หลิวเฟยเซียน-ตอนที่5 เปลี่ยนแซ่ ตั้งตระกูลใหม่

โดย  Wipaphorn Ruangthong

หลิวเฟยเซียน

ตอนที่5 เปลี่ยนแซ่ ตั้งตระกูลใหม่

เสียงสวดคาถาดังก้องสะท้อนไปทั่วทุกหนทุกแห่งไม่เว้นแม้กระทั่งโสตประสาทของพญานาคตนหนึ่งที่กำลังจะถือกำเนิดขึ้นมาในอีกไม่มีกี่อึดใจข้างหน้านี้ เสียงของลมหายใจที่เคยเต้นแผ่วเบาเริ่มต้นเร็วและแรงขึ้นเรื่อย ๆ ดวงตาที่เคยปิดสนิทก็ลืมขึ้น ร่างกายอันยาวเหยียดเริ่มขยับตัวไปมา

เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นสนั่นหวั่นไหวจนผืนน้ำสั่นสะเทือน ร่างกายอันใหญ่โตมโหฬารเลื้อยออกมาจากแท่นบรรทมผ่านร่างของกลุ่มมนุษย์ผู้อยู่ในชุดพราหมณ์สีขาวออกไปอย่างรวดเร็ว หนึ่งในชายที่ยืนอยู่ในเหตุการณ์วิ่งตามไปอย่างรวดเร็วและทันทีที่พญานาคผู้เพิ่งถือกำเนิดกระโจนออกจากครอบแก้ว ชายหนุ่มผู้มีรูปร่างแข็งแรงกำยำที่วิ่งตามมาก็กลายร่างเป็นพญานาคตัวใหญ่โตมโหฬารแหวกว่ายตามไป

หนึ่งร่างที่เพิ่งกระโจนออกมาพยายามจะลนลานหนีอย่างตื่นตระหนกและอีกหนึ่งร่างที่เพิ่งตามมาพยายามจะห้ามปรามเอาไว้ด้วยท่าทีที่อ่อนโยน แม้ว่านางนาคีที่เพิ่งถือกำเนิดนั้นจะเกรี้ยวกราดเพียงใด นางทั้งพ่นลูกไฟ สะบัดหางฟาด ทำสารพัดเพื่อระเบิดอารมณ์แห่งความนาคออกมา แต่อีกหนึ่งร่างนั้นก็ไม่ตอบโต้ เขาทำได้เพียงแค่หลบหลีกเท่านั้น

“นางมนุษย์คนนั้น ถือกำเนิดเป็นนาคีแล้ว” นรินทร์เอ่ยขึ้น

“เรามองเห็นแล้ว เจ้าไม่ต้องย้ำเตือนหรอกนรินทร์” ปทุมมาหันไปตวาดสหายคนสนิท “นั่นมันก็เพราะเจ้าที่เป็นต้นเหตุ ความคิดของเจ้าที่ให้เราเรียกสายฝนสาดกระหน่ำลงสู่ผืนดินจนพระภิกษุสงฆ์รูปนั้นอาพาธหนัก บาปนี้จึงส่งผลให้คำทำนายเป็นจริงเร็วกว่ากำหนด”

“อย่าคิดมากไปเลยปทุมมาเพื่อนยาก ไม่ว่านางจะเป็นมนุษย์หรือนาค อย่างไรเสียนางก็ยังต่ำต้อยกว่าเจ้านัก ประชากรนาคมิยอมรับนางนาคีผู้ถือกำเนิดมาแบบโอปปาติกะเป็นนางพญานาคิณีหรอก” มาลิณีปลอบโยนเพื่อนรัก

“ถ้าท่านสมันตราป่าวประกาศออกไป ใครเลยจะกล้าคัดค้าน” ปทุมมาเอ่ยขึ้นอย่างขุ่นเคืองใจ

“บิดาของเราตนหนึ่งล่ะที่จะคัดค้าน แล้วยังพระอัยกาของเจ้าอีกที่เคยเป็นปรมาจารย์ของเหล่านาค ถ้าเอ่ยคัดค้านมีรึประชากรนาคผู้เคยเป็นศิษย์จะไม่เห็นด้วยกับอาจารย์” นรินทร์เอ่ยขึ้น

“พระอัยกาของเราถูกสมันตราสั่งปลดไปแล้วตั้งแต่เขาสวมมงกุฎและนั่งบนบัลลังก์ ตอนนี้เหล่าเสนาบดีและปรมาจารย์ส่วนใหญ่ก็เป็นคนของสมันตรา ไพร่พลของเราที่มีอยู่แม้จะมากมายแต่ก็ไม่มีใครกล้าต่อกร เจ้าไม่ห่วงศีรษะบิดาของเจ้ารึ นรินทร์?” ปทุมมาเอ่ยขึ้นและชำเลืองมองไปดูสหายรักที่ยืนนิ่งหน้าซีดเผือดอย่างเพิ่งสำนึกได้

ในที่สุดอารมณ์ของพญานาคผู้เพิ่งถือกำเนิดก็สงบลง ร่างกายอันยาวเหยียดนั้นเริ่มอ่อนระทวยนางแหวกว่ายเข้าสู่พระตำหนักและกลายร่างเป็นมนุษย์ผู้งดงาม ใบหน้างามนั้นถูกแต่งแต้มด้วยสีสันจนงดงามโดดเด่นสะดุดตา เสื้อผ้าอาภรณ์นั้นก็เป็นผ้าแพรเนื้อดี เครื่องประดับประจำกายก็โดดเด่นเกินหญิงใด เส้นผมที่ยาวสลวยนั้นถูกรวมเอาด้านหลังอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

หญิงสาวยืนพิงกำแพงและหายใจอย่างเหนื่อยหอบเหมือนเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีได้ถูกกลืนหายไปกับสายน้ำ ชายหนุ่มผู้งดงามเดินตามเข้ามาประคองนางเอาไว้อย่างห่วงใย

“ท่านเป็นใคร?” หญิงสาวเอ่ยถามอย่างสงสัย

“เราคือสมันตรา เป็นพญานาคาธิบดี ราชาผู้ครองนครนาคราชแห่งลุ่มแม่น้ำโขง” ชายหนุ่มตอบ

“แล้วเราเป็นใคร?”

ชายหนุ่มไม่ตอบคำถามใด เขาทำได้เพียงแค่ยิ้มอย่างมีความสุขที่สุดในชีวิตและกระดิกนิ้วเรียกนางนาคีจำนวนหนึ่งให้นำพานางพญานาคผู้เพิ่งถือกำเนิดขึ้นไปพักผ่อนยังถ้ำของนาง ส่วนตัวเขานั้นเดินตรงไปยังตำหนักธรรมที่เพิ่งประกอบพิธีถือกำเนิดพญานาคตนใหม่เสร็จสิ้น

“ท่านอาจารย์ เราขอบพระคุณท่านมากที่ประกอบพิธีถือกำเนิดนางให้กับเรา” สมันตรากล่าวขึ้นพลางก้มศีรษะและย่อตัวลงเพื่อแสดงความเคารพแต่ผู้ถูกเรียกว่าอาจารย์คว้าไหล่ลูกศิษย์ไว้ได้ทัน แม้จะมีศักดิ์เป็นถึงครูบาอาจารย์ชั้นผู้ใหญ่แต่ผู้เป็นศิษย์นั้นมียศถาบรรดาศักดิ์สูงกว่าบารมีสูงกว่าเช่นนี้แล้วผู้เป็นอาจารย์จึงมิกล้ารับการแสดงความเคารพ

“ท่านพญานาคาธิบดี” ผู้เป็นอาจารย์ก้มศีรษะให้กับสมันตราอย่างเคารพรัก “นางได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วตามบัญชาของท่าน นางเป็นนาคอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ทั้ง 5 สภาวะ เกิด นอนหลับ ลอกคราบ สมสู่ และตาย”

“นางเพิ่งผ่านสภาวะเกิดไป อารมณ์ความรู้สึกของพญานาคนั้นรุนแรงนัก มันมากมายกว่ามนุษย์หลายร้อยหลายพันเท่า นางถือกำเนิดขึ้นจากความโศกเศร้า เมื่อนางถือกำเนิดเป็นนาคนางจะโศกเศร้ามากขึ้นเป็นร้อยเท่าพันเท่า” ปรมาจารย์ผู้รอบรู้กล่าวกับศิษย์รัก

“เพราะเหตุนี้ท่านจึงลบความทรงจำของนาง” สมันตราเอ่ยขึ้นอย่างเข้าใจ

“ทุกสรรพสิ่งในโลกหล้าล้วนถูกควบคุมด้วยกฎแห่งธรรมชาติ การถือกำเนิดใหม่นั้นย่อมต้องถูกลบเลือนชาติกำเนิดเดิม แต่เราจำเป็นต้องใช้เวทมนตร์คาถาเพื่อปิดบังอดีตชาติของนาง ไม่ให้นางหวนระลึกถึงความทรงจำในอดีตที่เคยเป็นมนุษย์ เมื่อนางพบเจอกับพระภิกษุสงฆ์รูปนั้นอีก นางจะจดจำความรักครั้งเก่าไม่ได้ นางถือกำเนิดมาเพื่อเป็นของท่านแต่เพียงผู้เดียว” ปรมาจารย์ชี้แจง

“นางลืมเลือนทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่ความรักครั้งเก่าของนางเช่นนั้นรึ”

“แต่หากนางปฏิบัติกรรมฐาน สร้างทานบารมี สักวันหนึ่งนางจะจดจำได้ทุกสิ่ง ความทรงจำในทุกภพชาติของนางจะหวนกลับคืนมา”

“แล้วหากนางจดจำได้ว่าเราพรากนางมาจากคนรักเก่า นางคงโกรธและเกลียดเรามาก” สมันตราเอ่ยขึ้นอย่างสำนึกในความผิด

“อย่ากังวลไปเลย สิ่งนั้นมันยังไม่เกิดขึ้น ทุกสิ่งล้วนเป็นอนิจจัง ความรักก็เช่นกัน วันหนึ่งในอนาคตกาลข้างหน้า นางอาจจะรักท่านด้วยหัวใจของนางเอง จงอาศัยโอกาสที่นางยังจดจำอดีตไม่ได้เช่นนี้ ทำให้นางหลงรักเสียเทอญ” ผู้เป็นปรมาจารย์ชี้แนะ

“เราขอขอบคุณท่านอาจารย์ที่ช่วยชี้แนะหนทางแก้ไขให้เราเสมอมา มณีกลายร่างเป็นนาคแล้ว นางลืมอดีตของนางไปเสียจนหมดสิ้นแล้ว นางควรจะมีชื่อใหม่ เราจะเรียกนางว่าอย่างไรดีให้เหมาะสมและคู่ควรกับการเป็นนางพญานาคิณีของเรา”

“ท่านจะแต่งตั้งนางเป็น นางพญานาคิณีรึ” ผู้เป็นปรมาจารย์เอ่ยถามศิษย์ผู้เป็นถึงพญานาคาธิบดี

“ใช่” ผู้เป็นศิษย์เอ่ยตอบอย่างหนักแน่น

“เช่นนี้บัลลังก์ของนางพญานาคิณีย่อมมีถึงสองบัลลังก์” ปรมาจารย์เอ่ยขึ้นอย่างลำบากใจ “ปทุมมาย่อมไม่พึงพอใจเป็นแน่”

“ถ้านางไม่พึงพอใจ นางจะจากไปยังเมืองมนุษย์หรือที่แห่งใดก็ย่อมได้ เราจะไม่ยื้อยุดฉุดรั้งนางเอาไว้เลยตรงกันข้ามหากนางต้องการจากไปอย่างสมพระเกียรติ เราจะให้ขบวนแห่นำเสด็จนางไปเลยเสียด้วยซ้ำ”

“ในฐานะที่ท่านนับถือเราเป็นอาจารย์ โปรดอนุญาตให้เราเสนอคำแนะนำกับท่านด้วยเทอญ”

“ว่ามาซิ ท่านอาจารย์”

“นางมนุษย์ผู้นี้แม้จะมีบุญบารมีแต่ชาติปางก่อนแต่ก็มีไม่มากมายนัก การเป็นถึงนางพญานาคิณีซึ่งเป็นราชินีแห่งปวงนาคต้องอาศัยบารมีอันแรงกล้า เมื่อนางหยิบยืมบารมีจากท่านวันหนึ่งหากนางสร้างบารมีได้ด้วยตนเอง นางก็ต้องนำมาชดใช้คืนให้กับท่าน เช่นนี้นางจะมีบารมีใดที่จะปกป้องตนเองจากภัยร้าย”

“เราจะปกป้องนางจากภัยร้ายทั้งหมดเองหรือท่านอาจารย์ไม่เห็นด้วย”

“สมันตรา ท่านนี้ดื้อดึงนัก อยากได้สิ่งใดก็ต้องได้ ภัยร้ายกำลังจะเกิดเพราะความดื้อรั้นของท่าน เราขอแนะนำท่านให้แต่งตั้งนางพญานาคผู้ถือกำเนิดแบบโอปปาติกะผู้นี้เป็นเพียงนางสนมเอก ท่านจะเสพสุขกับนางตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นยันพระอาทิตย์ตกก็ย่อมได้ เพียงแต่หลังพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วถึงพระอาทิตย์ขึ้นในวันรุ่ง ท่านได้โปรดไปปรนเปรอความสุขให้กับปทุมมาบ้าง”

“ท่านอาจารย์ เราเข้าใจว่าท่านมีสายตาที่กว้างไกล ท่านคิดถึงบ้านเมืองเป็นใหญ่ แต่ท่านลืมไปแล้วรึ ว่าเราเป็นใคร เราเป็นพญานาคาธิบดี เราไม่ได้มีหน้าที่ปรนเปรอความสุขให้สตรี” สมันตราพูดขึ้นอย่างดื้อดึง

“เราขออภัยท่านพญานาคาธิบดีที่เคารพ โปรดอภัยให้เราเทอญ เราเพียงแค่ให้คำแนะนำตามที่ถูกที่ควร” ผู้เป็นอาจารย์รีบกล่าวอย่างนอบน้อมโดยทันทีก่อนที่ลูกศิษย์ผู้มีศักดิ์สูงกว่าจะเกรี้ยวโกรธมากขึ้นเพราะถูกขัดใจ

“โปรดให้คำแนะนำเราในเรื่องการบริหารบ้านเมืองเทอญ เรื่องส่วนตัวและหัวใจของเราท่านโปรดละเอาไว้ ... เราตัดสินใจเองได้ เรารู้ว่าเราควรทำเช่นไร” ผู้เป็นศิษย์แม้จะโกรธกริ้วแต่ด้วยสำนึกได้ว่าผู้เป็นอาจารย์นั้นมีเจตนาบริสุทธิ์จึงลดระดับของน้ำเสียงลงเป็นเพียงแค่การสนทนาปกติเท่านั้น

“ปทุมมาคือหนึ่งในการเมืองที่ท่านต้องปกครอง นางมีทั้งทหารและปรมาจารย์ผู้รอบรู้อยู่ในกำมือมิใช่น้อย” ผู้เป็นอาจารย์นำเสนอเหตุผล

“เราจำเป็นต้องกลัวนางรึ?” แม้น้ำเสียงจะแผ่วเบาเหมือนการสนทนาทั่วไป แต่แววตาของสมันตรายังคงแสดงออกถึงความดื้อรั้นอยู่เช่นเดิม

“หามิได้ แต่การสร้างมิตรย่อมดีกว่าสร้างศัตรู นางทำอะไรท่านไม่ได้ก็จริงแต่นางจะเอาความโกรธเคืองทั้งหมดที่นางมีให้กับท่านไปลงที่นางพญานาคผู้เป็นที่รักยิ่งของท่าน ทำดีกับปทุมมาเพื่อให้นางคลายความโกรธลง นางจะได้ไม่กลั่นแกล้งคนรักของท่าน” ปรมาจารย์ผู้รอบรู้ยังคงไม่ยอมละความพยายามที่จะชี้แนะศิษย์ผู้ดื้อดึง

“เราจะเก็บไปพิจารณา ปทุมมามีคดีความค้างชำระกับเราอยู่ แต่เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน เพราะเราจะแต่งตั้งมณีให้เป็นนางพญานาคิณีของเราในอีกเจ็ดวันข้างหน้า ท่านอาจารย์โปรดให้นามใหม่กับนางด้วยเทอญ”

“รานี แปลว่าราชินี มเหสี กษัตรี เจ้าหญิงผู้ครองแผ่นดิน เชื่อเดิมของนางคือมณี เช่นนั้น เราควรให้ชื่อใหม่นางว่าราณี” ผู้เป็นปรมาจารย์เสนอแนะ

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว