เหออวิ๋นเซิงมองศพที่นอนอยู่ตรงหน้า
บาดแผลของฟ่านเฉิงยังคงมีเลือดไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง มีดเล่มนั้นยังคงปักอยู่บนหน้าท้อง เหออวิ๋นเซิงรู้สึกคอแห้งผากหลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ตัดสินใจเอ่ยออกมา แม้น้ำเสียงจะสั่นเครือแต่ก็เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว “ข้าจะไปแจ้งที่ว่าการว่าข้าเป็นคนสังหารฟ่านเฉิง”
เขาลุกขึ้นและคิดจะก้าวออกไปนอกเรือ ทว่าเพิ่งเดินไปได้เพียงสองก้าวก็ถูกดึงไว้จนศีรษะเกือบคะมำ
เหอเยี่ยนถาม “เจ้าจะไปแจ้งว่าอย่างไร?”
“ฟ่านเฉิงตายแล้ว ข้าต้องชดใช้ด้วยชีวิต” เหออวิ๋นเซิงกล่าวเสียงสะอื้น “เป็นเรื่องที่สมควร”
“เอาชีวิตตัวเองไปทิ้งเพื่อคนเช่นนี้มันไม่คุ้มค่าหรอก” เหอเยี่ยนก้มลงมองศพฟ่านเฉิง “ก่อนหน้านี้ข้าก็คิดเอาไว้แล้วว่าต่อให้ผ่านพ้นวันนี้ไปฟ่านเฉิงก็ไม่มีทางยอมเลิกราง่ายๆ ไม่ช้าก็เร็วตระกูลเหอจะต้องเจอกับเรื่องเดือดร้อน แต่ตอนนี้เขาตายแล้ว ไม่มีคนคอยตามรังควานอีก อย่างน้อยตระกูลเหอก็จะได้อยู่อย่างสงบสุข”
“เจ้ายังจำคำพูดที่เขาประกาศเอาไว้ก่อนที่จะสิ้นใจได้หรือไม่?”
เหออวิ๋นเซิงไม่มีวันลืม ตอนนั้นฟ่านเฉิงอยากจะฆ่าเขาและยังประกาศว่า “หลังจากเจ้าตายแล้วข้าก็จะให้พี่สาวเจ้าปรนนิบัติข้าทั้งวันทั้งคืน ไว้ข้าเล่นเบื่อเมื่อไรก็จะเอานางไปขายให้กับหอคณิกาชั้นต่ำ” ฟ่านเฉิงพูดจากำเริบเสิบสานเช่นนี้ได้โดยไร้ความเกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง
“เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าหากวันนี้ฟ่านเฉิงสังหารพวกเราบนเรือลำนี้ เขาไม่จำเป็นต้องชดใช้ด้วยชีวิต แต่เหตุใดเมื่อเจ้าเป็นฝ่ายพลั้งมือสังหารเขากลับต้องเอาชีวิตของตนไปชดใช้? เพราะชีวิตของพวกเราไร้ค่าประหนึ่งต้นหญ้า แต่ชีวิตของเขามีค่าดุจทองคำเช่นนั้นหรือ?”
เหออวิ๋นเซิงอายุยังน้อย หากต้องมาจบชีวิตเพื่อเดรัจฉานอย่างฟ่านเฉิง นับว่าน่าเสียดายอย่างยิ่ง
“ข้าก็ไม่อยากทำอย่างนั้น” เหออวิ๋นเซิงฟังแล้วก็ได้แต่เศร้าใจ เขาพูดเพียงว่า “แต่ตอนนี้พวกเรายังมีหนทางอื่นอีกรึ?”
เหออวิ๋นเซิงคิดแบบซื่อๆ และตรงไปตรงมา เขาคิดว่าในเมื่อตนสังหารฟ่านเฉิง หากตระกูลฟ่านต้องการเอาเรื่อง ทุกอย่างจะจบลงก็ต่อเมื่อเขาใช้ชีวิตแลกชีวิต แต่เหอเยี่ยนรู้ดีว่ามันไม่มีทางจบแค่นั้น ชาติก่อนนางเกิดในตระกูลใหญ่ ดังนั้นจึงรู้ดีว่าคนตระกูลฟ่านไม่มีทางหยุดความแค้นเพียงแค่เหออวิ๋นเซิงยอมมอบตัวและชดใช้ด้วยชีวิต ทว่าเหอสุย ตัวนาง รวมถึงชิงเหมยและซวงชิ่งล้วนต้องชดใช้ด้วยชีวิตอย่างไม่มีข้อละเว้นเช่นกัน
“เจ้ามานี่” เหอเยี่ยนตบไหล่เหออวิ๋นเซิงหนักๆ
เหออวิ๋นเซิงมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย
“เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเจ้าว่ายน้ำมา ถ้าเช่นนั้นเจ้าคงว่ายน้ำเก่งใช่หรือไม่ กลั้นหายใจได้นานหรือเปล่า?” เหอเยี่ยนถาม
เหออวิ๋นเซิงพยักหน้ารับ “ได้”
“เจ้าเปลี่ยนมาสวมชุดของข้า พอได้ยินสัญญาณจากข้าก็ให้รีบกระโดดลงจากเรือแล้วว่ายไปตามน้ำ จากนั้นค่อยเปลี่ยนไปสวมชุดสะอาดแล้วกลับบ้านให้เร็วที่สุด เข้าใจหรือไม่?”
เหออวิ๋นเซิงพยักหน้ารับด้วยความงุนงง ก่อนจะเปลี่ยนไปส่ายหน้าพร้อมมองเหอเยี่ยน “ท่านคิดจะทำอะไร?”
เหอเยี่ยนหยิบห่อผ้าขึ้นมาจากพื้น ในห่อผ้ามีชุดที่เพิ่งตัดเสร็จของเหออวิ๋นเซิงซึ่งนางไปรับมาจากร้านขายอาภรณ์เมื่อตอนบ่ายตอนที่คนของฟ่านเฉิงพาตัวนางมาที่นี่เขาได้หยิบห่อผ้าติดมือมาด้วย นางกล่าวอย่างใจเย็น “ข้าจะเปลี่ยนชุดแล้วล่อพวกเขาไปอีกทาง”
‘พวกเขา’ ที่ว่าหมายถึงคนของฟ่านเฉิง
เหออวิ๋นเซิงโพล่งออกมาด้วยความตกใจ “ไม่ได้! ท่านจะหลอกล่อพวกเขาอย่างไร? ท่านเป็นสตรีนะ ถ้าถูกจับได้พวกเขาต้องสังหารท่านแน่ ท่านอ่อนแอถึงเพียงนี้ หากตกอยู่ในกำมือของคนพวกนั้น ท่านจะต้องถูกทรมานแบบที่ตายเสียดีกว่าอยู่...”
เหออวิ๋นเซิงยังอยากจะพล่ามต่อ แต่ถูกเหอเยี่ยนกดไหล่ห้ามไว้
“ไม่หรอก ข้ามีวิธีสลัดพวกเขาทิ้ง” นางกล่าว
ภายใต้แสงตะเกียงสลัวๆ แววตาของหญิงสาวใสกระจ่างและหนักแน่น ในสถานการณ์เช่นนี้นางยังยิ้มได้อยู่อีก รอยยิ้มสบายๆ ของนางช่วยปลอบประโลมจิตใจเหออวิ๋นเซิงที่กระเจิดกระเจิงได้อย่างประหลาด แต่ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็ยังคงน้ำตาไหลอย่างไม่อาจห้าม
“ข้าไม่อาจปล่อยให้ท่านไปเสี่ยงได้” เหออวิ๋นเซิงพึมพำ
“อวิ๋นเซิงฟังข้านะ เจ้าสวมชุดของข้าแล้วกระโดดลงจากเรือไปซะ ข้าจะล่อพวกเขาไปทางอื่น ช่วงสองวันนี้พวกเราห้ามเจอกันเพราะข้าต้องซ่อนตัวไม่อาจกลับบ้านได้ อีกห้าวันให้เจ้าไปยังทิศตะวันตกของเมือง ที่นั่นมีโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งชื่อว่าหลิ่วเฉวียนจวี หน้าโรงเตี๊ยมมีต้นหลิวปลูกเรียงกันเป็นแถว เจ้าจงไปที่ต้นหลิวต้นที่สามนับจากซ้ายมือแล้วขุดดินลงไปลึกสามชุ่น*ข้าจะทิ้งจดหมายไว้ให้เจ้า เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมพวกเราก็ค่อยกลับมาพบกันอีกครั้ง เข้าใจหรือไม่?”
เหออวิ๋นเซิงยังคงส่ายหน้าปฏิเสธ “ข้าปล่อยให้ท่านไปลำบากคนเดียวไม่ได้...”
“เจ้าไม่ใช่เด็กๆ แล้ว เจ้าเป็นลูกผู้ชาย วันหน้าต้องแบกรับภาระภายในบ้าน เจ้าต้องสงบสติอารมณ์แล้วทำตามที่ข้าบอก ข้าจะไม่เป็นไร เจ้าก็รู้ว่าข้ารอดมาได้ทุกครั้ง” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เหออวิ๋นเซิงพูดไม่ออก
“ส่วนท่านพ่อ เจ้าช่วยอธิบายแทนข้าด้วย” เหอเยี่ยนกล่าว “อีกไม่นานคนของฟ่านเฉิงก็จะมาที่นี่ พวกเราไม่มีเวลามากนัก ตอนนี้ต้องรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน” นางออกคำสั่ง “เจ้าจงหันหน้าไป ข้าจะถอดชุดให้เจ้า”
เรือยังคงลอยนิ่งอยู่กลางแม่น้ำ เมื่อเหออวิ๋นเซิงและเหอเยี่ยนหันกลับมามองหน้ากันอีกครั้ง ทั้งสองก็จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เหอเยี่ยนสวมชุดใหม่ของเหออวิ๋นเซิงและเกล้าผมแบบบุรุษท่าทางทะมัดทะแมงเหมือนคุณชายจากตระกูลใหญ่ ส่วนเหออวิ๋นเซิงก็สวมชุดกระโปรงของเหอเยี่ยน ท่าทางของเขาดูเก้งก้าง ไม่รู้ว่าต้องวางมือไม้อย่างไร
“ฮ่าๆๆ” เหอเยี่ยนหัวเราะอย่างขบขัน
“นี่มันเวลาไหนแล้ว ท่านยังจะหัวเราะอารมณ์ดีได้อีก”เหออวิ๋นเซิงรู้สึกหนักใจ เขาไม่มีอารมณ์จะต่อปากต่อคำกับเหอเยี่ยนอีก
“ยังไม่ถึงเวลาที่ยิ้มไม่ออกสักหน่อย” เหอเยี่ยนหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งขึ้นมาจากพื้นแล้วจัดการปิดใบหน้าของตัวเองจนมิดชิด เหลือเพียงดวงตาทั้งสองที่มีรอยยิ้มปรากฏอย่างชัดเจน “เจ้าต้องทำตัวให้คุ้นชินกับสภาพเช่นนี้”
คุ้นชินกับสภาพเช่นนี้? หมายถึงสภาพไหน? สภาพที่ฆ่าคนแล้วหนีอย่างนั้นรึ? เหออวิ๋นเซิงรู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน ยิ่งไปกว่านั้นเขายังรู้สึกกังวลและหวาดกลัว
“พอข้านับถึงสามเจ้าก็กระโดดลงน้ำ เข้าใจหรือไม่?” เหอเยี่ยนกล่าวย้ำ “ไม่ต้องเป็นห่วงข้า พวกเราจะต้องได้เจอกันอีก”
เหออวิ๋นเซิงกำลังจะเดินไปที่หัวเรือ
ทว่าเดินไปได้เพียงสองก้าวเขาก็หันหน้ากลับมาจ้องตาเหอเยี่ยนอีกครั้ง “ท่านจะไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
เหอเยี่ยนขยี้ผมของเขา ผมของหนุ่มน้อยทั้งเย็นและนุ่ม อีกทั้งยังมีหยดน้ำติดอยู่
นางคลี่ยิ้มแล้วตอบอย่างอ่อนโยน “แน่นอน”
สายฝนที่กำลังโปรยปรายถูกบรรยากาศมืดมิดโดยรอบกลืนกิน
ท่ามกลางความมืดมิด ผืนน้ำและแผ่นฟ้าเชื่อมประสานกันแสงไฟสลัวที่กะพริบอยู่บนชายฝั่งทั้งสองราวกับวิญญาณผีร้ายเสียงพิณสายสุดท้ายหายลับ ราตรีนี้ดูเงียบสงัดเป็นพิเศษ
ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องของสตรีนางหนึ่งก็ทำลายความเงียบขึ้นมา
“กรี๊ด! มีคนตาย!”
คนของฟ่านเฉิงต่างนั่งรออยู่บนเรือลำน้อยหลายลำที่ลอยอยู่ไกลออกไป พวกเขาเฝ้ารอสัญญาณจากผู้เป็นนาย แต่กลับต้องตกใจเมื่อจู่ๆ ก็มีเสียงกรีดร้องของสตรีดังขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น? นานถึงเพียงนี้แล้ว เหตุใดจึงยังเสียงดังไม่เลิกอีก?” คนที่เป็นหัวหน้าถามขึ้น
“คุณชายยังไม่ส่งสัญญาณมา รออีกหน่อยเถอะ” อีกคนเสนอความเห็น
รับใช้ฟ่านเฉิงมานานต้องรู้จักเดาใจเจ้านายให้ออก ฟ่านเฉิงเป็นพวกเสเพลไม่เอาไหน เขามักจะทำเรื่องเช่นนี้อยู่เป็นประจำ นอกจากจะมีหญิงสาวมาหลงใหลและเสนอตัวให้ถึงที่แล้ว หญิงสาวดีๆ ที่ถูกเขาจับมาย่ำยีก็มีไม่น้อย เหตุการณ์ดังเช่นคืนนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายหน บ่าวอย่างพวกเขามีหน้าที่หลอกหญิงสาวหน้าตาดีและฐานะยากจนไปที่เรือหรือบ้านพักส่วนตัว จากนั้นปล่อยให้ฟ่านเฉิงข่มเหงตามอำเภอใจ หลังจากเสร็จเรื่องแล้วก็ให้เงินปิดปาก หญิงสาวเหล่านั้นเป็นเพียงชาวบ้านทั่วไปทำให้ไม่อาจร้องทุกข์กับใครได้ สุดท้ายจึงต้องก้มหน้ายอมรับความอยุติธรรม
เหอเยี่ยนก็เกือบจะกลายเป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน
เดิมทีคุณหนูเหอรักฟ่านเฉิงมาก และไม่จำเป็นต้องทำให้เรื่องยุ่งยากถึงเพียงนี้ แต่คาดไม่ถึงว่าหลังจากไปอาละวาดที่หน้าบ้านตระกูลฟ่านแล้ว นางจะตัดใจและตัดขาดความสัมพันธ์กับฟ่านเฉิงขึ้นมาจริงๆ ทว่าฟ่านเฉิงกลับไม่ยินยอม ในเมื่อใช้ไม้อ่อนไม่ได้ก็ต้องใช้ไม้แข็ง
หน้าที่ของพวกเขาคือต้องพาตัวเหอเยี่ยนมาส่งให้ฟ่านเฉิงถึงที่ และจัดการเก็บกวาดหลังจากเสร็จเรื่องแล้ว
“ข้ารู้สึกผิดปกติ” ผู้ที่เป็นหัวหน้าลุกขึ้นไปยืนตรงตำแหน่งหัวเรือและมองออกไป เขาเห็นเรือของฟ่านเฉิงโคลงเคลงอย่างแรง ลักษณะการโคลงเคลงคล้ายกับมีคนกำลังต่อสู้กันอยู่
“เกิดปัญหาแล้ว!” เขาหันไปตวาดคนอื่นๆ “ลุกขึ้น! รีบไปบนเรือมีสิ่งผิดปกติ!”
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว