KASIBSHOL COMBAT มาเฟียร้ายกระหายรัก

Chapter 2

ยังดีที่คอนโดที่ฉันอยู่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครันเทียบเท่าได้กับคอนโดหรูในตัวเมือง ไม่ว่าจะฟิตเนส ร้านอาหาร ร้านเสริมสวย หรือแม้แต่สระว่ายน้ำ ฉันก็งงเหมือนกันนะว่าจะมีคนมาใช้บริการหรออยู่ห่างตัวเมืองขนาดนี้

แต่ปรากฏว่ามี... ฉันก็ไม่รู้ว่าคนพวกนั้นมาจากไหนเยอะแยะ แต่ที่แน่ๆ ต้องรู้จักกับผู้ชายที่นั่งหลับอยู่ข้างๆ ฉันในตอนนี้แน่นอน ฉันสังเกตมาหลายครั้งแล้วว่าคนพวกนี้มีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้รู้สึกว่าพวกเขาเป็นพวกเดียวกัน จะเรียกว่าพลังงานหรือว่าออร่าก็คงได้มั้งที่ทำให้ฉันคิดแบบนั้น จำนวนคนก็ไม่ใช่น้อยๆ เดินเข้าออกคอนโดกันเป็นว่าเล่น ตอนแรกฉันก็กลัวนะ แต่อยู่ๆ ไปมันก็ไม่มีอะไรจนตอนนี้ก็เลยเฉยๆ ไปแล้ว

“ลุงคะ...ช่วยหนูพาเขาขึ้นห้องหน่อยได้มั้ยคะ” ฉันเปิดกระจกถามลุงยามที่เฝ้าอยู่หน้าคอนโด ก่อนจะเดินมาเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับซึ่งมีร่างสูงนั่งพิงเบาะเหมือนคนสลึมสลือแบบพวกโดนวางยาอะไรเทือกนั้น ตายแล้ว... ลุงยามจะเข้าใจฉันผิดมั้ยเนี่ย ลุงคงไม่ได้คิดว่าฉันมอมยาผู้ชายแล้วพาขึ้นคอนโดหรอกนะ

“อ้าว คุณโคลด์เป็นอะไรมาล่ะเนี่ย” ลุงยามพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ในรถเป็นใคร อ๋อ... หมอนี่ชื่อ ‘โคลด์’ เองหรอ

“ลุงรู้จักห้องเค้ามั้ยคะ” ฉันถามก่อนที่ลุงยามจะพยักหน้าหงึกๆ พลางช่วยฉันจัดแจงแบกร่างของโคลด์ไปที่ลิฟต์ เขาก็ไม่รู้จะตัวสูงไปไหน... ขางี้ยาวอย่างกับเสาไฟ คือเข้าใจมั้ยว่าถึงฉันจะเป็นนางแบบแต่ก็ไม่ได้สูงอะไรขนาดนั้น ยิ่งลุงยามนี่ไม่ต้องพูดถึง เพราะลุงค่อนข้างส่วนสูงกะทัดรัดมากกว่ามาตรฐานผู้ชายอยู่มากโข

“คุณโคลด์อาศัยอยู่ที่ชั้นบนสุดครับ ชั้นนั้นทั้งชั้นก็ของเขาคนเดียวนั่นแหละครับ” ได้ยินลุงยามพูดอย่างนั้นฉันนี่ช็อกไปเลย โห... หมอนี่คงจะรวยมาก ฉันซื้อห้องเดียวยังผ่อนไม่หมดเลย ยิ่งคิดตัวฉันเองยิ่งดูน่าอนาถ... ทำไมคนเราถึงได้แตกต่างกันขนาดนี้นะ คนที่รวยก็รวยเอาๆ ส่วนคนที่ไม่มีอย่างฉันทำงานเท่าไหร่ก็ไม่พอกิน

ติ๊ง!

ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออกฉันก็ต้องตกตะลึง เมื่อพบกับห้องโถงขนาดใหญ่ที่ตกแต่งอย่างหรูหราสไตล์ยุโรป ทั้งโต๊ะ โซฟา พรม ผ้าม่าน มันดูเหมือนจะเป็นห้องรับแขกอะไรประมาณนั้น สุดห้องโถงจะมีประตูบานใหญ่ที่โคตะระหรูหราอยู่เช่นกัน ฉันกับลุงยามช่วยกันแบกโคลด์ไปยังประตูใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า

“กุญแจคุณอยู่ไหน” ฉันถามโคลด์ที่อยู่ในสภาพจะหลับแหล่มิหลับแหล่เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วตอบว่า...

“ในรถ” เออดี.. .เยี่ยมเลยสิ ฉันเห็นรถเขาจอดสงบนิ่งอยู่ข้างทาง แม้สภาพจะดูดีกว่าเจ้าของในตอนนี้ก็เหอะ แต่จะให้ขับรถกลับไปเอากุญแจห้องของโคลด์ก็ดูจะเสียเวลา และที่สำคัญ... ฉันขี้เกียจ

“ลุงคะ ลุงมีกุญแจสำรองห้องเค้ามั้ยคะ” ฉันหันไปถามลุงยาม ตอนนี้เราสองคนกำลังตะโกนข้ามหัวเจ้าของห้องหรูหราแต่ไร้กุญแจไปมา ก็นายเนี่ยตัวยาวอย่างกับงู ฉันกับลุงยามนี่ดูเหมือนหลักกิโลไปเลย เวลาคุยก็ต้องคุยกันแบบนี้แหละ

“อ้อ มีครับแต่อยู่ตรงเคาน์เตอร์ข้างล่าง รอสักครู่นะครับ” ว่าเสร็จลุงยามก็วิ่งจากไป ทิ้งให้ฉันแบกร่างสูงของโคลด์อยู่คนเดียว ระ... เริ่มหนักแล้วแฮะ

“นี่คุณ อย่าเพิ่งหลับได้มั้ย” ฉันพยายามเขย่าร่างของเขาเบาๆ แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ให้ความร่วมมือกันเลยสักนิด ร่างสูงเซและดูเหมือนจะทรุดลงไปกองกับพื้นมากขึ้นเรื่อยๆ จนฉันต้องจับแขนเขามาพาดบ่าของฉันทั้งสองข้างโดยที่เราหันหน้าเข้าหากัน ไปๆ มาๆ เหมือนว่าเรากำลังยืนกอดกันอยู่เลยแฮะ ใบหน้าคร้ามคมซบลงอยู่ข้างๆ แก้มของฉันจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นที่ปัดเป่าลำคอจนขนลุกเพราะความรู้สึกแปลกๆ ฉันใช้แขนทั้งสองข้างประคองแผ่นหลังหนาเอาไว้เพื่อกันไม่ให้เขาล้มลง

กลิ่นน้ำหอมแบบนี้มัน...

ฉันชะงักเล็กน้อยและรู้สึกได้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นดังขึ้น แรงขึ้น จนเหมือนจะทะลุออกมานอกอก จะเป็นไปได้มั้ยนะ?

แม้สมองจะบอกให้ฉันอย่าเพิ่งปักใจเชื่อว่าเขาคือคนๆ นั้น... นายยูคาลิปตัสเมื่อสามเดือนก่อน แต่ดูเหมือนหัวใจของฉันมันดันเชื่อมั่นไปเรียบร้อยแล้ว ฉันบ้าไปแล้วใช่มั้ย... แค่นี้ต้องดีใจด้วยหรอไงโยเกิร์ต

“ฉันไม่ได้คิดจะแต๊ะอั๋งคุณนะบอกไว้ก่อน” ฉันบอกโคลด์แม้ว่าเขาอาจจะไม่ได้ยินก็เหอะ ทิ้งตัวใส่ฉันขนาดนี้หลับไปแล้วแน่ๆ ฮือ... ลุงยามเมื่อไหร่จะมานะฉันหนักจะตายอยู่แล้ว

สักพักลุงยามก็วิ่งกลับมาพร้อมกับกุญแจสำรองของห้องโคลด์ เราทั้งคู่ช่วยกันแบกร่างของโคลด์ไปที่ห้องนอนซึ่งกว้างและหรูมาก เตียงนอนของเขาใหญ่ขนาดที่ต่อให้คุณเป็นคนนอนดิ้นมากแค่ไหนก็ไม่มีทางที่จะตกเตียงอย่างแน่นอน ทุกอย่างในนี้ถูกตกแต่งให้ออกมาในสไตล์ยุโรป ดูเหมือนเขาจะชอบแนวนี้นะไม่เห็นจะเข้ากับลุคแบดบอยของเขาเลยสักนิด

หลังจากที่ลุงยามและฉันจัดการกับโคลด์ให้มานอนบนเตียงได้เรียบร้อยแล้ว...

“แหม่ ผมเห็นคุณสองคนอยู่คอนโดนี้มาก็นาน แต่เพิ่งจะรู้นะเนี่ยว่าเป็นแฟนกัน ฮ่าฮ่าฮ่า งั้น... ผมขอตัวไปทำงานต่อก่อนนะครับ รักกันนานๆ นะผมเอาใจช่วย” จากนั้นลุงยามก็จากไปโดยที่ฉันยังไม่ได้ส่งเสียงค้านสักแอะ ฉันอยากจะปฎิเสธนะ แต่คิดคำพูดไม่ทัน... ก็ลุงแกเล่นพูดเองเออเองหมดเลยนี่

เออ... ว่าแต่เขาไม่ไปหาหมอจะดีหรอ แผลที่คอก็ใหญ่ไม่ใช่เล่นเลย ฉันคิดก่อนจะนั่งลงข้างๆ เตียงที่มีร่างของโคลด์นอนแผ่หลาอยู่พลางสำรวจบาดแผลของเขา แต่ว่า... ไม่มี ใช่ ไม่มี แผลนั่นหายไปแล้ว... เป็นไปได้ยังไงกัน คอของโคลด์เหลือเพียงแต่รอยเลือดแห้งกรังที่ไหลลงมาจนเปรอะเสื้อเชิ้ตเพียงเท่านั้น

ฉันนั่งอึนกับเรื่องนี้อยู่สักพักอย่างคนทำอะไรไม่ถูก ยังไงก็แล้วแต่จะปล่อยให้เขานอนทั้งๆ ที่ตัวเปื้อนเลือดแบบนี้ไม่ได้หรอกสกปรกแย่ ฉันกะว่าจะทำแผล (ที่ไม่รู้มีรึเปล่า) ให้เขาก่อนแล้วค่อยกลับห้องของตัวเองน่ะ

ฉันเปิดตู้เสื้อผ้าดูก็เห็นมีผ้าขนหนูอยู่ในลิ้นชักสักสามผืนเห็นจะได้ จึงนำไปชุบน้ำแล้วมาเช็ดตัวเขา ฉันไล่เช็ดตั้งแต่ใบหน้าคร้ามคมที่ตอนนี้ดวงตาคู่ดุปิดสนิทจนมาถึงลาดไหล่ที่มีมัดกล้ามกำลังพอดีแบบผู้ชาย เปรอะเยอะจังเลยแฮะ... ฉันคงต้องเปลี่ยนเสื้อให้เขาด้วยเพราะมันเปรอะเลือดเต็มไปหมด มือเรียวของฉันค่อยๆ แกะกระดุมเสื้อเชิ้ตของเขาทีละเม็ดอย่างระแวดระวังจนหมด

ก็ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอะไรแบบนั้นนะแต่ยังไงฉันก็อดมือสั่นไม่ได้อยู่ดี บอกตามตรงตั้งแต่เกิดมานี่ยังไม่เคยแตะต้องตัวผู้ชายมากขนาดนี้เลย ยกเว้นแค่ตอนถ่ายแบบ... มันเป็นงานนี่

โหย... มีซิกแพ็คด้วย แถมยังขาวอีกต่างหาก นี่ฉันกำลังคิดบ้าอะไรอยู่เนี่ย!

ฉันตบหน้าผากตัวเองไปทีนึงเพื่อเรียกสติให้กลับคืนมา หน้าไม่อายจริงๆ มานั่งดูผู้ชายถอดเสื้ออยู่ได้ ฉันด่าทอตัวเองในใจพลางเหลือบไปเห็นว่าโคลด์ยังไม่ได้ถอดรองเท้า ฉันจึงจัดการถอดออกให้หมดไม่งั้นเตียงก็เปื้อนหมดสิ นี่ขนาดพ่อแม่ฉันเองยังไม่เคยทำให้ขนาดนี้เลยนะเนี่ย (เพราะฉันไม่รู้ว่าพ่อแม่ของตัวเองเป็นใคร) คอยดูเถอะตื่นมาเมื่อไหร่ฉันจะเรียกค่าเลี้ยงดูให้ยับเลย

ดูเหมือนว่าฉันจะลืมไปว่ายังไม่ได้เอาเสื้อตัวใหม่มาเปลี่ยนให้โคลด์ เพราะเขาเริ่มสั่นน้อยๆ จากความเย็นของเครื่องปรับอากาศ ฉันจึงรีบวิ่งไปที่ตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่อีกหน ผู้ชายอะไรเสื้อผ้าเยอะชะมัด ฉันหยิบเสื้อแขนยาวสีดำมาให้เขา ก่อนจะเลิกสนใจเสื้อผ้าราคาแพงแถมยังแฟชั่นจ๋าสุดๆ ในตู้ ไม่อย่างนั้นคนป่วยคงได้นอนตากแอร์เป็นหวัดตายคาเตียงแน่ๆ

และเมื่อฉันหันหลังกลับไปก็พบว่า... ไม่มีใครหรือสิ่งใดอยู่บนเตียงทั้งสิ้น

โคลด์หายไปไหน!

ฉันรีบก้าวเท้ามาที่เตียงซึ่งตอนนี้เหลือแต่ผ้าปูสีขาวที่ยับย่นเพียงเท่านั้น จู่ๆหัวใจฉันก็เต้นรัวเร็วด้วยความกลัวและกังวล ฉันไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้เลยสักนิด มันผิดธรรมชาติจนเกินไป

“โคลด์ คุณอยู่ไหนคะ” ฉันลองตะโกนเรียก เผื่อว่าเขาอาจจะรู้สึกตัวและเดินไปห้องน้ำ หรือไม่เขาก็อาจจะเดินไปห้องใดห้องหนึ่งในที่พักของเขา แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงฉันจะไม่รู้ตัวเชียวหรอ คนเราจะเคลื่อนไหวได้เงียบเชียบขนาดที่คนในห้องเดียวกันไม่รู้สึกเลยหรอ โดยเฉพากับคนป่วยอย่างโคลด์ที่สภาพร่อแร่ลุกขึ้นยืนก็แทบจะทรงตัวไม่ไหวยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่

บรรยากาศในห้องดูเหมือนจะวังเวงมากขึ้น มันเงียบ... เงียบจนผิดปกติ บางทีฉันอาจคิดมากเกินไปก็ได้ แต่คุณเคยเป็นมั้ย... บางครั้งที่เรารู้สึกเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างกำลังจับจ้องเราอยู่อย่างไม่ให้คลาดสายตา เหมือนกับว่าเรากำลังตกเป็นเหยื่อ เหมือนว่าฉันกำลังเป็นหนูที่ติดอยู่ในกรงดักรอให้คนมากำจัดอะไรทำนองนั้น

“โคลด์คะ... กรี๊ดดดด!!!” ฉันกรีดร้องลั่นพร้อมกับหลับตาปี๋ด้วยความตกใจเมื่อมีมือของใครบางคนมาแตะที่ไหล่ แต่เมื่อลองลืมตาขึ้นถึงได้รู้ว่าเป็นโคลด์นั่นเอง ฉันมองเขาผ่านกระจกเงาบานใหญ่ที่ตั้งอยู่ด้านหน้า โคลด์ยืนอยู่ข้างหลังฉัน... และภาพสะท้อนของโคลด์ที่อยู่ในกระจกก็ทำให้ฉันเห็นถึงสิ่งผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นกับเขา โคลด์หน้าซีดมากจนน่าเป็นห่วง ผิวของเขาขาวซีดราวกับไม่เคยถูกแสงแดดมาเป็นปีๆ

“โคลด์ ฉันว่าคุณไปโรงพยาบาลดีกว่านะ ให้คุณหมอตรวจสักหน่อยก็ยังดี โคลด์... โคลด์คะ” ฉันเรียกชื่อเขาซ้ำไปซ้ำมา เพราะดูเหมือนว่าเขาจะไม่รับรู้ถึงสิ่งที่ฉันพูด เขายืนนิ่งราวกับคนถูกสะกด ภาพโคลด์ที่อยู่ในกระจกเงายังคงไม่ปล่อยมือจากไหล่ฉัน และเขาเริ่มโน้มใบหน้ามาใกล้ลำคอของฉันมากขึ้นจนตัวฉันเองนึกหวาดหวั่น

“คุณจะทำอะไรน่ะ” ฉันเริ่มขัดขืนและพยายามจะเอี้ยวตัวกลับไปหาเขา แต่กลับถูกแขนแข็งแกร่งของเขาอีกข้างตวัดรัดที่เอวไว้จนแทบหายใจไม่ออก ทำไมเขาถึงแรงเยอะได้ขนาดนี้นะ

“โคลด์ปล่อยฉันนะ ฉันเจ็บ หายใจไม่ออกด้วย โคลด์!” ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจที่ฉันพูดเลยสักนิด เขากอดรัดร่างของฉันจากด้านหลังจนฉันเจ็บน่วมไปทั้งตัว เขาแรงเยอะมากจนทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกับกระดูกจะหักอย่างไรอย่างนั้น และสิ่งที่ทำให้ฉันกลัวจับขั้วหัวใจก็คือเสียงขู่คำรามที่ดังขึ้นจากลำคอของเขา ใช่... ฉันกลัวจนแทบจะลืมความเจ็บจากการกอดรัดของโคลด์ไปเสียเดี๋ยวนั้น

เสียงขู่คำรามดังก้องอยู่ข้างๆ หูของฉัน และฉันก็ได้ยินเสียงสูดลมหายใจลึกของเขาอยู่แถวบริเวณลำคอ ก่อนที่ความเจ็บปวดจะแล่นพล่านอย่างรวดเร็วและรุนแรงจนฉันต้องกรีดร้องดังลั่น ร่างสูงดูดดึงบางสิ่งบางอย่างไปจากฉันอย่างหิวกระหาย ฉันพยายามดิ้นอย่างสุดกำลังเพื่อหวังจะหนีไปจากพันธนาการของปีศาจร้ายอย่างเขา แต่มันก็ช่างไร้ผลเสียเหลือเกิน เขากำลังมีพลังมากขึ้นในขณะที่ฉันอ่อนแอลง

เปลือกตาของฉันหนักอึ้งมากขึ้นทุกทีในขณะที่ความเจ็บแปลบบริเวณลำคอไม่ได้ลดลงเลย ภาพสะท้อนของฉันกับเขาในกระจกเงาค่อยๆ เลือนรางลง มันถูกแทนที่ด้วยความมัวหม่นของหยาดน้ำใสที่สะท้อนถึงจิตใจอันอ่อนแอของฉัน นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันร้องไห้... เพราะกลัวว่าตัวเองจะต้องตาย

กลัว...นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่สติของฉันรับรู้


[Cold’s part]

สีแดง...

สิ่งแรกที่ผมเห็นยามลืมตาตื่นขึ้นมา อะไรกันนะ... แม้แต่ผ้าปูที่นอนของผมก็มีสีแดงเปื้อนอยู่ ผมยันร่างของตัวเองขึ้นจากเตียงนอนด้วยความงุนงง เหมือนกับว่าความทรงจำในช่วงเวลาสุดท้ายของตัวเองขาดหายไป

เกิดอะไรขึ้น...

แม้จะงุนงงอยู่บ้างกับสภาพแวดล้อม แต่วันนี้ผมกลับรู้สึกกระปรี้กระเปร่าอย่างบอกไม่ถูก ราวกับว่าเพิ่งนอนเต็มอิ่มกินเต็มที่มาอย่างนั้นแหละ ผมรู้สึกว่าตัวเองแข็งแรงจนขนาดที่ว่าต่อให้วิ่งรอบโลกผมก็สามารถทำได้อย่างสบายๆ เลยล่ะ

พลัน... สายตาของผมก็เหลือบไปเห็นร่างของใครคนหนึ่งซึ่งนอนหันหลังให้ผมอยู่ที่อีกฝั่งของเตียง ผมหรี่ตามองร่างบางอย่างสงสัย เท่าที่สังเกตดู... ยัยนี่หุ่นดีชะมัด ถ้าเห็นด้านหน้าด้วยจะเป็นไงนะ อย่าหาว่าผมหื่นกามอะไรแต่เช้าเลย ผมเป็นผู้ชายนะครับ... มาเจอผู้หญิงนอนบนเตียงตัวเอง (แถมเสื้อผ้าก็อยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยจะเรียบร้อยเท่าไหร่) แบบนี้ นั่งดูเฉยๆ ได้ก็เก่งแล้ว

ใครวะ... หรือว่าเมื่อวานผมดื่มหนักแล้วเผลอหิ้วสาวกลับมา

ผมพยายามทบทวนความจำแต่ดูเหมือนว่าเมื่อวานผมไม่ได้ไปดื่มที่ไหนนี่หว่า จำได้ว่าทะเลาะกับยัยโอปอลเลยออกจากฐานทัพมาเพราะรำคาญเสียงแว้ดๆของยัยนั่น แล้วอะไรต่อวะ... ช่างเหอะ

“เธอ เฮ้... เช้าแล้ว รีบกลับบ้านไปได้แล้วมั้ง” ผมส่งเสียงปลุกเธอแต่ร่างบางก็ยังคงนอนนิ่ง คราวนี้ผมจึงกระเถิบเข้าไปใกล้ในระยะที่เอื้อมแขนถึงแล้วดึงร่างบางให้หันมาทางตัวเอง และผมก็ถึงกับต้องผงะ...

ยัยนี่มัน... เธอยังหายใจอยู่รึเปล่าวะ

ตามตัวของผู้หญิงคนนี้มีแต่คราบเลือดเต็มไปหมด ผมแทบจะอ้าปากค้าง...ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยเห็นคนตายมาก่อน แต่ว่าการที่มีคนมาตายอยู่ในห้องของผมโดยที่ไม่รู้สาเหตุเนี่ยมัน... ไม่สิ ผมลองเอามือไปอังที่จมูกโด่งได้รูปของเธอ ปรากฏว่ายังมีลมหายใจอุ่นมาปะทะกับฝ่ามือของผมอยู่ แต่มันก็แผ่วเบามากเสียจนน่ากลัว

ก่อนอื่นผมต้องเรียกหมอมาดูอาการเธอคนนี้เสียก่อน ยังดีที่ตัวผมเองก็เป็นหุ้นส่วนใหญ่ของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง การเรียกหมอฝีมือดีรวมทั้งการขอยืมอุปกรณ์ทางการแพทย์จึงเป็นเรื่องที่ง่ายมากสำหรับผม ก็แวดวงที่ผมอยู่มันต้องมีการเลือดตกยางออกอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะตัวผมเองหรือลูกน้องก็แล้วแต่ ดังนั้นผมจึงตัดสินใจลงหุ้นส่วนถึงเจ็ดสิบเปอร์เซ็นกับโรงพยาบาลซีบีเค รวมถึงให้การสนับสนุนทุนวิจัยทางการแพทย์และทุนการศึกษาสำหรับนักศึกษาแพทย์ที่ด้อยโอกาสอีกด้วย ผมคิดไม่ผิดจริงๆ ที่เลือกลงทุนกับธุรกิจทางการแพทย์ในวันนั้น

“ส่งหมอฝีมือดีที่สุดมาที่คอนโดฉันด่วน ผู้ป่วยเสียเลือดมากและไม่ทราบกรุ๊ปเลือด มีบาดแผลตามร่างกายค่อนข้างเยอะ ตอนนี้เธอหมดสติและชีพจรอ่อนมาก ฉันให้เวลาแค่สิบนาทีเท่านั้นเข้าใจมั้ย!” ผมสั่งกับเจ้าหน้าที่พยาบาลด้วยน้ำเสียงที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นการตะคอก ก็ดูแล้วเธอคนที่นอนอยู่บนเตียงคงอาการหนักไม่ใช่เล่นเลยนี่ ขืนมัวแต่ชักช้าได้ตายจริงๆ แน่ ยังดีที่ทางโรงพยาบาลแยกโทรศัพท์ที่ผมจะโทรเข้าไว้เป็นการส่วนตัวจึงไม่เสียเวลามากนัก ผมได้ยินเสียงนางพยาบาลคนที่รับโทรศัพท์สั่งดำเนินการตามคำสั่งผมอย่างรวดเร็ว อย่างน้อยตอนนี้ผมก็คงวางใจได้ในระดับหนึ่ง

“อดทนไว้ก่อนนะ” ผมบอกกับร่างบางที่ยังคงนอนนิ่ง เกิดอะไรขึ้นกันแน่เมื่อคืน... ทางเดียวที่ผมจะรู้เรื่องนี้ได้คือต้องรอให้เธอฟื้น

เกิดอะไรขึ้นเมื่อคืน... เกิดอะไรขึ้นกับเธอ... เกิดอะไรขึ้นกับผม... คนเดียวที่จะตอบคำถามนี้ได้คือผู้หญิงที่นอนอยู่บนเตียงผมตอนนี้เท่านั้น ว่าแต่ทำไมถึงเป็นเธอล่ะ

โยเกิร์ต...


เวลาต่อมา

หลังจากที่หมอและพยาบาลจำนวนหนึ่งกลับไปแล้ว สภาพห้องนอนของผมก็ดูเหมือนกับห้องทดลองวิทยาศาสตร์หรือแล็บอะไรสักอย่าง เพราะมันมีสายนู่นสายนี่ระโยงระยางเต็มไปหมด จุดหมายปลายทางของพวกมันเป็นร่างบางของผู้หญิงคนนั้น คนที่กำลังนอนตัวซีดอยู่บนเตียงขนาดคิงไซส์ของผม