นางบำเรอของนายท่าน

ตอนที่ 2 : รอเสียบอยู่เด้ออีหนู (2)

ตั้งแต่เข้ามาสู่มายาภพ ครั้งนี้นับว่าเป็นครั้งแรกที่เข้ามาสู่ชุมชนที่พลุกพล่านของนรชนบนโลกนี้ ณ ท่าเรือขนาดใหญ่ทางเหนือสุดของแคว้นนามรูปที่มุ่งหน้ามา เสียงจ้อกแจ้กจอแจของผู้คนจำนวนมาก ผิวกร้านเกรียมด้วยไอแดดมาซื้อสินค้าและนำของมาขายดังระงมอยู่ไม่ขาดระยะ เดินสวนกันไปมาสับสนราวมดปลวก

เรือสำเภาหลายลำได้ลมดีทยอยแล่นใบออกไปบ้างแล้ว แต่เรือเหล่านั้นส่วนใหญ่มิได้ไปถึงแคว้นอวิทยะ ที่ไปถึงก็ปฏิเสธไม่ยอมแวะที่หมู่เกาะนิลกาฬโดยเด็ดขาด ต่างคนต่างมองเรือที่ลอยลำออกไปอย่างสิ้นหวัง แผนการณ์ครานี้คงไม่สำเร็จเป็นแน่

ทั้ง ๗ คนตระเวนอยู่ที่ท่าเรือนั้นจนตกเย็นแต่ยังหาเรือไม่ได้ ขณะนั้นมีเรือสำเภาอีกลำหนึ่งเข้ามาเทียบท่า คนบนเรือราวๆ ๑๐ คนลงมาจากเรือเพื่อหาน้ำดื่มและเสบียงอาหารเพิ่ม เกริกพาเพื่อนๆตรงเข้าไปถามลูกเรือเหล่านั้นว่าจะไปไหน น่าแปลกนักไม่ว่าจะถามใคร ต่างอึกๆอักๆ ไม่กล้าพูด ได้แต่บุ้ยใบ้ให้ไปถามนายสำเภาที่เดินตามหลังมาเอง

“ท่าจะเหลวเปล่า พวกนี้น่าจะเป็นใบ้กันทั้งลำเรือ” ปุ้มบ่น

“มันน่าแปลกตรงที่ว่า พวกนี้มากับเรือยังไง ถึงไม่รู้ว่าเรือจะไปไหน” เกริกบ่นขึ้นบ้างด้วยท่าทีที่หงุดหงิดไม่แพ้กัน

“ไม่แปลกหรอก เพราะลูกเรือที่ดีย่อมไม่พูดมากอยู่แล้ว”

เสียงทุ้มห้าวดังขึ้นด้านหลัง ทั้ง ๗ คนสะดุ้งหันไป นายสำเภาเจ้าของเรือลึกลับนั่นเองยืนกอดอกยิ้มอยู่อย่างมีเลสนัย

“และลูกเรือของข้าก็เป็นลูกเรือที่ดีเสมอ”

จันเพ่งพิศร่างของนายสำเภานั้นแล้วรู้สึกเสียวสันหลังวาบโดยไม่รู้สาเหตุ ใช่ รอยยิ้มและใบหน้ารวมทั้งท่าทีที่เป็นมิตรไม่ผิดไปจากนรชนในโลกนี้ แต่แววตาคู่นั้นเหมือนจะแฝงความโหดเหี้ยม กร้านเกรียมจนน่ากลัว เพื่อนคนอื่นๆดูเหมือนจะไม่ได้สังเกตอะไรมากนัก ยังพูดคุยสนทนาถามทางกับนายสำเภานั้นตามปกติ

“โชคดีของพวกเจ้าจริงๆที่มาพบกับข้า” นายสำเภานั้นยิ้มแย้มอย่างเอื้ออารีเมื่อรู้จุดหมายที่จะไป “เจ้าคงเป็นนักแสวงโชคเช่นเดียวกัน ที่ถึงแม้จะรู้ว่าหมู่เกาะนิลกาฬนั้นเต็มไปด้วยภูเขาที่ปะทุเปลวเพลิงขึ้นมาเองได้ แต่ก็อุดมไปด้วยเกลือจำนวนมหาศาลที่มีราคา ข้าขึ้นล่องค้าขายเกลือระหว่างแคว้นผัสสะ – สฬายตนะ – นามรูป – อวิทยะ – ภโว เป็นประจำ แหล่งเกลือแหล่งใหญ่ของข้าคือหมู่เกาะนิลกาฬนั่นเอง มาเถอะ รีบขึ้นไปพักบนเรือก่อน พอพวกเด็กๆนั่นขนน้ำเสร็จแล้วจะได้ออกเรือ”

“แล้วท่านชื่ออะไรหรือจ๊ะ” ปุ้มถาม

“เรียกข้าว่านายสำเภาน่ะดีแล้ว”

นายสำเภาผู้ลึกลับตอบก่อนจะเดินนำคนทั้ง ๗ ไปขึ้นเรือ จันรู้สึกแปร่งๆกับประโยคสุดท้ายนี้อยู่ไม่น้อย แต่ก็เดินตามเพื่อนๆขึ้นเรือไปเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไร

นายสำเภาจัดให้ทั้งเจ็ดคนพักอยู่ริมหนึ่งของชั้นดาดฟ้าของเรือโดยบอกว่าข้างล่างเต็มหมดแล้ว พอดีกับที่พวกลูกเรือขนเสบียงและน้ำเสร็จ เขาจึงไปสาละวนกับการสั่งลูกเรือให้ออกเรือ จันถือโอกาสนี้กระซิบกับเพื่อนๆ

“ฉันว่านายสำเภานี่ไม่น่าไว้ใจเลยนะ”

“ทำไมล่ะ ก็เห็นเขาคุยกับเราดีออก” เอมว่า

“เธอจำที่ฉันทะเล่าให้เราฟังได้ไหม ที่เขาเข้าไปในแดนอาถรรพ์ของอสูรแล้วรอดออกมาได้เพราะเป็นคนครึ่งอสูร” จันพูดพลางลอบชำเลืองไปยังนายสำเภาที่ยังยืนหันหลังให้ “ดังนั้นถ้านายสำเภารายนี้เข้าไปเก็บเกลือที่หมู่เกาะนิลกาฬมาขายได้จริง แสดงว่าเขาต้องมีความเป็นอสูรอยู่ด้วย”

“ทำไงได้ล่ะ เราขึ้นเรือเขามาแล้ว ระวังตัวหน่อยแล้วกัน” น้อมว่า


เรือยังคงโคลงเคลงไปตามกระแสคลื่นชวนให้วิงเวียนและง่วงนอนนักสำหรับคนที่ไม่เคยลงเรือมาก่อนในชีวิต หลังจากนอนหลับมาแล้วตื่นหนึ่ง ปุ้มนอนลืมตามองท้องฟ้าที่มืดสนิท แต่งแต้มด้วยดาราพรายระยับ จะกี่ทุ่มกี่ยามแล้วนั้นไม่อาจคาดคะเนได้ ฉับพลัน ปุ้มสะดุ้งผวา ผงกหัวขึ้นมอง เมื่อเห็นเงาตะคุ่มๆ ๒ เงา เคลื่อนไหวอยู่ทางซ้ายมือ รีบผุดลุกขึ้นมองดูเพื่อนๆที่นอนกันอยู่โดยรอบ เห็นขาดไปสองคนคือจันกับน้อมก็ใจหาย ปลดผ้าที่โพกศรีษะอยู่ออกมาเปลี่ยนเป็นง้าวคู่มือ ค่อยๆย่องไปที่เงานั้นทันที

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าย่องมาทางด้านหลัง เงาร่างทั้งสองนั้นหันหน้ามาพร้อมด้วยอาวุธในมือ พอเห็นว่าเป็นพวกเดียวกัน ต่างถอนหายใจอย่างโล่งอก

“เล่นย่องมาเงียบๆ ใจหายหมด เกือบจะพุ่งดาบเข้าใส่แล้ว ยิ่งกำลังระแวงอยู่ด้วย” น้อมบ่น

“จะไปรู้รึ เห็นแต่เงาตะคุ่มๆ จะรู้ได้ไงว่าเป็นพวกไหน” ปุ้มว่าขึ้นบ้าง

“ฉันเป็นคนปลุกน้อมขึ้นมาเองแหละ ว่าจะชวนกันลงไปดูข้างล่างสักหน่อย ตื่นขึ้นมา ไม่เห็นใครเลยสักคน ยังกะเรือร้าง” จันพูดขึ้นเรียบๆ แต่สายตาคมกริบคู่นั้นกวาดไปรอบด้านอย่างระแวงภัย

“ใจคอ เธอจะลงไปแค่ ๒ คนเท่านั้นหรือ ทำไมไม่ปลุกคนอื่นไปด้วย” ปุ้มท้วง “แต่เอาเถอะ ฉันตื่นขึ้นมาแล้ว ลงไปด้วยคนแล้วกัน”

“มาสิ” จันพยักหน้า

ทั้ง ๓ ชีวิต ค่อยๆไต่ลงไปตามบันไดเล็ก ชัน ลงไปสู่ท้องเรือที่มืดและเงียบสนิท ไม่มีวี่แววของผู้คน นอกจากแสงเทียนวอมแวมอยู่ทางหัวเรือ ทั้ง ๓ คน ไต่ลงไปอีกตามบันไดที่มืดขึ้นเรื่อยๆจนต้องคลำทางไปตลอด จนถึงชั้นล่างสุดของเรือที่ปกติเป็นที่เก็บสินค้า แต่สิ่งที่ทุกคนเห็นจากแสงอัจกลับริบหรี่ใกล้จะดับมิดับแหล่ มิใช่สินค้าชนิดใด แต่เป็นคนเกือบ ๓๐ คนถูกจับมัดมือไล่หลังรวมกันอยู่

“ดะ… ดะ… ได้โปรด อย่าทำอะไรพวกเราเลย ปล่อยเราไปเถอะ” ชายคนหนึ่งในกลุ่มนั้นร้องวิงวอนอย่างน่าสงสาร เมื่อเห็นคนแปลกหน้า ๓ คนยืนจ้องมองพวกตนอยู่ น้อมค่อยๆนั่งลงใกล้ๆพลางถามว่า “อย่ากลัวเราเลย เรามาดี ใครจับพวกท่านมามัดไว้อย่างนี้ล่ะ”

“พะ… พวกเจ้าไม่ใช่พวกอสูรหรอกหรือ”

“ไม่ใช่หรอก เราเป็น… เป็นพวกเทพนพเคราะห์น่ะ เราจะมาปราบอสูร” ปุ้มที่ยืนอยู่ข้างหลังตอบให้แทน

“พวกของเทพนพเคราะห์ โอ ช่วยเราด้วย” ชายผู้นั้นร้องอย่างดีใจ ขยับเข้ามาใกล้น้อมมากขึ้น พูดเบาราวกับกระซิบ “ท่านรู้ไหม พวกอสูรมันมาปล้นเรือจับพวกเรามัดไว้อย่างนี้มาหลายวันแล้ว พวกเราสวดอ้อนวอนทุกวันขอให้เทวดาช่วย โอ ฝันของเราเป็นจริงแล้ว เทวดาส่งพวกท่านมาช่วยเราแล้ว”

“ฮึ เทวดามาช่วย มีปัญญาที่ไหน ดีแต่ใช้คนเหมือนกัน” ปุ้มบ่นเบาๆ

จันเอื้อมมือมาตบบ่าปุ้มพลางว่า “ตกกระไดแล้วก็พลอยโจนกันเถอะ บ่นไปก็เท่านั้น ช่วยแก้มัดให้คนพวกนี้ดีกว่า”

น้อมเปิดประตูห้องขังเข้าไป ใช้ดาบในมือแก้มัดให้ชายคนที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด ปุ้มกับจันตามเข้าไปช่วยแก้มัดได้อีกคนละคน พอขยับจะช่วยคนต่อไป ปุ้มกลับชะงัก

“ฉันได้ยินเสียงแปลกๆข้างบนเหมือนคนสู้กัน เพื่อนเราจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้”

“งั้นเธอสองคนรีบขึ้นไปดูข้างบน ข้างล่างนี้ไว้เป็นภาระฉันเอง”

ปุ้มกับน้อมรีบปีนบันไดขึ้นไปโดยไม่รอช้า ส่วนจันยังสาละวนกับการแก้มัดให้พวกเชลยนั้นต่อไป ทันใดนั้น มีเสียงเรียกมาทางขวามือ เมื่อหันไป ชายคนหนึ่งที่ถูกมัดเช่นกัน พยายามขยับเข้ามาหาอย่างเร่งร้อน

“ปล่อยทางนี้ไว้เป็นภาระคนอื่นเถอะ ขึ้นไปช่วยเพื่อนเจ้าเร็วเข้า”

จันมองหน้าชายคนนั้นอย่างฉงน เพ่งพิศผ่านแสงอัจกลับสลัวราง รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเหมือนจะจำได้ ชายผู้นั้นเห็นจันนิ่งไปยิ่งเร่งเร้ามาอีก

“เจ้าอสูรตนนี้ชื่อสักกายะ มีฤทธิ์ในทางสร้างรูปมายา หลอกให้หลงสู้รบกับรูปจำแลงจนหมดแรง แล้วจึงจับตัวฆ่าเสีย เจ้ารีบขึ้นไปเร็ว อย่าสนใจกับพวกที่รุมล้อมพวกเจ้าอยู่ จงเข้าไปจัดการกับตัวการ เรื่องอื่นไว้พูดกันทีหลัง รีบไปเร็ว”

ไม่ต้องซักถามอีกต่อไป จันผุดลุกขึ้น กระชับขวานในมือมั่น สั่งให้พวกที่หลุดรอดมาแล้วช่วยแก้มัดให้คนอื่นด้วย ตัวเองรีบปีนบันไดที่มืดและชันไปอย่างรวดเร็วกว่าขามาโดยไม่กลัวว่าจะผลัดตก


เมื่อมาถึงชั้นดาดฟ้า จริงอย่างที่ชายคนนั้นพูดไม่ผิดเพี้ยน เพื่อนๆของตนทั้ง ๖ คน ชุลมุนสู้รบกับอสูรนับสิบโดยที่เทพอาวุธทำอะไรไม่ได้ ส่วนนายสำเภาจอมปลอมหรืออสูรจำแลงนั้นยืนจ้องเขม็งไปยังกลุ่มเพื่อนของตน จันตะโกนก้องในบัดดล

“อย่าไปสนใจไอ้อสูรพวกนั้น นั่นมันภาพลวงตา จัดการกับตัวนายเร็วเข้า”

พร้อมๆกันนั้น จันพุ่งเข้าหาอสูรผู้เป็นหัวหน้าทันที โดยมีเกริกกับหนุ่ยผละจากกลุ่มเพื่อนเข้ามาช่วย แทบจะเป็นวินาทีเดียวกัน ภาพมายาของอสูรที่ล้อมรอบอยู่หายไปหมด น่าเสียดายที่ทั้ง ๔ ต่างพากันยืนงง หาได้เข้าไปช่วยเหลือเพื่อนอีก ๓ คนไม่

ขวานที่จันฟันลงไปทีแรกพลาดเพราะอสูรตนนั้นเบี่ยงกายหลบทัน และโดยเหตุที่เหวี่ยงมาเต็มแรง พอพลาดจันเลยเซล้มไป หนุ่ยที่เข้ามาถึงพอดี ฟาดไม้พลองในมือเข้าใส่เต็มแรง อสูรร้ายไวทายาด เบี่ยงกายหลบได้อีก พร้อมกับจับปลายไม้พลองไว้ได้ด้วยมือข้างหนึ่งแล้วผลักออกไป หนุ่ยเลยเสียหลักล้มหงายไม่เป็นท่า ไปปะทะเกริก พลอยให้เกริกเสียจังหวะลั่นศรที่เตรียมขึ้นสายไว้แล้วช้าไป

อสูรร้ายหัวเราะลั่น กระโดดตีลังกาขึ้นไปยืนบนกราบเรือ “ถ้าพวกเจ้ามีฝีมือแค่นี้ อย่าหวังเลยว่าจะต่อกรกับจอมอสูรได้ พบกันคราวหน้า ข้าคงเด็ดหัวเจ้าได้ไม่ยาก” ว่าพลางตีลังกากลับหลังลงทะเลไป ปล่อยให้ลูกศรของเกริกพลาดเป้าไปอย่างฉิวเฉียด

“ไปยังไงมายังไงถึงโดนพวกอสูรมาล้อมไว้ได้” จันหันไปถามเพื่อนๆ

“ไม่รู้ว่าพวกมันล้อมอยู่ตั้งแต่ตอนไหน พอตื่นมาก็เจอพวกมันเฮโลเข้าใส่ยังกะเป็นศัตรูแต่ชาติปางก่อน” หนุ่ยตอบ

“ก็คงหลังจากเราสามคนลงไปข้างล่างแล้วไม่นาน” ปุ้มพูดพลางหันไปสบตาน้อมกับจัน “เพราะตอนที่เราลงไปยังไม่มีอสูรสักตน”

“เกือบไปแล้วไหมล่ะ ดีที่จันมาบอกทัน” เกริกว่า “ว่าแต่จันรู้ได้ยังไงล่ะ”

จันยังไม่ทันตอบ เสียงร้องตะโกนของคนจำนวนมากก็ดังขึ้นมาเสียก่อน

“ไชโย พวกอสูรไปแล้ว”

แน่ละ พวกเชลยที่ถูกจับมัดไว้บัดนี้เป็นอิสระหมดแล้วพากันขึ้นมาข้างบน แต่ละคนเริงรื่นดีใจนัก คนหนึ่งท่าทางเหมือนจะเป็นหัวหน้าตรงเข้ามาหากลุ่มคนทั้ง ๗ ทันที

“ถ้าไม่มีพวกท่าน เราคงไม่รอดจากการเป็นเหยื่ออสูรแน่ อย่าปฏิเสธงานเลี้ยงขอบคุณเล็กๆน้อยของเราเลย มาสนุกกันเถอะ”

ทั้งเจ็ดคนมองหน้ากัน เกริกพยักหน้าแทนคำตอบว่าตกลง นายสำเภาตัวจริงหันไปสั่งลูกเรือของตนให้จุดคบไฟสว่างไสดุจเป็นเวลากลางวัน ขนอาหารเหล้ายาปลาปิ้งออกมาเลี้ยงดูกันอย่างยินดี ไม่แปลกอันใดที่ในงานเลี้ยงครั้งนี้ เสียงของเกริกจะเจื้อยแจ้วกว่าใคร จนเพื่อนๆที่มาด้วยกันอดพูดแขวะด้วยความหมั่นไส้ไม่ได้


มีเพียงจันคนเดียวที่รู้สึกกระสับกระส่าย ผิดสังเกตุกับงานเลี้ยงฉลองครั้งนี้ สายตาสอดส่ายไปเหมือนจะหาใครสักคนหนึ่ง คนที่บอกให้ตนรีบขึ้นมาช่วยเพื่อนข้างบนนั่นเอง หากเขาเป็นลูกเรือเฉกเช่นคนอื่นแล้ว ก็ควรขึ้นมาร่วมฉลองด้วยแล้ว หากเขาเป็นฝ่ายอสูรก็ไม่ควรจะบอกความลับของอสูรแก่ตน ครั้นไม่พบแน่แล้วจันจึงแอบหลบออกจากงานเลี้ยง ค่อยๆย่องลงไปตามทางเดิม จนถึงห้องที่เคยใช้กักขังลูกเรือ ปรากฏว่าในห้องยังเหลือชายอีก ๒ คนที่ยังถูกพันธนาการอยู่ ท่าทางอิดโรยบอบช้ำ จันรีบเข้าไปหาโดยทันที

“ทำไมถึงยังถูกจับมัดอยู่อีกล่ะ”

ชาย ๑ ใน ๒ คนนั้นหันหน้ามา เผยให้เห็นใบหน้าที่ถูกชกจนแตกช้ำ ผิดไปจากเมื่อครู่ จันจำได้ดีว่านี่คือคนที่กระซิบบอกความลับของอสูรให้ตนนั่นเอง

“พวกเขาเข้าใจว่า… ว่าเราเป็นพวกอสูรจึงไม่ยอมปล่อยเรา”

“แล้วท่านเป็นหรือเปล่าล่ะ”

“มะ... ไม่ใช่” ชายผู้นั้นส่ายหน้า “เขาเข้าใจผิด”

“ไม่ใช่เข้าใจผิดหรอก มันจะฆ่าพวกเราต่างหาก” ชายอีกคนหนึ่งที่ถูกทำร้ายจนบอบช้ำไม่แพ้กัน โพล่งขึ้นด้วยแรงโมโห จันมองคนทั้งสองแล้วถอนใจ

“เอาเถอะ พวกท่านก็บาดเจ็บไม่น้อย เราจะแก้มัดให้ท่านก่อน แล้วจะหายามาใส่ให้”

เพียงแค่จะขยับเข้าไปแก้มัด เสียงอันเหี้ยมเกรียมของใครคนหนึ่งดังขึ้นจังหวะมาทางด้านหลัง “หยุดเดี๋ยวนี้ ขืนเข้าไปแก้มัดให้ไอ้อสูร ๒ ตนนั่น ข้าจะถือว่าเจ้าเป็นพวกเดียวกับมัน”

“เจ้ามีหลักฐานอะไรเล่าจึงไปปรักปรำว่าเขาเป็นอสูร”

อีกเสียงดังซ้อนขึ้นแทบจะทันที พร้อมกันนั้น ปุ้มกับนิ่มเดินแซงหน้าชายผู้นั้นเข้าไปหาจันด้วยสีหน้าเครียดขรึม

“ถ้าแม้แต่เพื่อนของเราที่ประกาศอยู่ชัดๆว่าเป็นพวกเทพ ท่านยังจะเหมาเป็นพวกอสูรเสียได้ บนเรือลำนี้คงมีเจ้าคนเดียวกระมังที่ไม่ใช่อสูร” ปุ้มกล่าวเสียงเครียด

“เอ้อ… คือ” ชายผู้นั้นหน้าถอดสีในบัดดล เสกล่าวแก้เก้อไปว่า “ข้าแค่เป็นห่วงสวัสดิภาพของลูกเรือของข้าในฐานะที่เป็นนายสำเภาเท่านั้นเอง”

“เจ้ายังไม่ตอบคำถามของเราเลยว่าเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาเป็นอสูร” ปุ้มถามย้ำ เสียงเครียดดังเดิม

“ทำไมจะไม่ใช่ พอรับพวกมันขึ้นเรือมาได้พักเดียวก็ถูกพวกอสูรยึดเรือ มันต้องเป็นสายลับอสูรแน่”

ทั้ง ๓ คนมองหน้ากันอย่างใช้ความคิด จันขยิบตาเป็นทีพลางพยักเพยิดไปทางคนทั้งสองที่ถูกมัดอยู่ ดังนั้น แม้จะยังมีความแคลงใจในสายตา นิ่มกล่าวเสียงดุดันขึ้นว่า

“เราเป็นพวกเทพ ย่อมสามารถจำแนกอสูรออกจากนรชนได้”

นายสำเภาหน้าเผือดไปแต่ยังแข็งใจชี้มืออันสั่นระริกไปทางคนทั้งสอง “งั้นท่านก็ยืนยันได้ใช่ไหมว่ามันเป็น…”

“เรารู้ดีว่าบนเรือนี้มีสายลับอสูร และเราย่อมแยกแยะได้ด้วยอำนาจแห่งเรา อย่าให้พูดดีกว่า ถ้าการที่พวกเราช่วยขับไล่อสูรไปจากเรือเป็นบุญคุณแก่เจ้าแล้ว เราขอให้เจ้าปล่อยสองคนนี้เป็นการตอบแทนนั้น จะได้ไหม ส่วนเรื่องความปลอดภัยนั้น เรารับรองเอง”

นายสำเภานิ่งไปครู่ใหญ่ ทำปากขมุบขมิบเหมือนจะบ่นอะไรกับตัวเอง ก่อนจะเอ่ยขึ้นในที่สุดว่า “เอาละ เห็นแก่บุญคุณของพวกท่าน ข้ายกคนสองคนนี้ให้ จะจัดการกันอย่างไรก็แล้วแต่”


เรือสำเภาลำนั้นแล่นตัดทะเลไปทางตะวันออกนานร่วมเดือนจึงแวะพักที่แคว้นวิญญาณก่อนจะมุ่งลงใต้เพื่อแวะที่หมู่เกาะนิลกาฬตามความต้องการของฝ่ายตัวแทนเทพนพเคราะห์ ระหว่างที่รอนแรมมากลางทะเลนี้เอง ปุ้มรู้สึกได้ถึงความร้าวฉานที่เริ่มก่อตัวขึ้นระหว่างหมู่เพื่อน ท่าทีของเกริกดูจะยิ่งมั่นใจ วางมาดเป็นผู้นำมากขึ้น ยิ่งได้รับลูกยอและความยำเกรงจากพวกลูกเรือด้วยแล้ว เกริกดูจะยิ่งเบ่ง อวดอ้างความสำคัญของตนมากเข้าทุกที จนน้อมกับหนุ่ยแสดงอาการหมั่นไส้อย่างออกนอกหน้า

นิ่มกับจันนั้นเล่า เหมือนมีลับลมคมในอะไรกันบางอย่าง มักจะลอบซุบซิบกันตามลำพังสองคนแล้วก็โต้เถียงกันเองเสมอ พอเข้าไปใกล้ ทั้งคู่ก็เงียบอ้างว่าไม่มีอะไร กระนั้น ข้อนี้ ปุ้มพอจะคาดเดาได้ว่าน่าจะเกี่ยวกับชาย ๒ คนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นสายลับอสูรนั่นแหละ ต่างคนต่างจ้องจับสังเกตชาย ๒ คนนั้นอยู่โดยไม่ได้ใส่ใจความร้าวฉานในหมู่เพื่อนเลยแม้แต่น้อย

แม้ว่าปุ้มจะรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลของชาย ๒ คนนี้อยู่บ้างในข้อที่ว่า ไม่ใคร่จะเข้าสมาคมกับหมู่ลูกเรืออื่นเท่าใดนัก มักจะคอยลอบสะกดรอย สังเกตความเป็นไปของฝ่ายตนอยู่ตลอดเวลา ครั้นจะเข้าไปผูกมิตรตีสนิทด้วยกลับทำท่าหมางเมินเหมือนไม่ไว้วางใจ แต่นั่นก็เป็นเรื่องของคนนอกไม่น่าจะก่อปัญหาให้มากกว่าเรื่องความแตกแยกของคนใน โดยเฉพาะคู่น้อมกับเกริกที่ปีนเกลียวกันตั้งแต่ที่ชายฝั่งราตรีเป็นต้นมา มีแต่เอมเท่านั้นที่เห็นปัญหานี้เหมือนกัน พยายามเป็นกาวใจประสานรอยร้าว แต่ดูเหมือนจะไม่ประสบผลเท่าใดนัก

เวลาผ่านไปร่วมเดือนอีกเหมือนกันกว่าจะมาถึงหมู่เกาะนิลกาฬ เพราะกระแสลมมิใคร่จะเป็นใจเสียเลย บางคราวต้องให้น้อมเรียกลมมาช่วยให้เรือเดินไปได้โดยสะดวก แต่ก็ต้องเกลี้ยกล่อมกันเป็นนานสองนานจนแทบอ่อนใจ เพราะน้อมมักโยนไปให้เกริกเป็นประจำ บ้างก็อดแขวะมิได้

“มาบอกฉันทำไมล่ะ ไปบอกนายเกริกเขาสิ เก่งสุด ใหญ่สุดไม่ใช่เหรอ ฉันทำอะไรไม่ได้หรอก”

ใช่ ทั้งๆที่น้อมก็รู้อยู่แก่ใจว่า เกริกไม่มีความสามารถที่จะเรียกลมมาได้


ท่ามกลางเปลวแดดยามบ่ายที่แผดเผาจนเห็นผืนน้ำระยิบระยับไปทั่ว เหล่าลูกเรือชี้ให้ดูหมู่เกาะด้านหน้าที่เรียงเป็นกลุ่มอยู่ ๕ เกาะแต่ละเกาะสีดำทะมึนราวแกะสลักมาจากถ่านทั้งเกาะ มีเพียงชายขอบที่ติดกับทะเลเท่านั้นที่แลเห็นคราบขาวของเกลือเกาะอยู่ เกริกสั่งให้ลูกเรือนำเรือเข้าไปจอดแต่ทุกคนแสดงออกถึงความประหวั่นพรั่นพรึงอย่างเห็นได้ชัด

“ทะ… ทำไมต้องเข้าไปด้วยขอรับ นั่นมันแดนอสูร”

“เข้าไปเถอะน่า ลอยลำรอพวกเราอยู่ข้างนอกก็ได้ เราแวะเข้าไปหาของสำคัญไม่นานดอก พวกเจ้ากลัวก็ไม่ต้องลงไปสิ” เอมพยายามปลอบ

“ตามใจเขาเถอะ เขาเป็นผู้มีบุญคุณ” จนกระทั่งนายสำเภาสั่งอย่างเสียมิได้นั่นแหละ พวกลูกเรือจึงบังคับเรือเข้าทอดสมอที่ชายฝั่งของเกาะที่อยู่นอกสุดอย่างทุลักทุเล เกริกพาเพื่อนๆลงจากเรือ โดยมิวายหันไปกำชับสั่งนายสำเภาให้รออยู่จนกว่าจะกลับมา

แต่ละย่างก้าวบนแผ่นดินสีดำนั้นเต็มไปด้วยความยากลำบาก เกาะที่เรือเข้าไปทอดสมอนั้น เหมือนเป็นแผ่นดินที่เพิ่งงอกใหม่ ค่อนข้างจะเป็นโคลนเละเสียมากกว่า พื้นดินเต็มไปด้วยคราบเกลือหลากสี นิ่มบอกให้เกริกตัดตรงไปทางตะวันออกจนสุดเกาะนั้น

ท้องฟ้าค่อยๆมืดครึ้มลง ใกล้ค่ำลงไปทุกที แต่ยังแลเห็นเกาะอีก ๓ เกาะดำทะมึนเรียงกันในแนวจากตะวันออกเฉียงเหนือไปตะวันตกเฉียงใต้ เกาะตรงกลางขนาดเล็กมีปล่องตรงกลาง ปล่อยควันออกมาจางๆ พร้อมกับกลิ่นกำมะถัน เกาะใหญ่อีกเกาะที่อยู่ทางด้านหลังของเกาะที่มีปล่องนั้นปล่อยควันออกมาคละคลุ้ง โชคดีที่ควันนั้นถูกลมพัดลงไปทางใต้เสียมากกว่า

นิ่มยืนพินิจอยู่ครู่ “แก้วมณีอยู่ที่เกาะตรงกลางนั้น อาจจะอยู่ในปล่องด้วย”

“งั้นรีบไปเถอะ เดี๋ยวจะมืดเสียก่อน” เกริกว่าพลางเดินนำขบวนต่อไป

ทั้งหมดข้ามน้ำมายังเกาะตรงกลางได้ด้วยกสิณดินของจัน บนเกาะนั้นพื้นดินแตกระแหงไปทั่วบ่งบอกถึงความร้อนจำนวนมหาศาลที่แฝงอยู่ข้างใต้ มีแอ่งน้ำอยู่หลายแห่ง แทบทุกแห่งเดือดพล่านด้วยความร้อนและเป็นที่มาของกลิ่นกำมะถันที่คละคลุ้งไปทั่วทั้งเกาะ น้ำในแอ่งนั้นมีสีสันหลากหลายทั้ง แดง เขียว เหลือง ฟ้า ดำ ราวอุบัติขึ้นด้วยมนต์อสูร


เสียงแผ่นดินลั่นครางครืนราวอสูรคำราม เกาะที่อยู่ข้างๆทั้ง ๒ เกาะเกิดรอยแตกร้าวเป็นสีแดงจ้าทั่วทั้งเกาะ เห็นได้ชัดเจนในความมืด อากาศร้อนอบอ้าวขึ้นเป็นทวีคูณ ราวกับมีดวงอาทิตย์ตกลงมาในที่นั้นสัก ๗ ดวง แต่ทุกคนกลับหนาวสะท้านถึงขั้วหัวใจเมื่อรู้แน่ว่าเกาะทั้งสองนั้นคือภูเขาไฟและกำลังจะถล่มทลายลงทั้งเกาะ

ความร้อนที่ทวีขึ้นมิได้เป็นอุปสรรคอันใดเพราะอำนาจกสิณไฟของเกริกสามารถคุ้มครองได้ ทั้งหมดจับมือกันไว้มั่น บุกตะลุยไปข้างหน้าอย่างรีบเร่ง แข่งกับเวลาที่เหมือนจะเหลือน้อยลงไปทุกที ทางเดินเริ่มลำบากและลาดชันขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงปากปล่องภูเขาไฟ ที่เป็นเหวลึกลงไป ยากจะคะเนได้ว่าลึกสักเพียงไหน เห็นแต่ลาวาสีแดงลุกเป็นเพลิงอยู่ข้างล่างราวกับเป็นทางสู่อเวจี ความกว้างจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่งน่าจะได้สามชั่วคนโดยประมาณ และที่ลอยเด่นอยู่ตรงกลาง คือแก้วมณีสีดำสนิทเหมือนสีนิล

“เหมือนจะง่ายเลยนะ” เอมบ่น “แต่ใครหน้าไหนจะเข้าไปหยิบได้”

ทุกคนนิ่งอึ้งไป น้อมชายหางตาไปทางเกริก กล่าวลอยๆอย่างจงใจกระทบ

“จะไปกลัวอะไรล่ะ เรามีคนเก่งสารพัดอย่างมาด้วยมิใช่หรือ ยืนดูอยู่เฉยๆก็พอ”

มิใช่จะไม่รู้ตัว เกริกหันมามองน้อมพลางกล่าวขึ้นว่า “ข้อนั้นไม่ต้องกลัว งานแค่นี้ไว้ให้ข้าคนเดียวก็ได้ คนอื่นถอยไป”

“แต่นายควรจะมีผู้ช่วยนะ”

ถึงจะรู้แก่ใจว่าเกริกมีอำนาจทนร้อนได้แต่ก็ไม่วายห่วง ปุ้มท้วงพลางชำเลืองไปทางน้อม น้อมแกล้งทำเป็นเมินเฉย ไม่รู้ไม่ชี้ เกริกจึงกล่าวขึ้นว่า

“บอกแล้วไงว่าข้าคนเดียวก็ได้ จะไปง้อคนที่เขาไม่เต็มใจจะช่วยทำไม ปล่อยมือแล้วถอยออกไปเถอะ เดี๋ยวมันจะร้อนเกินไป”

ทันทีที่เกริกปล่อยมือออกไปทุกคนรับรู้ได้ถึงความร้อนระอุราวเตาเผาทันที ต่างพากันถอยลงมา โดยที่เอมเรียกธาตุน้ำในบริเวณนั้นมาช่วยหล่อเลี้ยงให้ความร้อนทุเลาลงได้บ้าง มีเพียงเกริกคนเดียวที่ไต่ขึ้นไปจนสุดปากปล่อง แต่ปล่องนั้นกว้างเกินกว่าที่เกริกจะเอื้อมมือไปหยิบแก้วได้ ได้แต่ไต่ไปมา เย้ยมฤตยูอยู่ที่ปากปล่องนั้นเอง

“เขาจะทำได้ยังไง” เอมแหงนมองเกริกแล้วส่ายหน้า

ปุ้มได้แต่บ่นว่า “หวังว่าเขาคงจะฉลาดพอที่จะไม่พุ่งหลาวลงไปคว้าดวงแก้วกลางปล่องนะ ไม่อย่างนั้นก็โบกมือลาไปพบกันชาติหน้าได้เลย”

พอขาดคำก็พอดีกับเป็นจังหวะที่เกริกก้าวพลาด สะดุดหินทำท่าจะตกลงไปในปล่องนั้น หายไปจากสายตาของเพื่อนๆที่จับจ้องอยู่ ทันทีที่เห็นดังนั้น สุดที่จะทนใจเย็นอยู่ได้อีกแล้ว จันสะบัดมือหลุดพลางวิ่งฝ่าความร้อนราวกับเตาหลอมเหล็กนั้นตรงขึ้นไปยังปากปล่องทันที เมื่อขึ้นไปถึง เกริกยังคว้าแง่หินที่อยู่ต่ำลงไปเล็กน้อยได้ ความร้อนตรงปากปล่องยิ่งทวีขึ้นเป็นสองเท่าแต่จันหาได้คำนึงถึงไม่ รีบเอ่ยขึ้นโดยทันทีว่า

“ด้วยอำนาจกสิณดิน อากาศในปล่องจงกลายเป็นแผ่นดินให้เหยียบลงไปได้เดี๋ยวนี้”

จันกัดฟันทน สู้กับความร้อนที่แผดเผารอบกาย ก้าวตามอากาศว่างเปล่าลงไปเหมือนเหยียบบันได ยื่นมือให้เกริกจับ ทันที่ที่มือต่อมือสัมผัสกัน ความร้อนรอบกายหายไปเป็นปลิดทิ้ง พร้อมกับที่เกริกสามารถเหยียบบนอากาศได้อย่างจัน ทั้งคู่ก้าวไปยังจุดที่แก้วมณีลอยอยู่ เกริกคว้ามาเก็บไว้ในอุ้งมือได้อย่างง่ายดาย

แทบจะทันทีที่ทั้งสองคนก้าวพ้นมาจากปล่องมาได้ เกาะที่ขนาบข้างอยู่ทั้งสองเกาะที่ปริร้าวอยู่แล้ว เริ่มร้าวมากขึ้นจนแลเห็นแดงฉานไปทั่ว อากาศร้อนขึ้นอีกจนอำนาจกสิณน้ำของเอมแทบจะต้านไม่อยู่ เมื่อเกริกกับจันวิ่งมาถึง นิ่มร้องบอกให้ทุกคนจับมือกันไว้ เพื่อจะรีบวิ่งกลับไปยังเรือให้เร็วที่สุด แต่จันที่เจอกับความร้อนมามาก กลับทรุดล้มลง ทุกคนหันไปประคองจันขึ้นมา พะว้าพะวงด้วยความเป็นห่วง เกาะที่พวกตนกำลังยืนอยู่เริ่มสั่นไหว ทำท่าจะถล่มตามไปอีกเกาะ

“ใครก็ได้ประคองจันไว้ จับมือไว้ให้มั่น ที่เหลือไว้เป็นหน้าที่ฉันเอง”

น้อมที่ไม่ยอมทำอะไรเลยมาแต่แรกตัดสินใจบัญชาการเองในฉับพลัน เมื่อทุกคนจับมือกันได้มั่นคงดีแล้ว โดยมีปุ้มกับเอมช่วยกันจับมือจันไว้คนละข้าง น้อมพาทุกคนเหาะด้วยอำนาจกสิณลมตรงไปที่เรือทันที

แทบจะเป็นจังหวะเดียวกันที่เท้าของทุกคนกระทบพื้นเรือ เกาะที่ร้าวมาแต่แรกถล่มครืน ปล่อยลาวาแดงจ้าไหลนองเห็นได้แต่ไกล พร้อมกับไอน้ำทะเลเดือดจนเป็นควัน น้อมสั่งให้ปุ้มกับเอมพาจันไปปฐมพยาบาล ตนเองเรียกลมอีกครั้ง ให้พัดสำเภาไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ มุ่งสู่แคว้นอวิทยะ ออกจากหมู่เกาะนิลกาฬให้เร็วที่สุด

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว