ไป๋เยว่ซิ่น (สนพ.เฟยฮุ่ย)-ไป๋เยว่ซิ่นขอประกาศว่า.....

โดย  ฮวางจือฟาง

ไป๋เยว่ซิ่น (สนพ.เฟยฮุ่ย)

ไป๋เยว่ซิ่นขอประกาศว่า.....

บทที่ 55

ตอน เจรจา


หนก่อนที่นางยืนขอบสวรรค์น้ำตาซึมนั้น ความผิดพลาดล้วนเป็นของนาง...ทุกอย่างที่ทำลงไปสวรรค์ชั้นฟ้าคงล่าตัวนางเป็นจริงเป็นจังแล้วกระมัง หรือจะเข้าใจกันว่านางตาย...อีกแล้ว....


ถ้าการกระโดดลงสวรรค์ครั้งนี้เป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเยว่ซิ่น นางก็ยินดีที่จะกระโดด ยินดีที่จะให้ตนเองนอนตายตาหลับ จิตวิญญาณล่องลอยไปยังแม่น้ำลืมเลือน เดินข้ามสะพานไนเหอลาจากชาตินี้อย่างสมบูรณ์ ไม่พบเจอผู้คนรู้จักหรือผู้ที่คิดแค้นตนไปตราบนานเท่านาน


ไฉนความคิดของข้าถึงกลับตาลปัดอีกได้เล่า! ร่างนี้ที่คิดจะตายจากก็ร่วงตกสวรรค์อย่างที่คิด… แต่ดันไม่ตายหนำซ้ำยังตกลงมากลางที่ประชุมปีศาจอย่างนี้อีก!!!


เรือนร่างอาบชโลมไปด้วยโลหิต นอนแน่นิ่งแกล้งตาย เยว่ซิ่นได้ยินหมดทุกอย่างที่เคลื่อนไหวอยู่รอบข้าง นางลอบกัดฟันกระดิกนิ้วเบาๆเพื่อให้รู้ว่าตนยังมีความรู้สึกและไม่ได้พิการ


เหตุใดข้ายังไม่ตาย หนำซ้ำยังไม่พิการอีก…ต้องเป็นเพราะมังกรเงินจอมเสือกตนนั้นแน่!...รู้อย่างนี้ข้าฝืนใช้ร่างภูตล่อมังกรนั่นเสียดีกว่า….ทำอย่างนี้ข้าก็อดตายไปอยู่ด้วยกันกับศิษย์พี่เสิ่นน่ะสิ!!! แต่สิ่งที่ร้ายแรงกว่าข้าดันอดไปใช้เงินในปรโลก!!!...ข้าอยากร้องไห้เหลือเกิน!


เสียงกระบี่นับสิบจ่อลำคอของนางอย่างไม่ปรานี เหล่าแม่ทัพและพลทหารเผ่าปีศาจรู้ดีว่า นางที่ตกลงมาจากสวรรค์นั้นคือผู้ใด และจะเป็นการดีไม่น้อยที่จับนางขังไว้


เยว่ซิ่นลืมตาเหม่อมองเพดานงามของสำนักปีศาจ หยาดน้ำตาไหลเป็นทาง ภาพในหัวย้อนนึกถึงผู้คนที่ตนสูญเสีย แต่ถึงอย่างไรก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงการกระทำของตนที่ผ่านมา ท่าทีอันสงบนิ่งนี้ทำเอาผู้เห็นเหตุการณ์เดาแทบไม่ถูกว่านางคิดจะทำอันใดต่อ


นิ้วมือเรียวลองกรีดกรายร่ายปราณมารใต้ชายแขนเสื้อ ทว่ากลับไร้ผล...เยว่ซิ่นหลับตาแน่พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ เสียงร้องสะอื้นไห้ของนางเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ…..สิ้นฤทธิ์ไร้ปราณมารเวรกรรมข้าแท้!!!


คนในดวงใจของข้าก็ตายจาก….สหายสนิทดันลาลับเช่นกัน นางใช้หลังมือปาดเช็ดแก้มอย่างลวกๆ เหล่าแม่ทัพปีศาจขยับกายถอยอย่างลืมตัว ผู้คนที่อยู่ในที่ประชุมนี้ต่างก็ได้ยินชื่อเสียงลือนามของเยว่ซิ่นมามากพอควร แต่สิ่งที่เห็นอยู่นั้นกลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่เคยได้ยินมา… ข้าจะทำอย่างไรดีล่ะทีนี้…ขืนแข็งข้อฝืนสู้ไปอย่างไรข้าก็โดนรุมอยู่ดี หรือถ้ายอมให้จับคงโดนทรมานก่อนตายเป็นแน่...ไม่มีให้เลือกที่ว่าขอปุ๊ปตายปั๊ปอย่างรวดเร็วทันใจรึ?...ตัวนั้นข้ากลัวเจ็บเป็นที่สุด….


“ส่งม้าเร็วไปรายงาน เจ้าสำนักหลวนชุนราชาแห่งแดนปีศาจว่า เราจับกุมปรมาจารย์อิ่งฉินได้แล้ว!” คำส่งนี้ฟังแล้วน่ากังวลใจยิ่งนัก ถ้าเกิดว่าหลวนชุนรู้ข่าวชาตินี้นางได้ถูกทรมานและตายอย่างเชื่องช้าเป็นแน่ แต่ถ้าออกไปจากตรงนี้ได้อย่างไรครานี้สวรรค์คงได้ตามล่านางไม่หยุดเช่นกัน


…..ทว่าอย่างน้อยสวรรค์คงฟันคอข้าขาดได้เร็วกว่าเผ่าปีศาจกระมั้ง….โอกาสรอดจากคมกระบี่คมดาบพวกนี้ช่างมีน้อยนิดจริงแท้


“ข้าขอเจรจา!” ร่างอรชรยันกายขึ้นนั่งซวนเซไปมาเหมือนคนร่ำสุรามาทั้งคืน ทำเอาฝีเท้าพลทหารม้าชะงักทันใดพร้อมเพ่งมองไปยังแม่ทัพใหญ่ของตน “ข้าถือว่าการเจรจาครั้งนี้เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยไม่ให้เมืองปีศาจแตกพ่ายอยู่ใต้ฝ่าเท้าของข้าเลยนะ ไม่คิดจะฟังหน่อยรึ?” เยว่ซิ่นเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม สองฝ่ามือนางดันคมดาบที่จ่อคอตนให้ลดลงอย่างเบามือ


….ฟังข้าหน่อยเถิด….ข้าไม่มีพลังอะไรแล้ว...


“ว่ามา” บุรุษองอาจสั่นวาจาสั่งพลางเพ่งมองเยว่ซิ่นมิวางตา “...ว่าเหตุใด พวกข้ารอฟังเจ้าอยู่”


เข้าทางข้าล่ะ….


สาวงามอาบเลือดนั่งชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งพลางมองไปทั่วห้อง จับจังหวะแลเห็นแม่ทัพบางคนยืนกระซิบกระซาบ ใบหูสองข้างของนางมีประสาทรับรู้ที่ดียิ่งเพียงแต่จะด้อยกว่าดวงตาทั้งสองข้างไปหน่อยเดียวเท่านั้น


“ข้าว่าท่านแม่ทัพใหญ่ไม่น่าเปิดโอกาสให้นางเจรจาเลย”


เพียงประโยคเดียวทำเอาเยว่ซิ่นถึงกับขนลุกขนชัน ถ้าเกิดว่าคนผู้นั้นดันหว่านล้อมแม่ทัพที่อยู่รอบข้างได้ล่ะก็….ข้าลำบากแน่


“ข้าพึ่งไปบุกสวรรค์มา!” นางลั่นวาจาเข้าเรื่องไม่รอเกริ่นเลยสักนิด


พลทหารแม่ทัพมากมายรีบหันขวับจ้องนางในทันใด มุมปากที่ยกยิ้มโปรยเสน่ห์นี้ ทำให้รู้ว่านางสุขใจเพียงใดที่ได้ล่วงเกินสวรรค์เบื้องบน ทว่าความจริงแล้วนั้น หน้ากากเช่นนี้ช่างฝืนใจนางยิ่งนัก


สายตาที่มองมานั้นพลันสำรวจเรือนร่างตรงหน้าไม่วางตา เลือดอาบกายร่างบางยังคงเอนตัวขึ้นนั่งพูดคุยกับพวกตนได้….ช่างหนังเหนียวเกินไปแล้ว


“ท่านแม่ทัพ! กองทัพใหญ่แตกพ่าย องค์หมิงหลานสิ้นชีพ ท่านหลวนชุนบาดเจ็บสาหัสจนไร้แขนซ้ายขอรับ...” พลทหารผู้นี้รายงานถูกใจนางยิ่งนัก เยว่ซิ่นยกยิ้มพลางมองไปที่พลทหารผู้นั้น ทำเอาเจ้าตัวผงะถอยหลังไปเสียหลายก้าว


“ข้าทำผลงานไว้ดีหรือไม่?” เยว่ซิ่นเอ่ยถามพลทหารผู้นั้นอย่างเป็นมิตร “สนใจฟังรายละเอียดที่ข้าฟันแขนซ้ายของหลวนชุนขาดสะบั้นหรือไม่….หรืออยากฟังตอนข้าสังหารหมิงหลาน?”


ผู้คนในห้องต่างก้าวถอยหลังอย่างลืมตัวยามนางยันกายลุกขึ้นยืนความเจ็บปะทุอีกระลอก ทว่าเยว่ซิ่นยังคงกัดฟันข่มไว้


ท่านแม่ทัพใหญ่แดนปีศาจแทบอยากจะเอามือกุบขมับ “เจ้าบอกว่าอยากจะเจรจามิใช่รึ!”


...กลัวข้าล่ะสิ ถ้าเหล่าแม่ทัพพวกนี้รู้ว่าข้าสิ้นปราณมาร คงไล่กระทืบเป็นแน่ แต่ก็ยังดีที่วีรกรรมอันเลือดเย็นของข้าโด่งดังทำให้ผู้คนกลัวกันหัวหด


เยว่ซิ่นพยักหน้ายืนยันพร้อมกล่าวข้อเสนอ “ข้าอยากแต่งงาน”


“หา!?” ข้อเสนอนี้เป็นผลดีไม่น้อยต่อเยว่ซิ่น ถ้านางได้แต่งงานกับคนยศสูงในแดนปีศาจคงง่ายขึ้นถ้านางจะขโมยตำราหานหลิ่งคืน แต่คนที่จะลำบากก็คือสามีนางเอง เหล่าแม่ทัพพลทหารมากมายยืนอึ้งกับข้อเสนอนี้อย่างงุนงง มิรู้นางจะมาไม้ไหน


ท่านแม่ทัพใหญ่ขมวดคิ้วโดยพลัน “เรื่องนี้ต้องเรียนท่านหลวนชุน” เรื่องเช่นนี้เขามิอาจตัดสินเองได้


รายงานไปข้าก็งานเข้าน่ะสิ ยิ่งไร้ปราณมารอยู่ด้วย….


“ได้ อยากรายงานก็รายงานสิ” นางช่างปากไม่ตรงกับใจยิ่งนัก อย่ารายงานนะ...ข้าขอร้อง… “แต่กว่าเขาจะรู้เรื่องพวกเจ้าคงนอนอาบเลือดแล้วล่ะ” เยว่ซิ่นทำมือกรีดกรายก่อนจะคว้าตี๋จึสีขาวในแขนเสื้อออกมาหมุนเล่น ทุกคนต่างทำหน้าหวาดกลัวกับการกระทำตรงหน้า ปรมาจารย์อิ่งฉิงผู้นี้เชี่ยวชาญการใช้เครื่องดนตรีเป็นอาวุธสังหารผู้คนในคราเดียว...บนสวรรค์ก็ยังไม่เว้น เพียงเท่านี้พวกเขาก็ไม่อยากจะเข้าใกล้นางแล้ว


ทว่าตี๋จึในมือยามนี้กลับเป็นเครื่องดนตรีธรรมดาไปเสียแล้ว...เยว่ซิ่นปั้นหน้าเหี้ยม แต่ในใจนางก็หวาดหวั่นไม่น้อย


เหล่าแม่ทัพต่างหยุดส่งข่าวให้หลวนชุนพลางเอ่ยถามนางแทน “แล้วเจ้าจะแต่งกับผู้ใด?” ท่านแม่ทัพใหญ่แสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก


เยว่ซิ่นชันเข่าเท้าจ้องคนตรงหน้า “แต่งกับเจ้า”


ท่านแม่ทัพใหญ่นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เสียงกระซิบดังขึ้นอีกครา


“ท่านแม่ทัพจะยอมแต่งรึ?....ท่านเป็นคนรักเดียวใจเดียวด้วยสิ” รองแม่ทัพผู้หนึ่งเอ่ยกระซิบ


“ก็จริงอย่างที่เจ้าว่า ขนาดท่านหลวนชุนยกแม่นางในดวงใจของท่านให้ ท่านแม่ทัพยังปฏิเสธเลย” รองแม่ทัพอีกผู้หนึ่งเอ่ยตอบ


ช่างเป็นผู้ยึดมั่นในรักเดียวจริงแท้...หนำซ้ำใบหน้ายังหล่อเหลาใช้ได้อีกด้วย...เสียดายจริงๆ


“ข้าไม่แต่ง” เขาปฏิเสธนางอย่างไรเยื่อใยโดยแท้


“แต่ข้าจะแต่ง” นางย้อน ถ้าเจ้าไม่แต่งกับข้า...ข้าก็หมดหนทางแล้ว!! อย่างไรข้าก็ต้องแต่งกับเจ้าให้ได้...ยศฐาบรรดาศักดิ์สูงส่งเช่นนี้ให้ข้าชักใยอยู่เบื้องหลังเสียหน่อย รับรองแดนปีศาจเป็นของเจ้าแน่…


“ข้าสั่งให้แต่ง” ผู้มาใหม่เอ่ยเสียงดังฟังชัดยิ่ง ทำเอาคนทั้งห้องจำต้องหันไปมอง


สตรีงดงามผู้หนึ่งย่างกายเข้าที่ประชุมแม่ทัพอย่างองอาจ สีหน้านางแลดูจะเดือดพล่านได้ทุกเมื่อ


“แต่ว่า” ท่านแม่ทัพจะแย้งขึ้นอีกครา ทว่ากลับต้องเก็บคำลงคอ


“ภรรยาเจ้าอยู่ดีหรือไม่?” สตรีผู้มาใหม่เอ่ยทักแฝงคำขู่อย่างเห็นได้ชัด


เยว่ซิ่นเลิกคิ้วมองตามร่างอรชรนั้นไม่วางตา ข้าว่าต้องเป็นสตรีของหลวนชุนเป็นแน่...หรือเปล่า?...ลองเอาไม้ตีเหยื่อเสียหน่อยคงไม่เป็นกระไรมั้ง…


“ข้าปรมาจารย์อิ่งฉินไม่ชอบบังคับผู้ใด…” ผู้คนต่างพากันหันมองมาทางนาง เยว่ซิ่นยิ้มให้สตรีงามผู้นั้นอย่างทีเล่นทีจริง “...จะให้ข้าแต่งกับหลวนชุนก็ได้นะ...เขาน่าจะยินดี”


“อย่าหวัง!” นางผู้นั้นตะเบ็งเสียงดังลั่น…


ข้าคงง้างไม้ตีหลังนางหักดัง...กร๊อบ! เจ็บเจียนตายเลยสิท่า….รู้เลยว่านางเล็งหลวนชุน...ก็ดี...


“ท่านแม่ทัพใหญ่! เจ้าจงแต่งกับต้าเหนียง*ผู้นี้เสีย!” สตรีผู้นี้เอ่ยสั่งออกมาเสียดุดัน ทว่าตรงน้ำเสียงนั้นเยว่ซิ่นมิได้ติดขัดอันใดดอก แต่….คำว่าต้าเหนียงออกจะ….


เรียกข้าว่าต้าเหนียง!...ต้าเหนียงเลยรึ!...นางเด็กกระโปก น่าตบให้กระบาลแยกเสียจริง!...


“ข้านอบรับคำสั่ง!” น้ำเสียงของเขาช่างเต็มใจจริงแท้ เต็มใจเหมือนอยากจะฆ่าคนอย่างไรอย่างนั้น


“อ้อ!” ปรมาจารย์อิ่งฉินรีบยกมือขัดจังหวะ ทุกสายตาหันกลับมาจับจ้องที่นางดั่งเดิม “ข้าขอแต่งพรุ่งนี้นะ”


“เจ้า!” ท่านแม่ทัพใหญ่ผู้เลื่องชื่อกำหมัดแน่น


เยว่ซิ่นขยับริมฝีปากช้าๆ “ราบเป็นกองแน่ๆ” ริมฝีปากยกยิ้มได้เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก



เพียงไม่ถึงวันข่าวงานแต่งของท่านแม่ทัพใหญ่กับปรมาจารย์อิ่งฉินในวันพรุ่งกลับดั่งดังจากเหนือยันใต้ ในเพลาไม่กี่ชั่วยาม ข่าวอันน่าตื่นเต้นนี้ผู้คนคุยกันให้เซ็งแซ่ไปทั่ว ไม่เว้นแม้กระทั่งหอโคมเขียวกับหอชายบำเรอที่อยู่ตรงข้ามกัน


ท่านแม่ทัพใหญ่แห่งแดนปีศาจควบม้าสีดำคู่กายอันสง่างาม ทว่าสีหน้าเขากลับหม่นหมองไร้อารมณ์ยิ่ง ในหัวพลันขบคิดว่าจะบอกเรื่องนี้แก่คนรักที่รออยู่บ้านอย่างไรดี หนำซ้ำต้องจำใจเข้างานแต่งในวันพรุ่งนี้แล้วเขาจะหาทางออกได้อย่างไรเล่า!


“ได้โปรดพวกท่านช่วยข้าด้วยเถิด...ข้าไม่มีเงิน ไม่มีบ้าน ช่วยให้งานข้าทำเสียหน่อยเถิด!” เสียงร้องขอดังระงมข้างหอชายบำเรอ


คราแรกท่านแม่ทัพผู้นี้คิดจะเดินผ่านไปอย่างทุกครั้ง แต่ทว่าวันนี้กลับมีคนมายืนร้องโอดครวญเช่นนี้ช่างหาได้ยากยิ่ง เขาจึงหันมองพร้อมบังคับอาชาให้เดินเข้าไปหา


ใบหน้าของบุรุษผู้นี้แลดูเสียโฉมเละจนมองไม่ออกว่าใบหน้าเดิมเป็นเช่นไร ทว่าร่างกายเขากลับกำยำสูงสง่าดั่งชายชาตินักรบ


หน่วยก้านดีเช่นนี้เหตุไฉนถึงตกอับได้ปานนี้…..น่าสงสารยิ่งนัก


“เจ้าจะมาร้องระงมอะไรอยู่ข้างหอชายบำเรอพวกนี้...ไม่มีผู้ใดสนใจเจ้าดอก” ท่านแม่ทัพพยายามเอ่ยแนะ “ไม่ลองไปฝั่ง…”


คำพูดยังมิทันได้เอ่ยจบ เสียงอันทรงพลังกลับตัดบทเสียก่อน “แต่ท่านก็สนใจมิใช่รึ?”


…..ก็จริง…..


“ท่านแลดูใจลอยนะขอรับ” บุรุษตรงหน้าเอ่ยทักอย่างนอบน้อม ท่านแม่ทัพพยักหน้ายอมรับแต่โดยดีพร้อมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่


“วันพรุ่งข้าต้องเข้าพิธีแต่งงาน….ช่างบ้าบอสิ้นดี”


บุรุษผู้นั้นเลิกคิ้วอย่างงุนงง “แล้วท่านมิอยากแต่งรึ?”


“ข้ามีภรรยาในดวงใจอยู่แล้ว และข้ารักนางเพียงผู้เดียว แต่กลับโดนขู่...ถ้าข้าไม่แต่งสิ่งที่ข้ารักจะโดนพรากไป” เขาเอ่ยออกมาเหมือนกับระบายอารมณ์


“อ้อ” บุรุษตรงหน้าเปล่งเสียงออกมาส่งๆ “ว่าแต่ท่านมีงานให้ข้าหรือไม่ขอรับ?”


“เจ้ากล้าเข้าพิธีแต่งงานแทนข้าไหมเล่า?” ท่านแม่ทัพเอ่ยถามออกมาส่งๆเช่นกัน เพราะเรื่องเช่นนี้ไม่มีผู้ใดบ้าพอที่จะปลอมตัวเป็นเจ้าบ่าวดอก ถ้าโดนจับได้คงโทษตายสถานเดียว ยิ่งเจ้าสาวเป็นปรมาจารย์ผู้เหี้ยมโหดเสียด้วย ให้ตายก็ไม่มีผู้ใดกล้าแต่งแทนเป็นแน่


“กล้าขอรับ”


บุรุษบนหลังม้าหันขวับมองบุรุษตรงหน้าพลางถามว่า “นี้เจ้าคิดดีแล้วรึ?”


“ก็ข้าน้อยผู้นี้มิมีอันใดจะเสียแล้วขอรับ” ใบหน้าอันเสียโฉมก้มลงอย่างสิ้นหวัง


“ได้ๆ แต่ถ้าเจ้าถูกจับได้พวกเขาคงจะสังหารข้าเช่นเดียวกัน” ท่านแม่ทัพเกาหัวเหมือนจนปัญญายิ่ง “แต่ถ้าข้าปลอมตัวหนีไปเล่า?” เขาขบคิดเสียมากความ “ข้าก็จะกลายเป็นคนหนีทัพทันที”


“ท่านไม่ลองหนีไปแดนมารเล่า?” บุรุษตรงหน้าลองเสนอ “ไปหลบตรงหุบเขาต้องห้าม* พวกเขาไม่น่าจะตามหาท่านจอนะขอรับ”


“ก็จริงอย่างที่เจ้าว่า...ดีกว่าฝืนใจแต่งกับต้าเหนียงผู้นั้น” บุรุษบนหลังม้าเอ่ยปากเห็นด้วย


“ต้าเหนียง….” บุรุษผู้เสียโฉมมุ่ยหน้าทำให้มองดูน่าเกลียดยิ่งกว่าเดิม


“ความจริงแล้วเจ้าสาวของเจ้าไม่ได้แก่ดอก...นางงามยิ่งกว่าสตรีในใต้หล้า ทว่าห้องประชุมมีปากเสียงกันนิดหน่อย แล้วก็มีว่านางว่าต้าเหนียง…” ท่านแม่ทัพอธิบายขยายความ “ว่าแต่เจ้าเคยทำกระไรมาก่อนรึ? แล้วชื่อแซ่เล่า?”


“ข้า…” บุรุษตรงหน้าจ้องมองหอชายบำเรออย่างเหม่อลอย ก่อนเปล่งวาจาบอกอาชีพ “ข้า...เป็นชายบำเรอ” เพียงคำตอบเดียวก็ทำเอาท่านแม่ทัพเกือบตาถลน พลางหันไปมองหอชายบำเรอและหันกลับมามองบุรุษตรงหน้าอีกครา


ข้ามิแปลกใจละว่าเหตุใดเขาถึงมายืนอยู่ตรงนี้...คงคิดถึงวันวานกระมัง….


“ส่วนชื่อแซ่…” เขาเหม่ออีกครา “แซ่สือ...”


“อ่อๆ” ท่านแม่ทัพพยักหน้ารีบเข้าใจก่อนจะลาจาก “พรุ่งนี้ข้าจะมาหาเจ้าที่เดิม”


“ขอรับ” บุรุษผู้นี้ก้มหัวอย่างนอบน้อมพลางลอบยิ้มอยู่ในใจ



ณ แดนสวรรค์


หลังจากการตายตรงหน้าสามศพ จิวซินสตรีจากแดนมารแปรเปลี่ยนเป็นเทพชะตาผู้ถูกลงทัณฑ์ แต่ดูเหมือนว่าการลงทัณฑ์ของท่านครั้งนี้คงได้ยุติเสียแล้ว สิ้นลมสิ้นชีพสิ้นการลงทัณฑ์ ทว่าการตายองค์หญิงเฟยลี่จากแดนหยางเฉียงนั้น เป็นการสิ้นชีพที่ทุกคนมิได้คาดคิด ยามกระบี่ขาวแทงเข้าทรวงอกผู้คนพากันจิตตก ยิ่งผู้เป็นบิดาได้เห็นกับตาใจแทบสลาย โทสะเดือดพล่านปะทุคิดล่าคนผู้นั้น แต่จะทำอย่างไรเล่านางผู้นั้นมิได้อยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้าเสียแล้ว


“นางสังหารบุตรีของข้า! มิควรมีชีวิตอยู่!แม้กระทั่งดวงวิญญาณก็มิควรล่องลอย!” จิ่นโซวราชาแห่งหยางเฉียงตระเบ็งเสียงดังลั่น “ข้า! ฉิงจิ่นโซวราชาแห่งหยางเฉียงขอประกาศล่าปรมาจารย์อิ่งฉิน!...และข้าหวังว่าแดนสวรรค์เหวินหลงจะให้ความร่วมมือ!”


จิ่นโซวหันมองบุตรีคนสุดท้องที่สะอื้นไห้ “ข้ามีเจี่ยเจียอยู่เพียงผู้เดียว….นางแค่เข้าไปช่วยท่านเทพ...ไฉนเยว่ซิ่นต้องถึงขั้นสังหารเจี่ยเจียของข้าด้วย!” ซูหนี่ว์เช็ดน้ำให้อย่างอ้อยอิ่ง


“แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่า เจี่ยเจียของเจ้าจะเข้าไปช่วย...” ท่านองค์มหาเทพเจียหลิวแห่งทิศอุดรไถ่ถามอย่างสงสัย


ซูหนี่ว์หันจ้องหน้าท่านองค์มหาเทพอย่างเหลืออด “ก็พวกเขาเป็นคู่หมั้นกัน!”


“แต่ดูเหมือนเจี่ยเจียของเจ้าก็มิได้เต็มใจช่วยนะ เพราะนางมีสีหน้าที่ตกใจยิ่งกว่ามุ่งมั่นเสียอีก” เสียงอันเฉื่อยชาดั่งสายธารนิ่งเอ่ยขึ้นอย่างไม่รีบร้อน ท่านองค์มหาเทพหู่เสวี่ยยืนถือกระบี่คู่กายของเฟยลี่พลางเพ่งมองของในมือ “ถ้าจะเข้าไปช่วยจริงก็ต้องเตรียมกระบี่ด้วย...แต่นางกลับไม่ดึงมันออกจากฝักเลยสักนิด”


“..............” ซูหนี่ว์หน้าซีดเผือดในทันใด


“พวกท่านจะมาหาว่าบุตรีของข้าตายเพราะความสะเพร่าอย่างนั้นรึ?” น้ำเสียงอันโกรธเกรี้ยวนี้ทำให้จิ่นโซวหน้าแดงหน้าดำในเพลาเดียวกัน


“เจียหลิว ข้าได้พูดคำว่าสะเพร่าหรือยัง?” ท่านเทพหู่เสวี่ยวาจาลั่นออกจากปาก คำถามเอ่ยกับคนข้างกาย ทว่าสายตาเย็นยังคงจับจ้องจิ่นโซว


“ยัง” เจียหลิวส่ายหน้าตอบทันควัน


“พวกเจ้า! อย่างไรสวรรค์ก็ต้องช่วยข้าตามล่าไป๋เยว่ซิ่น เพราะกล้าลงมือสังหารคู่หมั้นของท่านเทพ!” ราชาแห่งหยางเฉียงกำหมัดแน่นจนแทบจะมีโลหิตไหลออกมา


สององค์มหาเทพหันมองหมิงเซียนที่กำลังเดินมาทางนี้ หมิงเซียนถือว่าเป็นราชาแห่งสวรรค์โดยแท้ การตัดสินใจของเขาคือที่สุดในยามที่ท่านเทพไม่อยู่ “แดนสวรรค์เหวินหลงช่วยพวกท่านล่านางแน่ เพราะอย่างไรนางก็บังอาจลงมือสังหารราชาหมิงหลานผู้เป็นนักโทษ”


หมิงเซียนเอ่ยวาจาเข้าหูจิ่นโซวในที่สุด “ข้าได้ส่งคำสั่งล่าลงไปแล้ว...แล้วท่านเล่าได้ส่งหรือยัง?”


“ยัง...ถ้าอย่างนั้นข้าต้องขอตัวก่อน” จิ่นโซวเอ่ยลาพร้อมพาบุตรีที่เหลือเพียงคนเดียวไปด้วย


สององค์หมาเทพยืนมองจนสองพ่อลูกเดินไปไกลลิบ “ดีมากองค์หมิงเซียน”


“ข้าหวังว่าท่านเทพคงสังหารคนของหยางเฉียงให้ราบเป็นหน้ากอง ไร้ผู้รับรู้ไร้ผู้พบเห็น” หมิงเซียนเอ่ยอย่างห่วงใย


“...เขาเคยเป็นศิษย์น้องของเจ้า...มาก่อน เขาถนัดด้านใดเจ้าคงจะรู้...” เจียหลิวเอ่ย


ก็จริงอย่างที่ท่านว่า...ด้านลอบสังหารหยางเซิงถนัดเป็นที่สุด……….

------------------------------------------------


ต้าเหนียง* เรียกสตรีสูงวัยที่ไม่ใช่ญาติ(อย่างให้เกียรติ) = คุณป้า


รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว