัวว่าถ้ามีน้องอีกคนจะไม่มีเวลาดูแลให้ดี ก็เลยคิดว่ามีหนูฟ้าคนเดียวแล้วดูแลอย่างดี ดีกว่ามีลูกหลายคนแล้วดูแลไม่ดีนะจ๊ะ”
“เน้นคุณภาพ ไม่เน้นปริมาณว่างั้นเถอะ” ม่านฟ้าพยักหน้าเข้าใจ
โจวไห่หลินฟังทั้งคู่สนทนาเป็นภาษาไทยเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างแต่ก็พอจับใจความได้ และอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมากับคำถามประหลาดของเด็กคนนี้
“น้าหมีคะ ฉันก็มีเรื่องสงสัยค่ะ” โจวไห่หลินชักอยากจะเล่นด้วยเพราะเห็นว่าม่านฟ้าตลกดี
“ว่ามาเลยหนูเสี่ยวหลิน” คราวนี้หมีพูดภาษาจีนแล้ว
“ฟ้าเขาเป็นลูกแท้ ๆ ของอาจารย์หนึ่งรึเปล่าคะ อาจารย์ออกจะตัวสูง แต่ทำไมฟ้าถึงได้เตี้ยอย่างนี้ล่ะคะ หน้าก็ไม่เห็นจะเหมือนกัน”
หมีหัวเราะออกมาในทันใด ในขณะที่หลานสาวโวยวายลั่น
“น้าหมีดูซิ ฟ้าโดนคำถามแบบนี้อีกแล้ว”
“โถๆๆ หนูฟ้า อย่าน้อยใจไป หนูเสี่ยวหลินจ๊ะ หนูฟ้าเขาหน้าเหมือนพ่อนะ แต่ที่เตี้ยแบบนี้เพราะตอนอยู่ชั้นมอต้นหนูฟ้าดูหนังสือสอบหนักไปหน่อยเลยป่วยเป็นโรคกระเพาะทานอะไรไม่ได้อยู่เป็นปี ก็เลยเลี้ยงไม่โตอย่างนี้แหละจ้ะ”
“อ้อ...” โจวไห่หลินยิ้มน้อย ๆ ออกมาที่แกล้งแหย่ม่านฟ้าสำเร็จ
“อย่าให้มีสักวันที่ฟ้าสูงบ้างแล้วกันแหละ” ม่านฟ้าหน้าตูม
“ยัยเด็กบ้านั่นหายไปไหนตั้งนานเนี่ย บอกว่าไปหาพ่อแม่แป๊บเดียวจะกลับมา” หลินอี้เสียงบ่นอยู่ในที่พักบนยอดเขาซึ่งปกติบ้านหลังนี้จะไม่เปิดให้คนทั่วไปเช่าพัก แต่จะใช้รับรองแขกส่วนตัวของคนในครอบครัวม่านฟ้ามากกว่า เวลานี้ใช้เป็นที่พักของหลินอี้เสียงกับทีมงานจากไต้หวันบางส่วน และมีบางส่วนที่นอนพักที่รีสอร์ทหลังเล็กข้างล่าง
หลินอี้เสียงหลับไปตื่นหนึ่งแล้ว จำได้ว่าก่อนที่จะงีบ ม่านฟ้าบอกว่าจะไปหาพ่อแม่ของเธอ เขายังกำชับว่าให้รีบกลับมา เมื่อตอนสายเขาโทรหาหวังเค่อเหว่ยเพื่อทักทายในฐานะคนคุ้นเคยกัน เห็นม่านฟ้าเผ่นออกไปแล้ว เขาคุยกับหวังเค่อเหว่ยครู่หนึ่งก่อนจะงีบหลับไป สองชั่วโมงผ่านไปเขาตื่นมาก็ยังไม่เห็นเธอกลับมา โทรหาก็ไม่รับสาย แถมตาขวายังกระตุก
ยัยเด็กบ้าจะต้องไปทำเรื่องวุ่นวายอะไรอีกแน่ สังหรณ์ใจยังไงชอบกล
“จะถ่ายรูปเหรอเสี่ยงเสียง ” ทีมงานสาวคนหนึ่งถาม เพราะรู้ว่าหลินอี้เสียงคงจะอยากถ่ายรูปเพื่ออัพลงโซเชียลเน็ตเวิร์ค
“ครับ พี่ช่วยผมถ่ายหน่อยได้มั้ยครับ” ว่าพลางยื่นสมาร์ทโฟนให้ทีมงานสาวช่วยถ่ายรูปเขาในอิริยาบถสบาย ๆ ริมระเบียง สลับกับทำหน้าทะเล้นใส่กล้องอย่างที่คิดว่าสาว ๆ เห็นต้องกรี๊ดสลบ ก่อนจะจัดการอัพโหลดรูปลงโซเชียลเน็ตเวิร์คยอดฮิต
หลินอี้เสียงโผล่หน้าหล่อออกไปตรงระเบียง ปรากฏว่ายังมีแฟนเพลงส่วนหนึ่งยืนรอเขาอยู่ด้านล่าง พอเห็นซูเปอร์สตาร์ขวัญใจพวกตนโผล่หน้าออกมาก็พากันส่งเสียงกรี๊ดร้องเรียกไม่ขาดปาก หลินอี้เสียงส่งยิ้มโบกมือทักทาย ก่อนหมุนกายเดินกลับเข้าที่พักแล้วก็ต้องชะงักฝีเท้าเมื่อนึกอะไรบางอย่างได้
นี่มันใกล้จะสี่โมงเย็นแล้ว แฟน ๆ กลุ่มนี้ก็ไม่รู้ว่าพักกันที่ไหน ทุกคนเป็นผู้หญิงและยังเป็นวัยรุ่น ขืนให้มายืนเฝ้าอย่างนี้แล้วจะกลับบ้านกันอย่างไร
หลินอี้เสียงหยิบโทรโข่งโผล่หน้าออกไปตรงระเบียงอีกครา และตะโกนใส่โทรโข่งว่า
“เสี่ยงเสียงรักทุกคนนะครับ และเป็นห่วงทุกคนมาก ตอนนี้เย็นมากแล้ว เดี๋ยวค่ำแล้วจะอันตราย ถ้าไม่อยากให้เสี่ยงเสียงเป็นห่วง ขอให้ทุกคนกลับไปก่อนนะครับ”
เสียงกรี๊ดดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วบริเวณ
โจวไห่เซิ่งโผล่ออกมาจากที่พักมองไปยังบ้านบนยอดเขา ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเสียงกรี๊ดมันดังมาจากที่นั่น เขารู้ว่าหลินอี้เสียงพักที่นั่น บรรยากาศที่ไร่ม่านฟ้าแห่งนี้คึกคักมาหลายวันแล้ว เหมือนจิตใจของน้องสาวเขาที่ดูมีชีวิตชีวาทุกครั้งที่ได้เห็นนักร้องหนุ่มผู้นี้ โจวไห่เซิ่งไม่เคยห้ามหรือต่อต้านน้องสาวของเขาในเรื่องนี้ แต่ไหนแต่ไรโจวไห่หลินไม่ค่อยมีเพื่อน เพราะนิสัยที่มีโลกส่วนตัวสูงของเธอ วัน ๆ ถ้านอกจากไปทำงานแล้วก็จะนั่งวาดรูปหรือทำอะไรคนเดียว น้อยครั้งนักที่จะเห็นเธอหัวเราะ
แน่ล่ะ...ถ้าอยู่ในครอบครัวที่ต้องเห็นความระทมขมขื่นของพ่อมาตลอดยี่สิบกว่าปีคงไม่มีใครที่จะหัวเราะออกมาได้ แม้แต่โจวไห่เซิ่งเองก็ยังหัวเราะออกมายากเย็นเต็มที แต่เขาก็ยังมีเพื่อนมีสังคม
ส่วนโจวไห่หลินคบคนรอบข้างแบบผิวเผิน มีเพียงหลินอี้เสียงเท่านั้นที่ทำให้โจวไห่หลินยิ้มและหัวเราะออกมาได้ทุกครั้งที่ได้ดูการแสดงของเขา
ความสุขของน้องสาว โจวไห่เซิ่งไม่อยากขัด เขาอยากจะให้เธอไปรวมกลุ่มกับพวกแฟนคลับเหล่านั้นบ้างด้วยซ้ำ แต่เธอกลับไม่ชอบสุงสิงกับใคร โจวไห่เซิ่งรู้แน่ว่าเสียงกรี๊ดสนั่นไร่ม่านฟ้าเมื่อครู่นี้ต้องไม่มีเสียงของน้องสาวเขารวมอยู่ด้วยแน่นอน
เพราะตั้งแต่มาที่นี่เธอมักเพียงแต่แอบมองหลินอี้เสียงอยู่ไกล ๆ เท่านั้น
แต่ถ้าเธอไม่ไปกรี๊ดอยู่กับแฟนคลับเหล่านั้น แล้วตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?
หลังจากที่ม่านฟ้ากับโจวไห่หลินไปนอนนวดหน้าด้วยกันจนหน้าใสเด้งออกมาทั้งคู่แล้ว โจวไห่หลินก็จัดการนำภาพวาดหลินอี้เสียงใส่กรอบไม้อัดมายื่นให้ม่านฟ้า
“ยังไงก็ได้เจอเธอแล้ว ฝากรูปวาดนี้ให้เสี่ยงเสียงด้วย บอกเขาว่าฉันวาดเอง ทำกรอบรูปเอง และก็วาดลายบนกรอบรูปเองด้วย”
“โอ้โห...” ม่านฟ้าตะลึงในฝีมือการวาดภาพของโจวไห่หลิน เพราะมันไม่ใช่แค่เหมือน แต่มันยังดูมีชีวิตชีวามีอารมณ์ราวกับเรียกเอาวิญญาณของหลินอี้เสียงมาสิงอยู่ในภาพนี้ก็ไม่ปาน
โอ...ขนลุก นี่แสดงว่าพี่เสี่ยวหลินจะต้องสังเกตทุกกิริยาอาการของพี่เสียงอยู่เสมอ
แล้วฝีมือการลงสีลวดลายกราฟฟิกที่กรอบรูปนั้นก็ไม่เลวทีเดียว
“เอ๊ะ...ลูกแมวน้อย” ม่านฟ้าอุทานเมื่อเห็นชื่อที่เซ็นกำกับใต้ภาพนั้นก่อนจะเงยหน้ามองคนวาด
“พี่เสี่ยวหลินคือลูกแมวน้อย? ”
โจวไห่หลินเพียงยิ้มอยู่ในตาแล้วกล่าวว่า
“บอกเขาแค่ว่าฉันคือลูกแมวน้อย อย่าบอกชื่อจริง”
ม่านฟ้างุนงง หมีซึ่งยืนอยู่ในเหตุการณ์ด้วยก็เอ่ยขึ้นมาว่า
“แล้วหนูเสี่ยวหลินไม่อยากจะได้ใกล้ชิดเสี่ยงเสียงมากกว่านี้เหรอจ๊ะ”
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว