ตราบาปมลทิน-บทที่ 1 หัวใจที่ขมขื่น06

โดย  r_mustang

ตราบาปมลทิน

บทที่ 1 หัวใจที่ขมขื่น06

“เกรงว่าจะเป็นไปไม่ได้ พวกเราแยกบ้านแล้ว ไม่ใช่บ้านสามแห่งสกุลลู่อีกต่อไป หากยังมีหนังสือหมั้นอยู่กับตัวก็พอว่า แต่นี่มันอยู่ที่ไหนกัน อยู่ที่จวนตระกูลลู่ คนแต่งก็อาจเป็นคนตระกูลลู่ แต่อาจจะไม่ใช่ข้า แล้วยังจะมาบอกว่าเก็บไว้ให้อะไรกันอีก วันหน้ายังไม่รู้เลยว่าพวกเราจะย้ายไปที่อื่นหรือไม่ พวกท่านก็ช่างกล้าพูดเหลือเกิน”

“เจ้าเด็กบ้า! เจ้าว่าใครกัน ของหมั้นส่งมาที่จวนลู่ของพวกเรา แน่นอนว่าต้องเป็นของพวกเรา แม้...แม้เจ้าจะแยกบ้านไปแล้วแต่การหมั้นหมายก็ไม่เปลี่ยน อย่างไรชื่อในหนังสือหมั้นก็เป็นชื่อเจ้า” ลู่เมิ่งกลับคำแทบไม่ทัน

พี่ใหญ่ของเขาส่งสายตาน่ากลัวมากะทันหัน พอมาคิดดูอีกที ไม่ใช่นังเด็กอ้วนนั่นพูดว่าพวกเขากำลังวางแผนจะฮุบวาสนาของตนหรอกรึ เด็กที่รู้จักแต่กินจะรู้จักคิดรู้จักพูดขนาดนี้ได้อย่างไร หรือหัวกระแทกจนสมองกลับ

ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็น่าเจ็บใจ แทนที่จะโง่ลงกลับฉลาดขึ้นเสียนี่

แต่ลู่จื้อไม่เหมือนลู่เมิ่ง เขากลับคิดลึกซึ้งกว่านั้น ไม่มีใครเติบโตได้ในชั่วข้ามคืน หากไม่เป็นเพราะมีคนสั่งสอนให้พูดก็ต้องเป็นเพราะนางเก็บประกายเอาไว้ได้มิดชิด ลู่จื้อมองร่างกายอวบอ้วนนั้นอย่างห้ามไม่ได้

น่าเสียดายที่พวกเขาคงคิดไม่ถึงว่า เป็นนางระลึกชาติได้ มิใช่แกล้งโง่

หลี่หลิงฟางใจแกว่งกับคำพูดของบุตรสาวไปก่อนหน้านี้แล้วนางจึงพูดเสียงสั่นน้อย ๆ ว่า “นั่นสิ จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ก็ในหนังสือหมั้น...”

เดี๋ยวก่อน...คนที่รู้ว่ามีหนังสือหมั้นมีเพียงนางกับสามีเท่านั้น พวกนางสามีภรรยาคิดเผื่อเหตุการณ์ไม่คาดฝันเหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่ได้บอกใครเลยว่ามีหนังสือหมั้นซ่อนอยู่ในบรรดาของหมั้น ยิ่งไม่มีทางมีใครรู้ว่าในนั้นระบุชื่อของบุตรสาวนางเอาไว้ชัดเจน นอกเสียจากว่า...

“แม้แต่เรื่องหนังสือหมั้นหมาย พวกท่านก็รู้ดีเช่นนี้ อาจจะดีก็ได้ที่ของหมั้นถูกขโมยไปหมดแล้ว พวกเราไม่เดือดร้อนอะไร พวกท่านก็กลับไปเถอะ” หลี่หลิงฟางเจ็บใจที่ถูกพวกเขาหลอก

จิตใจของคนพวกนี้นางตามไม่ทันจริง ๆ แม้จะระวังแค่ไหนก็ยังถูกเล่นงานอยู่ดี

“น้องหก วาสนานี้มิใช่เจ้าไม่ติดใจเอาความก็แล้วไปได้ หากวันหน้าเจ้าของของหมั้นมาถามหา จะตอบไปว่าอย่างไร อีกทั้งมีโจรเข้ามาหลังจากพวกเจ้าแยกบ้านออกมา ทั้งของในนั้นที่หายไปยังเป็นบรรดาของหมั้นของเจ้า พวกเราก็เลย...” คนพูดทำท่าทางลำบากใจคล้ายลังเลว่าจะพูดหรือไม่พูดดี “พี่รองหวังดีกับเจ้านะ หากเจ้าบริสุทธิ์ใจ ก็ยอมให้พวกเราเข้าไปดูข้างในเถิด เมื่อความจริงกระจ่างเจ้าจะได้ไม่ถูกนินทา พวกเราเองก็จะได้สบายใจ”

ผู้ที่ก้าวออกมาพูด คือเด็กสาวนามลู่เสียน เป็นบุตรสาวของลู่จื้อกับฮูหยินสกุลหวัง นางถือเป็นคุณหนูใหญ่เนื่องจากในบรรดาคุณหนูทั้งสามคน นางอายุมากที่สุด ปีนี้นางอายุสิบห้าแล้ว ถึงวัยต้องหาคู่ครองเสียที

เห็นนางแล้วลู่เอินก็อดหัวเราะไม่ได้

“น้องหกหัวเราะอะไรหรือ” ลู่เสียนยังคงน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยนไว้ หากเทียบกับลู่เจียวแล้วลู่เสียนเป็นตัวยุ่งยากกว่ามาก

“ข้าก็แค่แปลกใจ เมื่อก่อนท่านไม่เคยให้ข้าเรียกว่าพี่เลยสักครั้ง ข้าเรียกเมื่อไหร่ท่านก็จะตีเมื่อนั้น บอกให้ข้าเรียกท่านว่าคุณหนูใหญ่ เรียกลู่เจียวว่าคุณหนูรอง พวกพี่ชายก็ให้เรียกคุณชายใหญ่คุณชายรอง มาวันนี้ท่านเรียกข้าว่าน้องหกแล้วแทนตัวเองว่าพี่รอง จะไม่ให้ข้าหัวเราะได้หรือ คุณหนูใหญ่คงลืมไปว่าตอนนี้พวกเราแยกบ้านแล้วเรียกขานเช่นนี้ไม่เหมาะสม ท่านเรียกข้าลู่เอินเถอะ”

ลู่เอินกล่าววาจาเชือดเฉือนแต่หน้าตายังเหมือนคนโง่งม ช่างขัดแย้งเสียนี่กระไร

ลู่เสียนยิ้มค้าง “น้องหกพูดเช่นนี้ผู้คนจะเข้าใจผิดได้ เจ้าเลิกหยอกล้อพี่รองเถอะ”

“คุณหนูใหญ่เรียกข้าลู่เอินนะเจ้าคะ” ลู่เอินยังคงย้ำอีกรอบ วันนี้ต้องขีดเส้นให้ชัดเจน จะให้พวกเขาเรียกขานนับญาติไม่ได้

หวังฟางมองสายตาของสามีแล้วนางก็พยักหน้า ก้าวขึ้นมากล่าวอย่างนุ่มนวลไม่ต่างจากบุตรสาวของนางเลยแม้แต่น้อย “เจ้าอย่าทำให้นางไม่พอใจเลย เรียกนางอย่างที่นางต้องการเถอะ อย่างไรพวกเราก็แยกบ้านแล้วจริง ๆ”

ลู่เอินเห็นบ้านใหญ่กำลังลงมือก็คิดว่าถึงเวลาที่นางต้องลงมือบ้างแล้ว

ดวงตาที่แม้จะถูกไขมันแก้มเบียดบังไปบ้าง ก็ยังมองเห็นความกลมโตที่เบิกกว้าง มุมปากเผลอยกขึ้นก่อนจะเปลี่ยนเป็นอ้ากว้างแล้วเอ่ยขึ้นว่า “อ๋อ ข้าเข้าใจแล้ว พวกเขามาวันนี้เพราะคิดว่าพวกเราเป็นขโมยเจ้าค่ะท่านแม่”

“อะไรนะ!” หลี่หลิงฟางไม่ได้แสร้งตกใจ นางตกใจจริง ๆ แวบแรกคิดว่าถูกจับได้เสียแล้ว เห็นบุตรสาวมองมาจึงนึกได้

ไม่ว่าเขาจะว่าอะไร พวกนางก็ต้องปฏิเสธให้หนักแน่น คนลงมือคือคุณชายจวนโหว เขาคงไม่ทำอะไรให้คนจับได้หรอก

หวังฟางรีบยิ้มแย้มก่อนเอ่ยว่า “พวกเราก็แค่สงสัยเท่านั้น จู่ ๆ ก็มีขโมยเข้ามา ข้าวของที่หายไปมีของหมั้นอยู่ด้วยไม่ว่าใครก็ต้องสงสัย หลิงฟางหากพวกเจ้าเอาไปจริงก็ขอให้บอกมา อย่างไรพวกเราก็เคยเป็นครอบครัวเดียวกัน ของหมั้นก็เป็นของเสี่ยวเอินเอง หากพวกเรารู้ความจริง จะได้ไม่ติดใจอะไรอีก แล้วก็จะได้ไม่ไปแจ้งทางการให้เป็นเรื่องใหญ่โต”

หลี่หลิงฟางกังวลจนฝ่ามือชุ่มเหงื่อ นางออกแรงที่ประคองบุตรสาวขึ้นโดยไม่รู้ตัว ลู่เอินตบหลังมือมารดาเบา ๆ

“นี่ไม่ใช่ว่าสกุลลู่ปักใจแล้วหรอกหรือ ฮูหยินใหญ่ไม่ได้พูดอะไรผิดใช่หรือไม่ พูดเช่นนี้แม้แต่คนโง่งมอย่างข้ายังฟังออกเลยว่าปักใจเชื่อไปแล้ว เอะอะอะไรพวกท่านก็พูดแต่ถึงของหมั้น แต่ของหมั้นพวกนั้นข้ายังไม่เคยเห็นสักครั้ง ข้าถามหน่อยว่ามีเพียงของหมั้นของข้าเท่านั้นหรือที่ถูกขโมยไป”

ลู่เอินทำทีโมโห นางหายใจแรง ๆ ท่าทีเหนื่อยหอบ

หวังฟางอึ้งไปเล็กน้อย ลู่เอินเป็นสตรีที่ไม่มีความยั้งคิด หลงเชื่อคนง่าย มักแสดงอารมณ์ออกมาอย่างง่ายดาย ตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น ทว่ายามเกิดเรื่องอะไรขึ้นนางมักหวาดกลัวจนหัวหด ไม่มีทางจะแสดงท่าทีออกปากเถียงฉอด ๆ เช่นนี้ได้

หัวกระแทกเฉียดตายครั้งเดียว เปลี่ยนไปขนาดนี้เชียวหรือ

“ยังมีสมบัติบางส่วนด้วย พอตรวจแล้วพบว่าเป็นของของพวกเจ้าทั้งนั้น วันนี้เลยมาสอบถามให้แน่ใจ หากน้องสะใภ้ไม่พอใจที่ออกมาตัวเปล่าก็ขอให้พูดออกมาเถิด ของพวกนั้นจะถือว่าส่งคืนให้ จะได้ไม่ไปแจ้งความ” ลู่จื้อเห็นว่าชักช้ายืดเยื้อแล้วพานจะเสียเปรียบ รีบพูดรวบรัดออกมาทันที

หวังฟางสนับสนุนคำกล่าวของสามี “ใช่แล้ว หลิงฟางเจ้าคิดให้ดีนะ”

“เอ๊ะ ก็บอกว่าไม่รู้เรื่องอย่างไรเล่า พวกท่านกล่าวว่าตัวเองฉลาดนักไฉนจึงพูดไม่รู้ฟัง” หลี่หลิงฟางก็ยังยืนกราน อย่างไรนางก็ไม่ได้เป็นคนเข้าไปขโมยจริง ๆ ไม่มีเหตุผลอะไรให้สารภาพเสียหน่อย

“ถูกต้องแล้ว อยากไปแจ้งความก็ไปแจ้งเลย หากจับหัวขโมยได้แล้วได้ของคืนมา ก็ช่วยเอาของหมั้นมาคืนให้ข้าด้วย จู่ ๆ ข้าก็อยากเห็นคู่หมั้นขึ้นมาแล้ว ตอนนี้พวกเราลำบากมาก หอบของหมั้นไปบ้านคู่หมั้นน่าจะดี”

ลู่เอินเป็นสตรีที่ชื่อเสียงค่อนไปทางไม่ดีเพราะรูปลักษณ์ไม่น่าพิสมัย อีกทั้งยังไม่ฉลาด ดังนั้นคำพูดของนางก็เลยไม่ได้ส่งผลอะไรกับตัวเองเท่าไหร่ อย่างมากผู้คนก็แค่ตำหนิที่นางพูดไม่รู้จักอาย

แต่ตรงกันข้าม คำพูดเช่นนี้ของนางกลับตีแสกหน้าเหล่าผู้มาเยือนจนหน้าชาได้เลยทันที


ลู่เสียนมองคนอ้วนและอัปลักษณ์แล้วได้แต่จิกมือกับผ้าเช็ดหน้าอย่างพยายามกดข่มอารมณ์

คนอย่างนางมีสิทธิ์อะไรถึงได้คู่หมั้นร่ำรวยเพียงนั้น ของหมั้นที่อยู่ในหีบเหล่านั้นมีจำนวนไม่มาก แต่ล้วนเป็นของล้ำค่าที่หาในเมืองนี้ไม่ได้ เป็นของจากเมืองหลวงที่ล้วนสูงค่าจนนางอิจฉา

ท่านแม่บอกว่า ของหมั้นพวกนั้นจะตกเป็นของนาง ยังบอกว่าท่านพ่อหมายใจจะสับเปลี่ยนเจ้าสาวเมื่อยามคู่หมั้นคนนั้นมาสู่ขอ ท่านพ่อจะให้นางไปแต่งแทน แต่งเข้าไปเป็นฮูหยินคุณชายเมืองหลวงย่อมดีกว่าเหล่าคุณชายที่เมืองนี้ ลู่เสียนวาดฝันถึงชีวิตแต่งงานที่หรูหราไว้มาก พอเกิดเรื่องเช่นนี้จึงรู้สึกเจ็บไปทั้งใจ

“พวกเจ้าไม่ได้เอาไปจริง ๆ หรือ” ลู่จื้อที่เฝ้ามองอยู่นานเอ่ยถาม

“แน่นอนสิ หากไม่เชื่อท่านเข้าไปค้นดูได้ แต่ถ้าไม่มีจริง ๆ พวกท่านจะชดใช้ที่กล่าวหาพวกเราอย่างไร” ลู่เอินกล่าววาจาโอหัง

ลู่จื้อเห็นความอวดดีไม่กริ่งเกรงอันใดก็รู้สึกลังเล ลำพังยกโขยงกันมาเช่นนี้ก็เป็นที่พูดถึงมากพออยู่แล้ว หากตรวจค้นแล้วไม่พบอะไรก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

แต่ลู่เมิ่งช่างพูดมีความสามารถในการพาที เขาจึงกล่าวขึ้นว่า “หากพวกเจ้าเอาของไปไว้ที่อื่นเล่า”

“นายท่านรองพวกเราออกมาไม่มีอะไรติดตัวมาเลย ใช้ชีวิตด้วยเงินจากการขายเครื่องประดับที่มีอยู่ไปหมดแล้ว เครื่องประดับเงินอันโปรดของข้า ท่านแม่ยังเอาไปขายเลย หากข้าไม่ถาม ข้าก็ไม่มีวันรู้ว่าพวกเรายากจนเพียงนี้ ตั้งแต่นั้นมาข้าไม่เคยได้กินอิ่มอีกเลย พวกท่านดูสิข้าผอมลงไปตั้งเยอะ”

ลู่เอินตบพุงแล้วมองพุงที่นางมโนว่ามันยุบลงไปอย่างเศร้าใจ คนฟังต่างมองในจุดเดียวกัน แล้วเกิดความคิดคล้ายกันขึ้นมาว่า ตรงไหนที่ว่าผอมลง นางยังอ้วนพุงยื่นเหมือนเดิม

“มารยา” ลู่เจียวอายุน้อยที่สุด นางเลยยังไม่รู้จักเก็บรักษาอาการแม้จะพยายามทำตัวเจ้าเล่ห์เจ้าแผนการ แต่ด้วยความที่ยังอายุน้อยเลยทำได้ไม่ตลอด มีบ่อยครั้งที่นางมักหลุดอาการเช่นนี้

เมื่อก่อนลู่เอินก็เคยเห็นนางชักสีหน้าอยู่เหมือนกัน ตอนยังอยู่ในจวนสกุลลู่ ลู่เจียวมักมาเล่นด้วยแม้ไม่บ่อย แต่ก็มาไม่ขาด ยามนางมาก็มักเอาขนมติดมือมาด้วยเสมอ คะยั้นคะยอให้ลู่เอินกินให้หมดทุกครั้ง สาเหตุหนึ่งของความอ้วนนี้ก็มาจากนางด้วย

คิดดูแล้วลู่เจียวเริ่มมาหาก็น่าจะสักสามสี่ปีก่อน ตอนนั้นอีกฝ่ายยังเด็กมาก นางย่อมไม่มีทางคิดเรื่องนี้เองได้ เกรงจะมีคนวางแผนให้กระมัง


บ้านสกุลลู่มีสี่พี่น้อง ลู่จื้อคนพี่มีฮูหยินหนึ่งคนและอนุอีกหนึ่ง บุตรที่เกิดจากฮูหยินมีสองคน บุตรชายคือลู่เพ่ย บุตรสาวคือลู่เสียน ส่วนอนุมีบุตรสาวอายุตอนนี้เพียงสองขวบ

ลู่เมิ่งมีฮูหยินหนึ่ง อนุสอง สาวใช้ปรนนิบัติอีกสอง และนางบำเรอที่นำมาจากหอนางโลมอีกหนึ่ง ลู่เอินเคยได้ยินว่านางบำเรอผู้นั้นงดงามมาก กว่าจะได้มาครอบครองลุงรองต้องจ่ายไปมากโข จวงฟางเหนียงที่เป็นฮูหยินรู้สึกอิจฉานางมาก แต่ที่ยังไม่ลงมือเพราะสามียังโปรดปรานนางบำเรออยู่มาก ลู่เมิ่งเจ้าชู้เช่นนี้กลับมีบุตรกับฮูหยินเพียงสองคน บุตรชายนามลู่เจ๋ออายุสิบหก บุตรสาวคือลู่เจียวอายุสิบปี นับว่าค่อนข้างห่างกันทีเดียว

ส่วนบิดาของลู่เอินแตกต่างจากพี่ชายทั้งสอง เขาไม่มีอนุ มีเพียงมารดาของนางคนเดียว ลู่เหวินพี่ชายนางอายุสิบสี่ ลู่เอินอายุสิบสอง และน้องเล็กที่เป็นลูกหลงในท้องมารดานาง ไม่แปลกที่จะเป็นที่ระแวงของพี่ชายสองคน

นอกจากนี้พวกเขายังมีน้องสาวคนเล็กอีกคน นามลู่ชิง นางแต่งกับครอบครัวร่ำรวยต่างเมืองตั้งแต่อายุสิบหก แต่ท่านอาผู้นี้ลู่เอินยังไม่เคยเจอเลยสักครั้ง


“ลำบากมากเช่นนี้ทำไมไปกลับไปที่จวนเล่า พวกเราจะได้มอบของที่ควรเป็นของพวกเจ้าให้”

ลู่จื้อกล่าวได้น่าขันนัก หากเขาจะให้ก็ต้องให้ตั้งแต่พวกนางจะแยกบ้านออกมาแล้วสิ ลู่เอินจึงยิ้มก่อนเอ่ยกับมารดาว่า “ท่านแม่ให้พวกเขาเข้ามาค้นเถอะ ถูกกล่าวหาว่าเป็นขโมยหากไม่พิสูจน์ให้แน่ชัดจะเป็นที่แคลงใจ ข้าชักเริ่มเวียนหัวแล้ว ท่านเองก็ท้องน้องเล็กอยู่ ยืนนาน ๆ ไม่ค่อยดีนัก”

ท่าทางอ่อนแอน่าสงสารของพวกนางแม่ลูกทำให้ชาวบ้านเห็นใจอีกครั้ง พวกเขาพากันซุบซิบอีกหน

“จริงสิได้ยินว่าหลิงฟางกำลังท้องลูกคนเล็กอยู่นี่ สามีมาด่วนจากไปเช่นนี้พวกนางช่างน่าสงสารนัก” สตรีผู้หนึ่งถอนใจ นางเป็นมารดาเช่นกัน รู้ดีว่าการตั้งท้องไม่ง่าย ยิ่งไม่มีสามีเป็นหลักค้ำให้แล้วยิ่งไม่ง่ายเข้าไปใหญ่

“ข้าเห็นบุตรชายบุตรสาวของนางถูกหามมาด้วย คนพี่เลือดโชกเชียว นังหนูคนนั้นก็หัวปูดใหญ่ขนาดนั้นไม่รู้ไปทำอะไรมา”


รีวิวจากผู้อ่าน 1 รีวิว
  • ปุ้ม ปุมปุ้ย ปุ้ม
    เมื่อ 5 ปี 11 เดือนที่แล้ว
    ติดตามกันต่แไผ
    • อ่านถึง : บทที่ 1 หัวใจที่ขมขื่น06

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว