ผลาญใจในไฟกาล-ตอนที่ 1 นางเลิกเข้าข้างตนเองนานแล้ว

โดย  Carentear

ผลาญใจในไฟกาล

ตอนที่ 1 นางเลิกเข้าข้างตนเองนานแล้ว

ตอนที่ 1

ฝนห่าใหญ่ตกลงกระทบพื้นหินนานหลายชั่วยามอากาศภายในห้องจึงหนาวเย็นในระดับที่ทำให้คนธรรมดาสามัญไร้ความรู้สึก กัดกินปลายมือปลายเท้าจนด้านชาคล้ายมิใช่นิ้วมือของตน สายฝนที่เทลงมาอย่างต่อเนื่องไม่ต่างจากช่วงน้ำหลากทิ้งม่านหมอกขาวขุ่นไว้เบื้องหลัง บดบังทัศนียภาพให้เห็นเพียงภาพขมุกขมัวไม่ชัดเจน หมอกขาวลอดผ่านช่องระบายอากาศเข้ามาทำให้ภาพรอบด้านเลือนลาง แต่เศษซากชิ้นส่วนที่โผล่พ้นทะเลสีขาวขุ่นขึ้นมากลับชัดเจนว่าเคยเป็นสิ่งใด

กลิ่นคาวโลหิคละคลุ้งในอากาศ สีแดงฉานอาบชโลมห้องศิลาขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่จนมองไม่ออกถึงสีเดิมของพื้นที่ใช้เหยียบยืน ฉากหลังอันน่าสะพรึงช่างขัดแย้งกับสิ่งมีชีวิตหนึ่งเดียวที่ยังคงมีลมหาย สตรีผู้ยืนอยู่กลางห้องคล้ายไม่รับรู้ถึงสภาพการอันคล้ายคลึงนรกบนดินแห่งนี้ นางดูราวกับภาพวาดอันวิจิตรของศิลปินแห่งยุคที่ถูกนำมาประดับไว้ผิดที่ผิดทาง

ดวงตาดำขลับบนใบหน้างามเป็นเอกนิ่งเฉยไม่แยแสเศษชิ้นส่วนที่ตกอยู่ข้างกายราวกับมันไม่เคยเป็นเลือดเนื้อของมนุษย์ ไม่มีเศษเสี้ยวของระลอกอารมณ์สะท้อนออกมาจากดวงตาสีดำตัดขาว มันนิ่งสงบราบเรียบประหนึ่งผืนน้ำที่ไร้ระลอกคลื่น คล้ายว่าภาพรอบตัวเช่นนี้เป็นเพียงความปกติ เป็นหนึ่งในเรื่องธรรมดาสามัญที่พบเห็นได้ในทุกเช้ายามลืมตาตื่น เชยชินและชินชาจนน่ากลัว

ยามมองดวงตาที่มีสีดำและขาวตัดกันชัดเจนคู่นี้ พลันพบความจริงที่ว่าหากภาพตรงหน้าเป็นภาพวาดแล้วไซร้สตรีผู้นี้ก็คงเป็นองค์ประกอบอันโดดเด่นเหมาะสมกับฉากหลังเหล่านี้ที่สุดเพราะมีเพียงดวงตาคู่นี้เท่านั้นที่สามารถเติมเต็มภาพนี้จนสมบูรณ์

สตรีนางนั้นตวัดกระบี่ในมือเป็นวงกว้างเพื่อสลัดเอาหยดเลือดออก เนื้อกระบี่กลับกลายเป็นใสกระจ่างใสไร้มลทิน คมกระบี่วาววับจับตาแปล่งประกายแห่งอำนาจสมกับเป็นอาวุธประจำกายของนางมารผู้เรืองนามแห่งยุค ประตูศิลาหนาหนักของห้องลงทัณฑ์ถูกผลักเปิดจากภายใน หากมิใช่เฉินจิ่งลี่ประมุขแห่งหุบเขามังกรแล้วจะมีใครทำเช่นนี้ได้อีก

"ท่านประมุข"หญิงสาวในชุดข้ารับใช้สีม่วงอ่อนที่แสดงถึงชั้นยศซึ่งสูงกว่าเหล่าสาวใช้ทั่วไปในหุบเขามังกรประสานมือทำความเคารพสตรีที่ก้าวออกจากห้องศิลา ผู้อื่นจึงได้สติยกมือขึ้นประสานกันทำความเคารพตาม คนถูกเรียกว่าประมุขไม่ปลายตามองก็สาวเท้าไปอีกทางเสียแล้ว

"พรรควิหคเพลิงสามสิบศพพอดี"ชายร่างสูงยกยิ้มเหี้ยมเกรียมแล้วประสานมือค้อมกายลงคารวะไม่ต่างจากคนรอบกาย หวางจี่ผิวปากแล้วยกมือเป็นสัญญาณให้ลูกน้องในหน่วยเริ่มลงมือเก็บกวาด สายตาเจ้าตำหนักที่สี่ฉายแววชื่นชมสตรีผู้ถูกเรียกขานว่าท่านประมุขอย่างไม่ปิดบัง เพียงไม่ถึงสองเค่อดีนางกลับลงมือเชือดคนของพรรควิหกเพลิงสามสิบชีวิตเสียเกลี้ยงเกลา หมดจดไม่เหลือสัญญาณชีพให้เห็นแม้แต่น้อย

เจ้าตำหนักแซ่หวางกวาดสายตามองคราหนึ่งก็บอกได้ว่าบาดแผลที่ทำให้พวกมันทั้งหมดสิ้นลมคือหนึ่งกระบี่ที่ตวัดผ่านลำคอเฉือนตัดเส้นเลือดใหญ่และหลอดลมจนขาดสะบั้น ทั้งยังบอกได้ว่าบาดแผลใหญ่นี้หาใช่แผลแรกบนตัวพวกมัน ศพทั้งหมดในห้องล้วนมีสภาพไม่สมบูรณ์ เส้นเอ็นทั้งร่างถูกตัดขาดแขนขาทั้งสี่ข้างอยู่ในสภาพยับเยิน ตามร่างกายไม่เว้นแม้แต่ส่วนศีรษะถูกเฉือนเนื้อออกไปหลายชิ้นด้วยอาวุธคมกริบ การเฉือนเนื้อเลาะเส้นเอ็นที่ท่านประมุขลงแรงด้วยตนเองต่างหากเล่าคือมาของเสียงวอนขอความตายที่ได้ยินก่อนหน้า

การลงมือครั้งนี้ควรเรียกว่าปลิดชีพหรือการทรมารจะเหมาะสมกว่ากันหนอ หากเรียกว่าปลิดชีพก็นับว่าโหดเหี้ยมกับเหยื่อเกินไปสักนิด หากเรียกว่าทรมารก็นับว่าเร็วไปสักหน่อย คำถามนี้จึงตอบยากนัก ความเด็ดขาดจากภาพที่เห็นกับเสียงกรีดร้องที่โหยหวนของเหล่าสิ่งมีชีวิตชะตาขาดที่ยังดังก้องอยู่ในโสตประสาท ย้ำเตือนว่านายหญิงแห่งพรรคมังกรทมิฬหาใช่เพียงหญิงสาวอายุสิบเจ็ดสิบแปดที่เพิ่งรับตำแหน่งประมุขพรรคมารไม่ครบสี่ปีดี แต่เป็นจอมมารแห่งยุคที่เด็ดขาดและโหดเหี้ยมสมกับภาระหน้าที่ที่ถูกแบกไว้บนบ่า เป็นสตรีที่สามารถควบคุมพรรคมารอันดับหนึ่งแห่งแดนใต้ไว้ในอาณัติได้ตั้งแต่อายุสิบสี่ แม้จะมีใจชื่นชมไม่น้อยแต่ส่วนหนึ่งของจิตใต้สำนึกร่ำร้องให้หวางจี่หวาดกลัวและถอยหนีไปพร้อมกัน

" อย่าได้หาว่าข้าน้อยสอดปากเลยท่านเจ้าตำหนักหวาง อย่างไรเรื่องนี้ควรรีบจัดการให้เรียบร้อยก่อนรุ่งสางจะเป็นการดีนะเจ้าคะ"สตรีในชุดข้ารับใช่สีม่วงเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นหวางจี่ยืนนิ่งไปนาน นางพูดจบก็ค้อมกายให้อีกฝ่ายแล้วผละตัวตามนายหญิงของตนออกไปโดยไม่รอคำอนุญาติ ทุกย่างก้าวที่เหยียบลงบนพื้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอหาข้อติไม่ได้แม้แต่น้อย ช่างเหมาะกับตำแหน่งคนโปรด

"เฮอะ"หวางจี่แค่นเสียงแสดงความไม่พอใจออกมาคำหนึ่ง แต่กลับใช้สัญญาณมือสั่งการให้ลูกน้องเร่งทำงานตามที่ข้ารับใช้ผู้นั้นกำชับแต่โดยดี แม้จะเป็นเพียงสาวใช้ไร้ฝีมือแต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนใกล้ชิดของท่านประมุข ต่อให้นางกล้าสอดปากขึ้นมาจริงเขาจะกล้าทำสิ่งใดได้เล่า หากมิอยากมีประสบการณ์ตายอย่างทรมานพานพบนรกทุกขุมทั้งที่ยังไม่สิ้นใจเกรงว่าบนหุบเขามังกรคงไม่มีผู้ใดกล้าขึ้นเสียงกับสตรีนางนี้เสียด้วยซ้ำ เมื่อครู่คนทั่วไปอาจมองไม่เห็นแต่หวางจี่สังเกตชั่วขณะหนึ่งที่ท่านประมุขชะงักเท้ารอ

ในแผ่นดินที่เหล่าปลาใหญ่เคี้ยวกลืนปลาเล็กปลาน้อยอย่างไม่ปราณีแห่งนี้ น้ำหนักกำปั้นมีอำนาจเหนือสิ่งใดและผู้ที่มีกำปั้นที่ใหญ่ที่สุดในหุบเขามังกรในแดนใต้นี้คือนายหญิง ไม่มีใครอยากเห็นท่านประมุขยามโกรธ ศิษย์ที่อยู่มานานกว่าสี่ปีทุกคนยังจำความบ้าคลั่งของสตรีผู้เคยกวาดล้างพรรคชิงเซียงชิงเกือบทั้งหมดด้วยตัวคนเดียวได้แม้ยามหลับ ภาพเด็กหญิงที่ยังไม่ถึงวัยปักปิ่นถือศีรษะโชกเลือดของประมุขพรรคธรรมะอันดับหนึ่งแห่งแดนใต้เดินขึ้นเขาทีละก้าว เพื่อเซ่นไหว้ศพบิดาและผู้อาวุโสทั้งเก้ายังติดตา ความทรงจำนี้ติดตาตรึงใจยากลบเลือนโดยแท้

ในครานั้นบนหุบเขามังกรไม่มีสักชีวิตกล้าเอ่ยปากคัดค้านเมื่อสตรีรุ่นเยาว์ผู้หนึ่งขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ประมุขพรรค ต่อให้เป็นชาวยุทธฝั่งธรรมะที่ได้ชื่อว่ามีจิตใจมั่นคงดังหินผาก็ยังรู้จักรักตัวกลัวตาย นับประสาอะไรกับคนพรรคอธรรมที่ได้ชื่อว่าโฉดชั่วไร้ยางอายอย่างพวกมันเล่า

ศพของคนจากพรรควิหกเพลิงทั้งสามสิบถูกโยนทิ้งลงใต้ผาเงาจันทร์เป็นอาหารแก่สัตว์อสูรเบื้องล่างจนหมด เลือดที่สาดกระเซ็นตามผนังถูกล้างด้วยน้ำสะอาดแล้วรอบหนึ่ง แต่กลิ่นคาวโลหิตกลับไม่ยอมจางจากห้องลงทัณฑ์ ดวงตาเรียวเล็กกวาดมองคนงานที่ใช้ผ้าชุบน้ำสะอาดถูผนังอย่างแข็งขันแล้วอดค่อนขอดในใจไม่ได้ เป็นคนพรรคมารจะสนใจอะไรกับแค่กลิ่นเลือด หวางจี่เก็บป้ายที่บ่งบอกตัวตนของผู้ตายทั้งสามสิบตรวจดูจนครบถ้วนแล้วส่งต่อให้ลูกน้องพร้อมออกคำสั่ง

"นำไปส่งให้ถึงหน้าประตูพรรควิหกเพลิงอย่าได้ขาด"ใจจริงตัวมันเองอยากส่งศีรษะไปเป็นของกำนัลมากกว่า เพียงแต่สภาพของกำนัลในฝันของมันนั้นไม่เหลือเค้าเดิมให้จดจำจึงเปลี่ยนใจ ผู้ที่ถูกนางมารกระบี่สีเลือดหมายหัวมีชะตากรรมเช่นใดทั่วทั้งเมืองใต้ต่างรู้ดี จะส่งหัวไปหรือส่งป้ายไปก็ไม่ต่างกัน ขอเพียงของที่ส่งไปย้ำเตือนให้พรรคธรรมะเหล่านั้นรู้ว่าไม่ควรค่องแวะกับคนของพรรคมังกรทมิฬอีกเป็นพอ

หลายวันก่อนศิษย์ชั้นในของพรรคถูกกำจัดไปสามคนด้วยวิธีการสกปรกของคนพรรควิหคพลิง ยามนี้ท่านประมุขระบายแค้นโดยการกำจัดศิษย์ชั้นในของอีกฝ่ายไปสามสิบคนนับว่ายุติธรรมแล้วมิใช่หรือ

"ท่านเจ้าตำหนัก แม่นางซวงถูกส่งไปที่ตำหนักแล้วขอรับ"ลูกน้องคนหนึ่งประสานมือทำความเคารพแล้วเอ่ยรายงาน

"ดี ดี ดียิ่งนัก"เจ้าตำหนักที่สี่พูดคำว่าดีออกมาถึงสามครั้งด้วยความพึงพอใจ สุรา นารี ทรัพย์สินเงินทอง หรือสิ่งใดก็ตามแต่ หากทำผลงานเข้าตาผู้เป็นนาย ประมุขแห่งพรรคมังกรทมิฬล้วนมอบให้ได้ไม่ขาด พรรคมารก็ดีเช่นนี้ หวางจี่นึกถึงสาวงามที่รอตนเองอยู่ในตำหนักก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นสามส่วน มันแสยะยิ้มพอใจมองไปที่คนงานอีกคราก็ไม่รู้สึกขัดตาอีก เป็นฝ่ายอธรรมมีตรงไหนที่ไม่ดี อยากจะเปรียบเทียบกับพวกตน พรรคธรรมะเหล่านั้นควรเร่งสะสมเงินทองให้มั่งคั่งได้สักครึ่งหนึ่งของพวกมันเสียก่อน

หม่าฝูเร่งฝีเท้าตามผู้เป็นนายด้วยความรู้สึกแขยงในตัวเจ้าตำหนักที่ยืนอยู่เบื้องหลัง ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะวิปริตดังผ่านหูยิ่งหวาดหวั่นจนขนอ่อนบนแขนและขาลุกชัน นึกดีใจเหลือแสนที่ตนมาอยู่กับพี่สาวซึ่งทำงานใกล้ชิดท่านประมุขตั้งแต่เยาว์วัยจึงพ้นปากเหยี่ยวปากกามาได้ มีข่าวลือหนาหูในหมู่สาวใช้ว่าเจ้าตำหนักแซ่หวางผู้นี้เป็นชายที่มั่วกามารมณ์ไปทั่ว ขอเพียงเป็นสตรีมีสักอย่างที่ถูกใจเขา เจ้าตำหนักแซ่หวางล้วนจับตัวมาประดับตำหนักเป็นนางบำเรอไปเสียสิ้น

มือของสาวใช้ในชุดม่วงรั้งแขนน้องสาวให้ชะลอฝีเท้าลง หม่าฝูสังเกตดูจึงรู้ว่าตนเกือบเดินเสมอผู้เป็นนาย นางหันมามองพี่สาวด้วยสายตาขอบคุณคราหนึ่ง ถอยเท้ามาอยู่เยื้องด้านหลังของผู้เป็นพี่ ห่างไปหนึ่งช่วงตัวสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดแล้วจึงก้าวตามด้วยฝีเท้าเช่นเดียวกับคนเดินนำ เมื่อพี่สาวยังนิ่งสงบใจนางจึงสงบลงได้โดยง่าย

ทางเดินคดเคี้ยวที่ถูกปูด้วยหินสีทึบนำบุคคลทั้งสามสู่ใจกลางหุบเขามังกร ระเบียงไม้สีแดงให้ความรู้สึกด้านชาใต้แสงไฟที่ระริกไหวตามแรงลม ตำหนักใหญ่อันเป็นศูนย์กลางของหุบเขามังกรยามนี้สงบเงียบไร้สรรพเสียง ภายนอกดูคล้ายร้างไร้ผู้คนไม่มีแม้เพียงทหารยามเฝ้าหน้าประตู สภาพการณ์เช่นนี้ดูหละหลวมขาดระเบียบแท้จริงแล้วแอบซ่อนยอดฝีมือมากเท่าใดหม่าฝูเองไม่สามารถบอกได้

"เจ้าคนหนึ่งไปเรียกหลิงเจี๋ยมา"เสียงของนายหญิงกังวานใสเสียชวนฟังทว่าเยือกเย็นและไร้อารมณ์ สิ้นคำสั่งนี้หม่าฝูก็พลิกกายออกนอกเรือนอย่างว่าง่าย

หม่าอิงมองดวงตาที่แผ่กลิ่นอายแห่งความตายผ่านกระจกทองเหลือง แล้วหลุบสายตาลงสางเรือนผมนุ่มในมือ เพียงคืนเดียวหลังนายท่านจากตายคุณหนูจิ่งลี่ตัวน้อยของนางก็กลายเป็นใครอีกคนที่ตนไม่รู้จักอย่างสิ้นเชิง จากเด็กสาวที่กรีดร้องและเชิดหน้าขึ้นสูงยามไม่พอใจกลายเป็นหญิงสาวที่เย็นชาและมีกลิ่นอายฆ่าฟันลอยอบอวลในอากาศ เป็นท่านประมุขเฉินที่ทุกคนต้องแหงนคอมองจากที่ต่ำ เทียบกันแล้วหม่าอิงย่อมชมชอบเด็กสาวเอาแต่ใจผู้มีรอยยิ้มกว้างขวางจริงใจผู้นั้นมากกว่า

สี่ปีมาแล้วที่นางก็ไม่ได้เห็นรอยยิ้มออดอ้อนไม่ได้ยินน้ำเสียงอ่อนหวานของนายหญิง ความผิดทั้งหมดล้วนเป็นของพรรคชิงเซียงชินที่น่าชังนั่น หม่าอิงรับใช้ผู้เป็นนายผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าคลุมเสื้อตัวนอกบนร่างอีกชั้นแล้วจัดแจงสายรัดเอวให้เข้าที่ หลายครั้งหลังเข่นฆ่าผู้คนในหอลงทัณฑ์ท่านประมุขของนางมักทำเช่นนี้เสมอ เรียกหมอประจำตัวมาพบทั้งที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ ใช้เวลาในห้องที่เงียบสนิทกับท่านหมอแซ่หลิงครึ่งถึงหนึ่งชั่วยาม นายหญิงทำราวกับการมีเทพบุตรแห่งแดนใต้อยู่ในสายตาก็ปัดเอากลิ่นคาวเลือดและเสียงโหยหวนของผู้ไม่ยินยอมตกตายออกไปได้

เมื่อชุดสีดำที่ปักลายมังกรขนดสีแดงสดถูกแทนที่ด้วยเสื้อผ้าโทนสีอ่อนบรรยากาศรอบตัวนายหญิงก็เปลี่ยนไปราวกับกลายเป็นใครอีกคน ครู่หนึ่งที่แพขนตากดลงมาปิดบังแววตาที่สูบวิญญาณผู้คนลงสู่ห้วงนรกไร้ก้นบึ้ง เฉิงจิ่งลี่ก็กลายเป็นเพียงเด็กสาวที่งดงามราวกับธิดาสวรรค์จำแลงกายลงมาเยี่ยมเยือนเมืองมนุษย์

"เรื่องที่ซีหูไปถึงไหนแล้ว"เฉินจิ่งลี่เอ่ยปากถามคนสนิทข้างตัวทั้งที่ยังคงก้มหน้าจรดผู้กันบนแผ่นกระดาษ หากไม่เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นทางซีหูควรส่งรายงานประจำปีตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ก่อนพวกเขาไม่เคยผิดเวลาหากไม่มีเหตุจำเป็น เจ้าตำหนักที่สองอาจมีนิสัยผิดจากคนทั่วไปแต่ก็ไม่เคยเหลวไหลจนกระทบมาถึงงานของพรรค

"จดหมายจากท่านเจ้าตำหนักที่สองส่งมาถึงตั้งแต่เมื่อชั่วยามก่อนเจ้าค่ะ"สาวใช่ในชุดม่วงตอบก่อนเดินไปหยิบจดหมายที่ว่ามาส่งให้

ครั่งที่ผนึกไว้ด้านบนซองกระดาษยังคงครบถ้วนสมบูรณ์ก็บอกให้รู้ว่าก่อนหน้านี้ไม่มีใครเปิดมันออก ดวงตาสีดำตัดขาวกวาดมองข้อความที่ยาวหลายหน้ากระดาดแล้วย่นคิ้วเข้าหากัน เนื้อหาด้านในไม่แตกต่างจากที่คาดเอาไว้สักเท่าใด ซีหูเกิดเรื่องอย่างที่นางคิดเอาไว้ไม่มีผิด เจ้าตำหนักที่สองต้องวิ่งวุ่นสะสางปัญหาจนลืมส่งรายงานประจำปีอย่างที่ไม่เคยทำ

เฉินจิ่งลี่อ่านทวนอีกครั้งไม่ให้มีสิ่งใดตกหล่นก็ส่งคืนกลับให้คนสนิท จากเนื้อความนางต้องเดินทางไปซีหูอย่างเลี่ยงไม่ได้ ลายมือของเหยาอู่เสียที่เขียนในครึ่งหลังสับสนวุ่นวายถึงเพียงนั้นเรื่องในพรรคคงต้องปล่อยให้ผู้อาวุโสและเหล่าเจ้าตำหนักจัดการกันเอง ความบาดหมางกับพรรควิหคเพลิงที่ยังค้างคาทำให้นางรู้สึกรำคาญใจอย่างประหลาด อาจเพราะลางสังหรณ์ที่ไม่เคยผิดพลาดกำลังร้องเตือนกระมัง จึงทำให้การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ง่ายเหมือนทุกคราว

"ท่านประมุขท่านหมอหลิงรออยู่ด้านหน้าแล้วเจ้าค่ะ"เสียงหม่าฝูดังขึ้นจากอีกฝั่งของบานประตู สีหน้าเจ้าของห้องก็ผ่อนคลายลง ความกดดันกลางหว่างคิ้วที่มีก่อนหน้าอันตรธานหายไปในพริบตานั้น เพียงแค่ชื่อของเทพบุตรแห่งแดนใต้ดังออกมาให้ได้ยินประมุขแห่งหุบเขามังกรก็สามารถวางทุกสิ่งลงจากมือลงได้ บุคคลผู้นี้ช่างมีความสำคัญเสียเหลือเกิน

"ให้เข้ามา"

ชายหนุ่มในชุดขาวเดินเข้ามาในห้องส่วนตัวของประมุขพรรคมังกรทมิฬดังเช่นที่เคยทำทุกครั้ง แม้พระอาทิตย์จะใกล้ลับฟ้านายหญิงแห่งหุบเขามังกรก็ยังคงอนุญาตให้บุคคลผู้นี้รุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ของนางได้เป็นกรณีพิเศษ

หากจะพูดให้ถูกคือหมอประจำตัวของท่านประมุขผู้นี้มีสิทธิพิเศษอีกมากมายหลายข้อมากเสียจนหม่าฝูคล้านจะนับ มากเสียจนมีคำเล่าลือนับไม่ถ้วน บางคนบอกว่าเป็นเพราะท่านหมอเป็นหนึ่งในชายบำเรอของนายหญิง บางคนก็บอกว่าเขาเป็นผู้มีพระคุณในยามยาก บางคนว่าเป็นคนรัก แม้แต่เสียงลือว่าเป็นพี่น้องต่างมารดาก็มีเช่นกัน เสียดายที่คนส่วนใหญ่เชื่อความคิดในข้อแรก ส่วนความจริงเป็นเช่นใดคงมีแต่ท่านประมุขและหมอหลิงเท่านั้นที่ตอบได้

ไม่มีใครกล้าพูดออกมาให้ได้ยินต่อหน้าแต่ข่าวลือนั้นรู้กันไปทั่วหุบเขาและเมืองใกล้เคียง หากเป็นคนแดนใต้จะขอทานหรือผู้ดีมีตระกูลล้วนต้องเคยได้ยินเรื่องเหล่านี้ผ่านหูบ้างไม่ต่ำกว่าสามครั้ง สองในสามครั้งนั้นย่อมหนีไม่พ้นเป็นเรื่องชายบำเรอที่นางมารแห่งหุบเขามังกรประคบประหงมยิ่งกว่าสมบัติล้ำค่า ท่านประมุขไม่ใส่ใจจะกำจัดเสียงลือเสียงเล่าอ้างเหล่านี้ ทั้งข่าวคราวและข่าวคาวจึงยังมีให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ

"พวกเจ้าออกไปก่อน"เสียงเรียบเย็นดังขึ้นขัดความคิดสุดบรรเจิด สาวใช้ทั้งสองโค้งกายจากไป หม่าอิงปิดประตูตามหลังเสียงเบาพลิกเท้าหมุนตัวไปทางหนึ่งเพื่อกลับเรือนนอนของตนที่อยู่ไม่ไกล ถึงเวลาที่นางควรพักเสียทีหม่าอิงคิดไปถึงเตียงนอนนุ่มสบายแล้วอยากสาวเท้าเร็วขึ้นอีกหน่อย

"ท่านพี่ ท่านว่าท่านหมอหลิงเป็นชายบำเร....."หม่าอิงหยุดเท้าลงฉับพลัน รอยยิ้มน้อยน้อยพอเป็นพิธีที่ประดับของผู้เป็นพี่เป็นนิจหุบลงในทันใด ดวงหน้าสะอาดตาดูเครียดขึงขึ้นอย่างที่ไม่ค่อยปรากฏให้เห็น นางส่งเสียงเยียบเย็นขึ้นขัดประโยคที่ยังไม่จบดีด้วยน้ำเสียงที่ทำให้คนฟังสั่นสะท้าน

"หม่าฝูเจ้าไม่อยากมีลิ้นแล้วหรือ"ไม่บ่อยครั้งนักที่หม่าอิงจะดุน้องสาวเพียงคนเดียว สีหน้าหม่าอิงยามโกรธขึงดุดันคล้ายผู้เป็นนายถึงห้าส่วน ไม่ต้องขมวดคิ้วหรือตะโกนเสียงดังเพียงแค่ใช้สายตาจ้องที่เต็มไปด้วยแรงอารมณ์จ้องมองก็ทำให้ผู้คนหวาดเกรงได้โดยง่าย

"หากไม่อยากอยู่ก็บอกกันดีดีจะได้หาทางส่งตัวกลับบ้าน อย่าได้คิดลาตายด้วยวิธีเช่นนี้เลย"มิใช่จะแช่งชักให้ตกตายแต่หากคำพูดนี้ลอยเข้าหูนายหญิงนางอาจได้เห็นศพญาติผู้น้องด้วยสองตาของตนเองรับอรุณวันใหม่ ท่านหมอหลิงมีฐานะใดในใจนายหญิงหนึ่งปีมานี้หม่าฝูมิรู้เลยจริงหรือ

"ท่านพี่ น้องขอโทษอย่าได้เคืองน้องเลยนะเจ้าคะ"เห็นคนพูดค้อมกายลงต่ำเอ่ยขอโทษโดยไม่ชักสีหน้าโทสะในใจหม่าอิงก็เบาบางลง

"ท่านประมุขจะเป็นอย่างไรก็เป็นนาย ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่สบายน้อยไปหรือถึงได้กล้าพูดจาส่งเดชเช่นนี้ออกมาได้"เงินที่ตนได้จากนายหญิงพอเลี้ยงครอบครัวให้สุขสบาย เมื่อตนขอนำน้องสาวที่ไม่ใคร่จะรู้ความมาอยู่ด้วยผู้เป็นนายก็ยังใจดีอนุญาต คนที่หม่าฝูควรขอโทษคือนายหญิงหาใช่ตัวนาง

"น้องผิดไปแล้ว"หม่าฝูน้ำตาคลอดวงตานางลืมนึกไปว่าคำพูดจากความคะนองปากอาจทำให้ตนเองและครอบครัวเดือดร้อน ใช้ชีวิตหาเช้ากินค่ำอย่างคนชั้นต่ำย่อมไม่อาจเทียบกับเศษเสี้ยวความสบายบนหุบเขามังกร นางไม่อยากกลับไปตากแดดตากลมดิ้นรนเช่นนั้นอีกจึงรีบเกาะแขนผู้เป็นพี่ออดอ้อนอย่างน่าสงสาร"ทีหลังน้องไม่กล้าพูดแล้วเจ้าค่ะ ไม่สิน้องจะ ไม่เริ่มแม้แต่คิด ท่านประมุขดีกับพวกเราถึงเพียงนี้น้องจะกล้าคิดไร้สาระได้อย่างไร ท่านพี่อย่าโกรธอีกเลย”

"ได้เช่นนั้นก็ดี"น้ำเสียงของหม่าอิงอ่อนลง ถึงจะเป็นพี่น้องคนละแม่แต่ก็เป็นลูกพ่อเช่นกัน นางไม่ได้มีความคิดเกลียดชังน้องสาวร่วมสายเลือด ขอเพียงมีคนคอยสอนคอยปรามหม่าอิงเชื่อว่าหม่าฝูคงค่อยค่อยเปลี่ยนได้เอง เปลี่ยนเป็นคนที่จะเอาตัวรอดในยุทธภพได้ไม่ว่าจะมีตนเป็นที่พึ่งหรือไม่ก็ตามที ดวงตาของหม่าอิงทอประกายบางอย่างที่ไม่มีใครเข้าใจ นางเพียงปลดมือน้องสาวออกจากแขนแล้วส่งนางเข้านอนก่อนกลับไปยังที่พักของตนที่อยู่ไม่ห่างกัน

ในตำหนักใหญ่ห้องของประมุขแห่งหุบเขายังคงมีแสงสว่างจากดวงไฟ หลิงเจี๋ยทำความเคารพเจ้าของห้องแล้วจึงนั่งลงในที่ของตน ที่นั่งของเขาถูกจัดอยู่ข้างชั้นหนังสือ มีโต๊ะตัวยาวอยู่ด้านหน้า กระดาษขาว แท่นฝนหมึก และชุดน้ำชาวางอยู่ไม่ไกล หนังสือบนชั้นด้านข้างล้วนเป็นตำราแพทย์ที่ถูกเตรียมไว้ไม่ว่าจะเป็นตำราหายากหรือหนังสือที่มีราคาค่างวดสูงเท่าใดก็ล้วนจัดเรียงอยู่จนแน่นขนัด ตะเกียงแสงจันทร์อันล้ำค่าถูกใช้แทนตะเกียงน้ำมันอย่างใจกว้าง

ที่แห่งนี้คงเหมาะแก่การนั่งอ่านตำราเป็นที่สุดหากไม่ถูกจัดให้ตั้งอยู่ตรงข้ามกับโต๊ะของนางมารร้ายแห่งยุค สายตาเฉินจิ่งลี่อ่อนแสงยามมองหลิงเจี๋ยนั่งอ่านหนังสืออย่างสงบ ชีวิตคนผู้หนึ่งที่ไม่มีแรงแม้แต่ยกดาบมีความสำคัญกับความสุขความทุกข์ในชีวิตนางมากเหลือจะกล่าว ดูอย่างเรื่องในวันนี้หากศิษย์ของพรรคที่ตายไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับชายตรงหน้า คนพรรควิหคเพลิงหรือจะมีค่าให้นางลงมือด้วยตนเอง

ท่านหมอหลิงที่ใครต่อใครเรียกขานว่าเทพบุตรแห่งแดนใต้ผู้นี้คือจุดอ่อนของนางอย่างแท้จริง แม้ยิ่งใหญ่เทียมฟ้าสิ่งที่เรียกว่าความรักก็ยังเป็นจุดตายที่ไม่อาจลบเลือน กับเรื่องอื่นนางในฐานะประมุขมารพรรคมังกรทมิฬเด็ดขาดเสมอ นางเด็ดขาดยามต้องกำจัดสิ่งที่อาจเป็นภัยหรือความอ่อนแอให้พ้นสายตา นับแต่บิดาตายจากนางก็กำจัดความอ่อนแอเหล่านั้นทิ้งออกไปหมดเหลือก็เพียงแต่…

"ท่านประมุขกลิ่นคาวเลือดชัดเจนนัก"หลิงเจี๋ยพูดขึ้นโดยที่สายตาไม่ละออกจากตัวหนังสือในมือ คนผู้นี้ถึงกับกล้าพูดกับนางโดยไม่แม้แต่เงยหน้าขึ้นหากเป็นผู้อื่นอารมณ์คนฟังคงได้ร้อนขึ้นมาบ้างแล้ว แต่หลิงเจี๋ยหาใช่ผู้อื่น และผู้อื่นหาใช่หลิงเจี๋ยที่สามารถทำเช่นนี้ได้โดยไม่ต้องเกรงกลัว

"รอบตัวข้าก็อบอวลด้วยกลิ่นอายเช่นนี้มานานแล้ว เจ้าพูดราวกับไม่รู้"หญิงสาวผู้อื่นมีกลิ่นหอมของมวลดอกไม้ ตัวนางเป็นนางมารที่ใช้วิชาตราประทับโลหิตไม่มีกลิ่นเลือดติดกายสิถึงนับว่าแปลก เฉินจิ่งลี่ฝึกวิชาด้วยการใช้โลหิตของผู้มีฝีมือเพิ่มพูนความแข็งแกร่ง วันแล้ววันเล่าที่ร่างกายถูกย้อมชโลมด้วยของเหลวสีแดงสดเหล่านั้น ไม่ว่าจะล้างสักกี่ครั้งกลิ่นเลือดก็ยังติดกายยากลบเลือน

"ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน"จมูกของหมอที่ต้องแยกแยะสมุนไพรเป็นประจำทุกวันรับรู้ได้ถึงกลิ่นที่แปลกออกไปจากปกติ สายตาของหลิงเจี๋ยละจากหนังสือแล้วจับจ้องตรงไปยังสตรีผู้มีอำนาจสูงสุดในหุบเขามังกร เขาแย้มรอยยิ้มอบอุ่นถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร"ท่านประมุขบาดเจ็บมาใช่หรือไม่"

"ไม่ใช่"นางยังคงรักษาน้ำเสียงให้เรียบนิ่งเหมือนเดิมได้แต่กลับเป็นฝ่ายหลุบตาลงก่อน นางรู้อยู่แก่ใจว่าถ้อยคำเหล่านี้หลิงเจี๋ยล้วนถูกพูดออกมาตามหน้าที่ของหมอประจำตัวทั้งสิ้น ถึงกระนั้นก้อนเนื้อในอกของมารร้ายแห่งยุคที่ควรด้านชาก็ยังถูกเขย่าจนสั่นไหว เรื่องวุ่นวายอันใดก่อนหน้าถูกปัดทิ้งไปราวกับไม่เคยมีมาก่อน เช่นเดียวกับรอยถากลึกบนข้อมือที่ถูกหลงลืม ความสุขของประมุขแห่งหุบเขามังกรง่ายดายจนไม่น่าเชื่อ เพียงมีเขาอยู่ตรงนี้ในสายตา เพียงคำพูดห่วงใยตามหน้าที่ เพียงเท่านี้เอง รอยยิ้มงดงามอ่อนหวานแต่งแต้มเรียวปากสีแดงสดความอบอุ่นถูกผสมเจืออยู่ในแววตา

"ท่านประมุขปลอดภัย เช่นนั้นก็ดีแล้ว"เส้นสายที่อ่อนโยนประกอบขึ้นเป็นภาพโฉมงามผู้พิลาสล้ำเสียดายที่หลิงเจี๋ยหันกลับไปสนใจตำราแพทย์เล่มใหม่ในมือทันทีที่พูดจบจึงไม่มีโอกาศได้ยลภาพหายากด้วยตาของตน

"ต้นเดือนหน้าข้าต้องเดินทางไปซีหู"คนพูดนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยปากสั่ง"ครั้งนี้ให้เจ้าไปด้วย"

"ข้าน้อยทราบแล้วขอรับ"น้ำเสียงหลิงเจี๋ยอ่อนนุ่มฟังแล้วสบายหู เสียดายที่เขาพูดกับทุกคนด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ ใจดีและอ่อนโยนกับใครต่อใครได้ไม่ต่างกัน ดังเช่นการตอบรับที่ว่าง่ายนี้ก็เป็นเพราะคำสั่งของประมุขนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนในพรรคมังกรทมิฬจะทักท้วงได้

นางเลิกเข้าข้างตัวเองนานแล้ว

หลิงเจี๋ยอยู่ข้างกายนางในฐานะหมอประจำตัว น่าหัวเราะที่ตนไม่อาจเจ็บป่วยให้เขาได้แสดงฝีมือรักษาสักครั้ง ตราประทับโลหิตที่บิดาและผู้อาวุโสเก่าแก่ของพรรคถ่ายทอดให้แก่นางก่อนสิ้นใจทำให้ในเมืองใต้นี้ไม่มีใครมีฝีมือพอจะทำให้ร่างกายนางบาดเจ็บ อย่าว่าแต่เจ็บหนักเลยแม้แต่แผลเท่าแมวข่วนยังไม่ปรากฏให้เห็น หลังจากที่ใช้ตราประทับโลหิตสำแดงเดชอยู่หลายปีจนเชี่ยวชาญคมอาวุธส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงหนึ่งศอกนับจากผิวเนื้อ หากมิใช่เพราะอาวุธลับแปลกประหลาดนั้นแผลตรงข้อมือนี้ก็คงไม่ปรากฎเช่นกัน ตำแหน่งหมอประจำตัวอะไรนั่นก็แค่สิ่งที่อุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อยึดเขาเอาไว้ข้างตัวเท่านั้น

ความอึดอัดใจของคนตรงหน้ามีมากเท่าใดนางรู้อยู่แก่ใจ ข่าวลือน่ารังเกลียดเหล่านั้นผ่านหูมาให้ได้ยินนับครั้งไม่ถ้วน เพียงเขานั่งอย่างสงบอยู่ตรงนี้ได้ก็น่านับถือมากแล้ว ทำไมคนเหล่านั้นถึงไม่เคยเข้าใจบ้างเลยหนอ

"พรุ่งนี้ข้าน้อยขออนุญาตลงจากเขาได้หรือไม่"การลงจากเขากลายเป็นเรื่องยากสำหรับคนของหุบเขามังกรที่ไร้วรยุทธเช่นหลิงเจี๋ย เมื่อพรรควิหกเพลิงลงมือหนักข้อมากขึ้นทุกทีการออกไปจากหุบเขาไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดนัก เพียงแต่โรงหมอของเขานั้นถูกทิ้งร้างมานานและผู้ป่วยหลายรายมิอาจทนรอได้อีก

"ได้"แม้จะยังมีเรื่องของพรรควิหคเพลิงที่ยังจัดการได้ไม่จบ เฉินจิ่งลี่ก็ไม่ขัดคำขอที่หลิงเจี๋ยเอ่ยปากขอด้วยตนเอง ไม่บ่อยครั้งนักที่หลิงเจี๋ยจะร้องขอนางสักข้อ หากไม่ยากเกินความสามารถมีหรือที่นางจะตอบปฏิเสธ"จะลงเขาต้องเดินทางแต่เช้า วันนี้เจ้ากลับไปพักก่อนเถอะ"

"ขอรับท่านประมุข"ชายในชุดขาวประสานมือโค้งกายทำความเคารพอย่างเหมาะสมครั้งหนึ่งแล้วทำท่าจะหมุนกายจากไป

"เดี๋ยว"เฉินจิ่งลี่มองหนังสือที่กลับไปอยู่บนชั้นก่อนเอ่ยปากอีกครั้ง"เล่มนั้นเจ้าเอากลับไปก่อนอ่านจบแล้วค่อยเอามาคืน"หนังสือบันทึกการรักษาของขุนนางหลวงย่อมจำเป็นกับคนเป็นหมอมากกว่าตัวนางที่ไม่ใคร่สนใจตำหรับตำรา และคนเช่นหลิงเจี๋ยคงเลือกตัดใจทิ้งของที่ต้องการเอาไว้ที่เดิม มากกว่าเดินมาที่ตำหนักใหญ่เพื่อหยิบยืม

"ขอบคุณท่านประมุข"รอยยิ้มสว่างไสวอ่อนโยนที่ถูกส่งมาให้พร้อมคำขอบคุณ เป็นภาพที่น่ามองเหมาะกับฉายาเทพบุตรแห่งแดนใต้ที่ใครต่อใครขนานนามให้ยิ่งนัก หลิงเจี๋ยไม่ใช่ชายหนุ่มที่หล่อเหลาที่สุดที่นางเคยพบ ฝีมือทางด้านการรักษาไม่อาจสู้ลู่เยวี่ยเกิงที่นางรับเข้ามาเมื่อสี่ปีก่อน คนผู้นี้ไม่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของนาง ไม่ได้สำคัญต่อหุบเขามังกร เพียงแค่รอยยิ้มดีใจเมื่อครู่ของเขาทำให้ตนมีความสุขได้เท่านั้น

ในแผ่นดินเสิ่นหยางมีบุรุษรูปงามมากมายเสนอตัวยอมแดดิ้นอยู่ใต้เท้า เฉินจิ่งลี่ไม่แน่ใจว่าทำไม่ต้องเป็นหลิงเจี๋ยผู้นี้ ทำไมต้องเป็นชายที่ยืนกรานไม่ตอบรับความรู้สึกของตนอย่างถึงที่สุด นางรู้เพียงว่าตนเผลอวางหัวใจในมือเด็กชายหลิงเจี๋ยที่อ่อนโยนใจดีสมฉายาเทวดาเท่านั้น

ภาพความทรงจำของวันวานของตัวนางที่ดื้อดึงและร้ายกาจยังวนเวียนอยู่ในหัว สายตาของหลิงเจี๋ยในวันนั้นตนจำได้ดี กับสุนัขหน้ามอมขนสีน้ำตาลเขายังเอาตัวเข้าปกป้องนับประสาอะไรกับมนุษย์ ตอนนั้นเขาใจดีและอ่อนโยนเช่นไรก็ยังเป็นเช่นเดิมไม่เปลี่ยนดังเช่นตัวนางที่ร้ายกาจเช่นไรก็ยังร้ายกาจและโหดร้ายจนถูกโจษจันไปทั่วแผ่นดินเสินหยาง

ยุทธภพขนานนามเฉินจิ่งลี่ผู้นี้ว่านางมารกระบี่สีเลือด เป็นประมุขพรรคมารที่ไร้ความปราณีไล่ล่าสังหารผู้คนได้โดยไม่กระพริบตา นางมารร้ายผู้ผุดขึ้นจากนรกที่ไม่มีใครกล้าต่อกร

เฉินจิ่งลี่พอใจที่จะให้มันเป็นเช่นนี้นางไม่เคยคิดจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นอื่น

เสียดายก็แต่คนอย่างหลิงเจี๋ยไม่มีทางชอบตนที่เป็นนางมารกระหายเลือดก็เท่านั้น

ลานหินด้านนอกยังคงชื้นแฉะไม่เหมาะกับการฝึกยุทธ แต่การออกแรงสักหน่อยก่อนนอนน่าจะทำให้ข่มตาหลับลงได้บ้าง

ล่วงเข้ายามไฮ่เสียงกระบี่ตัดผ่านลมยังคงดังขึ้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ในสวนที่มีแสงจากตะเกียงจุดให้แสงสว่างมีร่างของประมุขพรรคมังกรทมิฬจับอาวุธเข้าฟาดฟันอากาศราวกับที่ตรงนั้นมีศัตรูที่ไปมองไม่เห็นเป็นคู่ต่อสู้ที่จำต้องเอาชนะให้จงได้

กระบี่บางถูกด้วยเคลือบด้วยประกายสีแดงไม่ต่างจากอาบชโลมไว้ด้วยโลหิต ตราประทับโลหิตตรงต้นแขนแผ่กลิ่นอายสังหาร ประสาทสัมผัสทุกส่วนของประมุขพรรคมารก็ถูกลับจนเฉียบคมยิ่งกว่าสัตว์อสูร ความเร็วความรุนแรงจากการออกอาวุธเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี คลื่นกระบี่สายหนึ่งถูกส่งออกไปจากปลายอาวุธ ศิลาก้อนใหญ่ที่ใช้ตกแต่งสวนก็มีรอยบาดลึกเฉียบคมปรากฎให้เห็นเป็นทางยาวลากจากฐานไปจนสุดปลาย

"ท่านประมุขโปรดยั้งมือด้วย"ชายผู้หนึ่งที่หลบอยู่ในเงาก้าวออกมาให้เห็นตัว

ดวงตาตาเยียบเย็นตวัดมองผู้บุกรุกเป็นคำตัดสินที่เด็ดขาด กระบี่ที่ถูกวาดออกไปคราวนี้เฉือนเข้าที่ต้นแขนผู้บุกรุกโดยตรงเกิดเป็นแผลขึ้นรอยหนึ่ง บาดลึกเข้าไปครึ่งข้อนิ้วพอดิบพอดีไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้นคือการตักเตือน

"ขอบคุณท่านประมุขที่เมตตา"ชายผู้นั้นคุกเข่าลงโดยไม่ร้องโอดโอยให้มากความ เขารีบร้อนจนหลงลืมเรื่องสำคัญและกฎระเบียบที่พึงปฏิบัติไปเสียสิ้น ท่านประมุขลงโทษด้วยตนเองเช่นนี้การไปขอรับโทษที่หอลงทัณฑ์นั้นไม่จำเป็นอีก ต้องขอบคุณที่ท่านประมุขยังปราณี แผลยาวไม่ถึงสองชุนไม่นับว่าหนักหนาสำหรับผู้ฝึกยุทธ เสียเลือดย่อมต้องดีกว่าเสียแขน และการเสียแขนสักข้างย่อมดีกว่าการรับโทษที่หอลงทัณฑ์มากนัก"พรรควิหคอัคคีกำลังระดมพลพรรคใหญ่น้อยทั้งในเมืองใต้และเมืองใกล้เคียง พวกเขาให้เหตุผลว่าท่านลงมือเกินกว่าเหตุ"

"ไร้สาระ"ชาวยุทธเหล่านี้ไม่มีอย่างอื่นให้ทำนอกจากระรานความสงบสุขในชีวิตนางแล้วหรืออย่างไร"กลับไปบอกเจ้าตำหนักที่สามให้เตรียมการรับมือ"

ยังไม่ได้เอ่ยออกมาสักคำเดียวว่ามาจากตำหนักที่สาม ต้องมีความจำเป็นเลิศเท่าใดท่านประมุขจึงสามารถจดจำตนเองได้ทั้งที่ไม่เคยเจอซึ่งหน้าซักครั้งได้อย่างแม่นยำ

"ห้ามเลือดก่อนไปเสียด้วย มิเช่นนั้นทั้งตัวเจ้าและคำสั่งของข้าคงถูกค้างคาวหามไปก่อนกลับไปถึง"มองศิษย์ผู้นั้นฉีกผ้าแถบหนึ่งมากดบาดแผลตามคำสั่งก็พยักหน้าให้เขาจากไปได้ หุบเขามังกรเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายนานาชนิดไม่รู้ว่าศิษย์จากตำหนักที่สามผู้นี้รอดชีวิตมาถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร ความสงบสุขช่างทำให้ผู้คนหย่อนยานและหลงลืม

เฉินจิ่งลี่เก็บอาวุธเข้าฝักที่อยู่ข้างกาย อารมณ์ที่อยากซ้อมฝีมือถูกพรรคนกย่างทำลายจนหมดสิ้น รอยยิ้มแปลกประหลาดถูกจุดขึ้นบนริมฝีปากเรียวสวย พร้อมกับแผนการนานับประการถูกวาดขึ้นในสมอง หากความอดทนหมดลงนางมารผู้นี้อาจพิจารณาสละเวลาไปย่างนกด้วยตนเองดูสักที

——————————————————————————————————

ฝันดีล่วงหน้านะคะ

รีวิวจากผู้อ่าน 5 รีวิว
  • Nymphnim
    เมื่อ 5 ปี 8 เดือนที่แล้ว
    ขอบคุณนะคะตามๆ
    • อ่านถึง : ตอนที่ 1 นางเลิกเข้าข้างตนเองนานแล้ว
  • Sirisupa
    เมื่อ 6 ปี 4 สัปดาห์ที่แล้ว
    thanks you
    • อ่านถึง : ตอนที่ 1 นางเลิกเข้าข้างตนเองนานแล้ว
  • blue2560
    เมื่อ 6 ปี 1 เดือนที่แล้ว
    ขอบคุณ​มาก​ก​ก​ก​ก​ก​ก​ก​ก​
    • อ่านถึง : ตอนที่ 1 นางเลิกเข้าข้างตนเองนานแล้ว
  • Boo
    เมื่อ 6 ปี 1 เดือนที่แล้ว
    Okkkkkkkkkkkk
    • อ่านถึง : ตอนที่ 1 นางเลิกเข้าข้างตนเองนานแล้ว
  • Ratchanee
    เมื่อ 6 ปี 1 เดือนที่แล้ว
    น่าสนใจและติดตาม
    • อ่านถึง : ตอนที่ 1 นางเลิกเข้าข้างตนเองนานแล้ว

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว