ดั่งดวงชีวา

ตอนที่ 3 ลูกนกหลงรัง

อนาคินเปิดประตูห้องขังได้ในเวลาที่รวดเร็ว แม้จะเร็วปานสายฟ้าแต่ก็ยังช้ากว่าอำนาจแห่งมนต์หยุดเวลาของสมันตรา เขาไม่อาจรับรู้หรือได้ยินการสนทนาของชลธิดาและบิดาของเธอ นี่คือมนตราพิเศษที่ปิดบังการรับรู้ได้แม้กระทั่งพญานาคด้วยกัน มีเพียงพญานาคราชผู้ทรงอิทธิฤทธิ์เท่านั้นที่สามารถทำสิ่งนี้ได้

“ออกมาเลยสาวน้อย พระเอกมาช่วยแล้ว” น้ำเสียงยียวนพร้อมใบหน้ากวนๆ กระตุกยิ้มอยู่หน้าห้องขัง ดวงตากลมโตของสาวน้อยหน้าสวยจ้องมองอย่างไม่วางใจ เขาจึงโค้งคำนับดั่งเช่นสุภาพบุรุษปฏิบัติกับสุภาพสตรี หากเป็นหญิงอื่นคงใจละลายทว่าเธอมีชายในดวงใจเพียงผู้เดียว แต่คำเตือนของบิดามันทำให้เธอต้องกลับไปคิดทบทวนอีกครั้ง เธอควรเชื่อใจใครระหว่างบิดาผู้ให้กำเนิดกับชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของหัวใจ

“พ่อจ๋า เราไปกันเถอะ ออกไปจากที่นี่กัน” ชลธิดาประคองบิดาเพื่อจะเดินออกไปพร้อมกัน แต่เธอต้องตกใจสุดฤทธิ์เมื่อผู้เป็นพ่อผลักเธอออกมาจากห้องขังอย่างรวดเร็วจนถลาไปชนกับอกกว้างของอนาคิน ฝ่ายนั้นก็ยินดีและเต็มใจยื่นอกรอรับใบหน้าเนียนเช่นกัน

สมันตราลากโซ่ตรวนเดินตามออกมาอย่างเชื่องช้า เขาหยุดอยู่ก่อนถึงประตูห้องขัง เพียงพริบตาเดียวเขาก็พุ่งตัวออกมาอย่างรวดเร็ว แต่มนตราที่กักขังเขาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย เขาถูกพลังอำนาจคล้ายแม่เหล็กที่ติดอยู่ด้านในดูดกลับเข้าไปสู่ห้องขังอีกครั้ง ร่างของเขาถูกดึงเข้าไปในความมืดมิด

ประตูห้องขังปิดดังปัง! กุญแจที่เคยถูกไขออกล็อกตัวเองทันที

สมันตราพุ่งตัวออกมาอีกครั้งทว่าช้ากว่าอำนาจแห่งเวทมนตร์ เขาถูกดูดกลับเข้าไปและขังอยู่ในนั้นเช่นเดิม “พ่อออกไปไม่ได้ รีบหนีไป!! ตอนนี้ท่านพญานาคาธิบดีรู้แล้ว รีบหนีไปลูกรัก”

“ไม่ไป น้ำจะไม่ทิ้งพ่อไปไหน น้ำจะไม่ยอมเสียพ่อไปอีก เราสองคนพ่อลูกต้องหนีออกไปด้วยกัน” ชลธิดาพุ่งไปยังประตูห้องขัง เธอคว้ามือบิดาและกุมเอาไว้ เธอสัญญากับตัวเองว่าคราวนี้จะไม่ให้พลาดเหมือนคราวเงือกน้อยอลิสสา บิดาของเธอจะต้องหนีรอดไปด้วยกันอย่างปลอดภัย

“จงตั้งใจฟังพ่อ ไม่มีใครหรืออำนาจใดฆ่าพ่อได้ นอกจากพ่อจะละสังขารเพราะสิ้นบุญ ถ้าน้ำถูกจับก็มีแต่จะถูกใช้เป็นเครื่องมือมาบีบคั้นพ่อ รีบหนีไปและตามหามณีนาคราชให้เจอ ก่อนที่ท่านพญานาคาธิบดีจะหาเจอ มณีนาคราชคือสิ่งเดียวที่จะช่วยธารได้ อย่าห่วงพ่อเลย อีกนานกว่าพ่อจะสิ้นบุญ” ชลธิดามือสั่นเทา เธอเข้าใจเหตุผลของบิดา มือน้อยจึงค่อย ๆ ปล่อยมือใหญ่คืนสู่อิสระ เธอต้องรักษาตัวให้รอดเพื่อจะได้ไม่เป็นภาระของบิดา

“อนาคินจงพาน้ำออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เอาพ่อพราหมณ์นั่นไปด้วย มันจะช่วยเหลือน้ำได้” อนาคินโค้งคำนับแทนคำลาและดึงตัวชลธิดาออกมาอย่างเร็วรวด เพียงพริบตาเดียวร่างบางก็ยืนนิ่งอยู่หน้าห้องขังของพราหมณ์วัยกลางคนที่เป็นบิดาของเพื่อนสนิท

“น้ำ! น้ำช่วยลุงด้วย ลุงทรมานเหลือเกิน” เสียงคุ้นหูดังมาจากอีกสามสี่ห้องขังถัดไป ความสงสัยใคร่รู้ทำให้ชลธิดาเดินเข้าไปดูทว่าก็ยังรักษาระยะห่าง ใบหน้าของ “ลุงดำ” หรือ “นายบ้า” พ่อของนายใบ้ก็ปรากฏขึ้น เขาถูกขังอยู่ในห้องนั้นราวกับนักโทษ เธอขยี้ตาเบาๆ ลุงดำเคยถูกพ่อของเธอสาปให้เป็นคนบ้าเสียสติ แต่ลุงดำที่เจอในห้องขังนี้มีสติสัมปชัญญะครบถ้วน

“พาลุงออกไปด้วยนะ ลุงถูกขังอยู่ในห้องนี้มานานเหลือเกิน ลุงคิดถึงลูก คิดถึงบ้าน น้ำช่วยลุงด้วยนะ” นายดำอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ มือสองข้างยื่นออกมาพยายามคว้าร่างของเธอทว่าชลธิดาอยู่ไกลเกินกว่าจะคว้าถึง เขาจึงคว้าได้เพียงอากาศเท่านั้น

“ลุงดำมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” ดวงตาเศร้าจ้องมองชายชราด้วยความเวทนา เธออยากช่วยเขาออกไปด้วยกันจึงเดินเข้าใกล้หวังจะปลอบใจทว่ามือที่ไขว่คว้าอากาศอยู่ก็คว้าหมับเข้าที่คอหอยของเธอพร้อมออกแรงกระชากจนใบหน้าเนียนแนบชิดติดกับกรงขัง

“พ่อมึง! จับกูมาขังไว้ อีลูกพญานาค กูจะฆ่ามึง” นายดำสบถด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย มือทั้งสองบีบคอเธออย่างแรงจนเธอไม่อาจจะจับใจความเสียงด่าทอหยาบคายของเขาได้

ชลธิดาพยายามดิ้นรนให้พ้นจากการถูกทำร้ายแต่เรี่ยวแรงของนายดำนั้นมากมายเหลือเกิน มันคงเป็นแรงแค้นที่สะสมมานาน แต่แล้วแรงบีบก็คลายออก เสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังขึ้น มือที่บีบคอเธอแน่นปล่อยออกทันที เธอทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นพร้อมเสียงไอแครกๆ

เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของนายดำยังคงดังต่อเนื่อง เธอแหงนหน้าขึ้นมองตามเสียงร้องที่เจ็บปวดก็เห็นนายดำลอยอยู่กลางอากาศ มือสองข้างกุมคอหอยของตนไว้คล้ายถูกบีบรัดจากมือที่มองไม่เห็น เท้าทั้งสองข้างลอยขึ้นจากพื้นตะกุยตะกายอากาศอย่างไร้ทิศทาง

“ปล่อยมันไปเถอะ ไอ้บ้ามันไม่คู่ควรกับมือของท่านหรอก” พราหมณ์วัยกลางคนที่เพิ่งออกมาจากห้องขังเตือนอนาคินที่กำลังยื่นมือออกไปข้างหน้าในท่าทางที่กำลังกำและบีบบางสิ่งในอากาศ

เสียงห้ามปรามจากมนุษย์พราหมณ์ไม่ได้ผล ใบหน้าของอนาคินยังคงบิดเบี้ยวและบีบความว่างเปล่าแน่นขึ้นไปอีก ทว่าความว่างเปล่าที่เขาบีบส่งผลถึงนายดำที่กำลังลอยคว้างอยู่กลางอากาศ นายดำกรีดร้องดังขึ้นอีก พยายามดึงมือที่มองไม่เห็นออกจากคอของตนอย่างทุกข์ทรมาน

“อนาคินปล่อยลุงดำ ปล่อยเขาเดี๋ยวนี้!” ชลธิดาตะโกนออกไป

อนาคินชำเลืองมองที่นางมนุษย์ผู้ทรุดฮวบอยู่กับพื้น ดวงตากลมโตส่งสายตาอ้อนวอนไปที่เขา แววตาคู่นี้ใช้ได้ผล เขายอมปล่อยนายดำให้ร่วงลงสู่พื้น นายดำกลิ้งขลุกขลักไปกับพื้นคับแคบในห้องขังพร้อมหันขวับมามองหญิงสาวที่เพิ่งช่วยชีวิตของเขาด้วยแววตาอาฆาตมาดร้ายและไร้จิตสำนึก

“มันน่านัก ไอ้มนุษย์ไร้จิตสำนึก” อนาคินโน้มตัวเข้าไปขู่ นายดำรีบหลบเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว

อนาคินโอบกอดเอวเล็กคอดกิ่วของชลธิดาเข้ามาแนบชิดติดกับตัวเขา เขาพาเธอเคลื่อนที่ออกไปด้วยความเร็วเท่าที่เขาเคยพาเธอเคลื่อนที่หรืออาจจะเร็วกว่าด้วยซ้ำ เธอไม่สามารถบอกได้ว่าเคลื่อนที่ผ่านสิ่งใดมาบ้าง มันรวดเร็วเกินกว่าที่เธอจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จนกระทั่งเธอถูกวางลงในยานพาหนะชนิดหนึ่งซึ่งเธอมั่นใจทันทีว่านี่คือ “แท็กซี่”

“รอเดี๋ยว! ยังเหลือผู้โดยสารอีกคน” อนาคินพูดขึ้นคล้ายคุยกับใครสักคน เขาปล่อยเธอไว้ในแท็กซี่เพียงลำพัง เพียงพริบตาเดียวเท่านั้นเขาก็กลับมาพร้อมกับผู้โดยสารอีกคนซึ่งก็คือพ่อของฝน

“ไปสถานีรับส่งผู้โดยสารขาออกอาคารเก่า” อนาคินออกคำสั่ง

“สถานีรับส่งผู้โดยสารเถื่อนนะเหรอ” เสียงทุ้มของชายคนหนึ่งโต้ตอบ

“เงียบปากซะ! เจ้าแท็กซี่เถื่อน มันก็เถื่อนด้วยกันหมดนี่แหละ อย่าสงสัยอะไรให้มันมาก ไปให้เร็วที่สุด เราจะจ่ายให้อย่างงาม” อนาคินตัดบท

“ได้เลยเจ้านาย ผู้โดยสาร..โปรดคาดเข็มขัดนิรภัย นี่คือคำเตือนครั้งสุดท้าย” เสียงลากยาวของโซเฟอร์ดังขึ้น

ชลธิดาและพราหมณ์วัยกลางคนพ่อของเพื่อนสนิทรีบคาดเข็มขัดนิรภัยอย่างไม่รอช้า เรือหอยปิดฝาลงและพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ผ่านเส้นทางที่เลี้ยวลดคดเคี้ยวไปมา เรือหอยใช้นานเท่าไหร่เธอไม่อาจคำนวณได้เพราะเสียสมาธิไปกับเสียงกรีดร้องของพ่อเพื่อน

นี่เป็นครั้งแรกของพราหมณ์วัยกลางคนที่ใช้บริการแท็กซี่ของเมืองบาดาล ชายนุ่งขาวในชุดพราหมณ์ที่น่าเกรงขามดุดัน พูดคำตะโกนคำ ตอนนี้กลายเป็นผู้ชายขี้ขลาดกรีดร้องอย่างโหยหวนด้วยความตื่นกลัวราวกับเสียงร้องกรี๊ดกร๊าดของสาวน้อยรุ่นลูกก็ไม่ปาน

“อ้ากกกกกก ว้าย...ย กรี๊ด ช้าา โหน่ย” เสียงกรีดร้องของพ่อฝนสลับกับเสียงหัวเราะร่าของโซเฟอร์ดังก้องไปตลอดการเดินทาง นี่ถ้าเป็นเมืองมนุษย์พ่อของฝนคงสาปแช่งบรรพบุรุษของโซเฟอร์ไปแล้ว แต่ในเมืองบาดาลพ่อของฝนก็ไม่ต่างจากเด็กน้อยแบเบาะไม่อาจจะต่อกรกับเหล่าพญานาคได้จึงต้องอยู่นิ่งอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวทำได้แค่ร้องกรี๊ดๆ

แท็กซี่หอยถึงที่หมายรวดเร็วเกินคาดซึ่งคงจะนานมากสำหรับพ่อของฝน เปลือกหอยเปิดฝาอ้าขึ้นทางด้านบน ชลธิดาก้าวออกมาอย่างช้า ๆ เธอเพียงแค่เดินโซเซไปมาเท่านั้นเพราะเพิ่งเดินออกมาจากวัตถุความเร็วสูง มือใหญ่แข็งแรงของใครคนหนึ่งเอื้อมมาประคองร่างบางไว้อย่างทะนุถนอม

มนุษย์พราหมณ์ค่อยๆ คลานออกมาจากแท็กซี่หอย ล้มลุกคลุกคลานอยู่บนพื้นอย่างไร้คนประคอง ร่างท้วมพยายามตะเกียกตะกายไปยังถังขยะเบื้องหน้า อนาคินแสดงความเมตตาด้วยการใช้เท้าเขี่ยถังขยะเข้ามาให้ พ่อของฝนเอื้อมมือไปรับมาโอบกอดด้วยความยินดีพร้อมกับอาเจียนออกมา

“ยี้!!! ขยะแขยงที่สุด อาเจียนมนุษย์” อนาคินทำท่ารังเกียจเดียดฉันท์

“คุณปลอดภัยดีใช่ไหม” เสียงนุ่มคุ้นเคยกระซิบข้างหู

“อนันดา” เธออุทานออกมาเบา ๆ เมื่อเหลือบไปเห็นใบหน้าอ่อนเยาว์ไร้กาลเวลาและดวงตาสีเขียวทอประกายสดใส เธอมีคำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัวแต่เธอพยายามอดทนอดกลั้นเอาไว้ก่อน มันยังไม่ถึงเวลาที่ต้องสะสาง

“อะแฮ้ม ฉันอยู่ตรงนี้นะ” เสียงใส ๆ ของใครคนหนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะ

ร่างอวบอัดเต็มสัดส่วนเย้ายวนใจ สวมใส่เสื้อหนังรัดรูปสีดำสนิทกับกระโปรงสั้นปิดเพียงแค่ส่วนสำคัญของร่างกาย เผยขาอวบขาวผ่อง โชว์เนินอก อวดหน้าท้องและส่วนเว้าโค้งตามเรือนกาย ชายใดได้เห็นคงไม่อาจละสายตากับเรือนร่างเย้ายวนน่าเสน่หานี้ได้ นางยืนเด่นเป็นสง่าอยู่บนเปลือกหอยก้นสูงคล้ายโคนไอศกรีมคว่ำและเอียงเล็กน้อย

“น้ำ..นี่คือ มัลลิกา” อนันดาผายมือออกไปยังสาวสวยหุ่นเซ็กซี่ที่ยืนเท้าสะเอวอยู่บนเปลือกหอย

“มัลลิกา นี่..น้ำ” อ้อมแขนกำยำโอบเอวเล็กกิ่วเข้าไปแนบชิด เขากลัวเธอจะเข้าใจผิดเหลือเกิน มัลลิกาอาจจะเซ็กซี่เย้ายวนกับผู้ชายทุกคนทว่าไม่ใช่กับเขาแน่นอน

“สวัสดีมนุษย์ เอ่อ..เธอชื่อน้ำใช่ไหม ฉันคือกัปตันมัลลิกา ยินดีต้อนรับสู่เรือหอยส่วนบุคคล” ร่างขาวอวบกระโดดลงจากเรือหอยของนางและเดินตรงเข้ามา หยุดอยู่ตรงหน้าชลธิดา

นางคลี่ยิ้ม ผมดำสนิทยาวสลวยปลิวไสวอยู่ทางด้านหลัง ใบหน้าเรียวยาวขาวผ่อง ดวงตาสีฟ้า เปลือกตาระบายอายชาโดว์สีเข้ม กรีดตาคมกริบ จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากอิ่มสีแดงเลือดนก ใบหน้าสวยโฉบเฉี่ยวแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางหลากสีสันอย่างลงตัว

นาคีนิยมจำแลงกายให้เหมือนมนุษย์ในวรรณคดีทว่ามัลลิกานั้นแตกต่าง นางจำแลงกายเป็นสาวสวยล้ำสมัยราวกับเดินออกมาจากหนังไซไฟ ใบหน้าของนางยังคงไว้ซึ่งความงามเหนือกาลเวลา ชลธิดาไม่อาจเดาอายุของนางได้ บางครั้งนางก็ดูอ่อนเยาว์ราวสาวแรกรุ่น แต่บางคราวนางก็ดูเป็นสาวเต็มพิกัดอายุราวยี่สิบต้นๆ บุคลิกคล่องแคล่วว่องไว แววตาสีฟ้าดูเฉลียวฉลาดทั้งยังบ่งบอกถึงกาลเวลาที่นางเดินทางผ่านมา..นางคงเดินทางมาไกลมาก


รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว