ไป๋เยว่ซิ่น (สนพ.เฟยฮุ่ย)-บทที่ 46 ตอน ช่างกล้า

โดย  ฮวางจือฟาง

ไป๋เยว่ซิ่น (สนพ.เฟยฮุ่ย)

บทที่ 46 ตอน ช่างกล้า

บทที่ 20

ตอน เจ้าเป็นใคร


“องค์ชาย เชิญ” หมอชาวบ้านผายมือเชื้อเชิญให้ผู้มาใหม่นั่งขอบเตียงข้างๆท่านแม่ทัพ สีหน้าอาเซิงยิ้มเย็นยินดีจนมิมีผู้ใดละสายตาดั่งมนต์สะกดนี้ ที่ค่อยบังคับการกระทำให้อีกฝ่ายทำตามคำสั่ง


หานตงนั่งลงตามคำบอกกล่าว ก่อนที่หมอชาวบ้านจะละสายจากเขานำพาสติกลับคืน เยว่ซิ่นมองสองบุรุษอย่างถี่ถ้วนเงียบเชียบประหนึ่งเป็นธาตุอากาศ


หานตงรู้สึกประหลาดใจตนเองยิ่งนัก ที่ตนคิดนั่งลงข้างเยว่ซิ่นโดยไม่เกรงกลัวนางสักนิด


บรรยากาศอันเงียบสงบถูกทำลายลงในบัดดล หานตงหันสบตางามของนางในดวงใจพร้อมเอ่ยถึงเรื่องที่ตนอยากพูดกับหญิงสาวมานานปี


“เยว่ซิ่น” เขาเหงื่อตกใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เยว่ซิ่นสบตาเพียงครู่ก็รู้เลยว่าเขาคิดจะเอ่ยสิ่งใด


“หานตง” หญิงสาวพยายามแสดงอารมณ์ผ่านดวงตาให้หานตงได้เข้าใจว่ามิควรพูดเรื่องนั้นตอนนี้ เพราะสัญชาตญาณของนางบ่งบอกว่าหมอชาวบ้านตรงหน้ามิใช่หมอหรือภูตธรรมดาเป็นแน่


ทว่าไหวพริบอันมีค่าขององค์ชายผู้นี้มีมากล้นเสียที่ไหนกัน หนำซ้ำยังเอ่ยทักนางอย่างเข้าข้างตัวเองอีก


“เยว่ซิ่นเจ้า….ทำให้ข้า…” หานตงร่างกายอ่อนยวบเหมือนน้ำถูกเคี่ยวจนกลายเป็นน้ำเชื่อมหวานช่ำ “เจ้ากระพริบตาเสียหยาดเยิ้ม...จนทำให้หัวใจข้าอ่อนระทวยยิ่งนัก”


“หา!?” เยว่ซิ่นอ้าปากค้างไปชั่วครู่พลางคิดถึงการกระทำของตน


ข้ากระพริบตาเตือนคำพูดที่อยู่ในหัวของเจ้าต่างหากเล่า!!! มิได้สื่อดวงตาหวานหยาดเยิ้มอะไรทั้งนั้น!!! ข้าอยากจะเอาจิ้นหลิงบาดคอองค์ชายผู้นี้ให้รู้แล้วรู้รอดเสียจริง!!


“เจ้าไม่ต้องหาหรอก ข้าอยู่นี้แล้ว” หานตงค่อยๆย่างกายโน้มเข้าหานางในดวงใจ จนลืมไปว่ามีคนผู้หนึ่งกำลังยืนมองตาเขียวปั้ดปานคมกระบี่สะท้านฟ้าขององค์มหาเทพเบื้องบน


อาเซิงเอื้อมฝ่ามือจับหัวหานตงบังคับให้หันมองมายังตนอย่างรวดเร็วพลางเอ่ยถามเนิบช้า


“ไม่ทราบว่าจะให้ข้ารักษา….” หมอหนุ่มยังมิทันลั่นวาจาจบประโยคพลันโดนตัดบทไปเสียได้


“ถ้าเจ้าถามข้าว่าเจ็บหนแห่งใด...แต่ถ้าข้าตอบว่าเจ็บตรงฝ่าเท้าทว่ามันหาใช่ความจริงไม่ ให้ข้าเดาเจ้าคงรักษาตรงฝ่าเท้าให้ข้าสินะ” หานตงยิ้มแสยะเหยียด “หมอชาวบ้านก็ยังเป็นหมอชาวบ้านอยู่วันยังค่ำ”


หึ! เล่นคำประหนึ่งว่าตนเป็นบัณฑิต แต่กลับคนเพียงภายนอก...สงสัยชอบใช่กำลังเป็นหลัก ถ้างั้นข้าคงต้องเคาะสมองเจ้าหน่อยแล้วกระมัง


เยว่ซิ่นแลมองชายทั้งคู่สร้างสงครามประสาทกันไปมา คนหนึ่งนั่งคอยลั่นวาจาดูถูกปากมาก อีกคนกลับยืนฟังไร้คำตอบโต้


ดีกัดกันให้ตายกันไปข้างเลย...สองบุรุษรูปงามสร้างสงครามในกระโจมข้า….เฮ้อ...โอบรอบคอทั้งคู่มาปลอบประโลมใจดีไหม…


“ข้าว่า…” แม่ทัพจับกระบี่สู้ศึกอย่างนางดันต้องมาเอ่ยเสียงหวานหยุดสงครามประสาทเสียได้ ทว่าคำพูดยังมิทันได้หลุดจากปากกลับอ้าปากค้างอึ้ง ตาแทบถลนมองหานตงจนตนเองจิตหลุด


“เยว่ซิ่นเจ้าแต่งให้ข้านะ”


ข้าว่าเขากินยาผิดเป็นแน่…


ปัป!!!


เสียงฝ่ามือแกร่งกระทบกระบาลเต็มแรง หานตรงแทบหงายหลัง


“เจ้าตบข้าทำไม!!!” น้ำเสียงกระโชกโฮกฮากดังสนั่น


สายตาอันเย็นยะเยือกดั่งน้ำแข็งจับจ้องคนตรงหน้าพร้อมเอ่ยหน้านิ่งไม่สบอารมณ์ “เจ้าศีรษะโนปูด ข้าเลยตบให้มันเข้าที่”


หา!?ตบให้เข้าที่ ทำเช่นนั้นก็ได้รึ...ข้าเลื่อมใสยิ่งนัก…


เยว่ซิ่นพยักหน้าเห็นด้วย เพราะการทำเช่นนี้เป็นการดักคอตบกระบาลเรียกศัตรูชัดๆ


“เจ้ามัน…!” องค์ชายพุ่งตัวเข้าหาหมอชาวบ้านตรงหน้าโดยไม่สนใจผู้ใดทั้งสิ้น ฝ่ามือกุมเป็นหมัดอัดปราณทิพย์ไว้แน่พร้อมจู่โจมต่อยตีเต็มที่


เยว่ซิ่นจับตามองชายหนุ่มตรงหน้าคิดจะสกัดพลังห้ามปรามเขา ทว่าอาเซิงหมอหนุ่มผู้นั้นกลับปัดหมัดหนักขององค์ชายเผ่าจิ้งจอกเฉกเช่นปัดฝุ่น ก่อนเอื้อมสันฝ่ามือสับต้นคอหานตงสลบในหนเดียว


องค์ชายตรงหน้าล้มสลบลงต่อหน้าต่อตาเยว่ซิ่นฉับพลัน เมื่อครู่ถ้ามองมิผิดเยว่ซิ่นเห็นปราณทิพย์สีเงินสะเก็ดดำเต็มตา เพราะปราณทิพย์เช่นนี้มิเคยเห็นผู้ใดมีมานานแล้วนับแสนกว่าปีได้ อาเตี่ยเคยบอกว่าปราณทิพย์เช่นนี้มีเพียงเทพเซียนชั้นสูงเท่านั้นที่กล้าฝึกสองสายเซียนมาร ถึงจะมีปราณเช่นนั้นได้ พลังของคนผู้นั้นต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้ใด และยังมีอีกว่าผู้ที่ฝึกเทพเซียนให้เรียนสองสายได้นั้นก็คือ ปรมาจารย์อิ่งฉิน


...ข้าอีกแล้วรึ...ข้าจำได้จากในฝันว่า ข้าฝึกศิษย์ไม่ถึงสิบคนเองนะ...แล้วข้าฝึกศิษย์คนไหนให้เป็นเช่นนี้ไปได้….เขาเก่งกว่าข้าอีกกระมัง…ไม่ได้ ไม่ได้ ข้าต้องเก่งกว่าเป็นแน่ไม่อย่างนั้นจะสอนศิษย์ได้อย่างไร


“เจ้าเป็นใคร” เยว่ซิ่นถามเสียงเย็น เพราะอย่างน้อยนางก็รู้ว่าเขาน่าจะเป็นศิษย์ตน


...แต่เขาผู้นี้อาจจะลืมไปแล้วก็ได้ว่าข้าเป็นซือฝุ..ใช่ๆเขาน่าจะลืม...หรือข้าจะบอกเขาดี...หรืออย่า…ข้าว่าอย่าเลยดีกว่าถ้าเขารังเกียจข้าในยามนั้น คงจัดการข้าเดี๋ยวนี้เป็นแน่….


เยว่ซิ่นบ่นกับตนเองเสียสับสนเพลิดเพลิน ชายหนุ่มหน้ากากเงินคว้านางไม่รีรอให้นางซักไซ้ สองร่างออกจากกระโจมกลายเป็นควันสองสายล่องลอย ปล่อยให้องค์ชายจิ้งจอกนอนสลบไสลอยู่กับพื้น



หอบอัสดงลาลับท้องนภาแดงส้มยามเย็นแปรเปลี่ยนมืดสนิทไร้จันทรา หมอกควันสองสายล่องลอยต่ำเผยร่างหนึ่งบุรุษโอบสตรีแนบชิด ก่อนปล่อยร่างบางให้ยืนมั่นคง สายลมเย็นโบกพัดผ่านใบหน้างามจนเหน็บชา


เย็นเป็นบ้า! น่าจะบอกกันสักคำว่าพาออกมานอกค่าย ข้าจะได้คว้าเสื้อผาวมาทัน


ถึงแม้จะคอยบ่นในใจ ทว่าดวงตากลมโตเพ่งมองใบหน้าใต้หน้ากากนั้นแน่นิ่ง จวบจนเจ้าของใบหน้าต้องแลมองเช่นกัน


“เจ้าเป็นใคร?” หญิงสาวเอ่ยถามอีกหน


คำพูดวาจาฟังดูแน่วแน่มิได้ประสงค์ร้าย ผู้ใดเห็นเยว่ซิ่นครั้งแรกมักจะคบคิดกันว่านางประสงค์ร้ายเสมอมา แต่มิใช่กับชายหนุ่มใต้หน้ากากผู้นี้ อย่างน้อยเขาก็ดูออกเสียแปดเก้าส่วน เพราะนางมีตี๋จึอยู่ข้างหลัง โดยที่มีมือขวาไพล่หลังจับไว้มั่น ถึงแม้นางจะพร้อมกระตุ้นปรากฏกระบี่เล่มงามได้ทุกเมื่อ อย่างไรเขาก็เห็นว่าเรื่องเช่นนี้ นางมิได้ประสงค์ร้ายอะไรต่อตน


“ข้าว่าเจ้าผ่อนคลายแล้วเก็บตี๋จึเสีย” อาเซิงกล่าวตามทันความคิดของคนตรงหน้าฉับพลัน ก่อนหันกายชื่นชมต้นไผ่มากมายรอบกาย


เยว่ซิ่นเหงื่อตกนำพาความคิดตื้นเขินในหัวเก็บพับไว้บัดดล เพียงคำกล่าวไม่กี่คำ เมื่อเขารู้ว่านางถือตี๋จึไพ่หลังแสดงว่าเขาก็สามารถปลดอาวุธนางได้เช่นกัน


เอาก็เอา...ดีกว่ามีปัญหา...ข้าไม่ชอบมีปัญหาและข้าเชื่อว่าตัวข้ากาลก่อนก็ไม่ชอบเช่นกัน...หรือเปล่าน่ะ…


ตี๋จึเก็บเข้าที่ ร่างอรชรยืนตรงสง่าเอ่ยทักบุรุษตรงหน้าอย่างใคร่รู้ “เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามข้า”


เจ้าคือใคร...นางถามกับข้าเช่นนี้มาสองหน...แต่ถ้าข้าไม่ตอบนางในรอบนี้ รอบที่สามคงได้เลือดตกยางออกกันไปข้างเป็นแน่


“อาเซิง” ชายหนุ่มตอบตามจริง


“ข้าไม่เชื่อ...หมอชาวบ้านที่ไหนจะรักษาคนเจ็บสาหัสเป็นร้อยๆคนภายในสามวัน” เยว่ซิ่นเพ่งมองอาเซิงไม่วางตาพลางเอ่ยคำหนักแน่นยิ่งขึ้น “...หนำซ้ำเรื่องหินปลิวตามลมนั้นอีก มีผู้ใดจะกล้ากลั่นแกล้งองค์ชายจิ้งจอกอย่างหานตงกัน...นอกจากข้า เว้นเสียแต่ว่าเจ้าจะเป็นพวกเทพมากบารมีเบื้องบน”


“แล้วเจ้าคิดว่าข้าคือเทพองค์ใดเล่า” อาเซิงย้อนถามอย่างนึกสนุก ถึงแม้สีหน้าเขานิ่งเย็นชายากจะอ่านออกก็เถิด


“ข้าจะรู้รึ...ก็คงสักคนแถวๆนั้นแหละ” วาจาปัดส่งๆช่างไร้อารมณ์ยิ่ง


หางตาคมเฉี่ยวแลเห็นเงาตะคุ่มหลังต้นไม้ใหญ่ฉับไว กระบี่ในฝักดำทมิฬปรากฎอยู่ข้างกายอาเซิง ซึ่งเมื่อครู่เยว่ซิ่นเกือบจะมองไม่ทันว่าบุรุษผู้นี้สะบัดชายแขนเสื้อรวดเร็วปานฟ้าผ่า ผู้ใดจะทำได้ไวเช่นนั้นขนาดเทพเซียนยังมิรวบรัดทันใจเช่นนนี้เลยด้วยซ้ำ


เจ้าเป็นศิษย์คนไหนของข้ากัน ช่างเก่งล้ำลึกเกินซือฝุไปแล้วกระมัง…


เยว่ซิ่นเพ่งมองพึงใจยลโฉมบุรุษเสียเพลิดเพลิน วงหน้าหล่อเหล่าเพียงนี้ ถึงแม้จะมีหน้ากากเงินปิดบังไปเสียครึ่ง แต่ดูอย่างไรก็ช่างมีเสน่ห์น่าเอ็นดูยิ่ง โดยเฉพาะสายตาคมงามที่จับจ้องไปยังต้นไม้นั้น….จับจ้องไปยังต้นไม้...เขามองไปทำไม


หญิงสาวหันควับทันควัน ณ หลังต้นไม้เงาทึบ ตี๋จึถูกสะบัดแปรเปลี่ยนเป็นกระบี่สังหารในบัดดลไอมารแผ่กระจายตามคมกระบี่จิ้นหลิงในมือนาง


ร่างบางย่างก้าวเข้าไปหาตามสัญชาตญาณ ทว่ากระบี่สีนิลถูกยื่นกันไม่ให้นางเข้าใกล้


“อะไรของเจ้า” คิ้วได้รูปขมวดหงุดงงพันกันยุ่ง “ข้าจะเข้าไปดูว่ามีอะไรหลังต้นไม้หรือไม่...ทำไมเป็นห่วงข้ารึ” หญิงสาวยกคิ้วงามเป็นเชิงถามหยอกเล่น


“ใช่” ชายหนุ่มลั่นวาจาตอบฉับไว


คำพูดเช่นนั้นพุ่งเข้าริมโสตนางจนลืมหายใจเสียฉับพลัน เยว่ซิ่นแลมองชายหนุ่มอย่างพิศวง


“พิลึกพิลั่นจริง” คำกล่าวเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาของอาเซิง แต่สีหน้าเยว่ซิ่นกลับหวาดผวายิ่งกว่าเห็นภูตผีปีศาจโดยแท้


ชาติก่อนเท่าที่ข้าจดจำได้ ตัวข้ามิได้มีเนื้อหอมชวนชิมเช่นนี้...แล้วเหตุใดมีบุรุษถึงสองคนมาพัวพันกับข้าได้เล่า...ข้าขอไม่นับหานตงคนหนึ่งละกัน


….แต่ถ้ามองอีกแง่ก็ดีเช่นกันที่มีบุรุษในฝันมาหาข้าถึงที่ทั้งสองคน ข้าจะได้มีตัวเลือก พอเลือกเสร็จสรรพก็ทูลของานแต่งกับองค์ประมุขมหาเทพเสียก็จบ...ไหนๆสองหนุ่มรูปงามก็เป็นเทพเซียนอยู่แล้ว คุยกันง่ายหน่อย


กร๊อบ!!


เสียงกิ่งไม้แห้งหักดังทำลายความสงบขึ้นฉับพลัน แต่ไหนแต่ไรมาเยว่ซิ่นมักจะมือไวเท้าไวเสมอ คราวนี้ก็เช่นกัน กระบี่จิ้นหลิงพุ่งจ่อลำคอเจ้าของเงาไม่ปราณี


“ซิ่นเอ๋อร์!”


คมกระบี่หยุดทันท่วงที ร้อยวันพันปีมิเคยมีผู้ใดอาจหาญเรียกนางสนิทสนมเช่นนี้ เสียแต่ว่าคนผู้นั้นจะเคยรู้จักนางในกาลก่อน


ผู้ใดอีกเล่าทีนี้


“ซิ่นเอ๋อร์”


เสียงช่างคุ้นหูนัก


“เจ้าคือใคร” สีหน้าพลันฉงนสงสัย ฝ่ามือลดระดับปลายกระบี่ดิ่งลงพื้น


เงาพิศวงค่อยๆย่างก้าวออกมาจากพุ่มไม้อย่างเชื่องช้า แววตานั้นจับจ้องดูจังหวะของสองหนุ่มสาวว่าจะกระตุ้นคมกระบี่เมื่อใด


แสงจันทร์สอดส่องผ่านใบไม้มากมาย แลให้เห็นเจ้าของเงาอย่างเลี่ยงมิได้ ใบหน้าที่กาลก่อนช่างหล่อเหล่าจนติดตาสตรีน้อยใหญ่มิมีผู้ใดลืมลง ทว่าบัดนี้ใบหน้านั้นกลับเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นแดงฉานและรูปร่างจากที่เคยกำยำดุดัน ยามนี้กลับแห้งเหือดเต็มไปด้วยรอยถูกทำร้าย


เยว่ซิ่นพลันอึ้งมองรูปร่างของบุรุษผู้นั้นแทบจะไม่เชื่อสายตาตน ว่าปรมาจารย์หนึ่งในห้าจะตกอับถึงเพียงนี้


“โม่เยี่ยหลิ่ง” หญิงสาวเอ่ยเรียกเสียเต็มปากเต็มคำ ถึงแม้คนผู้นี้จะเคยเป็นศิษย์พี่สามคนของตน ทว่ากาลก่อนที่นางจำได้ขึ้นใจ ศิษย์พี่ยังจับกระบี่ซัดปราณมารกับนางอยู่เลย


“ซิ่นเอ๋อร์…” แววตาทั้งสองอื้อคลอไปด้วยน้ำตา


ปรมาจารย์โม่ร้องไห้ต่อหน้าข้าเนี่ยนะ ปู่มันเถิด...กาลก่อนตัวข้าไปทำอะไรแสนสาหัสมาอีกล่ะนี่


“เจ้ากลับมาแล้ว...เราทั้งสามปรมาจาย์เฝ้ารอเจ้ามานานนับหมื่นๆปี…ถึงแม้ร่างกายแทบจะรอไม่ไหวก็เถิด” ชายหนุ่มค่อยๆย่างก้าวเข้าใกล้ศิษย์น้องมากขึ้น ทว่ากลับโดนกระบี่ทมิฬในฝักดันแผงอกในถอยห่าง


“ข้าขออภัยท่าน…”


“อืม” เจ้าของกระบี่ตอบทันควันก่อนโม่เยี่ยหลิ่งจะพูดจบเสียอีก


เยว่ซิ่นยิ้มมุมปากอย่างอดไม่ได้ หึงหรืออย่างไร…


หญิงสาวจับจ้องศิษย์พี่ตรงหน้าอีกหนเพื่อไม่ให้ความคิดเหม่อลอยอีก “ข้าขอถามท่านหนึ่งอย่างเถิด เหตุใดศิษย์พี่ผู้มากวิชาอย่างท่านกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้เล่า?” หญิงสาวกอดอกรอฟัง


“หลังจากเจ้าตายจาก ทุกพิภพทุกดินแดนกลับมาสุขสงบ ทว่ามิใช่กับแดนมารและปีศาจหรอก เพราะองค์เหนือหัวในแดนปีศาจนั้น ได้ทำการล่าตำราทั้งห้าอย่างเต็มกำลัง เพื่อหวังจะโค่นสวรรค์เบื้องบน....และคนที่เจ้าปกป้องจนตัวตายในกาลก่อน ถึงแม้เขาจะมีคำสาบานต่อเทพเบื้องบนก็เถิด...แต่คิดหรือว่าเขาจะกลัว” ณ ประโยคก่อนหน้า แววตาดวงนั้นของเยี่ยหลิ่งจับจ้องอาเซิงไม่วางตา


สงสัยข้าคงทำเรื่องไว้จริงๆ...ปกป้องคนจนตัวตายรึ...ข้าเนี่ยนะปกป้องคน!...เหตุใดกัน


“คนที่ข้าปกป้องเป็นผู้ใดรึ ข้าอยากเห็นหน้ายิ่งนัก” เยว่ซิ่นเอ่ยถามอย่างใคร่รู้


สายตาเย็นยะเยือกมองชายหนุ่มผอมแห้งอย่างกดดันบ่งบอกให้รู้ว่า อย่าคิดเอ่ยตอบ


“ข้าไม่รู้ ข้าหาใช่ผู้ปกป้องเขา” เยี่ยหลิ่งตอบ


“...ก็จริงของท่าน” หญิงสาวพยักหน้าเข้าใจ “เชิญเล่าต่อเถิด”


“หลังนั้นไม่นานพวกมันก็ตามล่าจนยึดไปได้สามเล่มส่วนปรมาจารย์ที่ครอบครองตำรานั้นถูกทำร้ายสาหัส ดวงจิตถูกถูกแยกออกจากร่าง กลับเป็นปรมาจารย์ไร้น้ำยากันถ้วนหน้าเฉกเช่นข้า”


“แล้วอีกสองเล่มเล่า”


“ล่ำลือกันว่า...เจ้าเป็นคนเก็บ…”


ปลายนิ้วหันชี้เข้าใบหน้างามของตน เยว่ซิ่นจำไม่ได้สักนิดว่าตนในกาลก่อนเป็นผู้เก็บ


“ข้ารึ?”


“อืม” เยี่ยหลิ่งพยักหน้า


เอาเถิดคิดไปข้าก็นึกไม่ออกอยู่ดีว่าตนเอาไปไว้ไหน แต่ที่น่าสน...คือใครเป็นคนสั่งการต่างหากเล่า….หรือว่าจะเป็นหมิงหลานชาติชั่วตายยากผู้นั้น


“ผู้สั่งการเป็นใคร” แววตาใคร่รู้สงสัยยิ่ง ทว่าในใจกลับตื่นเต้นยิ่งกว่าใคร “หมิงหลานรึ?”


บุรุษในหน้ากากหันมองนางในบัดดล สายตาอารมณ์ที่อยู่ใต้หน้ากากนั้นมีแต่ความเจ็บปวดและรู้สึกผิด เรื่องครานั้นช่างโหดร้ายยิ่งนัก...ดีแล้วที่เจ้าลืมเลือนเรื่องพวกนั้น


“หมิงหลานตายไปนานแล้ว”


“หา?! ได้อย่างไร” เยว่ซิ่นอึ้งตะลึงงัน ตัวนางกาลก่อนเฝ้าฝันมานานว่าจะเป็นผู้ส่งคนผู้นั้นไปลงนรกด้วยตัวเอง แต่อย่างไรถึงตายจากกันไวปานนั้นเล่า “แล้วใครคือผู้สั่งการ” นางถามซ้ำใหม่อีกหนอย่างเบื่อหน่าย


เสียดาย ข้าน่าจะเป็นคนสังหารเจ้านะ...หมิงหลาน


“หลวนชุน” เยี่ยหลิ่งคอตกหมดคำพูด


“เขาคือใคร”


“ศิษย์ของข้า” น้ำตาของอาจารย์ยามนึกถึงศิษย์ที่เคยเลี้ยงดู น้ำตาคลอเบ้าร่วงหล่นตกลงพื้น “ข้าฝึกให้เขาจนเป็นใครก็ไม่รู้ ข้า….ทำอะไรไม่ถูกแล้ว”


“เจ้าห้ามเขามิได้รึ” อาเซิงผู้เงียบสงบเอ่ยถามขึ้นอย่างรู้งานเหมือนกับว่าพวกเขาเคยรู้เห็นมาด้วยกัน


“ถามข้าเช่นนี้ ท่านเห็นสภาพข้าหรือไม่”


“เห็น” เอ่ยตอบนิ่งเป็นทุนเดิมเช่นเคย


เยว่ซิ่นหันมองบุรุษข้างกายอย่างเลี่ยงไม่ได้ก่อนเหลียวตามองสงสัยในบทสนทนาของพวกเขายิ่งนัก


“ศิษย์พี่สามข้าว่าท่านควรหนีเอาตัวรอดดีกว่าอย่าพึ่งเจอะเจอศิษย์ผู้นั้นจนกว่า...ข้าจะจัดการเรื่องบางอย่างเสร็จสรรพ แล้วข้าจะไปหาท่าน” หญิงสาวยังคงจับจ้องชายหนุ่มที่สวมหน้ากากตรงหน้าตน แต่คำพูดกำลังสื่อกับอีกคน


“ได้” เสียงเอ่ยตอบดังขึ้นเพียงชั่วครู่ ก่อนจะสลายหายลับเหมือนตอนมา


“เจ้าเป็นใครกันแน่...ดูเหมือนว่าเจ้าจะรู้จักข้าดีทีเดียว” เยว่ซิ่นถือกระบี่เล่มงามแน่นขึ้น “จะตอบหรือไม่”


เยว่ซิ่นแปลกใจจนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรแล้ว เพราะเหมือนกับว่าตอนนี้ตนกำลังถูกบีบบังคับให้คิดเยอะโดยแท้


“เป็นศิษย์ของเจ้าและเป็นมากกว่านั้นอีก” อาเซิงตอบเต็มปากเต็มคำ โดยเฉพาะคำที่ว่า ‘เป็นมากกว่านั้น’ นำพาให้หัวใจในอกเต้นแรงยิ่งนัก


“เลิกตอบกวนประสาทข้าสักที!” นางตวาด “ที่บอกว่ามากกว่านั้นมันอะไร!”


ไอ่หนุ่มนี่! ข้าต้องการรู้ว่าเจ้าเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้หรือไม่ก็เท่านั้น!


รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว