บ่วงราคีสีรุ้ง-บทที่ ๓ ใต้ชายคาสีเขียว (๓)

โดย  นาฬิกาเวลา

บ่วงราคีสีรุ้ง

บทที่ ๓ ใต้ชายคาสีเขียว (๓)

เสียงสัญญาณเตือนสายเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือสีดำแบบบางเฉียบดังขึ้น ชวินทร์ก้มลงหยิบหูฟังบลูทูธขึ้นเสียบที่พอพร้อมกดรับสาย

“สวัสดีชาร์ล พร้อมรึยังสำหรับบ่ายนี้”ปลายสายเอ่ยถามน้ำเสียงแจ่มใส

“แน่นอน”

นายช่างใหญ่ขยับเสื้อโปโลสีนาวีบลูให้ออกนอกกางเกงยีนส์จนรู้สึกสบายตัวขึ้น ร่างสูงใหญ่หย่อนตัวนั่งลงข้างเตียงของตัวเองแล้วย้อนถามคู่สนทนากลับไป

“แล้วคุณแน่ใจนะว่ายังไม่มีใครสงสัยเรื่องนี้”

“มันแน่นอนอยู่แล้ว เรื่องนี้ยังหาข้อสรุปไม่ได้ทางเราไม่มีทางเปิดเผยข้อมูลให้สื่อมวลชนรู้แน่นอน...เว้นแต่”

“เว้นแต่อะไร?”

“ก็อย่างที่รู้ๆกัน...ว่ามีพวกเราในพวกเขา มันก็ต้องมีพวกเขาในพวกเราเหมือนกัน เรื่องแบบนี้มีอยู่ทุกที่คุณคงเข้าใจ”

“จริงสินะ”

ชายหนุ่มยิ้มเย็น มือกำหมัดแน่นสั่นนิดข้อนิ้วทั้งห้าซีดจนแทบไม่มีสีเลือด

เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ระทึกที่แท่นขุดเจาะเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้า เรื่องนี้เป็นข่าวในเมืองไทยเพียงแค่ข้าม

คืนผู้คนก็ลืมกันแล้ว

หากแต่อีกฝั่งคือด้านของผู้ที่สูญเสียที่ไม่มีทางจะลืมได้ง่ายๆ ชวินทร์จะไม่ยอมให้เพื่อนร่วมงานที่เปรียบ

เสมือนพี่น้องของพวกเขาต้องตายฟรี

เพราะแบบนี้ไม่ใช่หรือ...ที่ทำให้เขาต้องกลับมาเมืองไทย

“แล้วทางโน้นมีอะไรคืบหน้าบ้างไหม?”

“ผมว่า คุณยังไม่ต้องรู้หรอกเพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง แล้วก็คนใกล้ชิด...แบบนี้น่าจะดีกว่า”

“คงจะจริงอย่างที่คุณว่า”

บทสนทนามีต่ออีกสองสามคำ เนื้อหาคงมีแต่ต้นสายและปลายสายเท่านั้นที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

ชายหนุ่มกดวางสายเตรียมตัวอออกเดินทางเพื่อไปตามนัดหมาย

ลมพัดแรงวูบหนึ่งพัดเข้ามาผ่านหน้าต่างข้างหัวนอนผ่านม่านสีขาวเนื้อบางจนปลิวไสว

ลมแรงนั้นมากพอที่จะทำให้การ์ดแต่งงานที่แปรสภาพจากแผ่นตรงเป็นลอนเหมือนกระเบื้องมุงหลังคา

เนื่องจากการเปียกน้ำเมื่อสองสามวันก่อนร่อนตกลงบนพื้นเบื้องหน้าเขา

ชวินทร์หยิบขึ้นมาดูนึกขึ้นได้ว่ามีอีกเรื่องที่เขาต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อนที่จะเดินทางกลับไปทำงานให้เร็ว

ที่สุดเมื่อเคลียร์ปัญหาบางอย่างเรียบร้อยแล้ว

ซึ่งนั้นก็คือวัตถุประสงค์หลักอีกอย่างหนึ่งที่เขาเดินทางกลับมาเมืองไทยในครั้งนี้

หลายปีแล้วที่เขาไม่ได้กลับมาเมืองไทย

สาเหตุเพราะต้องการเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยสองมือและสองขาของตัวเอง แต่อีกเหตุผลหนึ่งก็เพื่อไปให้ไกลเกิน

กว่าที่จะคิดถึงใครบางคน ที่เขาพยายามจะลืม...

ชวินทร์ไม่เคยคิดมาก่อนว่าการกลับมาครั้งนี้จะเกิดขึ้นหากไม่เหตุการณ์หลายอย่างประดังประเดขึ้นมา

พร้อมๆกัน

แท่นขุดเจาะน้ำมันที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งทรัพยากรมหาศาลแห่งใหม่ของโลกซึ่งเขาได้เป็นส่วนหนึ่งในทีมงานขุดเจาะ กลับมีอันต้องเกิดระเบิดครั้งใหญ่จนนำมาซึ่งความเสียหายทั้งทางด้านเศรษฐกิจ พลังงาน สิ่งแวดล้อมรอบข้าง รวมปถึงชีวิตเพื่อนร่วมงานอีกหลายสิบคน

สาเหตุของมหันตภัยร้ายครั้งนี้กำลังอยู่ระหว่างสืบสวนสอบสวน ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องถูกพักงานทั้งหมดไม่เว้นแม้แต่เขาที่มีตำแหน่งเป็นนายช่างใหญ่ผู้ควบคุมการทำงานของแท่นขุดเจาะขนาดมหึมาแห่งนั้น

การเก็บรวมรวมหลักฐานต้องทำอย่างรัดกุมที่สุด รวมไปถึงการให้ปากคำในชั้นศาลด้วย กรณีแบบนี้

ผู้คุมงานทุกส่วนล้วนต้องแบกความรับผิดชอบร่วมกันไปเต็มๆ

หากแต่ต้องรอข้อพิสูจน์อีกหลายอย่างเพื่อหาข้อสรุปว่า ต้นเหตุที่แท้จริงแล้วมามูลเหตุใด

“อ้าว!วินทร์ว่ายังไง จะไปแล้วเหรอ”

ช้องนางวางแก้วพอร์ซเลนในมือลงเบาๆ เมื่อเห็นหลานชายเข้ามานั่งหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ข้างๆ

“ครับคุณย่า ชาอะไรครับหอมจัง”

“ชากุหลาบ...หนูเดือนทำมาให้ สนใจจะลองดูหน่อยไหมล่ะ”

ผู้เป็นย่าลองหยั่งเชิง ดูปฏิกิริยาของหลานชายเมื่อได้ฟังชื่อของหญิงสาวที่ถูกจับให้เป็นว่าที่คู่ตุนาหงัน

“ไม่ดีกว่าครับ ยังอิ่มอยู่เลย”

“งั้นลองขนมจ๊อกดูหน่อยไหม...อร่อยนะ...”

ชวินทร์กระพริบตาถี่ๆมองขนมทรงพีระมิดสีทองอมส้มขนาดพอดีคำจัดที่วางเรียงอยู่ในจานกระเบื้อง

พอร์ซเลนด้วยความสนใจ

“ชื่อแปลกดีนะครับ”

พอลองตักใส่ปากเคี้ยวดูก็ให้ความรู้สึกนุ่มเหนียวกำลังดี

เข้ากับไส้หวานหอมอ่อนๆของมะพร้าวกับน้ำตาลปี๊บที่ผัดจนได้ที่ จนต้องมีชิ้นที่สองตามมา

“อร่อยใช่ไหม”

“ก็ดีครับ”

“ขนมนี้มีชื่อเรียกหลายชื่อนะรู้ไหม”

ชายหนุ่มส่ายหน้าแล้วส่งชิ้นที่สามเข้าปากไปอย่างรวดเร็ว พร้อมรอฟังเฉลยคำตอบด้วยความสนใจ

“ขนม...นม...สาว”

ขนมที่เอ่ยชื่อถูกตักยื่นไปตรงหน้าชายหนุ่มช้าๆ และย้ำคำพูดเพื่อเน้นเสียงที่...ละ...คำ

“หนูเดือนเป็นคนทำ”ช้องนางยิ้มมีเลศนัย

คนที่เพลินกับขนมจนถึงชิ้นที่สามพาลนึกตามไปถึงสิ่งที่คนอธิบายบอก ทำเอาเจ้าตัวถึงกับสำลักไอจนหน้าดำหน้าแดงหลายที จนผู้เป็นย่าอดสงสารไม่ได้ต้องยื่นแก้วน้ำให้ดื่มตามลงไปทันที

“คุณย่าอยากจะพูดอะไรกันแน่ครับ”

“เอ้า!ขนมนมสาว อร่อยไหมละ”

เสียงกระแอมในลำคอ พร้อมกับการวางมาดขรึมของวิศวะกรหนุ่มดูจะยังไม่ใช่คำตอบที่ผู้เป็นย่าหวังเอาไว้

“อร่อยไหม...ย่าถาม”

สายตามองลอดแว่นนั้นจดจ้องพร้อมรอคำตอบที่น่าพึงพอใจกว่าเดิม แต่จนแล้วจนรอดก็ได้รับเสียงตอบรับมาเพียงว่า

“ก็...แปลกดีครับ”

“แล้วชอบไหม”

“โธ่!คุณย่าครับ ก็แค่ขนมธรรดาคุณย่าจะมาคาดคั้นอะไรกับผมล่ะครับ”

“ย่าหมายถึงหนูเดือน...แกชอบเขาไหม”

คราวนี้คนที่เคยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เก่งๆอย่างดร.ชวินทร์ถึงกับอึ้งกิมกี่...ไม่รู้ว่าควรจะตอบว่าอย่างไร

“ผมกับเขาเพิ่งเจอกันไม่กี่ครั้ง คงตอบไม่ได้หรอกครับ แต่ที่แน่ๆผมคิดว่าผมคงแต่งงานกับเขาไม่ได้”

ชายหนุ่มกล่าวเสียงหนักแน่น ดวงตามุ่งมั่นเช่นเดียวกับตอนทำงานที่ต่างประเทศ

หลังเกิดเหตุแท่นขุดเจาะระเบิดชวินทร์เองเป็นคนแรกๆที่พอจะปะติดปะต่อเรื่องราวอะไรหลายอย่างไร และพยายามการวิเคราะห์ที่มาของปัญหาดังกล่าว

รวมไปถึงการตั้งข้อสันนิฐานและการรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง จนระแคะระคายถึงความไม่โปร่งใสบางอย่าง

การข่มขู่เอาชีวิตเริ่มขึ้น...

เริ่มต้นแค่เพียงกระดาษโน้ตใบเล็กๆใบหนึ่ง...จนมาถึงกระสุนปืน

“แกแอบมีเมียแหม่มอยู่ที่เมืองนอกใช่ไหม บอกย่ามา”

“ไม่มีครับ”

“งั้นทำไมกึงไม่ยอมแต่งงานกับหนูเดือน รู้ไหมว่าย่าคุยกับส่องหล้าไว้ตั้งนานแล้วว่าจะให้เราสองครอบครัวได้เกี่ยวดองเป็นเครือญาติกันจริงๆเสียที”

“ที่เป็นอยู่อย่างตอนนี้ผมว่าก็ดีอยู่แล้วนะครับ ผมไม่อยากมีห่วง ไม่อยากมีภาระ อยากอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ สบายใจดี”

นึกถึงตอนที่ถูกคัครางค์ตัดความสัมพันธ์ จู่ๆในใจที่เคยเข้มแข็งแล้วก็กลับเจ็บแปล๊บขึ้นมา ความทรงจำในอดีตเป็นเรื่องที่ผ่านมานานและจบลงไปแล้ว

ขนาดความรักที่บ่มเพาะขึ้นมาหลายปีระหว่างเขากับคัครางค์ ยังไม่สามารถเหนี่ยวรั้งความสัมพันธ์นั้นให้คงอยู่ได้ แล้วประสาอะไรกับเด็กกะโปโลที่เขาแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเธอเลย

ที่สำคัญ...เขาไม่ได้รักเธอ

นายช่างหนุ่มดึงสติกลับมาตรงหน้าได้อีกครั้งเมื่อผู้เป็นย่าท้วงขึ้นกับความคิดเห็นของเขา

“ตาวินทร์!แกจะให้ย่าถูกถอนหงอกอย่างงั้นหรือ?”

ช้องนางสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด เมื่อก่อนไม่ว่าเธอบอกอะไรชวินทร์จะไม่เคยขัดใจสักครั้ง เพราะเขาเข้าใจดีว่าทุกอย่างที่ผู้เป็นย่าเลือกให้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ดีและเหมาะสมกับตัวเขาทั้งสิ้น

ชายหนุ่มถอนใจ ไม่อยากให้ผู้เป็นย่าต้องมารับรู้เรื่องราวอันน่าปวดหัวไปกับเขาด้วย

“มีที่ไหนกันครับ ผมคุณย่ายังดำกริบอยู่ทุกเส้นแท้ๆ”

“อย่าคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่นๆนะวินทร์ น้องเขาเป็นผู้หญิงเขาจะเสียหายรู้ไหม”

เมื่อแม่น้ำทั้งห้าเริ่มถูกเชิญมาทำหน้าที่ ชวินทร์ก็ทำได้แต่เพียงยิ้มบางๆ ลุกขึ้นไปกอดคู่สนทนาทำราวกับไม่ได้ยินที่ผู้พูดต้องการสื่อสารออกมา

จากนั้นก็เดินถือกระเป๋าเสื้อผ้าลงเข้าไปบริเวณด้านหน้าของบ้าน ซึ่งมีรถโฟร์วีลคันใหญ่จอดรอท่าอยู่แล้ว

ปล่อยให้ช้องนางงงเป็นไก่ตาแตก คิดแก้เกมหลานชายไม่ทัน

“โอ๊ย! แล้วฉันจะไปบอกส่องหล้าว่ายังไงกัน”

เสียงเครื่องยนต์รถที่ดังขึ้นเหมือนเสียงเริ่มต้นสตาร์ทการแข่งขันบางอย่างกำลังจะเริ่มขึ้น แต่เธอจะแพ้ตั้งแต่หน้าประตูแบบนี้ไม่ได้ มันต้องมีทางสิ...มันต้องมีสักทาง

ผู้สูงวัยเดินไปเดินมาเหมือนหนูติดจั่นอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะปิ๊งไอเดียขึ้นมา

“สองหัวมันต้องดีกว่าหัวเดียวซิน่า”

เธอยิ้มเมื่อคิดได้ว่ายังมีอีกคนที่น่าจะพอช่วยคิดแก้เกมพ่อหลานตัวดีของเธอได้

...............................................................................................................................................................................................................................................................

รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว