ผลาญใจในไฟกาล-ตอนที่ 10 หากเลือกยืนข้างนางเขาจะมีนางตลอดไป

โดย  Carentear

ผลาญใจในไฟกาล

ตอนที่ 10 หากเลือกยืนข้างนางเขาจะมีนางตลอดไป

ท่ามกลางผู้คนที่หอบหิ้วเคลื่อนย้ายสัมภาระในการเดินทางผ่านเข้ามายังประตูผู้โดยสารขาเข้าของท่าอากาศยานนานาชาติดูไบ เป็นท่าอากาศยานหลักของสายการบินเอมิเรตส์แอร์ไลน์พริซเซียร่าสาวใบหน้าสวยหวานคมคายอย่างชาวอาหรับแต่ผิวกลับขาวราวน้ำนมก็ไม่ปานเนื่องจากเธอมีเชื้อสายเยอรมันซึ่งเป็นชนเผ่าผิวขาวอีกทั้งดวงตาคู่งามยังเป็นสีดำขลับถูกประดับด้วยขนตาเรียวงอนยาว และคิ้วโค้งได้รูป จมูกโด่งรั้นบ่งบอกถึงความหัวรั้นและถือดี รวมถึงริมฝีปากบอบบางสีกุหลาบรับกับใบหน้าเรียวรูปไข่ปอก รูปร่างสูงเพรียว ใบหน้าแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางค์ชั้นดีอย่างบรรจง พวงผมดัดลอนใหญ่ทิ้งตัวล้อมกรอบหน้าสวย ชุดเกาะอกสีแดงเพลิงรัดรูปสั้นเหนือเข่าเผยให้เห็นเรียวขายาวสวยซึ่งตัดกับสีผิวอย่างชัดเจนโชว์ช่วงไหล่นวลเนียลน่าสัมผัส พริซเซียร่าลากกระเป๋าเดินทางใบโตอย่างทุลักทุเล สายตายังสาดส่องหาบุคคลที่ทางเจ้าของโรงแรงหรูหรือรียกอีกอย่างว่าเหุ้นส่วนคนใหม่ของบริษัทพ่อเธอส่งมารอรับเธอ พริซเซียร่าหันรีหันขวางชะเง้อมองและเห็นป้ายที่เขียนชื่อตนเองอยู่จึงเร่งฝีเท้าเดินเข้าไป

“คุณพริซเซียร่าชัยหรือเปล่าครับ” ชายรางใหญ่ผิวคล้ำเข้มอย่างชาวอาหรับสวมชุดสูทสีดำชูป้ายชื่อที่เขียนว่าพริซเซียร่ากล่าวถามออกไปด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงดี

“ใช่...คนของโรงแรมแฮนด์เบอร์หรือเปล่าคะ” พริซเซียร่าลอบมองอย่างไม่ไว้วางใจเท่าไรนัก

“โอ้...ใช่ครับนี่ครับบัตรประจำตัวของผม” พนักงานขับรถรีบกุรีกุจอยื่นบัตรประจำตัวพนักงานให้กับพริซเซียร่าเพื่อยืนยันว่าเขาคือคนที่ทางโรงแรมส่งตัวให้มารับเธอ

“อ้อ....งั้นก็ลากกระเป๋าไปได้แล้วฉันเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว” ว่าแล้วพริซเซียร่าก็เดินก้าวฉับ ๆ ตามพนักงานคนดังกล่าวออกไปยังรถหรูของทางโรงแรมที่ได้จัดเตรียมไว้สำหรับลูกค้าวีไอพี

“เชิญครับคุณผู้หญิง” พนักงานขับรถกล่าวเสียงนุ่มพร้อมผ่ายแขนเป็นการเชื้อเชิญหญิงสาวให้ก้าวลงจากรถอย่างสุภาพ จากนั้นพนักงานสาวเป็นผู้รับช่วงต่อ เธอพาพริซเซียร่ามายังห้องพักในชั้นบนสุดของโรงแรมแฮนด์เบอร์ นั่นคือห้องที่ดีที่สุด! แพงที่สุด! สวยที่สุด!

“คุณพริซเซียร่านี่คีย์การ์ดห้องคุณค่ะ....มีอะไรขาดเหลือก็แจ้งทางเราได้เลยนะค่ะ” พนักงานสาวกล่าวจบก็โค้งตัวให้กับพริซเซียร่าเล็กน้อยก่อนจะก้าวเดินออกไป

พริซเซียร่า พิจารณาห้องที่เธอมายืนอยู่นี้ว่ามันช่างหรูหราสมราคาคุยเสียจริงๆ ประตูบุลายนูนต่ำด้วยผ้ากำมะหยี่สีแดงสดพริซเซียร่าจัดการรูดคีย์การ์ดเข้าไปภายในห้องก็พบว่าการตกแต่งเป็นการผสมผสานระหว่างศิลปะแบบโรมันและอีหยิบโบราณเข้าไว้ด้วยกันนั่นเอง โดยที่พื้นปูด้วยกระเบื้องแก้วมันวาวสีขุ่นซึ่งเธอไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน หัวเตียงนอนแกะสลักรูปม้าอีหยิบโบราณลงทองอย่างสวยงามผ้าปูที่นอนเป็นสีทองลายลูกแก้วสีดำเข้ากันได้อย่างลงตัว ใจกลางเพดานมีโคมไฟแก้วเจียระไนเนื้อดีขนาดใหญ่ที่ร้อยเรียงกันไปมาให้แสงประกายแวววับดุจดั่งเพชรเมื่อต้องแสงอย่างไรอย่างนั้นผนังด้านข้างและด้านบนเป็นภาพวาดจิตรกรรมโรมันแน่แท้เกี่ยวกับวิถีการดำเนินชีวิตของชาวโรมันสมัยโบราณ ก้าวอี้โซฟาเป็นสีฟ้าหม่นลายกุจชี่ซึ่งเข้ากันกับห้องได้อย่างไม่น่าเชื่อ พริซเซียร่าเดินเอากระเป๋าไปเก็บยังตู้เสื้อผ้าแบบวอล์กอิน โคลเซ็ต พริซเซียร่าเดินออกมาสำรวจวิวสวยภายนอกห้องหรูของเธอสูดอนูอากาศบริสุทธิ์ของเมืองดูไบเข้าไปเต็ม ๆ ปอด มองออกไปเป็นระเบียงกว้างขวางมากทีเดียว ข้าง ๆ มีสวยหย่อมเล็ก ๆ มีน้ำพุรูปเทพีเสรีภาพซึ่งมองถัดไปจะมีสระว่ายน้ำขนาดกลางอยู่ พริซเซียร่าเดินออกมายังจุดที่สามารถชมวิวได้ชัดเจน ซึ่งภาพที่เห็นเบื้องหน้าคือตึกราบ้านช่องของเมืองดูไบมันช่างเจริญเสียจริงเชียว พริซเซียร่ามองดูออกไปจนสุดลูกหูลูกตาอยู่ครู่ใหญ่จึงเข้ามาภายในตัวห้องพักเช่นเคย ภายในห้องยังมีห้องสำหรับนั่งเล่นเมื่อเก้าเข้ามาข้างในพบว่ามีจอโทรทัศน์พลาสมาขนาดใหญ่ตั้งอยู่รวมกับชุดโฮมเธียเตอร์ครบชุด เบื้องหน้าเป็นโซฟาสุดหรูขอหลุยส์วิตตองสีน้ำตาลลายโมโนแกรมที่สั่งทำพิเศษ เธอเดินสำรวจห้องนั้นห้องนี้จนมาถึงห้องน้ำหรู ที่ปรากฏอ่างกุชชี่ขนาดใหญ่ตั้งเด่นต่อหน้า เครื่องสุขภัณฑ์ทุกอย่างทุกชิ้นล้วนแต่ดูมีราคาหรูหราเป็นอย่างมาก พริซเซียร่าสำรวจตรวจตราทุกซอกทุกมุมอย่างพึงพอใจเป็นที่สุดเธอคิดว่าชีวิตในดูไบของเธอคงไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่คิดเสียแล้วกระมัง

“อาบน้ำสักหน่อยดีกว่าเรา...เหนียวตัวจะแย่แล้ว” พริซเซียร่าเปลื้องผ้าออกจากกายสาวเหลือเพียงร่างเปลือยเปล่าที่สวยสพรั่งเท่านั้น เธอเปิดน้ำใส่อ่างกุชชี่จนเต็มแล้วลงไปนอนแช่น้ำอย่างสบายอารมณ์จนเผลอผอยหลับไปในที่สุด

กรี๊ง ๆๆ กรี๊งๆๆ เสียงโทรศัพท์ของพริซเซียร่าดังขึ้นทำลายความเงียบจนหมดสิ้น ร่างบางที่ตอนนี้นอนอยู่ในอ่างขนาดยักษ์ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างขัดอารมณ์หญิงสาวก้าวขึ้นจากอ่างหรูหยิบผ้าคลุมกายออกมาใส่แล้วรีบก้าวเดินตรงมารับโทรศัพท์โดยจะทันที

“ฮัลโหล....พริซเซียร่าพูดสายค่ะ” พริซเซียร่ากรอกเสียงงัวเงียของคนเพิ่งตื่นมายังสายสนทนา

“ถึงนานแล้วหรือครับพริซ” เสียงชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง

“มาร์คหรือค่ะ....โอ๊ะ...พริซเพิ่งตื่นค่ะ....ขอโทษด้วยว่าจะโทรบอกคุณอยู่แต่ว่าพริซเผลอหลับไปซะก่อน” พริซเซียร่ากล่าวอย่างรู้สึกผิดนิด ๆ ตั้งแต่มาหญิงสาวก็เอาแต่สอดส่ายสำรวจตรวจตราห้องหับจนลืมโทรบอกมาตินว่าเธอบินมาถึงแล้ว

“ไม่เป็นไรครับ...ผมรู้พริซเหนื่อย” เขากล่าวอย่างเข้าอกเข้าใจว่าเธอคงต้องเหนื่อยกับการเดินทางเป็นแน่

“ค่ะทานอะไรหรือยังค่ะมาร์ค” พริซเซียร่าชวนมาตินคุยเรื่องอื่นที่ไม่เครียด เธอกับเขาต่างสนทนาแลกเปลี่ยนกับอย่างเป็นกันเองร่วมๆเกือบชั่วโมงชายหนุ่มจึงขอตัววางสายไปก่อนเนื่องจากมีงานเข้ามา

“ค่ะที่รัก...บาย” พริซเซียร่ายิ้มกับตัวเองถึงแม้ว่าตัวจะห่างไกลกันเพียงใดแต่มาตินก็เอาใจใส่เธอเสมอมาไม่เคยเปลี่ยนแปลงจนเธอแน่ใจว่าความรักที่มีให้มาตินนั้นไม่ได้เป็นแบบคนรักแต่ทว่าเป็นแบบพี่น้องมากกว่าเช่นเดียวกับมาตินที่คิดเช่นเดียวกับพริซเซียร่า

“ฉันอยากมีพี่ชายแบบคุณค่ะมาร์ค” พริซเซียร่ายิ้มออกมาอย่างดีใจ

หญิงสาวแต่งกายในชุดลำลองสบาย ๆ เพื่อลงมารับประทานอาหารที่ทางโรงแรมมีไว้บริการแขกระดับวีไอพีเช่นเธอซึ่งอาหารที่จัดเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ อาหารที่เรียงรายตรงหน้าไม่ต่ำกว่าร้อยชนิดขึ้น มีทั้งปูอลัสก้าอบเนย หรือจะเป็นเนื่อแกะรมควันอบใส่ใบพริก ซึ่งพริซเซียร่าดูแต่ละอย่างแล้วเป็นของที่เธอชอบทานทั้งนั้น

หญิงสาวค่อยหยิบจานใบเล็กมาตักอาหารอย่างพอประมาณแล้วไปนั่งรับประทานอยู่ที่โต๊ะ

“สวัสดีครับคุณผู้หญิง....ผมนั่งด้วยได้หรือไม่ครับ” ชายหนุ่มหล่ออย่างชาวอังกฤษทักทายหญิงสาวอย่างมีความนัยบางอย่าง

“เชิญค่ะ” หญิงสาวก้มศรีษะเล็กน้อยเป็นการให้รับรู้ว่าเธออนุญาต

“ขอโทษถ้าผมจะถามชื่อคุณนะครับ” หนุ่มหล่อยิ้มกรุ้มกริ่มให้กับหญิงสาว

“ฉันชื่อพริซเซียร่าค่ะ” พริซเซียร่าตอบไม่ได้สนใจที่จะมองมาทางหนุ่มหล่อคนนั้นสักเท่าไรนัก

“ผมชื่อเอดเวิดร์ คอมสันด์ครับยินดีที่ได้รู้จัก” ชายหนุ่มกล่าวพลางยื่นมือส่งมาให้หญิงสาว

“สวัสดีค่ะยินดีที่ได้รู้จัก” แต่หญิงสาวกลับประนมมือขึ้นไหว้

“โอ้....คุณเป็นคนไทยเหรอครับ...ไม่น่าเชื่อ....หน้าตาคุณ....” เอ็ดเวิดร์ทำหน้างงงัน ‘คนเอเซียทำไมหน้าเหมือนคนยุโรปเช่นนี้’

“ฉันเป็นลูกครึ่งนะค่ะ....เอ่อขอตัวนะคะ” พริซเซียร่าทนรำคาญเสียไม่ได้จำต้องลุกหนีออกมา

“น่าเบื่อชะมัด...ไอพวกนี่เจ้าชู้ไม่เลือกจริง ๆ” พริซเซียร่าจ้ำอ้าวบ่นไปตลอดทางเดิน

ห้องโถงใหญ่โอ่อ่าในทีรโหฐานชายหนุ่มสายเลือดอาหรับแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์นั่งงุ้นอยู่กับงานที่กองแทบจะสุ่มหัวเขาอยู่แล้ว มือหนาหยิบกรอบแว่นตาสี่เหลี่ยมเล็กสีดำขึ้นมาใส่แล้วค่อยๆ อ่านเอกสารทีละแผ่น ๆ อย่างละเอียดรอบคอบ ภายใต้กรอบแว่นนั้นโครงหน้าหล่อดูไม่ค่อยดีเอาเสียเลย เขาหยิบแว่นสายตาที่บดบังความหล่อของเขาออกแล้วบีบเค้นไปที่ขมับนวดคลึงมันอย่างเบามือ เผยให้เห็นใบหน้าหล่อคมแบบชาวอาหรับ คิ้วโค้งหนาเรียวยาว ดวงตาสีนิลคู่งามล้อมกรอบด้วยขนตาหนายาวเป็นแพ จมูกโด่งเป็นสันขึ้นเงา ริมฝีปากหยักได้รูปรับกับใบหน้าคมอย่างลงตัว ผิวสีแทนออกไปทางขาวเสียมากกว่า เรียกได้ว่าเขาหล่อเข้าขั้นหาตัวจับได้ยากเลยทีเดียวเขาคือ อัสมาน จัสติน อิสลุน

“อ่า....ช่วงนี้งานเยอะจริง ๆ” อัสมานสบถออกมาอย่างเหนื่อยหนาระอาใจกับงานที่กองอยู่ข้างหน้าของเขาเป็นอย่างมาก ธุรกิจหลายอย่างหลายประเภทของเขามีมากมายจนช่วงนี้เขาแทบไม่มีเวลาจะพักผ่อนเลยแม้แต่น้อยไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโรงแรม หรือจะเป็นธุรกิจเหมืองแร่และก๊าซธรรมชาติ นี่ยังไม่รวมไปถึงบังกะโลและห้างสรรพสินค้าในที่ต่าง ๆ ทั่วโลกอีกนับกว่ายี่สิบแห่ง อีกทั้งเขายังเข้าซื้อหุ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างบริษัท ฮัสเบรนพริซ ที่บริส จอนท์โต่เน่ ได้ขายต่อหุ้นให้กับเขาเนื่องจากว่า บริส จอนท์โต่เน่ ไม่สามารถที่จะทำงานทั้งสองแห่งได้เขาต้องบินไปมาระหว่างออสเตรเลียกับอาหรับเป็นว่าเล่นอีกทั้งครอบครัวของบริสจอน์โตเน่ก็อยู่ที่ออสเตรเลียเพื่อให้ได้มีเวลาสำหรับครอบครัวบ้างเขาจึงจำใจต้องถอนหุ้นออกไปและเพื่อไม่ให้บริษัทประสบปัญหาทางการเงินเขาจึงขายหุ้นให้กับอัสมานซึ่งอัสมานเองก็สนใจข้อเสนอของบริส จอนท์โตเน่เป็นอย่างมาก คือการให้เขาเข้าไปมีส่วนในการบริหารจัดการงานด้วยตนเองด้วยซึ่งมันทำให้เขาเชื่อมั่นและแน่ใจว่าจะสามารถนำพาผลกำไรและความเจริญรุ่งเรื่องให้กับบริษัทแห่งนี้ได้แน่นอน ที่ผ่านมาเขาต้องดูแลจัดการบริหารงานทุกอย่างแต่เพียงผู้เดียวซึ่งต้องคอยจัดสันปันส่วนงานทุกอย่างอย่างลงตัว

“สงสัยต้องรีบเคลียงานให้เร็ว ๆ กว่านี้” เขาว่าพลางหยิบแว่นตาขึ้นมาสวมอีกครั้ง คราวนี้เขารีบขะมักเขม้น อ่านเอกสารที่รอเซ็นต์อย่างรวดเร็ว เวลาผ่านไปหลายต่อหลายชั่วโมงเอกสารที่กองสูงเกือบเท่าความสูงในท่านั่งของเขาก็เสร็จสิ้นลงชายหนุ่มร่างสูงบิดเอี้ยวตัวไปมาเพื่อไล่ความขบเมื่อยออกไป

“เฮ้ย....เสร็จสักที....จะได้พักสักอาทิตย์สองอาทิตย์” เมื่อนึกถึงเวลาต่อจากนี้ไปเขาก็จะได้พักเสียทีเพียงเท่านี้เขาก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาโดยจะทันที

รถหรูยี่ห้อ Ferrari รุ่น F550 Maranello ขับเคลื่อนมายังคฤหาสน์หลังมหึมาแล้วจอดสนิทตรงลานกว้างขาแข็งแรงภายใต้กางเกง สแล๊กซ์เนื้อดีก้าวฉับ ๆ เข้าไปภายในอย่างรวดเร็ว

“มาราตรีขอน้ำผมหน่อยครับ” อัสมานกล่าวเรียกพร้อมไหว้วานสาวใช้อย่างน้อบน้อม หญิงสาวใช้รีบกระวีกระวาดหาน้ำหาท่ามาให้อัสมานโดยเร่งด่วน

“นี่ค่ะคุณอัสมาน” มาราตรีสาวใช้แสนสวยส่งน้ำที่ตอนนี้มันเย็นจัดจนพบเกร็ดน้ำใส ๆ เกาะอยู่รอบ ๆ แก้วใบใสนั้นให้กับนายหนุ่ม

“ขอบคุณมากครับมาราตรีคุณมีอะไรก็ไปทำเถอะครับผมขอพักผ่อนสักครู่” อัสมานบอกพร้อมกับเอนตัวลงที่โซฟาหรูหลับเปือกตาลงสนิททั้งสองข้าง ด้านสาวใช้มาราตรีจำต้องหลีกเลี่ยงออกไปจากห้องนั้นเสียไม่ได้ เสียงหายใจสม่ำเสมอบ่งบอกให้รู้ว่าเขาเข้าไปสู่นิทราอย่างสุขสมอารมณ์แล้ว

ท้องฟ้าเริ่มครึ้มเข้มลงพระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้าเนื่องจากเริ่มเย็นมากแล้วจวนแจใกล้พลบค่ำ วันนี้อัสมานเองจะได้พักผ่อนยาวเสียทีหลังจากการทำงานโดยแทบไม่มีเวลาพักเลยในห้าปีที่ผ่านมา เขาเข้ามาจัดการธุรกิจทุกอย่างสืบต่อจากผู้เป็นบิดาซึ่งได้เสียชีวิตลงจากโรคของคนชราวัยเจ็ดสิบห้าปี บิดาของเขาจากไปอย่างสงบด้วยการนอนหลับแล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีกหรือเรียกง่าย ๆ คือการไหลตายนั่นเอง อัสมานเปิดเปลือกตาที่แสนจะหนักอึ้งขึ้นช้า ๆ และกระพริบตาเพื่อปรับแสงที่สาดส่องมายังสายตาคู่สวยที่มันมึดแสงลงนานพอสมควร

“คุณอัสมานตื่นแล้วเหรอค่ะ...นี่น้ำส้มค่ะจะได้สดชื่น” มาราตรีเห็นว่าอัสมมานตื่นแล้วจึงรีบมาเอาอกเอาใจเป็นการใหญ่

มาราตรีนั้นเป็นสาวสวยมากคนหนึ่งเลยทีเดียวหล่อนหลงรักอัสมานมานานแล้วและพยายามเอาอกเอาใจอัสมานเต็มที่พยายามเข้าไปใกล้ชิดสนิทสนมกับอัสมานแต่ทว่าเขากลับไม่มีทีท่าใด ๆ กับหล่อนเลยแม้แต่น้อย

“ขอบคุณครับ....มาราตรีเดี๋ยวผมจะไม่อยู่บ้านสักสองอาทิตย์ยังไงฝากคุณด้วยนะ” อัสมานกล่าวเสียงเย็นออกไป

“คุณจะไปไหนค่ะ” พาราตรีถามด้วยสีหน้าตกใจ

“ผมจะไปพักผ่อนสักหน่อยนะไงก็ฝากบ้านกับคุณด้วยนะ” อัสมานยกแก้วขึ้นจิบน้ำส้มเพียงเล็กน้อยแล้วพรวดพราดลุกขึ้นเดินตรงออกไปยังรถหรูแล้วก้าวขึ้นขับออกไปอย่างรวดเร็ว


รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว