เปลี่ยนเทพบุตรคนนั้นเป็นสามี

บทที่ 12 กรรมตามสนอง

สุยอันที่โดนฉู่ยี่ลากกลับเรือนไผ่ขาวสีหน้าย่ำแย่

แม้ฉู่ยี่จะเป็นบุตรชายคนเล็ก ทว่าฐานะสูงส่ง เรือนไผ่ขาวถือเป็นเรือนที่ดีที่สุดในจวนแห่งนี้ ไม่เพียงกว้างขวางสว่างไสว ตัวเรือนโอ่อ่าภูมิฐาน ไม่แตกต่างกับเรือนเจิงหยางของฮูหยินผู้เฒ่าเลยแม้แต่น้อย และทุกครั้งที่จวนมีการขยับขยายหรือการบูรณะครั้งใหญ่ ฮูหยินผู้เฒ่าก็มักจะให้คนมาทาสีตกแต่งใหม่ทุกครั้ง ดังนั้นเรือนไผ่ขาวจึงเรียกได้ว่าเป็นรังอุดมสมบูรณ์

สุยอันเข้าจวนมาหลายปี มีโอกาสมาเรือนไผ่ขาวหลายครั้ง ทว่าความรู้สึกกลับแตกต่างกันทุกครั้ง โดยเฉพาะครั้งนี้ดูจะแย่กว่าครั้งอื่นๆ

หากพูดถึงคุณชายเก้าผู้นี้ อุปนิสัยของเขาก็คล้ายกับเรือนไผ่ขาวที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาแห่งนี้ อยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าเขาคือบุตรชายแสนซน อยู่ต่อหน้าท่านอาจารย์เขาคือคุณชายจอมทะนง อยู่ต่อหน้าท่านพี่ทั้งหลายเขาคือน้องชายแสนเชื่อฟัง อยู่ต่อหน้าบ่าวรับใช้เขาคือเจ้านายที่อารมณ์แปรปรวน

สำหรับสุยอันแล้ว อารมณ์แปรปรวนถือเป็นเรื่องเล็ก นิสัยโหดร้ายผิดมนุษย์มนาที่ซ่อนอยู่ของเขาต่างหากที่ทำให้นางหวั่นเกรง

แม้นางจะรับใช้ปรนนิบัติเขามาหลายปี หากพูดถึงสายใยระหว่างเจ้านายและบ่าวหรือการตกรางวัลล่ะก็...ไม่เคยมี

ดังนั้นสุยอันจึงไม่เคยหวังว่า เขาจะคืนสัญญาทาสและปล่อยนางออกไปภายในอีกสองสามปีข้างหน้า

สาวใช้และหญิงรับใช้อาวุโสที่รับใช้ในเรือนไผ่ขาวต่างเป็นคนที่ฮูหยินผู้เฒ่าตั้งใจเลือกสรรทั้งสิ้น เมื่อไม่นานมานี้ได้ยินว่ามีคนทำพลาดต่อหน้าคุณชายเก้า จึงถูกโบยและขับออกไปอย่างไม่ไยดี

ครั้งนี้นางถูกคุณชายเก้าจับได้คาหนังคาเขา ความจริงนางเตรียมใจไว้แล้วว่า หากถูกถามเรื่องใดถ้ารู้ก็จะตอบ และจะตอบอย่างหมดเปลือก ทว่า ในเรื่องเรื่องหนึ่ง แต่ละคนฟังก็ตีความหมายต่างกัน ฉะนั้นผู้พูดจึงต้องดูว่ากำลังพูดกับใครเป็นสำคัญ

โดยเฉพาะความนัยที่จื่อยวี่สื่อออกมาตอนอยู่ที่เรือนเจิงหยางเมื่อครู่ นางกำลังไตร่ตรอง หรือว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะรู้เรื่องที่แม่ทัพฉู่รับอนุเพิ่มตั้งนานแล้ว?

เรื่องเช่นนี้ทำได้เพียงคาดเดาเท่านั้น ไม่สามารถถามโจ่งแจ้งได้

เมื่อเหลียนเซียงสาวใช้ขั้นหนึ่งในเรือนไผ่ขาวเห็นสุยอัน นัยน์ตาก็ปรากฏความประหลาดใจ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าฉู่ยี่นางก็เอ่ยอย่างเกรงใจ "น้องสุยอันมาไม่บ่อยนัก" นางสั่งสาวใช้ข้างกายรินน้ำชาให้สุยอัน ส่วนตัวเองก็ช่วยเหอเซียงปรนนิบัติฉู่ยี่เปลี่ยนอาภรณ์

ฉู่ยี่เอ่ยขึ้นสั้นๆ "เจ้าไปรอข้าที่ห้องหนังสือ" พูดจบก็เดินเข้าไปในห้องด้านใน

สุยอันรู้ว่าห้องหนังสือที่เขาเอ่ยคือห้องหนังสือในเรือนไผ่ขาว จึงเดินนำไปรอฉู่ยี่ก่อน นางถือโอกาสนี้คิดไว้ว่าประเดี๋ยวจะพูดอย่างไร

จะยืนพูดหรือว่าคุกเข่าพูด หรือว่าพูดไปสองประโยคแล้วก็เริ่มแสดงความบริสุทธิ์ใจของตนโดยการร้องห่มร้องไห้อย่างเจ็บปวด หรือแสดงความจงรักภักดีที่มีต่อคุณชายเก้าอย่างแน่วแน่

ฉู่ยี่เดินตามมาอย่างรวดเร็ว

อากาศหนาวเหน็บ เตาผิงไฟในห้องหนังสือเพิ่งถูกจุดขึ้น ทว่าหลังของสุยอันกลับมีเหงื่อซึมออกมา

"เจ้าไปยกน้ำแข็งมาให้ข้าหนึ่งถ้วย" เขาแย้มยิ้มพลางสั่งเหลียนเซียง

เหลียนเซียงเห็นว่าอารมณ์ของเขาค่อนข้างดี จึงเอ่ยถามอย่างอาจหาญ "คุณชายเก้าจะเอาน้ำแข็งมาทำอะไรเจ้าคะ"

ฉู่ยี่เอ่ยอย่างรำคาญ "ข้าจะให้สุยอันลองใช้น้ำแข็งฝนหมึกดู เอาล่ะ ให้คนอื่นๆ ออกไปให้หมด"

เหลียนเซียงได้ยินเช่นนั้นก็รีบออกไปเตรียมการ และกลับเข้ามาพร้อมน้ำแข็งหนึ่งถ้วยอย่างรวดเร็ว

สุยอันอดลอบกลืนน้ำลายไม่ได้

ฉู่ยี่ระบายยิ้ม "เจ้ารู้แล้วใช่หรือไม่ว่าข้าจะทำอันใด ได้ยินว่าหากสตรีกินน้ำแข็งในช่วงมีระดู อีกหน่อยไม่เพียงจะเจ็บปวดทุรนทุรายทุกเดือน ในอนาคตหากให้กำเนิดบุตรก็จะพบกับหายนะครั้งใหญ่..."

สุยอันใบหน้าซีดขาว ทว่ายังคงพยายามสะกดกลั้นความหวาดกลัวในใจพลางเอ่ย "คุณชายเก้าเจ้าคะ ต่อให้บ่าวจะกล้าแค่ไหน บ่าวก็มิกล้าปิดบังท่าน"

"เจ้าอยู่กับข้ามาก็นานแล้ว น่าจะรู้วิธีการของข้าดี เช่นนั้นเจ้าจงพูดมา เรื่องที่เจ้ารู้ สิ่งที่เจ้าคาดเดา พูดออกมาให้หมด และจงจำไว้ว่า ข้าอยากฟังเพียงความจริงเท่านั้น หากบิดพลิ้วแม้แต่นิด..."

สุยอันผวาจนยกกระโปรงขึ้นคุกเข่าลงกับพื้น ไม่สนใจว่าพื้นจะเย็นเฉียบเพียงใด "บ่าวมิกล้า" นางเล่าเรื่องที่ฟางต้าเหนียงได้ยินมา และเรื่องที่นางไปหาจื่อยวี่ออกมาทั้งหมด

"ฟางต้าเหนียงคล้ายจะเดาได้ว่านายท่านรับน้องสาวของฮูหยินหลินมาเป็นอนุ จึงอยากจะเรียนให้ฮูหยินผู้เฒ่าทราบ บ่าวคิดว่า แม้นางอยากจะสร้างผลงาน ทว่าใจของนางก็ภักดีต่อฮูหยินผู้เฒ่า"

"เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องพูด พูดเรื่องอื่นต่อ" น้ำเสียงของฉู่ยี่เย็นเฉียบ ยามนี้เขาไม่เหมือนชายหนุ่มไร้เดียงสาที่อยู่ต่อหน้ามารดาเลยสักนิด ทว่าเป็นบุรุษที่เย็นชาคนหนึ่ง

"หลังจากที่บ่าวออกมา ตอนที่พี่จื่อยวี่เป็นเวรได้เรียนเรื่องนี้กับฮูหยินผู้เฒ่า แต่พี่จื่อยวี่บอกว่าขณะนั้นฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้เอ่ยอันใด ดูแล้วก็อาการปกติดีทุกอย่าง เพียงแต่ทานอาหารได้น้อย ซ้ำยังให้บ่าวรับใช้ออกไปทุกคน เหลือไว้เพียงชวีมามา ต่อมา คุณชายใหญ่ก็มาหา จากนั้นฮูหยินผู้เฒ่าก็บอกว่าไม่สบายเจ้าค่ะ"

ฉู่ยี่จ้องสุยอันที่คุกเข่าสั่นงกๆ ด้วยความกลัวอยู่บนพื้น จนเห็นว่านางเจียนจะล้มลงกับพื้นอยู่รอมร่อ จึงเอ่ยอย่างมีเมตตา "ลุกขึ้น ไปผิงไฟที่ข้างๆ เตาผิง"

สุยอันกุลีกุจอลุกขึ้นยืน และเดินไปนั่งบนที่วางเท้าขนาดเล็กหน้าเตาผิง พลางลูบหัวเข่าและน่องเล็กที่ทั้งชาทั้งเจ็บทั้งเย็นอย่างเอาเป็นเอาตาย

แม้ฉู่ยี่จะเติบใหญ่ภายในเรือนหลัง ทว่ากลับแตกต่างจากเด็กในตระกูลทั่วไปอื่นๆ เขาไม่มีความเมตตาแก่อิสตรีเท่าใด อายุเจ็ดแปดขวบก็ถูกแม่ทัพฉู่พาเข้าสนามรบจับดาบฆ่าศัตรู ทำให้จิตใจของเขาแข็งกระด้างกว่าคนวัยเดียวกัน

หลังสุยอันเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง เขาไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่อันใด ตามความคิดของเขาแล้ว หากไม่พอใจก็เพียงขับออกจากจวน หรือไม่ก็หาเหตุผลฆ่าทิ้งเสีย ในสายตาของเขา เรื่องนี้มิถือเป็นเรื่องใหญ่

ทว่าเขาใส่ใจกับความคับข้องของมารดา มารดาของเขาคือฮูหยินผู้เฒ่าที่คนทั้งจวนเคารพรัก เขาจำได้ว่าตอนอายุเจ็ดแปดขวบ ครั้นท่านพ่อยังอยู่ที่จวน ครานั้นทั้งสองถึงขั้นลงไม้ลงมือเพราะสาวใช้เพียงคนเดียว แน่นอนว่าท่านพ่อเป็นฝ่ายยอม แต่ท่านแม่ก็อาละวาดใหญ่โต การที่ครั้งนี้ท่านแม่สงบสติอารมณ์มิแสดงออกใดๆ จึงทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อย

เขานั่งขบคิดบนเก้าอี้สักพัก ก่อนหันไปเห็นสุยอันที่กำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดจมูกอยู่พอดี พลันถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย "เจ้าไม่อยากอยู่ในจวนนี้ต่อ และอยากจะไถ่ตัวออกไปใจจะขาดใช่หรือไม่"

ในเมื่อเขาออกปากถามเช่นนี้แล้ว หากนางพูดปดว่าไม่อยาก ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเก็บนางไว้ในจวนตลอดไปเลยก็เป็นได้

"บ่าวมิกล้าพูดปด บ่าวคิดว่าหากถึงอายุที่เหมาะสมก็อยากจะไถ่ตัวออกไป แต่มิใช่เพราะภายนอกมีคนสนิทแต่อย่างใด เพียงแต่บิดาของบ่าวร่างกายอ่อนแอ บ่าวจึงอยากออกไปดูแลท่านเท่านั้นเจ้าค่ะ"

ฉู่ยี่ยักยิ้ม "เจ้าไม่กลัวว่าเขาจะหามารดาเลี้ยงให้เจ้า และขายเจ้าทิ้งอีกคราหรือ"

แม้สุยอันจะรู้สึกไม่พอใจ ทว่าก็ตอบออกไป "บ้านของบ่าวไม่มีทรัพย์สมบัติอันใด มีเพียงที่ดินสองมู่ที่มีค่าไม่ถึงสองตำลึงเงิน ซ้ำบิดาของบ่าวก็ร่างกายอ่อนแอมีโรครุมเร้า แค่เพียงเท่านี้ก็ไม่มีใครยอมแต่งด้วยแล้วเจ้าค่ะ หากรออีกสองสามปี บิดาของบ่าวก็อายุมากแล้ว เดาว่าถึงเวลานั้นคงจะหาได้ยากยิ่งกว่าตอนนี้อีกเจ้าค่ะ"

ฉู่ยี่พลันหัวเราะร่า

หัวเราะเสร็จก็เรียกนางให้เข้าไปหา "มานี่สิ"

สุยอันกุลีกุจอลุกขึ้นและเดินไปหา รู้สึกหวั่นใจไม่น้อยว่าเขาจะถีบเข้าให้ จึงยืนเว้นระยะห่างไว้พอประมาณ อืม เว้นระยะไว้ประมาณสองสามก้าวเช่นนี้กำลังพอดี

ฉู่ยี่ไม่สนใจทีท่าของนาง เขาหรี่ตาลงมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า เขารูปร่างสูงซ้ำยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ สายตาที่ใช้มองสุยอันจึงเป็นการมองจากบนลงล่าง

ทว่าสุยอันกลับไม่รู้สึกอึดอัดอันใด ยืนนิ่งๆ ให้เขามองอยู่เช่นนั้น

ฉู่ยี่มองจนพอใจ และแค่นหัวเราะออกมา "เจ้าอายุเพียงเท่าไร รู้ด้วยหรือว่าอะไรคือคนสนิท"

เมื่อเห็นว่านางไม่ตอบ เขาก็นึกอยากแกล้งขึ้นมา "ฮูหยินผู้เฒ่าบอกว่าประเดี๋ยวก็จะเข้าเดือนสิบสองแล้ว เรื่องเรียนจะให้หยุดไว้ก่อน แต่ยังคงต้องอ่านตำราและคัดอักษรดังเดิม เจ้าว่าเจ้าจะย้ายมาอยู่เรือนไผ่ขาว หรือว่าเจ้าจะให้คุณชายเก้าของเจ้าเสด็จไปที่ห้องหนังสือเล่า"

เมื่อฉู่ยี่เอ่ยดังนั้น หัวใจของสุยอันก็พลันบีบแน่น มีคำพังเพยกล่าวไว้ว่า 'รังทองรังเงินก็มิสู้รังสุนัขของตน' ให้นางอยู่เฝ้าห้องหนังสือเล็กๆ นั่นแม้แต่ละวันงานจะยุ่งหนักเหนื่อย ทว่าก็สงบสุขสบายใจ หากย้ายมาเรือนไผ่ขาวที่มีสาวใช้ขั้นหนึ่งสี่คน สาวใช้ขั้นสองสิบสองคน และยังมีสาวรับใช้อีกมากมายนับไม่ถ้วน หากนางมาอยู่ แล้วนางจะถูกจัดอยู่ในขั้นใด

ขณะที่นางกำลังคิด อารมณ์ทุกอย่างก็ฉายชัดบนใบหน้า สีหน้าหนักอึ้งขึ้นหลายส่วน ทว่านางก็พยายามรวบรวมกำลังใจ กัดฟันเอ่ย "บ่าวฟังคุณชายเก้าเจ้าค่ะ" นางอยากจะอยู่ห้องหนังสือเช่นเดิมมาก ทว่าไม่สามารถพูดออกไปได้ เพราะนางเป็นบ่าวรับใช้ของคุณชายเก้า จึงต้องทำตามที่เจ้านายสั่งทุกประการอยู่แล้ว

ฉู่ยี่ได้ยินนางพูดเช่นนี้ก็พอใจไม่น้อย จึงไม่แกล้งนางอีกและเอ่ยความจริง "ข้าเรียนท่านแม่ไปแล้วว่า ทุกวันจะไปอ่านตำราที่ห้องหนังสือดังเดิม เจ้ารออยู่ที่นั่นดีๆ ก็แล้วกัน"

สุยอันได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มกว้าง เดิมดวงตาของนางก็ใสบริสุทธิ์อยู่แล้ว เมื่อยิ้มเช่นนี้ก็ยิ่งเหมือนท้องฟ้าที่ถูกหยาดฝนชำระล้าง ไร้ซึ่งมลทิน สว่างสดใส

ฉู่ยี่พลันรู้สึกว่า การมีคนทึ่มทื่อเช่นนี้อยู่ข้างกายก็ไม่มีอะไรเสียหาย อย่างน้อยนางก็ไม่กล้าโกหกเขา

เขาลุกขึ้นยืน เดินไปหยุดตรงหน้านางพลันจับคางไว้แน่น มองดวงตาของนางอย่างเยือกเย็น

คนตรงหน้าไม่ใช่เด็กสาวผอมแห้งที่พบเมื่อสามปีที่แล้วแล้ว ดวงตาผลซิ่ง* ดำขลับ ผิวขาวเนียนละเอียดราวหิมะ นางไม่เหมือนสาวใช้คนอื่นๆ ที่ทาแป้งจนใบหน้าและคอเป็นคนละสี เพียงแค่คิดจะสัมผัสใบหน้าของคนพวกนั้นเขายังรู้สึกสกปรกมือ

สุยอันถูกเขาจ้องจนอกสั่นขวัญแขวน ทว่าไม่กล้าถอยหนี แผ่นหลังมีเหงื่อซึมออกมาจนชุ่ม เมื่อถูกลมพัดผ่านก็สั่นสะท้านด้วยความหนาว

เมื่อฉู่ยี่เห็นความหวาดกลัวที่ปรากฏในดวงตาของนาง จึงปล่อยมืออย่างพอใจ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ "อย่าแม้แต่คิดเรื่องการไถ่ตัว"


เมื่อสุยอันกลับมาถึงห้องหนังสือก็รู้สึกโล่งใจราวยกภูเขาออกจากอก ถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนกระทืบเท้าอย่างแรง และเดินไปจุดเทียนเพื่อตรวจดูกระดาษที่ทำไว้เมื่อเที่ยง เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อย ก็เดินกลับไปห้องพัก นางไม่ได้จุดเตาผิงไฟ ทว่าจุดเตาต้มน้ำหนึ่งกา หยิบเอาดอกหอมหมื่นลี้ที่เก็บไว้ช่วงสารทฤดูออกมาชงเป็นชาดอกไม้ และกินคู่กับของว่างที่จื่อยวี่ให้มาเมื่อตอนกลางวัน

วันนี้ชีวิตของนางช่างผันผวนเหลือเกิน สรุปก็คือไม่ราบรื่น ไม่รู้ว่าปีนี้ฮูหยินผู้เฒ่าจะไปอารามต้าเฉิงเพื่ออธิษฐานให้แม่ทัพฉู่หรือไม่ หากไป นางก็จะไปขอร้องหัวหน้าแม่บ้านให้พานางไปไหว้พระด้วย

เมื่อกินของว่างเรียบร้อย สุยอันเห็นว่ายังพอมีน้ำร้อนเหลือ จึงหยิบกะละมังมาล้างหน้าล้างตาและแช่เท้า เมื่อหวนนึกถึงว่าตนเกือบจะได้กินก้อนน้ำแข็งนั่น ความคิดที่จะไถ่ตัวออกไปก็ยิ่งแน่วแน่ ส่วนที่ฉู่ยี่บอกนางว่าอย่าแม้แต่จะคิด นางก็จะยิ่งคิด

ทว่าเรื่องราวก็มักจะเป็นเช่นนี้...ไม่มีเรื่องที่แย่ที่สุด มีแต่เรื่องที่แย่สุดๆ วันรุ่งขึ้นฟ้ายังไม่สว่างนางก็ลุกขึ้นมาออกกำลังกายแล้ว จู่ๆ ก็มีคนมาเคาะประตูห้อง นางคิดอย่างกระฟัดกระเฟียด "หนอนที่ตื่นเช้ามักจะถูกนกกินสินะ"

เมื่อเปิดประตูก็พบว่าเป็นหลินซ่งหลุน

ฮูหยินผู้เฒ่าและคุณชายเก้าแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าไม่อินังขังขอบกับคนบ้านนี้ สุยอันจึงไม่กล้าแสดงออกนอกหน้ามากนัก จึงเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา "คุณหนูหลินมาหาข้าน้อยเช้าขนาดนี้ มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ"


*ผลซิ่ง ผลแอปริคอต


******ติดตามตอนต่อไปก่อนใครได้ที่ https://www.readawrite.com/a/b42d15240c9075c343f762590f4baa36

***เวลาแชร์หรือเมาท์มอยนิยายเรื่องแม่สาวใช้ตัวดีในจวนท่านแม่ทัพที่ไหน ขอฝากแฮชแท็ก #แม่สาวใช้ตัวดีในจวนท่านแม่ทัพ #readAwrite ด้วยน้า

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว