ชายารักมัจจุราชไร้ใจ (ebook)

เช็ดตัวให้ข้า 2

บทที่ 11

ตอน ตลบหลัง


หญิงสาวค่อยๆวาดเรียวขางามหนึ่งข้างหมายจะข้ามร่างแกร่งของบุรุษตรงหน้าไป เพื่อไม่ให้ถูกตัวเขาแม้แต่ชายเสื้อ ทว่าบาดแผลก็ยังเจ็บปวด เยว่ซิ่นจึงต้องค่อยๆข้ามไปอย่างเชื่องช้ายากลำบากยิ่งขึ้น แต่ว่าท่านี้เหมือนตนกำลังขึ้นคร่อมบุรุษรูปงามอย่างไรก็ไม่รู้


หยางเซิงมองร้างอรชรเหนือของตนตาค้าง จนอยากจะเอื้อมสัมผัสผ้าขาวบางตรงหน้ายามถูกแสงจันทร์สาดส่องช่างชวนยั่วยวนใจยิ่งนัก ใบหน้าเขาขึ้นสีร้อนผ่าวแดงก่ำถึงใบหู ส่วนร่างบางก็ค่อยๆวาดขาอีกข้าง เพื่อข้ามให้พ้นร่างกำยำที่นอนอยู่ใต้ร่าง


องค์มหาเทพผู้หน้านิ่งปานน้ำแข็งพันปีกลับอมยิ้มเสียน่ารักกระชากใจ ดึงดูดสตรีตรงหน้าให้หยุดมองรอยยิ้มนั้น


เยว่ซิ่นรีบหลับตาไม่แลมองใบหน้าเย้ายวนนั้นให้ใจอ่อนระทวยเด็ดขาด ส่วนเรียวขาก็ยังพยายามก่ายหาทางข้ามร่างแกร่งนี้ไปให้ได้


หึ...พยายามเสียจริง องค์มหาเทพแทบเก็บสีหน้าไม่อยู่ได้แต่พึมพำกับตนเองในใจ


ชายหนุ่มขยับขาตนให้ทับกับชายผ้าชุดขาวบางเบาของนางอย่างตั้งใจ จวบจนหญิงสาวจะขยับขาอีกข้าง ผืนผ้าที่ถูกทับไว้แน่นทำให้แรงวาดขากลับตกลงฉับพลัน ร่างบางล้มทับองค์มหาเทพเต็มอกกำยำ ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นฉับพลันเพราะความตื่นตระหนกเสียขวัญ


ตายแน่...ข้าตายแน่!


เพียงอึดใจเยว่ซิ่นยอมเจ็บตัวหมายจะกระโดดลงจากเตียงเสียเดี๋ยวนั้น ก็ดีกว่าตายคาเตียงละกัน


ทว่าท่อนแขนแกร่งกลับคว้าเอวอรชรของนางไว้มั่นพร้อมพลิกร่างบางให้นอนข้างกายเช่นเดิมเพิ่มเต็มคือ ท่อนแขนนั้นกอดรัดเอวบางไม่ยอมปล่อย จนฝ่ามือข้างขวาของชายหนุ่มเลื่อนขึ้นบีบคอหญิงสาวอย่างไม่ปราณี


เยว่ซิ่นหายใจไม่ทั่วท้อง วงหน้างามค่อยๆแดงก่ำ คราวนี้มิใช่เพราะความเขินอายแต่เป็นความเจ็บปวดทรมานอย่างบอกไม่ถูก อย่าว่าแต่หายใจแค่กลืนน้ำลายยากยังลำบาก น้ำตาค่อยๆไหลสัมผัสแก้มนวล ชายหนุ่มหน้านิ่งมองนางสายตาดุดันกว่าครั้งไหนๆ


เป็นบ้าอะไรไปอีก! อยากจะฆ่าก็ฆ่าเลยรึ!


เยว่ซิ่นแทบอยากจะเอ่ยตอกหน้าเขาให้รู้แล้วรู้รอด แต่โดนบีบคอหนักหน่วงเช่นนี้อย่าเปลื้องแรงสู้เลยดีกว่า


สีหน้าแดงก่ำลูกตาสีนิลเหลือกขึ้นจนมองไม่เห็น หญิงสาวมิได้พยายามตบตีคนตรงหน้าแต่อย่างใด เพียงบีบข้อมือเขาไว้ ยิ่งดิ้นยิ่งเจ็บแล้วจะดิ้นไปไยกัน หนำซ้ำถ้าลองคิดอีกว่านางไปฆ่าบิดามารดาเขาแล้วเขาจะทำคืนก็ไม่แปลก


“ข้าอยากรู้นัก...ว่าปรมาจารย์อย่างท่านจะฆ่าฟู่หมู่ของข้าไปไยในเมื่อเป็นสหายสนิทกันแท้ๆ” น้ำเสียงเฉียบขาดแต่เยือกเย็นชวนให้ผู้ฟังขวัญผวาเดาอารมณ์ไม่ออก


หยางเซิงค่อยๆคลายมือจากลำคอเล็กน้อยเพื่อให้นางมีแรงที่จะตอบ


เดิมทีเยว่ซิ่นกะจะไม่เอ่ยพูดถึงเหตุผลหรือคำบอกกล่าวอะไรทั้งนั้น แต่ในเมื่อองค์มหาเทพท่านนี้เปิดโอกาสในนางได้มีคำแก้ตัว แล้วนางจะเก็บเรื่องจริงทั้งหมดไว้ไยกัน


“สรุปสั้นๆและอย่าเอ่ยโป้ปด”


หยางเซิงเอ่ยเสียงเหี้ยมพร้อมบีบคอนางแรงๆหนึ่งที


เพคะๆ พร้อมฆ่ากันเช่นนี้ ถ้าข้ากล้าโป้ปดอีกก็โง่แล้ว...มีโอกาสรอดก็ต้องคว้าไว้สิ


“กาลก่อนหมิงหลานยื่นคำปรารถนาของเขาให้ปรมาจารย์อย่างข้าช่วยโดยมีข้อแลกเปลี่ยน”


เยว่ซิ่นพยายามหายใจให้เป็นปกติมากที่สุด ทว่าแววตากลับสั่นไหวหวาดกลัวคนตรงหน้ายิ่งกว่าเดิม ฝ่ามือแกร่งวางไว้บนลำคอระหงของนางอย่างเบามือ แต่ก็พร้อมทุกเมื่อที่จะลงแรงบีบ


“เขาปรารถนาให้ข้าล้มเทพเซียนชั้นสูง” หญิงสาวกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก “เพื่อที่จะเปลี่ยนผู้ปกครองสามภพและผู้ปกครองแดนสวรรค์”


“แล้วเจ้าก็ทำ!”


ชายหนุ่มขย้ำคองามด้วยแรงครึ่งหนึ่ง จวบจนให้นางเจียนตาย น้ำตาคลอเบ้าริมฝีปากอ้าหมายจะเอาอากาศหายใจ ทว่าฝ่ามือแกร่งกลับปล่อยคอระหงเป็นอิสระได้ทันเวลา


“ข้าขอโทษ”


ปากเอ่ยสำนึก หลังมืองามปาดเช็ดน้ำตา ร่างบางรีบขยับหนีหมายจะกระโดดลงเตียงเสียให้ได้


ทว่าสายตาคมจับจ้องลำคอขาวที่มีรอยช้ำแดงเถือกจากแรงมือของตน แต่ในหัวพลางนึกคิดถึงคำเล่าของจูจื่อ


‘นางแอบต้มยาให้ท่าน’ นางเคยแอบดูแลข้าจริงรึ?….จริงๆรึ?


ท่อนแขนแกร่งรีบคว้าร่างบางนั่งคร่อมบนต้นขาตน ก่อนจะพินิจดูรอยช้ำตรงลำคอขาว จนคิ้วงามได้รูปของเยว่ซิ่นขมวดติดกันอย่างแปลกใจ


…..สำนึกผิดหรือท่าน?….ตอนบีบนี้ไม่ออมแรงเลยนะ….


หญิงสาวพยายามดิ้นลุกหนีคนตรงหน้า แต่เขากลับกอดรัดนางไว้แน่น สายตาดุดันยังคงจับจ้องลำคอนั้นไม่วางตาพร้อมกับถอนหายใจอย่างรู้สึกผิด


“ท่านเคย...แอบดูแลข้าจริงหรือไม่?” หยางเซิงพึมพำถามขึ้นอย่างเหม่อลอย


เยว่ซิ่นจ้องมองชายหนุ่มตาค้างกับคำว่า ‘ท่าน’ ที่เอ่ยออกมาจากปากเขา แต่ที่อึ้งหนักกว่านั้นไม่คิดว่าองค์มหาเทพจะถามตนเช่นนี้


ถ้าข้าตอบไปแล้วจะโดนบีบคออีกไหมเล่า!?


“ตอบข้ามาเถิด” หยางเซิงเห็นคนในอ้อมแขนเงียบนิ่งมิกล้าเอ่ย ทำให้บุรุษอย่างเขาจำต้องลองเอ่ยเสียงอ่อนโยนเพื่อนางหายตื่นตกใจ


ทว่าตรงกันข้าม ยิ่งเขาพูดเสียงอ่อนโยนเท่าไรนางก็ยิ่งขนลุกมิกล้าเอ่ยตอบกว่าเดิม


เจ้ามาอารมณ์ไหนกัน เมื่อครู่ยังอยากบีบคอข้าให้ตาย…..ทำเช่นนี้ข้ายิ่งกลัวรู้หรือไม่!?


แขนแกร่งโอบรัดร่างบางแน่นขึ้น แต่ก็ยังเบามือเพื่อไม่ให้นางเจ็บบาดแผลมากจนเกินไป เยว่ซิ่นเห็นท่าทีว่าตนแทบจะสิงร่างคนตรงหน้าได้อยู่แล้วขืนใกล้กว่านี้คงรวมร่างกันเป็นแน่ นางจึงรีบเอ่ยตอบฉับไว


“อืม..ข้าดูแลเจ้า”


“เพื่ออะไร?” ชายหนุ่มย้อนถามทันควัน


“ข้า…” วงหน้างามถูกจับปลายคางให้หันกลับมามองใบหน้าหล่อคมตรงหน้าอย่างใกล้ชิด “...ข้ารู้สึกผิดกับเรื่องที่….ทำลงไป...ข้าจึงสัญญากับฟู่หมู่ของเจ้าว่า...ข้าจะปกป้องเจ้าไปจนข้าสิ้นลม”


หญิงสาวตอบความจริงจนหยุดปากมิได้เหมือนมีมนต์สะกดให้นางเคลิบเคลิ้มเอ่ยวาจาสัตย์จริงเสียทุกคำ


มุมปากบางยกยิ้มบ่งบอกความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้ในใจยังจะโกรธเคืองนางก็เถิด ทว่าเขากลับอุ่นใจยิ่งนักที่รู้ว่านางพยายามจะไถ่บาปเรื่องนี้อย่างไร


“ท่านจะปกป้องข้าจนสิ้นลมจริงๆหรือ?” เขาถามเพื่อความแน่ใจ


“ก็ข้าสาบานเช่นนั้นไปแล้ว จะคืนคำได้อย่างไร” เยว่ซิ่นเอ่ย


แววตาเปล่งประกายใต้แสงจันทร์ช่างงดงามชวนมองยิ่งกว่าสิ่งใด หญิงสาวเหม่อมองดวงตาคู่งามตรงหน้าอย่างชอบใจ พลางนึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่องค์มหาเทพผู้นี้จะเผยแววตาอันอ่อนโยนให้นางเห็นเป็นบุญตา


ช่าง...งดงามดึงดูดใจยิ่งนัก...ถ้าข้าได้เจ้าเป็นสามี ข้าคงนั่งมองเจ้าทั้งวันทั้งคืนเป็นแน่….


“งั้นท่านคงต้องอยู่กับข้า จวบจนข้าสิ้นลมเช่นกัน” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างหนักแน่นเฉกเช่นคำสาบาน


สองท่อนแขนแกร่งค่อยๆประคองร่างบางให้นอนข้างกายเช่นเดิมพร้อมห่มผ้าให้ สองร่างหนุ่มสาวนอนร่วมเตียงกัน ทว่ากลับมิได้ล่วงเกินฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพียงแค่ได้นอนมองใบหน้างามเฉกเช่นกาลก่อนในวัยเยาว์ เพียงเท่านี้เขาก็สุขใจไม่น้อย ถึงแม้สีหน้าจะมิได้แสดงออกมาก็ตาม


จวบจนเขาสิ้นลม…..ไม่น่าตบปากรับคำเลย...เหมือนเดินเข้ากรงขังเองแต่โดยดีอย่างไงอย่างงั้น…แล้วไหนจะท่าทางเช่นเมื่อครู่อีก...คืนนี้ข้าจะหลับลงไหมเล่า!…


ถึงแม้หญิงสาวจะพยายามข่มตาหลับ แต่ก็ต้องนอนตัวเกรงตรงมิให้ถูกร่างของชายหนุ่มข้างกาย ทว่าพอตกดึกเวลาล่วงเลยผ่านยามจื่อ*เรียวขางามกลับปัดป่ายกอดเกาะคนข้างกายไม่ห่าง สองแขนกางออกอย่างสบายใจโดยที่ไม่รู้ตัว


หยางเซิงกัดฟันข่มตาให้หลับอยู่นาน ทว่าแรงดิ้นนั้นทำเอาเขาต้องใช้ผ้าห่มรัดกายนาง แต่ก็รัดนางได้ไม่ถึงหนึ่งเค่อหญิงสาวกลับถีบผ้าห่มไปอยู่ปลายเท้าเสียอย่างนั้น จนแล้วจนรอดเขาก็ต้องรวบแขนรวบขานางเข้าสู้อ้อมกอดตนในที่สุด


หยุดดิ้นเสียที...ข้าจะได้นอน….วันพรุ่งโทษประหารคงได้พูดถึงในที่ประชุมเป็นแน่….


ความกังวลแทบจะเพิ่มทวีคูณเมื่อท่านองค์มหาเทพไล่เรียงเรื่องทั้งหมดที่นางทำไว้


ถ้าข้าเป็นนางข้าคงเหงื่อตกไม่ใช่น้อย...ข้าทำจะอย่างไรกับเจ้าดี… เยว่ซิ่น...



ดวงจันทราลาลับแสงตะวันสอดส่อง ยามซื่อ*รวมเซียนประชุมสวรรค์ชั้นฟ้า เทพเซียนยศน้อยใหญ่พากันเข้าร่วม เสื้อผ้าอาภรณ์ล้วนสวมใส่สีขาวผุดผ่องสมกับเป็นเทพเซียนเผ่าสวรรค์ยิ่งนัก แต่มีเทพบรรพกาลเพียงผู้เดียวที่สวมใส่ชุดสีทมิฬเรียบง่ายทั้งตัว พร้อมเสื้อผาวสีเทาทับอีกชั้นพอเป็นพิธี ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะมีบ่าวใช้ตระเตรียมเสื้อผ้าอาภรณ์ขาวสง่างามให้ ถึงอย่างไรเขาก็มิเปลี่ยนเพราะเสื้อผ้าที่ตนมีนี้ก็ได้มาจากเยว่ซิ่น เขาเคยนั่งดูนางเย็บชุดเป็นตัวๆตอนตนอย่างเยาว์ ตั้งแต่ขนาดชุดวัยเยาว์ จนบัดนี้นางยังตระเตรียมเสื้อผ้าอาภรณ์วัยหนุ่มให้เขาอีก ถึงแม้เขาจะคิดว่านางไม่ทำแล้ว…


เทพเซียนน้อยใหญ่ทั้งหลายแปลกตามิใช่น้อย เพราะมิเคยมีผู้ใดกล้าสวมใส่ชุดสีอื่นเข้าประชุมใหญ่


ท่านองค์มหาเทพของสวรรค์ชั้นฟ้านั่งสูงเหนือกว่าผู้ใด แววตาอันเฉียบคมไล่มองใบหน้าของเทพเซียนแต่ละคน ก่อนจะหยุดสายตาตรงที่ว่างเปล่า ตรงนั้นเป็นที่นั่งประจำของเง็กเซียนฮ่องเต้เพลาเข้าประชุม ทว่ายามนี้เง็กเซียนฮ่องเต้หมิงหลานกลับต้องนั่งนิ่งอยู่ในตำหนักของตนมิอาจออกไปไหนได้ ไม่ต่างกับเทวีองค์ก่อนที่ตอนนี้ก็นั่งเหม่อมองสระบัวยามสาย


“การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมตัดสินเรื่องขององค์เทวีไป๋เยว่ซิ่น เสี่ยวเซียนมีหลักฐานทั้งหมดที่จะกล่าว” เซียนเฒ่าผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อมแต่น้ำเสียงหนักแน่นเป็นที่สุด


“ท่านคือ?” องค์มหาเทพถาม


“เสี่ยวเซียนมีนามว่า หลินอี๋หลาง พ่ะย่ะค่ะ”


ตระกูลหลิน หยางเซิงเคยฟังจูจื่อพูดถึงประวัติเกี่ยวกับตระกูลนี้อยู่บ้าง ทว่ากาลก่อนนั้นตระกูลหลินถูกองค์มหาเทพหยางเสิ่นตัดบทบาทออกไปจากราชสำนักแทบทั้งหมด เพราะตระกูลหลินเคยคิดจะล้มล้างเทพบรรพกาลเปลี่ยนเง็กเซียนฮ่องเต้


หยางเซิงไม่แปลกใจเลยสักนิดถ้าเพลานี้ตระกูลหลินจะมีบทบาทมากขึ้นถึงขั้นเอ่ยกลางที่ประชุมได้อย่างองอาจ แสดงว่าเขามีหลักฐานและอำนาจมาพอที่จะเอาผิดเยว่ซิ่นได้ ซึ่งนั้นมันก็แน่อยู่แล้วกระทำของนางถูกเลื่องลือจนพากันขนหัวลุกมิต้องมีหลักฐานก็เอาผิดนางได้ การที่ผู้เฒ่าหลินทำเช่นนี้คงต้องการย้ำเตือนการกระทำของนาง และพูดป่นปี้ให้นางเสียชื่อเสียงยับเยินก่อนตายเป็นแน่


“หลินอี๋หลาง...” ท่านองค์มหาเทพเอ่ย ทำเอาคนในที่ประชุมเซียนยืนตัวแข็งทื่อเพราะไม่คิดว่าท่านจะเอ่ยเรียกชื่อเต็มเช่นนี้ อี๋หลางตัวสั่นเบาๆ เขาจำน้ำเสียงเช่นนี้ได้ดี ครานั้นที่ถูกจับได้ในการคิดล้มล้างเทพชั้นสูงทำเอาอี๋หลางขวัญหนีดีฝ่อเป็นว่าเล่น


“หลักฐานที่เจ้ามีนั้นคงเกี่ยวกับการกระทำอันเลวร้ายของนางใช่หรือไม่”


ชายหนุ่มถามอย่างใจเย็นดั่งสายน้ำลำธารอันสุขสงบ


“พ่ะย่ะค่ะ” อี๋หลางตอบอย่างภาคภูมิ เขารวบรวมข้อมูลทั้งหมดมาอย่างละเอียดถี่ยิบ ถึงบางเรื่องจะลำบากในการหาหน่อย แต่ถ้าใส่สีตีไข่ไปอีกสักนิดผู้คนก็เชื่อกันหมดแล้ว เพราะอย่างไรนางผู้นั้นก็มิมีใครชอบ แม้จะรู้กันอยู่แล้วว่าโทษนางคือตาย ไหนๆก็จะตายแล้ว ก็ตายไปพร้อมชื่อเสียงอันเน่าเฟะมากกว่าเดิมจะเป็นไรไป


ความจริงแล้วนั้นเขาควรยกรางวัลให้นางที่ช่วยล้มล้างเทพเบื้องบนในกาลก่อนเสียด้วยซ้ำ แต่ครานี้จะล้มเทพชั้นสูงตรงหน้าจะไปยากอะไรเพียงแค่มีหมิงหลานก็พอ หนำซ้ำยังสามารถสร้างเรื่องเป่าหูเสียว่าเทพบรรพกาลผู้นี้หาใช่บุตรแท้ๆขององค์มหาเทพหยางเสิ่นไม่


“งั้นไม่ต้องพูด ถึงไม่เอ่ยกล่าวทุกคนเขาก็รู้กันอยู่แล้ว เสียเวลา” องค์มหาเทพหนุ่มเอ่ยเสียงดังฟังชัด


“แสดงว่า ท่านองค์มหาเทพมิอยากพูดถึงข้อหาของนางรึพ่ะย่ะค่ะ” อี๋หลานเลิกคิ้วทำเป็นสงสัย “การกระทำเช่นนี้ไม่เป็นการปกป้องนางทางอ้อมหรือพ่ะยะค่ะ?”


เทพเซียนทั้งหลายต่างเริ่มมององค์มหาเทพเบื้องบนอย่างฉงนสงสัย บ้างก็เริ่มไม่พอใจ ทว่าหยางเซิงกลับนั่งหน้านิ่งไร้กังวล สายตาคมมองดูผู้คนเบื้องล่างอย่างละเอียด พอให้เห็นว่าพวกเขาซุบซิบริมโสตกันไปมา


เพียงแค่คำพูดไม่กี่คำกลับเปลี่ยนความเชื่อและความเคารพไปได้อย่างสิ้นเชิง หนำซ้ำจะมีใครคอยเป่าหูเล่าถ้ามิใช่พวกขุนนางชั้นสูง


ทุกคนต่างพากันพยักหน้าเห็นด้วยกับอี๋หลาง


“เรื่องข้อหาขององค์เทวีนั้น เสี่ยวเซียนจะมิเอ่ยก็ย่อมได้ แต่ท่านทำเช่นนี้เหมือนกับปกป้องนางและเหมือนไม่ยอมรับข้อหาของนางนะพ่ะย่ะค่ะ” อี๋หลานวาจาคำเสียลื่นคอ ปลุกความฉงนในตัวเทพเซียนทั้งหลายได้สำเร็จ


“...ท่านองค์มหาเทพ ท่านดึงกระบี่หนิงหลงได้หรือไม่?”


การถามเช่นนี้เหมือนสงสัยในตัวของท่านองค์มหาเทพเบื้องบน การที่จะได้รับการยอมรับจากเทพเซียนสวรรค์นั้น องค์มหาเทพที่ได้รับเลือกหรือเป็นสายเลือดที่แท้จริงต้องได้รับการยอมรับจากกระบี่หนิงหลงด้วย


กระบี่หนิงหลงสีนิลเงางามถูกใช้เป็นอาวุธคู่กายของเทพบรรพกาลมายาวนานนัก


ผู้ใดเหมาะสมหรือเป็นสายเลือดที่แท้จริงจะดึงกระบี่ออกจากฝักได้ ทว่ายามใดที่คมกระบี่ได้ออกจากฝักก็ต้องได้ลิ้มรสโลหิตสักนิดก่อนเก็บคืน เฉกเช่นตอนที่หยางเซิงดึงกระบี่ออกจากฝัก กดปลายกระบี่ลงผิวของหมิงหลานอย่างเบามือให้กระบี่หนิงหลงได้ลิ้มรสโลหิต ส่วนหมิงหลานกลับมิรู้ตัวเลยสักนิด


แต่เพลานี้ท่านองค์มหาเทพกลับปิดปากมิเอ่ยคำแก้ตัวแม้แต่คำเดียว ทำให้ผู้คนพากันเข้าใจไปในทางเดียวกันแล้วว่า เทพสูงส่งตรงหน้าจะใช่บุตรแท้ๆขององค์มหาเทพหยางเสิ่นจริงรึ?


ร่างสูงโปร่งกำยำในเสื้อผ้าอาภรณ์สีหม่นนี้ เดินลงจากที่ประจำมายืนประจันหน้ากับอี๋หลาง สายตาคมแลมองลงมายังเซียนขุนนางผู้นี้อย่างแน่นิ่ง


เพียงชั่ววูบแขนเสื้อสีนิลสะบั้นฉับไว ปรากฎกระบี่เล่มงามในมือของหยางเซิง กระบี่สีดำทมิฬมิเหมือนผู้ใดถูกดึงออกจากฝักมาหน้าตาเฉยโดยไร้คำเตือน คมกระบี่วางลงบนบ่าใกล้ลำคออี๋หลานพอดิบพอดี


สีหน้านิ่งเฉยของท่านองค์มหาเทพที่แท้จริงส่งผลให้อี๋หลานเหงื่อตกปากสั่นหมดคำพูดไปในบันดล แค่กล้ำกลืนน้ำลายให้ลงคอยังลำบากพอมีกระบี่เล่มงามถูกวางไว้บนบ่าช่างเหมือนมีภูเขามาวางทับเสียมากกว่า


“เปิ่นจวินจำได้ว่า ผู้ใดฉงนสงสัยเทพชั้นสูงที่ได้รับเลือก มีโทษ….” หยางเซิงกดเสียงลงต่ำอย่างโหดเหี้ยม แววตาจับนิ่งมองขุนนางตรงหน้า “...ถึงตาย...แต่เปิ่นจวินได้เข้าประชุมใหญ่กับพวกท่านทั้งหลายเป็นหนแรก...เปิ่นจวินจะเมตตาปราณีเซียนขุนนางอย่างท่านอีกสักหนเช่นกัน…”


สีหน้าอี๋หลางซีดลงไปเสียแปดเก้าส่วน เทพเซียนโดยรอบต่างก้มหน้างุดมิกล้าสบตาไร้อารมณ์คู่นั้น


หยางเซิงยิ้มน้อยๆพอเป็นพิธี ก่อนเอ่ยว่า “งั้นโทษของท่านคือ ตัดหัวส่วนดวงวิญญาณของท่านข้าจะส่งท่านไปเกิดใหม่ดีหรือไม่”


อี๋หลางตาโตเหงื่อตก ฝ่ามือกำชายแขนเสื้อแน่นจนนิ้วทั้งห้าซีดขาว “ท่านช่างโอหังยิ่งนัก! ข้ารับใช้องค์ฮ่องเต้แห่งสรวงสวรรค์มาหลายปี! ตัวข้ายังมิเคยโอหังได้เท่าท่านเลย!!” น้ำเสียงตวาดแข็งกร้าวไร้ความเคารพอย่างสิ้นเชิง


เข้าทางข้า...เจ้าสติแตกจนได้…


สีหน้าเรียบนิ่งของหยางเซิงทำให้มิมีผู้ใดคาดเดาอารมณ์องค์มหาเทพผู้นี้ออก ท่านโกรธอยู่? หรือทำหูทวนลมกันแน่


“ถ้าเซียนจวินอี๋หลางคิดว่าเปิ่นจวินโอหัง งั้นเรื่องคิดล้มเทพเบื้องบนในกาลก่อนหนที่สองเล่า? ต้องให้เปิ่นจวินเรียกว่าอะไร”


“แล้วท่านมีหลักฐานรึ” อี๋หลางเอ่ยอย่างมั่นใจ ทว่าดวงตากลับโกธรจัด


“เปิ่นจวินไม่มี..”


อี๋หลางส่งเสียง...หึ! ออกมาอย่างสะใจ


“แต่ซือหมิงมี”


เทพชะตาเดินออกมากลางห้องโถงใหญ่ก่อนคำนับเทพเบื้องบนตรงหน้า


อี๋หลางจำได้มิเคยลืมว่าผู้ที่ทำให้ตนและครอบครัวลำบากนั่นคือ ซือหมิง...เป็นบุคคลที่ชอบฟังเสียงชาวบ้านไม่เว้นวัน เก็บข้อมูลจริงเท็จมากลั่นกรองจนได้ความจริงแท้เพียงหนึ่งเดียวมีหลักฐานครบครันมิบิดเบียน


“ท่านเทพ ท่านรู้หรือไม่ว่าเซียนอี๋หลางมีข้อหาอะไรบ้าง”


“รู้พ่ะย่ะค่ะ” ซือหมิงเอ่ย


“เชิญท่านว่ามา”


“เสี่ยวเสินขอเชิญองค์ไทจื่อหมิงเซียนเข้าร่วมประชุมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”


“เชิญ”


หมิงเซียนก้าวเข้าห้องประชุมใหญ่ของสวรรค์ชั้นฟ้าเป็นครั้งแรก ถึงแม้จะประหม่าอยู่บ้างแต่หาได้ตื่นตัวจนเกินเหตุไม่


อี๋หลางมองตาหมิงเซียนค้างอย่างกับเห็นภูตผีปีศาจ ชายหนุ่มในชุดสำนักหยางหลงยืนอยู่ข้างกายซือหมิง ก่อนจะประสานฝ่ามือคำนับองค์มหาเทพสูงสุด


“ไม่ต้องมากพิธี”

---------------------------------------------------------


ยามจื่อ* 23.00 น. จนถึง 24.59 น.

ยามซื่อ* 09.00 น. จนถึง 10.59 น.


รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว