กลรักเกมแค้น HATE LOVE

CHAPTER 5 เกลี้ยกล่อม

“สวัสดีครับ คุณตำรวจ...ผม...ผมขอมอบตัวครับ”

เตชินท์เอ่ย น้ำเสียงเขาสั่นไหวไปกับความตึงเครียด มือที่จับโทรศัพท์ยังค้างอยู่เหมือนจะปล่อยก็ปล่อยไม่ลง เขาสูดลมหายใจเข้าลึกเหมือนพยายามควบคุมความรู้สึกที่ตีรวนอยู่ข้างใน

“ผม...ผมฆ่าคนตายครับ ผมเป็นคนทำเอง”

เสียงของเขาคล้ายกระซิบออกมา เสียงที่เบาจนเกือบจะถูกกลืนหายไปในความเงียบอันหนักอึ้งของห้องปลายสายเงียบไปชั่วครู่ราวกับกำลังทำความเข้าใจในสิ่งที่เตชินท์พูดก่อนจะตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว

“คุณหมายความว่ายังไงครับ? ช่วยบอกรายละเอียดเพิ่มเติมด้วย เราจะส่งเจ้าหน้าที่ไปเดี๋ยวนี้”

เตชินท์รู้สึกเหมือนเวลาหยุดเดิน ทุกคำที่ออกจากปากเขากลายเป็นภาระที่หนักหน่วงทับทาบอยู่บนอก

“ผมอยู่ที่...”

เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงเตชินท์ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ร่างกายสั่นเทาอยู่ข้างศพของเหยื่อที่นอนจมกองเลือดสด ๆ ไหลเอ่อไปทั่วห้อง มือของเตชินท์ยังคงจับขวดแก้วแตก ๆ ที่มีคราบเลือดเกรอะกรังอยู่แน่น

“อย่าขยับ” เสียงของเจ้าหน้าที่ตำรวจดังขึ้นอย่างเฉียบขาดเมื่อมาถึงที่เกิดเหตุ ปลายกระบอกปืนจากเจ้าหน้าที่ถูกเล็งมาที่ตัวของเตชินท์อย่างรวดเร็ว

“คุมตัวไปโรงพัก” หนึ่งในเจ้าหน้าที่สั่งการอย่างรวดเร็ว เตชินท์เงยหน้ามองแค่ชั่วครู่ก่อนจะยอมให้เจ้าหน้าที่เข้ามาล็อกข้อมือด้วยกุญแจมือโดยไม่คิดจะขัดขืน ไม่มีการดิ้นรน ไม่มีคำพูดแก้ตัว ความผิดทุกอย่างมันชัดเจนเกินกว่าที่จะหลีกหนีได้

สถานีตำรวจ

ในห้องสอบสวนที่มีแสงไฟจ้าและโต๊ะเหล็กเย็นเฉียบตั้งอยู่กลางห้อง เตชินท์นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็กร่างกายของเขาดูอ่อนล้าเหมือนคนไม่ได้พักผ่อนมาหลายวัน

เสียงนาฬิกาที่ติดอยู่บนผนังดังเป็นจังหวะ ทุกวินาทีผ่านไปตามห้วงเวลาที่เดินหน้าเรื่อย ๆ แต่สำหรับเตชินท์มันเหมือนทุกอย่างถูกชะงักไว้ตรงนั้น

เจ้าหน้าที่สองคนเดินเข้ามาในห้อง หนึ่งในนั้นถือแฟ้มคดีไว้มองเขาด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก

คุณเตชินท์ ธีรกิติสวัสดิ์” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “เราต้องการให้คุณเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่คุณได้ลงมือมาตกรรม นายปริญธร หิรัญไพศาลกุล

เตชินท์สูดหายใจลึกเสียงของตัวเองฟังดูเหมือนแหบแห้งเมื่อเขาเริ่มพูด “มัน...เริ่มจากทะเลาะกันครับ เราเถียงกัน เขาเริ่มโมโห ผมเองก็โมโหเหมือนกัน” คำพูดของเขาถูกตัดด้วยเสียงสะอื้นที่พยายามกลั้นไว้

เจ้าหน้าที่จดทุกคำพูดลงในสมุดบันทึกโดยที่สายตายังคงจับจ้องเขา

“แล้วอะไรทำให้คุณตัดสินใจใช้ความรุนแรง?”

เตชินท์นิ่งเงียบไปสักพัก เหมือนกำลังค้นหาคำตอบจากส่วนลึกในใจ “ผม...ผมไม่ได้ตั้งใจ มันเกิดขึ้นเร็วมาก เขาเข้ามาผลักผม ผมคว้าขวดแก้วได้แล้วทุกอย่างก็...เกิดขึ้น” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความสับสนราวกับว่าเขาเองก็ยังไม่เข้าใจว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร

เจ้าหน้าที่พยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะถามต่อ

“หลังจากนั้นล่ะ? คุณทำอะไรต่อ?”

เตชินท์ก้มหน้าลงพยายามเรียบเรียงความคิดที่แตกกระจาย “ผมเห็นเลือด...แล้วเขาก็นอนนิ่ง ผมตกใจ ผมไม่รู้จะทำยังไง ผม...แค่ยืนอยู่ตรงนั้นจนกระทั่งผมโทรหาตำรวจ”

ในห้องสอบสวนทุกคำพูดของเตชินท์ถูกบันทึกลงในแฟ้มคดี เตชินท์รู้สึกเหมือนถูกจับจ้องจากทุกทิศทางแม้ในห้องจะมีเพียงเขาและเจ้าหน้าที่สองคน แต่ความกดดันที่ล้อมรอบกลับหนักหน่วงจนแทบหายใจไม่ออก สายตาเย็นชาของเจ้าหน้าที่เหมือนตาชั่งที่กำลังชั่งน้ำหนักทุกการกระทำและคำพูดของเขา ชั่งความถูกผิดในเรื่องราวที่เขาเล่า

ศาล

บรรยากาศในห้องพิจารณาคดีเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยของผู้คนมากมาย เสียงพึมพำเบา ๆ ของผู้คนที่มาร่วมฟังการตัดสินเบาบางลงเมื่อผู้พิพากษาก้าวขึ้นบัลลังก์ ท่ามกลางสายตานับไม่ถ้วนที่จับจ้องเขา เตชินท์รู้สึกเหมือนเวลาช้าลงทุกเสียงที่ดังอยู่รอบ ๆ กลายเป็นเสียงเบา ๆ ราวกับมันห่างไกลจากเขาเป็นกิโลเมตร

เตชินท์นั่งอยู่ที่ม้านั่งของจำเลย เสื้อเชิ้ตขาวของเขายับยู่ยี่และดวงตาบวมช้ำจากการอดนอนเป็นเวลาหลายคืน มือของเขาสั่นเบา ๆ ขณะกำชายกางเกงไว้แน่น เขารู้ดีว่านี่คือวินาทีสำคัญในชีวิต ไม่ว่าคำตัดสินจะออกมาอย่างไร มันจะเปลี่ยนชีวิตของเขาตลอดไป

เสียงของทนายฝ่ายโจทก์และทนายของเขาสลับกันกล่าวต่อหน้าผู้พิพากษา ทั้งการให้เหตุผลของอีกฝ่ายที่กล่าวถึงความรุนแรงและเจตนา ขณะเดียวกันทนายของเขาพยายามยืนยันว่าเหตุการณ์นั้นเป็นเพียงอุบัติเหตุ ไม่มีการวางแผนหรือเจตนาฆ่า แต่ทุกคำพูดดูเหมือนจะเป็นเสียงที่ลอยผ่านหูไปเมื่อจิตใจของเตชินท์เต็มไปด้วยความว่างเปล่า

“ศาลได้พิจารณาหลักฐานและคำให้การของทุกฝ่ายแล้ว...” เสียงของผู้พิพากษาดังขึ้น เตชินท์เงยหน้าขึ้นทันที หัวใจเต้นแรงราวกับกำลังจะทะลุออกมาจากอก ทุกคนในห้องขยับตัวเล็กน้อยเพื่อเตรียมรับฟังคำตัดสิน

“จำเลยถูกตัดสินว่ามีความผิดจริงในข้อหาฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา ศาลพิจารณาโทษจำคุกเป็นเวลา 5 ปี”

เสียงสุดท้ายเหมือนถูกกลืนหายไปในหัวของเตชินท์ ความว่างเปล่าครอบงำทุกสิ่งไม่มีคำใด ๆ ที่เขาจะพูดได้ในตอนนี้ เสียงกระแทกค้อนของผู้พิพากษาดังก้องในห้องพิจารณาคดี จบการพิจารณาทุกอย่างลงทันที ผู้คนเริ่มทยอยออกจากห้อง เตชินท์ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นเหมือนถูกตรึงไว้กับที่ ความจริงของชีวิตที่ต้องเผชิญอยู่ข้างหน้าเขาหนักหน่วงเกินกว่าจะรับไหว

เขายังคงนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นขณะเจ้าหน้าที่เดินเข้ามาใส่กุญแจมือ เสียงกุญแจมือโลหะกระทบกันเตือนเขาว่าชีวิตของเขาตอนนี้ไม่ใช่ของเขาอีกต่อไป การตัดสินใจของศาลได้ตัดสินชีวิตหลังจากนี้ของเขาแล้วและต่อจากนี้ความมืดมนที่ไม่มีที่สิ้นสุดจะกลายเป็นเพื่อนร่วมทางในทุกวัน

เตชินท์หันมองไปรอบ ๆ เห็นเพียงแววตาของคนแปลกหน้าที่ไม่มีใครมองกลับมาด้วยความเห็นใจ มีแต่ความเย็นชาและการตัดสิน ทั้งร่างกายและจิตใจเขาเหนื่อยล้าจนไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้แต่จะยืนขึ้น

เจ้าหน้าที่ดึงแขนเขาให้ลุกขึ้นแต่ขาของเตชินท์ก็เหมือนจะไม่ทำตามคำสั่งของสมอง เขาถูกลากออกจากห้องพิจารณาคดี ชีวิตของเขากำลังจะเข้าสู่เส้นทางที่ไม่มีวันย้อนกลับได้อีก...

เตชินท์ถูกพาเข้าสู่ประตูเหล็กบานหนาของเรือนจำ เสียงเหล็กกระแทกกันเมื่อประตูปิดลงดังก้องในหูเหมือนเป็นจุดจบของอิสรภาพที่เขาเคยมี ทุกอย่างเดินไปอย่างช้า ๆ ราวกับเวลาแทบไม่ขยับไปไหนเลย เขาถูกนำตัวไปยังห้องขัง สี่ผนังคอนกรีตสูงใหญ่ล้อมรอบเขาไว้เหมือนกรงขังที่ไม่มีทางออก เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะหยาบ ๆ ของนักโทษคนอื่นดังแว่วมาไกล ๆ แต่ไม่ใช่เสียงที่เขาอยากได้ยิน เตชินท์รู้สึกเหมือนถูกตัดขาดจากโลกที่เขาเคยรู้จัก

เขาทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นแข็ง ๆ ของห้องขัง ความเย็นที่ส่งผ่านขึ้นมาจากพื้นทำให้เขาสั่นไหวเล็กน้อย ทุกอย่างในนี้ช่างห่างไกลจากคำว่าสบาย เสียงโซ่ตรวนที่กระทบกันขณะที่นักโทษคนอื่น ๆ เดินผ่านหน้าห้องขังของเขาเป็นระยะ ๆ ย้ำเตือนถึงความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าเขาไม่ใช่คนเดียวที่ติดอยู่ในนรกแห่งนี้

“เฮ้! ไอ้เด็กใหม่ มึงโดนข้อหาอะไรมาวะ?”

เสียงห้วน ๆ ของชายร่างใหญ่ในห้องขังเดียวกันดังขึ้น เขานั่งเอนตัวพิงกำแพงด้วยท่าทางผ่อนคลาย ข้าง ๆ กันนั้นมีลูกน้องสองคนคอยนวดไหล่ นวดแขนให้ เตชินท์ไม่ตอบอะไรเขาก้มหน้ามองพื้นด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์

“เฮ้! กูถามทำไมไม่ตอบ?”

เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้งคราวนี้เจือด้วยความหงุดหงิด ชายคนนั้นลุกขึ้นยืนก้าวเข้ามาใกล้ เตชินท์ยังคงนิ่งเงียบเหมือนเดิมราวกับไม่ได้ยินอะไรเลย

“มึงเก๋านักรึไงวะ! รู้มั้ยว่าที่นี่ใครใหญ่?”

ชายคนนั้นตะคอกเสียงดัง พลางก้าวเข้ามายืนตรงหน้าของเตชินท์ ใบหน้าแสดงออกถึงความไม่พอใจชัดเจน ลูกน้องของเขาหัวเราะเบา ๆ เหมือนรู้ว่าจะมีเรื่องสนุกเกิดขึ้น

เตชินท์ยังคงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อลอยเหมือนไม่รับรู้ถึงการคุกคามที่เกิดขึ้น แต่ในใจลึก ๆ เขารู้ดีว่าการเงียบไม่อาจช่วยให้เขารอดพ้นจากสิ่งที่จะตามมาได้

และแล้วมันก็เกิดขึ้นอย่างที่คาดไว้ ชายร่างใหญ่ไม่รอช้าโถมตัวเข้าหาเตชินท์ มือหนากระชากคอเสื้ออย่างแรงจนเขาเซไปกระแทกกับผนังคอนกรีต ร่างกายเตชินท์เหมือนหุ่นไร้แรงขัดขืน ถูกดึงเข้ามาใกล้ชายคนนั้นอย่างง่ายดาย

“มึงคิดว่าทำตัวเงียบแล้วจะรอดหรอวะ!”

ชายร่างใหญ่คำรามเสียงต่ำก่อนจะเหวี่ยงหมัดเข้าที่ท้องของเตชินท์อย่างแรง ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วท้องเหมือนถูกทุบด้วยค้อนเหล็กจุกจนแทบหายใจไม่ออก ร่างของเขาทรุดลงไปที่พื้นทันทีแต่ชายคนนั้นยังไม่หยุด

“นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้นไอ้หน้าใหม่”

ชายร่างใหญ่ก้าวเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับเตะเข้าที่ซี่โครง ความเจ็บปวดพลุ่งพล่านจนเตชินท์แทบยกมือป้องกันไม่ทัน ร่างกายของเขาสั่นเทิ้มเหมือนใบไม้ที่ถูกลมพัดรุนแรง ลูกน้องของชายคนนั้นยืนดูอยู่ไม่ไกล พวกเขาหัวเราะเยาะอย่างสนุกสนานเหมือนนี่เป็นแค่ความบันเทิงประจำวัน เตชินท์พยายามจะขยับตัวหนี แต่ทุกครั้งที่เขาขยับชายร่างใหญ่ก็ตามมาเหยียบและเตะซ้ำอีกครั้งจนจมอยู่กับพื้น ความรู้สึกเจ็บปวดทั้งทางกายและใจรวมตัวกันเหมือนคลื่นที่ถาโถมใส่เขาไม่หยุด

“จำไว้! ในนี้มึงไม่มีสิทธิ์เงียบ กูถามต้องตอบ กูสั่งต้องทำ!”

ชายร่างใหญ่ตะโกนขู่ก่อนจะถอยกลับไปทิ้งให้เตชินท์นอนคู้ตัวอยู่กับพื้น ร่างกายช้ำไปทั้งตัวความเจ็บยังคงเต้นระรัวในทุกเส้นประสาทแต่สิ่งที่หนักหนายิ่งกว่าคือความสิ้นหวังที่ถาโถมเข้ามาในใจ...

ทุกเช้าเตชินท์จะถูกปลุกด้วยเสียงกระทบของเหล็กและเสียงตะโกนจากผู้คุม แสงอาทิตย์ยังไม่ทันจะเล็ดลอดผ่านหน้าต่างเหล็กดัดห้องขังเขาก็ต้องลุกขึ้นมาจัดการกับชีวิตที่ไร้ความหวัง เริ่มต้นด้วยการยืนเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบ เตรียมพร้อมออกจากกรงเหล็กเหมือนสัตว์ที่ต้องอยู่ในกรง

“หนึ่ง สอง สาม...สามสิบ ห้องสิบยอดผู้ต้องขังครบสามสิบครับ”

เสียงหัวหน้าที่อยู่ท้ายแถวตะโกนบอกผู้คุมที่กำลังเปิดประตูห้องขัง ทุกวันจะมีการตรวจนับกันแบบนี้ถึงห้ารอบไม่เคยพลาด ทันทีที่ประตูห้องเปิดทุกคนก็ต้องออกไปอย่างรีบเร่งเหมือนฝูงสัตว์ที่รอประตูคอกเปิด ในทุกครั้งผู้คุมคอยสอดส่ายสายตาดูว่าไม่มีผู้ต้องขังแอบหลบอยู่ในห้อง

ทันทีที่ลงมาจากเรือนนอนในตอนเช้า สิ่งที่ต้องทำก่อนคือภารกิจส่วนตัว แย่งกันอาบน้ำ แปรงฟันและเข้าห้องส้วม บรรยากาศตอนนี้เรียกว่าคึกคักสุด ๆ เพราะทุกคนต่างเร่งรีบทำธุระส่วนตัวเนื่องจากมีเวลาจำกัด

ในช่วงแรกที่เตชินท์เข้ามาในคุกต้องเผชิญกับสิ่งแปลกใหม่และความอายหลายอย่างรวมถึง “บล็อก” หรือห้องส้วมแบบเปิดโล่ง ไม่มีประตู ไม่มีผนัง ใครผ่านมาก็เห็นกันจะ ๆ แบบไม่มีความเป็นส่วนตัว ผู้ต้องขังใหม่อย่างเตชินท์ต้องทำใจอยู่หลายวันกว่าจะทำใจใช้ได้อย่างไม่อายเพราะไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีไปมากกว่านี้

หลังจากจัดการภารกิจยามเช้า ทั้งแปรงฟัน อาบน้ำรวมถึงกินข้าวที่จืดชืดไร้รสชาติจนแทบจะกลืนไม่ลง เตชินท์และเพื่อนนักโทษก็ถูกต้อนให้ไปยังลานกว้างข้างนอก

แต่ละคนต้องเข้าแถวรอจัดกองงานตามที่ผู้คุมสั่ง ซึ่งมีหลายกองให้เลือกแต่ก็ไม่มีใครมีสิทธิ์เลือกจริง ๆ งานที่ได้ก็สุ่มไปเรื่อย ๆ บางวันก็เป็นกองงานปั่นถ้วยที่ต้องนั่งปั่นถ้วยพลาสติกทั้งวันจนมือแข็ง บางวันก็เป็นงานปลั๊กไฟที่ต้องมานั่งพันสายไฟแบบไม่รู้จักจบจักสิ้น

ถ้าโชคดีก็อาจจะได้ไปอยู่กองงานโรงเลี้ยงช่วยทำอาหารให้กับนักโทษทั้งเรือนซึ่งก็น่าจะเบาที่สุดเมื่อเทียบกับงานอื่น แต่ไม่ว่าวันไหนงานที่เตชินท์ต้องทำก็ดูเหมือนจะหนักอึ้งไปหมด บางทีก็ดูเหมือนแค่โชคร้าย แต่ก็ไม่มีทางหนีต้องกัดฟันทำไปตลอดทั้งวัน

สิ่งเดียวที่ทำให้เตชินท์พอจะยิ้มได้บ้างในชีวิตนักโทษคือการได้พบกับ “ไทป์” เพื่อนสนิทที่สุดในชีวิตที่ยังคอยแวะเวียนมาเยี่ยมเขาที่คุก แม้จะเป็นแค่ไม่กี่นาทีในแต่ละครั้งแต่มันก็เหมือนแสงสว่างเล็ก ๆ ในชีวิตที่มืดมน พอเพื่อนมาหาก็ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองยังมีคนอยู่ข้าง ๆ ไม่ได้โดดเดี่ยวอย่างที่คิด

แต่ถ้าพูดถึงครอบครัวแล้วล่ะก็...เตชินท์แทบจะไม่มีใครให้พึ่งพา พ่อแม่เขาเสียไปตั้งแต่เขายังเป็นเด็กแทบจะจำอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำ เขาอยู่กับแม่เลี้ยงที่ไม่เคยสนใจไยดี ไม่เคยถามไถ่ว่าเป็นอยู่ยังไง มีความสุขไหมหรือแม้แต่ตอนที่เขาถูกจับ แม่เลี้ยงก็หายไปจากชีวิตไม่ติดต่อกลับมาสักครั้ง เตชินท์เลยรู้สึกเหมือนตัวคนเดียวมาตลอดไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็ต้องแบกรับเอาไว้คนเดียว...


เสียงตามสายดังขึ้นผ่านลำโพงเก่า ๆ ที่ติดอยู่บนกำแพงเรือนจำ เสียงแหลมชัดเจนดังทะลุทุกห้องขังจนทุกคนต้องหยุดฟัง

“นักโทษหมายเลข 4527 เตชินท์ ธีรกิติสวัสดิ์ ญาติมาเยี่ยมที่ห้องเยี่ยมเชิญรายงานตัวด่วน!”

เสียงประกาศนั้นเหมือนเป็นสัญญาณแห่งความหวังเล็ก ๆ สำหรับนักโทษที่รอคอยวันจะได้พบคนจากโลกภายนอก บางคนรีบลุกขึ้นทันทีที่ได้ยินชื่อของตัวเอง ถูกเรียกออกจากห้องขังด้วยความตื่นเต้น เตชินท์ก็เช่นกัน

“เป็นไงบ้างเต หิวมั้ย? เราซื้อของที่เตชอบมาฝาก กินเยอะ ๆ นะ ผอมลงไปเยอะเลย” ไทป์พูดด้วยน้ำเสียงห่วงใยพร้อมกับยกถุงของฝากมาให้อีกฝ่ายดู

เตชินท์มองถุงนั้นแวบหนึ่งก่อนจะยิ้มบาง ๆ แต่แววตายังดูอ่อนล้าอยู่

“เราสบายดี ไทป์ไม่ต้องมาที่นี่บ่อย ๆ หรอก” เตชินท์ตอบเบา ๆ ก่อนจะเหลือบตามองเพื่อน “ไทป์กำลังจะดัง ถ้ามีใครมาเห็นมันจะไม่ดีนะ”

ไทป์ทำหน้าจริงจังทันที เขาเอนตัวมาข้างหน้าวางมือไว้บนโต๊ะ “ทำไมล่ะ? เราเป็นเพื่อนกันนะ จะมาเยี่ยมเพื่อนไม่ได้เลยเหรอ? เตคือคนสำคัญของเรา เราไม่แคร์ว่าคนจะมองยังไง”

เตชินท์เงียบไปชั่วครู่ ใจหนึ่งอยากจะห้ามแต่ลึก ๆ ก็รู้สึกอบอุ่นจากคำพูดนั้น

“อื้ม...ขอบใจนะ”

ทั้งสองนั่งคุยกันต่อเหมือนที่เคยทำมาในอดีต ไทป์พูดถึงเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นข้างนอกทั้งงาน ทั้งชีวิตประจำวัน ส่วนเตชินท์ก็เล่าเรื่องในคุกเท่าที่จะเล่าได้ ทั้งคู่หัวเราะกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เคยผ่านกันมา แม้สภาพแวดล้อมจะต่างกันสิ้นเชิงแต่พวกเขายังรู้สึกผูกพันกันเหมือนเดิม เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งเสียงเข้มของผู้คุมดังขึ้น

“หมดเวลาเยี่ยมครับ!”

ไทป์ถอนหายใจเฮือกใหญ่มองเพื่อนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยสายตาห่วงใย

“เต ดูแลตัวเองดี ๆ นะ เราจะรอเตออกมา”

เตชินท์พยักหน้า แม้จะอยากพูดมากกว่านี้แต่คำพูดมันติดอยู่ในลำคอ

“อื้ม ไทป์ก็ดูแลตัวเองเหมือนกัน ไม่ต้องห่วงเราหรอก”

ไทป์ส่งยิ้มสุดท้ายก่อนลุกขึ้นเดินออกไป เตชินท์มองตามจนกระทั่งประตูปิดความเงียบกลับมาเยือนอีกครั้ง...


ช่วงหลัง ๆ มานี้เตชินท์ไม่ได้เห็นหน้าไทป์อีกเลย การรอคอยกลายเป็นสิ่งที่หนักอึ้งมากขึ้นทุกวัน เขานั่งนับวันเวลาอย่างเหม่อลอย ทุกวินาทีที่ผ่านไปมันช่างยาวนานจนเหมือนโลกหยุดหมุน เตชินท์เฝ้ามองแต่ละวันเลื่อนผ่านไปช้า ๆ จนน่าอึดอัด นับวินาทีเป็นนาที นาทีกลายเป็นชั่วโมงและชั่วโมงลากไปจนเป็นวัน สุดท้ายก็ผ่านไปหลายเดือน หลายปี...


ทุกเช้าเขาตื่นขึ้นมาด้วยความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่าวันนี้อาจเป็นวันที่ไทป์จะกลับมาเยี่ยมหรือบางทีอาจจะเป็นวันที่เขาจะได้ออกจากที่นี่เสียที แต่เวลาก็ยังคงเดินไปอย่างไร้ความปรานี รอคอยวันที่จะได้อิสรภาพจากพันธนาการทุกอย่างทั้งโซ่ตรวนที่ผูกมัดร่างกายและความเจ็บปวดที่ล่ามหัวใจให้ติดอยู่ในกรงความโดดเดี่ยวนี้ตลอดมา....


รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว