บทที่ 8
ตอน วีรกรรมเก่า
วิญญาณนับสิบปรากฎกายรอบห้อง แผ่นหลังทั้งคู่ชนกันอย่างเลี่ยงมิได้ วิญญาณไร้ร่างตรงหน้าช่างเหมือนกับศิษย์พี่ศิษย์น้องที่เคยร่วมร่ำเรียนฝึกวิชาด้วยกันมายิ่งนัก ชุดสีดำแดงนั้นบ่งบอกถึงสีประจำสำนักหานหลิ่งอย่างชัดเจน
เยว่ซิ่นยืนอึ้งมิกล้าขยับกาย ดวงตาคู่งามมองสบตากับวิญญาณนับสิบอย่างใจหาย เมื่อครู่ที่นางเอ่ยกับตนเองว่า ‘พวกเขาหายไปไหน’ ความจริงก็ปรากฎให้เห็นตรงหน้าแล้วว่าพวกเขายังคงอยู่ที่เดิมมิเคยได้ไปผุดไปเกิดเลยด้วยซ้ำ
ศิษย์น้องบางคนเติบโตเป็นบุรุษรูปงามแล้ว ทว่าเมื่อสิ้นใจกลับกลายเป็นดวงวิญญาณที่หาได้มีสภาพดีอย่างที่เคย เพราะรูปลักษณ์บางคนบ่งบอกถึงการถูกสังหารโดยการใช้กระบี่บาดลำคอจนเกือบขาด บางก็ถูกกระบี่แทงทะลุอก ทำให้เยว่ซิ่นรู้ทันทีว่าแต่ละคนตายอย่างไร
ใครกันช่างกล้าทำกับพวกเจ้าเช่นนี้!...ศิษย์น้องบางคนยังไม่พร้อมจับด้ามถืออาวุธเลยด้วยซ้ำ!…
หญิงสาวกำกระบี่ในมือไว้แน่น เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลตามไรผม หัวคิ้วงามขมวดเข้าหากันอย่างโกรธเกรี้ยวผสมปนเปกับความหวาดหวั่นดวงวิญญาณที่รายรอบอยู่ คราวยังเป็นศิษย์ เยว่ซิ่นไม่ชอบวิชากระชากวิญญาณและวิชาดึงวิญญาณเป็นที่สุด อะไรที่เกี่ยวกับวิญญาณเรียนให้รู้ก็เพียงพอ เรียนเอาตัวรอดได้ก็ดีแล้ว หนำซ้ำทั้งสำนักมีศิษย์พี่สามผู้เดียวที่เก่งล้ำเลิศในแขนงวิชาพวกนี้ แถมวิญญาณตรงหน้ากลับเป็นศิษย์น้องทั้งหลายอีก นางมิกล้าทำดวงวิญญาณนับสิบแตกสลายไร้ทางเกิดใหม่เป็นแน่
ใช่ว่านางจะมิเคยประมือกับศิษย์พี่ผู้นี้แต่การที่ต้องสู้กะดวงวิญญาณนับสิบโดยที่จะส่งไปเกิดใหม่นั้น มันมิได้ง่ายเหมือนหายใจเข้าออกเสียเมื่อไร แต่ดันต้องมีปราณทิพย์อยู่กับตัวอีกหรือไม่ก็ต้องเล่นบรรเลงกู่ฉินปลดปล่อยดวงวิญญาณ ถ้าจำต้องทำจริงๆนางคงต้องเสียปราณมารไปทั้งหมด
หญิงงามรีบเอาตำราในมือยัดเข้าฝีมือชายหนุ่มผู้ยืนอยู่เบื้องหลัง
“เปิดหน้าสุดท้ายแล้ว บรรเลงกู่ฉินเสีย” เยว่ซิ่นเอ่ยอย่างแผ่วเบา “...ข้าจะคุ้มกันให้”
ชายหนุ่มเปิดตำราไปหน้าสุดท้ายทั้งที่ดวงตาคมยังคงจ้องดวงวิญญาณเขม็ง ดวงวิญญาณนั้นไร้ความรู้สึก ทว่าสายตาอันเย็นยะเยือกแฝงไปด้วยความดุดันนี้ทำเอาดวงวิญญาณบางดวงถึงกับถอยห่าง
ฝ่ามือขวาของหยางเซิงกำฝักกระบี่ไว้มั่นโดยที่ยังไม่ดึงกระบี่ออก
ดวงวิญญาณที่ถูกควบคุมมักจะทำตามผู้สั่งโดยที่การโจมตีมีหลายรูปแบบ เฉกเช่นวิญญาณที่ถือกระบี่อยู่แสดงว่าก่อนตายเขาได้ถือกระบี่ไว้ กระบวนท่ากระบี่ที่มีติดตัวตั้งแต่ยังมีชีวิตสามารถใช้จู่โจมได้ ไม่ต่างอะไรกับการสู้ตอนมีชีวิตเพียงแต่พวกเขาแค่ฆ่าไม่ตาย
วิญญาณตนแรกขยับกายฟาดฟันกระบี่อย่างกับคนไม่มีผิด เยว่ซิ่นจำได้ว่าเขาคือศิษย์น้องเยี่ยผู้เก่งในด้านกระบี่ ดูจากรูปร่างแล้วเขาคงรูปงามเป็นแน่ถ้ายังมีชีวิต...หญิงสาวรีบปัดป้องคมกระบี่ที่หมายจะตัดคอตนอยู่มะลอมมะล่อ เมื่อวิญญาณดวงแรกเริ่มขยับ ดวงต่อไปก็อย่าหวังว่าจะยืนนิ่งเฉย
ศิษย์พี่ศิษย์น้องนับสิบพุ่งเข้าโจมตีฟันแทงไม่ยั้ง สองชายหญิงถูกล้อมไร้ทางออก หยางเซิงใช้กระบี่สีนิลของตนปัดป้องคมกระบี่สังหารมากมายพร้อมถือตำราขึ้นมาอ่านเป็นระยะ หญิงสาวรีบคว้าตัวชายหนุ่มให้อยู่ใกล้ตนมากขึ้นพลางโอบตัวเขาให้เบี่ยงหลบคมกระบี่ เยว่ซิ่นสังเกตได้ว่าเขาผู้นี้มิได้ดึงกระบี่ประจำกายออกจากฝักเลยสักนิด ทว่ากลับตอบโต้ได้มิมีที่ติ เขาเพียงแต่ซัดปราณทิพย์ลงตัวกระบี่ฟาดวิญญาณตรงหน้าถอยร่นไปเสียสิบก้าว
ปิดบังพลังเซียนไว้ซะมิด แกล้งใส่หน้ากากแสดงงิ้วเสียสมจริง….ข้าก็นึกว่าเจ้าด้อยฝีมือยิ่ง!
คมกระบี่ในมือเยว่ซิ่นฟาดฟันก่อนเจ้าตัวจะโยนกระบี่ขึ้นท้องนภา สองนิ้วชี้นิ้วกลางมือซ้ายอยู่ตรงระดับอก พร้อมร่ายปราณมารไว้ที่กระบี่เพื่อบังคับให้มันล่องลอยพุ่งแทงวิญญาณนับสิบในคราเดียว จวบจนกระบี่เล่มงามล่องลอยกลับมาหาเจ้าของ
เยว่ซิ่นคว้าด้ามกระบี่ฉับไว ดงวิญญาณทั้งหลายค่อยๆสลายหายไปเป็นควันสายหนึ่ง เพื่อกลับไปปรากฎกายอยู่กับผู้ใช้วิชากระชากวิญญาณ คนผู้นั้นคงกระอักเลือดไปไม่น้อยเป็นแน่เพื่อที่จะเรียกดวงวิญญาณซ้ำเล่าซ้ำเล่าเป็นแน่
“อ่านเสร็จหรือยัง?!”
หญิงสาวเอ่ยรีบร้อน นางไม่อยากเสียปราณมารโดยใช่เหตุ
หยางเซิงมิได้ตอบ แต่คว้ากู่ฉินที่คาดหลังมาอย่างว่องไว พร้อมบรรเลงบทเพลงหน้าสุดท้ายเสียช่ำชองยิ่งกว่าปรมาจารย์อิ่งฉินในวัยเยาว์เสียอีก
นิ้วเรียวดั่งลำเทียนดีดกู่ฉินเจ็ดสายบรรเลงเสนาะหู ตรงกันข้ามกับดวงวิญญาณที่ได้ยินต่างร้องโหยหวน ถึงคราบรรเลงท่อนสุดท้ายสายกู่ฉินดีดดังสนั่น ดวงวิญญาณนับสิบรีบถอยร่นไปหาผู้เป็นนาย
เยว่ซิ่นง้างกระบี่ขึ้นเหนือหัวก่อนจะรวมปราณมารส่งไปยังกระบี่ในมืออีกหน คมกระบี่แทงลงพื้นของเรือนไม้ แรงปะทะต้านปราณมารของผู้ใช้วิชากระชากวิญญาณไว้พอดิบพอดี ผนังไม้ในเรือนยามนี้แตกสลายเป็นเสี่ยงๆ
หญิงสาวสบตามองบุรุษสวมอาภรณ์น้ำเงินเข้ม แววตาจิตสังหารเต็มเปี่ยม ผมดำยาวเกล้ามัดอย่างดีปราณมารทั้งสองต้านทานกันไปมา จวบจนกระบี่ในมือเยว่ซิ่นแตกหักไม่เหลือชิ้นดี ส่วนคนผู้นั้นก็กระอักเลือดไปเสียกองโต
หักจนได้! มีบ้างไหมที่ใช้ได้นานๆแล้วไม่หักคามือข้า!
บุรุษในเสื้อผ้าสีน้ำเงินเข้มรีบทรงตัว เยว่ซิ่นกะใช้ปราณมารของตนโจมตีเสีย ทว่าก็มีผลทำให้ตนเองเกือบตายได้เหมือนกัน
“เอาตี๋จึไป”
หยางเซิงรีบคว้าตี๋จึในแขนเสื้อออกมาพร้อมยัดเยียดใส่มือนาง
“.......” หญิงสาวมองตี๋จึสีขาวนวลในมืออย่างครุ่นคิด
“มันเป่าบรรเลงได้และยังเป็นกระบี่ให้ท่านได้ด้วย” ชายหนุ่มรีบเอ่ย “มันชื่อจิ้นหลิง”
….ตี๋จึกระบี่คืออันเดียวกันแถมยังมีชื่อด้วย….
“ถ้าท่านนึกอยากให้มันเป็นกระบี่มันก็จะเป็นกระบี่ให้ท่าน” หยางเซิงว่า
แววตาสงสัยงุนงงจ้องมองของที่อยู่ในมือพลางนึกถึงกระบี่งามสักเล่มที่เหมาะมือ ตี๋จึสีขาวกลับเป็นกระบี่สีขาวเล่มงามเหมาะมือ คมกระบี่แลดูเปราะบางทว่าแข็งแกร่งยิ่งนัก
ชายหนุ่มในเสื้อผ้าอาภรณ์น้ำเงินเข้มผู้นี้หาใช่ศิษย์พี่สามแต่ก็ดูเหมือนจะถูกฝึกมาจากเขา เพียงชั่วครู่เขากลับร่ายปราณมารเรียกวิญญาณอีกหน ส่วนตนก็ถือกระบี่วิ่งมาหาเยว่ซิ่นไม่คิดชีวิต
นี้กะไม่ละเว้นชีวิตกันเลยรึ….แล้วเจ้าเป็นใครกันเล่า….ข้าจำได้ว่ามิเคยบาดหมางอะไรกับเจ้านะ!
วิญญาณศิษย์พี่ศิษย์น้องพุ่งตรงไปหาหยางเซิงที่กำลังนั่งดีดกู่ฉินตามคำสั่งเยว่ซิ่น ทว่าตอนนี้เขาหาได้ดีดบรรเลงบทเพลงตามที่นางบอกเสียที่ไหน
หญิงสาวรีบร่ายปราณมารสร้างเขตอาคมกั้น เพื่อไม่ให้หยางเซิงถูกโจมตี ส่วนตนกลับปะทะกระบี่ของอีกฝ่ายอย่างดุเดือด ทั้งคู่ต้านรับกระบี่กันไปหลายกระบวนท่า ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกันเหมือนกับจะสู้กันให้ตายไปข้าง แต่ดวงวิญญาณนับสิบนั้นกำลังเล็งโจมตีข้างหลังเยว่ซิ่นเช่นกัน
นิ้วเรียวกำลังดีดกู่ฉินเร็วปานสายฟ้า บทเพลงนี้ไม่มีผู้ใดเคยได้ยิน แม้กระทั่งตัวเยว่ซิ่นเองก็ยังมิเคยได้ยิน
ร่างแกร่งใต้กำแพงใสดีดสายกู่ฉินจบเพลง สายที่ดีดหนสุดท้ายดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินปราณทิพย์แห่งเทพแพร่กระจายไปทุกพื้นที่ในบัดดล ดวงวิญญาณทุกดวงที่อยู่ตรงหน้ากลับสลายกลายเป็นสะเก็ดสีขาวงามล่องลอยไปบนท้องนภาเพื่อเกิดใหม่
คนทั้งคู่ที่ปะทะกระบี่ต่างแปลกใจอย่างยิ่ง ทว่าเมื่อศัตรูเผลอโอกาสเช่นนี้ช่างหาได้ยาก ชายหนุ่มชุดน้ำเงินเข้มง้างกระบี่หมายฟาดฟันสตรีตรงหน้าให้ดับสิ้น
เพียงเสี่ยววิหยางเซิงนำกู่ฉินคาดหลังตนพร้อมพุ่งตัวใช้กระบี่สีนิลมีนามว่าหนิงหลง ปัดป้องกระบี่ฝ่ายตรงข้ามให้หลุดมือ ก่อนคว้าเอวบางของสาวงามประชิดตน
ปลายกระบี่หนิงหลงจ่อคอหอยของบุรุษตรงหน้าไม่ไหวติง สายตาดุดันยิ่งกว่าผู้ใด สีหน้านิ่งเย็นยะเยือกดั่งน้ำแข็งพันปีมิมีผู้เทียบเทียม
“ข้าแค่บอกให้เขาจับตัวพวกเจ้าเป็นๆ หาใช่จะฆ่าทิ้งเสียเมื่อไร เหตุใดถึงใช้กระบี่จ่อคอกันเช่นนั้นเล่า”
เสียงทุ้มเข้มเอ่ยทีเล่นทีจริง เยว่ซิ่นหันมองบุรุษชุดม่วงเข้มที่อยู่บนหลังม้าแถมยังมีสตรีนั่งในอ้อมแขนด้วย มิบอกก็รู้ว่าสตรีผู้นั้นคือองค์หญิงแห่งหยางเฉียงที่เห็นตรงขบวนใหญ่ ร่างบางถูกโม่เหยี่ยหลิงสะกดจุดไว้มิให้ขยับกาย
“งั้นรึ?” เยว่ซิ่นมองชายหนุ่มตรงหน้าที่ยืนนิ่งมิกล้าขยับกาย เพียงแต่ปล่อยให้ปลายผมสะบัดไปตามลม
สองชายหนุ่มยืนจ้องตาอาฆาตกันไปมามิมีใครยอมใคร ยังดีที่มีกระบี่หนิงหลงหันชี้เป็นชี้ตายอยู่อย่างน้อยหยางเซิงก็เป็นผู้ถือกระบี่ หญิงสาวพินิจมองบุรุษข้างกายเสียเต็มตาก่อนอมยิ้มให้เขา
สงสัยข้าต้องมองเจ้าใหม่เสียแล้ว…..
“ศิษย์พี่แน่ใจรึว่าศิษย์ของท่านผู้นี้ไม่คิดที่จะสังหารพวกข้า” หญิงสาวจับตามองบุรุษบนหลังม้า เพื่อบอกเป็นนัยว่าศิษย์ผู้นี้หาได้คิดเช่นนั้น “เมื่อครู่เขาสู้แทบเป็นแทบตายเรียกวิญญาณเสียตั้งหลายหนมิกลัวเสียปราณมารสักนิด”
เยี่ยหลิงลงจากหลังม้าพร้อมสาวงาม คงไม่ง่ายที่ต้องไปเอาตัวองค์หญิงมาจากไทจื่อแห่งเผ่ามาร ดูจากโลหิตเปื้อนชุดของศิษย์พี่แล้วคงบุกไปอย่างบ้าบิ่นเป็นแน่
ชายหนุ่มค่อยๆดึงกระบี่เล่มงามออกจากฝักพลางกล่าวขออภัยแทนศิษย์ของตน
“เขาคงเลือดร้อนไปหน่อย อภัยให้ลูกศิษย์ของข้าด้วย”
เยว่ซิ่นกระชับกระบี่ขาวไว้แน่น
“ได้...ข้ามิเอาเรื่องเขาหรอก”
หยางเซิงยังมิลดคมกระบี่ลงแม้แต่น้อย สองหนุ่มต่างพร้อมใจกำชับกระบี่ในมือ
“ดูเหมือนศิษย์ของเจ้ายังไม่ยอมปล่อยศิษย์ของข้านะ เสี่ยวซิ่น” เหยี่ยหลิงเอ่ยออกมาอย่างสนิทสนมเหมือนแต่ก่อน ทำเอาหญิงสาวยืนนิ่งอึ้งเพราะหลังจากตัดเยื้อใยฉันพี่น้อง เยว่ซิ่นก็ไม่เคยได้ยินปรมาจารย์ศิษย์พี่คนไหนเรียกว่า เสี่ยวซิ่น อีก
หญิงสาวหลับตาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนลืมตามองศิษย์พี่ตรงหน้า “เขาหาใช่ศิษย์ของข้า ท่านอยากให้เขาปล่อยศิษย์ของท่านก็ไปขอเขาเองสิ”
เยี่ยหลิงแลมองชายหนุ่มชุดเทา รูปร่างกำยำสูงโปร่งสง่างามยิ่งกว่าเทพเซียน
แปลกที่จะมีบุรุษเช่นนี้อยู่ข้างกายเยว่ซิ่น เพราะนางมักจะชอบทำงานคนเดียวเสียมากกว่า
“ศิษย์พี่โม่ ข้าคิดว่าถ้าท่านยอมปล่อยพวกข้า ข้าจะขอให้เขาปล่อยศิษย์ของท่าน” หญิงสาวจ้องกดดันเยี่ยหลิงไม่วางตาพลางมองหญิงงามที่ยืนตาลอยอยู่ข้างๆเขา “...และปล่อยองค์หญิงผู้นั้นส่งให้ข้าด้วย”
เพราะดูจากสภาพนางก็ใช่ว่าจะมิเคยขัดขืน ทว่าแรงสตรีอย่างองค์หญิงแห่งหยางเฉียงจะไปสู้แรงชายชาตรีกำลังมากอย่างโม่เยี่ยหลิงได้อย่างไร แต่ที่สำคัญยิ่งกว่า เยว่ซิ่นรับรู้มามากพอว่าองค์หญิงผู้นี้มีพันธะสัญญาอะไรบางอย่างกับสรวงสวรรค์ชั้นฟ้าอยู่ ถ้าศิษย์พี่โม่เอาตัวนางมาเช่นนี้เกรงว่าภายภาคหน้าคงต้องลำบากไม่น้อย
“ปล่อยนางให้เจ้า?” เยี่ยหลิงแทบอยากจะหลุดหัวเราะ
ปล่อยรึ? ฮ่าๆ ปกติแล้วศิษย์น้องต่างหากที่เป็นผู้ไม่ยอมปล่อยอะไรรอดไปง่ายๆ แต่บัดนี้ทำเป็นแม่พระแบกคุณธรรมไว้บนบ่า คิดหรือว่าทำเช่นนี้แล้วลบล้างสิ่งที่ตนเคยทำไว้ หึ!
เยว่ซิ่นขมวดคิ้วแน่นเป็นปม เพราะลางสังหรณ์รู้สึกไม่ดี
“ซิ่นเอ๋อร์ ซิ่นเอ๋อร์ ข้าจำได้ว่ากาลก่อนเจ้ามิเคยปราณีผู้ใดเลย หนำซ้ำยังปล่อยให้ผู้อื่นรับผลกรรมต่อโดยที่ตนเองได้เป็นใหญ่เหนือเง็กเซียนฮ่องเต้ แล้วเจ้าเคยหันกลับมาแลมองผู้คนที่อยู่ข้างหลังเจ้าหรือไม่!?”
ชายหนุ่มชี้หน้าศิษย์น้องสิบของตนอย่างเหลืออดพร้อมกล่าววาจาต่อว่า
“เจ้าหันไปดูรอบๆให้ดีสิ!”
ซากตำหนักเรือนไม้บางส่วนถูกเผาไหม้เหลือแต่ซาก บ้างก็มีลูกธนูคาไว้ บางเรือนก็มีกระดาษยันต์ติดอยู่ ถึงแม้ตอนเข้ามาเมื่อครู่จะมิได้สังเกตมากนัก สภาพที่เหลืออยู่ให้เห็นนั้นบ่งบอกถึงการต่อสู้สุดฝีมือ ทั้งการโจมตีโดยใช้อาวุธใช้พลังปราณ หรือจะเป็นการใช้กระดาษยันต์เพื่อสะกดวิญญาณมิให้ไปเกิดก็เถิด
“สิ่งที่เจ้าเห็นทั้งหมดนั้น...ต้นเหตุเกิดก็เพราะเจ้า! ไป๋เยว่ซิ่น!”
เสียงแข็งกร้าวดังก้องกังวานดุดันชวนเสียขวัญ
หญิงสาวหน้าซีดเผือดในบัดดล โสตประสาททั้งหมดแทบชาจนมิรู้สึกตัว นัยน์ตาเริ่มพร่ามัวริมฝีปากกล่าวแต่เพียงว่า
“ไม่ ไม่จริง”
ถึงแม้หยางเซิงจะจับกระบี่ แววตาจ้องมองบุรุษในชุดน้ำเงินเข้ม แต่ริมโสตกลับตั้งใจฟังมิวอกแวก
“ทำไม!จะไม่จริง! ที่ศิษย์พี่สองและคนในสำนักต้องตายก็เพราะเจ้ามิใช่รึ! ถึงแม้เจ้าไม่ได้เป็นผู้กระทำ แต่สิ่งที่เง็กเซียนฮ่องเต้ทำก็เป็นเพราะเจ้าขึ้นไปสังหารเทพบรรพกาลทั้งสองนั้นมิใช่รึ!”
“ท่านว่าเง็กเซียนฮ่องเต้ทำรึ?”
หญิงสาวยืนอึ้งยิ่งกว่าก้อนหินเสียอีก
ชายหนุ่มกำกระบี่หนิงหลงในมือแน่นเสียจนปราณทิพย์ในกระบี่แพร่กระจายออกมา แววตาเจ้าของพลันดุดันขึ้นยิ่งกว่าเดิมหลังจากได้ยินคำว่า ‘เพราะเจ้าขึ้นไปสังหารเทพบรรพกาลทั้งสอง’
“ใช่ ข้าเห็นกับตาว่าศิษย์พี่และซือฝุจากไปอย่างไร! กระบี่ลายมังกรงามสง่าแทงเข้าอกจนมิดด้าม ภาพนั้นยังติดตาข้าไม่เคยหาย!”
ฝ่ามือของเยี่ยหลิงกำกระบี่บีบแน่นจนนิ้วมือทั้งห้าซีดขาว แววตาแดงกำเพราะโทสะ
“คำกล่าวก่อนที่มันผู้นั้นจะฆ่าซือฝุ ข้าก็ยังจำได้! ‘สิ่งที่กระทำในวันนี้ถือเป็นการทดแทนสิ่งที่ศิษย์เอกอย่างปรมาจารย์อิ่งฉินได้กระทำไว้บนสรวงสวรรค์ โดยเป็นผู้สังหารเง็กเซียนฮ่องเต้องค์ก่อนรวมถึงเทพบรรพกาลทั้งสอง!’” น้ำเสียงแค้นเคียงดุดัน “มันผู้นั้นยืนป่าวประกาศดังลั่นจนผู้คนทั่วทั้งเมืองสาปแช่งสำนักเรา!”
เยว่ซิ่นแทบยืนไม่อยู่ หายใจไม่ทั่วท้อง จนต้องใช้กระบี่ประคองร่างตนไว้เพื่อไม่ให้ล้ม
“หมิงหลาน...”
หญิงสาวกัดฟันแน่น แววตาตาน้ำคลอทว่ากลับดุดันกว่าครั้งไหนๆ
ข้ามันคงชั่วช้าจริงๆ….ชั่วช้าตั้งแต่ทำตามคำขอขององค์ชายรองตกกระป๋องอย่างเจ้า!...หมิงหลาน!...ได้ตำแหน่งที่ต้องการแล้วก็โยนเรื่องทุกอย่างให้ข้ารับกรรมแต่เพียงผู้เดียวงั้นรึ!!
“ข้าเคยสาบานว่าจะตัดหัวผู้เป็นต้นเหตุ ที่สังหารได้แม้กระทั่งสหายสนิทของตนเอง เขาทั้งคู่เป็นถึงเทพบรรพกาลปกครองสามโลก เจ้าฝันจะไปแทนที่แล้วบัดนี้เป็นอย่างไรเล่า!? ได้สมใจอยากหรือยัง”
เมื่อพูดถึงสหายรักทั้งสองที่จากไปโดยน้ำมือตน เยว่ซิ่นก็มิอาจกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป นางยังจำได้เลยว่าตนเคยไปงานมงคลของทั้งสองโดยเป็นคนจากเผ่ามารเพียงหนึ่งที่สามารถขึ้นไปร่วมงานได้ และสหายทั้งสองยังบอกกับเหล่าเทพเซียนทั้งหลายอีกว่าตนคือสหายรักของพวกเขา ‘ถึงแม้นางจะเป็นภูตมารแต่ก็ไม่เหมือนผู้ใด’ วาจาของพวกเขาทั้งสองยังคงดังก้องอยู่ในหัวนาง
หยางเซิงพยายามระงับโทสะที่ปะทุขึ้นมาอีกละลอก ยามนี้ชายหนุ่มอยากตวัดกระบี่ ล็อกคอระหงงามของนางเสีย จับนางไถ่ถามเรื่องฟู่หมู่ว่าทำไมนางถึงทำเช่นนั้น ทำไม!
“เป็นอย่างไรเล่า? เสี่ยวซิ่น! พวกเขาตายอย่างไร?”
โม่เหยี่ยหลิงตะคอกกดดันศิษย์น้องตรงหน้าอย่างเดือดพล่าน
ไหล่บางสั่นระรัว หยดน้ำตาไหลอาบแก้มเป็นทาง เสียงสะอื้นไห้ที่อยากเปล่งออกมาแต่กลับมิอาจทำได้
นางจำได้ว่าครั้งนั้นตนมิได้สังหารพวกเขาให้ทรมานเลยสักนิด แต่สำหรับการสูญเสียความเชื่อใจกันนั้นมันเจ็บปวดใจยิ่งกว่าการใช้กระบี่ฟาดฟันหลั่งโลหิตเสียอีก หยดน้ำตาที่นางเห็นจากทั้งสองยิ่งทำให้นางเหมือนตายทั้งเป็น ยิ่งได้ยินเสียงเด็กน้อยร้องไห้มาจากห้องข้าง ย่างก้าวแทบสะดุดล้ม ดวงตาคู่งามสบประสานแววตาใสซื่อที่นอนอยู่ในเปล นางตระหนักแล้วว่าสิ่งที่ทำไปหาใช่เรื่องดี คิดจะจับตวัดกระบี่ปิดชีพเด็กน้อย แววตาคู่นั้นจ้องมองแน่นิ่งเหมือนสหายทั้งสองไม่มีผิด แล้วนางจะทำลงอีกหรือ
น้ำตาทั้งสองข้างไหลอาบแก้ม ขาทั้งสองทรุดลงกับพื้นข้างเปล พึมพำเพียงว่า ข้าทำอะไรลงไป...
***************************************
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว