บทที่ 10
ลวงตา ลวงใจ
โจวไห่เซิ่งตะลึงเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีดำสนิทปรากฏกายที่หน้าประตูทางเข้าห้องจัดเลี้ยง บุรุษตาโตบุคคลิกลักษณะอบอุ่นที่วริศราบอกว่าอายุห้าสิบกว่าและมีลูกสาวโตจนเรียนจบมหาลัยแล้ว
คุณเควิน....เขาคือคนเดียวกันกับสามีของอาจารย์หนึ่งฤทัยที่โจวไห่เซิ่งเคยพบที่ไร่ม่านฟ้า
ในตอนนั้นโจวไห่เซิ่งกำลังปวดเอว และทุกคนก็กำลังวุ่นวายจึงไม่มีการแนะนำให้รู้จักอย่างเป็นทางการ เพียงได้ยินอาจารย์หนึ่งฤทัยเรียกสามีของเธอว่า ‘อาเหว่ย’
ที่แท้เขาก็คือคุณเควินที่วริศราชื่นชมนักหนา
ก็สมควรอยู่หรอก...โจวไห่เซิ่งคิดและแอบออกอาการน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมาแวบหนึ่งเมื่อเห็นอย่างชัดเจนว่าคุณเควินคนนี้บุคคลิกหน้าโดดเด่นและคงไม่มีใครดูออกว่าเขาอายุห้าสิบกว่าแล้ว ถ้าจะบอกว่าอายุสี่สิบห้ายังนับว่ามากไปด้วยซ้ำ
แต่นี่แหละ ที่เหมาะสมกับอาจารย์หนึ่งฤทัยเป็นอย่างมาก
หวังเค่อเหว่ยทักทายอลันกับไช่หลิ่วอิ๋งโดยไม่รู้ว่าถูกวริศราพูดถึงอยู่ไกล ๆ
“เป็นไงล่ะอาเซิ่ง เชื่อรึยังว่าคุณเควินน่ะหล่อจริง ๆ ฉันน่ะนึกอิจฉาภรรยาเขาจังเลย ได้สามีเด็กกว่าแล้วยังแสนดีแฟมิลี่แมนขนาดนี้”
“ว่าไงนะ...ได้สามีเด็กกว่า? ” โจวไห่เซิ่งทวนคำ ไม่แน่ใจว่าตนได้ยินอะไรผิดไปหรือเปล่า
“ก็ใช่น่ะสิ คุณเควินบอกว่าภรรยาของเขาอายุมากกว่าเขาสองปี คิดดูสิว่าผู้หญิงน่ะยังไงก็ต้องแก่เร็วกว่าผู้ชาย แต่ดูคุณเควินจะรักภรรยามากเลยนะ”
อาจารย์หนึ่งฤทัยที่โจวไห่เซิ่งเข้าใจมาตลอดว่าอายุสักสามสิบห้าหรืออย่างมากก็ไม่เกินสามสิบแปด ที่แท้ยังจะอายุมากกว่าคุณเควินอีกหรือนี่...
ถึงแม้สมัยนี้จะมีเทคโลยีสมัยใหม่ที่เป็นตัวช่วยชะลอความชราลงได้บ้าง แต่ก็ไม่น่าที่จะทำให้ผู้คนดูอ่อนวัยได้ถึงเพียงนี้ หรือว่าสามีภรรยคู่นี้จะสะกดคำว่า ‘ชรา’ ไม่เป็น
ดูเหมือนการส่งสายตาเรียกร้องความสนใจของวริศราจะได้ผล เมื่อหวังเค่อเหว่ยเริ่มรู้ตัวและหันมาทางเธอและเดินเข้ามาเมื่อเห็นเธอค้อมศีรษะทักทาย
โจวไห่เซิ่งเห็นสายตาของบุรุษผู้นี้เหลือบมองมาเห็นเขา แม้แต่โจวไห่เซิ่งเองยังสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ทอประกายมาจากตาโตคู่นั้นพร้อมกับรอยยิ้มที่ส่งมาให้อย่างเป็นกันเอง
“คุณเควิน สวัสดีค่ะ” วริศรายกมือไหว้อย่างเป็นทางการ แต่โจวไห่เซิ่งไหว้ไม่เป็นจึงได้แต่ค้อมศีรษะให้ หวังเค่อเหว่ยค้อมศีรษะตอบรับการทักทายของทั้งสองอย่างสุภาพ เขาหันไปทักทายโจวไห่เซิ่งก่อน
“ไม่ได้เจอกันนานคงพูดภาษาไทยเก่งขึ้นแล้วนะครับ”
“ที่อาจารย์สอน ผมพยายามทบทวนครับ” โจวไห่เซิ่งกล่าว
“เอ๊ะ..รู้จักกันหรือคะนี่? ” วริศราทำเสียงตื่นเต้น
“คุณเควินเป็นสามีอาจารย์หนึ่ง อาจารย์สอนภาษาไทยของผมเอง”
“โอ้โห...เซอร์ไพร้ส์มากเลยนะคะนี่ แล้ววันนี้อาจารย์หนึ่งไม่ได้มาด้วยเหรอคะคุณเควิน”
“เดี๋ยวจะตามขึ้นมาครับ เมื่อกี้ตอนเดินเข้ามาเกิดแอคซิเดนท์นิดหน่อย ผมเลยเข้ามาก่อน”
“พาลูกสาวมาด้วยรึเปล่าคะ รึว่าแกยังอายอยู่”
หวังเค่อเหว่ยหัวเราะ ที่จริงเขาโกหกใครไม่ค่อยเป็น แต่งานนี้ลูกสาวสุดที่รักของเขาเตรียมคำตอบมาให้อย่างดีแล้ว หรือจะให้พูดง่าย ๆ ก็คือ เธอสอนพ่อให้โกหกนั่นเอง
“ลูกสาวผมเขาไม่อยากมาอยู่ตรงนี้น่ะครับ”
นั่นเป็นคำตอบที่ม่านฟ้าบอกว่าไม่ได้โกหกเสียหน่อย ก็เธอไม่ได้อยากมาอยู่ตรงนี้จริง ๆ เธออยากโชว์พี่เซิ่งอยู่บนเวทีต่างหาก
“แหม...เสียดายจังนะคะ” วริศราว่า
“อาจารย์หนึ่งสบายดีใช่มั้ยครับ? ” โจวไห่เซิ่งถาม
“ครับ ช่วงนี้ยุ่งนิดหน่อย ตอนนี้ที่สปาลูกค้าเยอะ พนักงานก็ไม่พอ เลยต้องวิ่งวุ่น นี่ก็ประกาศรับพนักงานเพิ่มแล้วนะครับ”
“เอ๊ะ....ภรรยาคุณเควินทำสปาด้วยเหรอคะ” วริศราสนใจ
“ครับ ว่าง ๆ เชิญคุณหวานนะครับ เดี๋ยววันหลังผมจะให้คูปองทำสปาฟรีสิบครั้งลองไปใช้บริการดู แต่ต้องโทรจองล่วงหน้านะครับ เพราะช่วงนี้ลูกค้าเยอะ”
“ดีเลยค่ะ อย่างนี้ถ้าฉันอยากให้สปาของอาจารย์หนึ่งไปเปิดในโครงการของฉันจะได้มั้ยคะ? ”
“เดี๋ยวคุณหวานคุยกับหนึ่งได้เลยครับ ตอนนี้สปาเรามีแค่สองสาขาคือสาขาเดิมที่เชียงใหม่กับสาขาที่กรุงเทพฯ อยากจะขยายสาขาอยู่เหมือนกัน ติดตรงที่ตอนนั้นหนึ่งเพิ่งเทคโอเวอร์กิจการโรงเรียนสอนภาษาเลยวุ่นวายอยู่หลายปี ไป ๆ มา ๆ ก็ลืมเรื่องขยายสาขากันไปเลย”
“แสดงว่าชีวิตของคุณเควินคงจะมีความสุขมากนะคะ คงจะไม่เคยขาดอะไรเลย ถึงขั้นลืมคิดเรื่องหาเงิน”
“มีครอบครัวก็ไม่รู้สึกขาดอะไรแล้วล่ะครับ” หวังเค่อเหว่ยบอกด้วยความสุขที่ฉายออกมาทางแววตา ไม่ทันสังเกตว่าโจวไห่เซิ่งแอบยืนอมยิ้มสายตามองไปยังเบื้องหลังของหวังเค่อเหว่ย จนกระทั่งเสียงทุ้มกรีดกรายดังขึ้น
“ได้ยินแล้วใช่มั้ยเจ๊ จริงใจทั้งในและนอกจอ”
“คุณหมี! ” หวังเค่อเหว่ยหันหลังกลับไปมองก็พบหมีกับหนึ่งฤทัยยืนยิ้มแฉ่งกันอยู่แล้ว ที่แท้โจวไห่เซิ่งเห็นทั้งคู่ตั้งแต่แรก แต่หมีขยิบตาให้เฉยไว้
“อาจารย์หนึ่งสวัสดีครับ” โจวไห่เซิ่งค้อมศีรษะทักทายอาจารย์สาว
อาจารย์หนึ่ง....คราวนี้เป็นวริศราที่ตะลึงไปเมื่อเห็นสตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้า
รูปร่างสูงขาวโปร่งบางร่างระหงงามสง่า เกล้าผมตึงเรียบเน้นใบหน้ารูปไข่ ดวงตาคู่งามหวานหยาดเยิ้ม และที่น่าดึงดูดที่สุดคือปากอิ่มรูปหัวใจ แต่จะเป็นไปได้อย่างไรที่สตรีผู้นี้มีอายุถึงห้าสิบ บอกว่าสี่สิบก็ยังไม่ควรเลยด้วยซ้ำ
มันตรงข้ามกับภาพอาจารย์สาวสูงวัยใส่แว่นตาหนาท่าทางเคร่งขรึมที่วริศราเคยจินตนาการไว้โดยสิ้นเชิง
วริศราถึงกับละอายใจเมื่อพบว่าตนประเมินผู้อื่นต่ำเกินไป เธอมองดูร่างระหงของหนึ่งฤทัยในชุดราตรียาวสีม่วงแดงแล้วพลันรู้สึกว่าตนดูด้อยไปถนัดตาทั้งที่อ่อนวัยกว่า เพราะเห็นได้ชัดว่าหนึ่งฤทัยที่มีใบหน้าหวานเมื่ออยู่ในชุดราตรีคอถ่วงสีม่วงแดงตัวยาวกลับดูเซ็กซี่มีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด สายรัดเอวสีเดียวกับชุดมีหัวคริสตัลระยิบระยับเน้นทรวดทรงองค์เอวโค้งเว้างดงามกลมกลึงเหมาะเจาะ
จริงสินะ...เมื่อครู่นี้หวังเค่อเหว่ยเพิ่งบอกว่าภรรยาของเขาทำสปา คนทำธุรกิจเกี่ยวกับความงามอย่างนี้จะปล่อยตัวให้โทรมได้อย่างไร และวริศราก็หายข้องใจไปโดยพลันว่าคุณเควินของเธอเหตุไฉนจึงได้ดูอ่อนกว่าวัยถึงเพียงนี้ ภรรยาทำธุรกิจสปาทั้งทีมีหรือที่คนในครอบครัวจะไม่ใช้บริการ
แต่ความจริงที่วริศราไม่เคยรู้เลยก็คือหวังเค่อเหว่ยนั้นเจ้าสำอางและรักสวยรักงามมากกว่าหนึ่งฤทัยหลายเท่า ถึงขนาดที่ว่าเมื่อก่อนนี้หนึ่งฤทัยยังเคยเข้าใจผิดคิดว่าเขาไม่แมนเสียด้วยซ้ำ
“อาจารย์หนึ่ง..” วริศราอุทานออกมาอย่างเลื่อนลอย
“ครับ นี่คือหนึ่ง ภรรยาผมเอง” หวังเค่อเหว่ยย้ำ
วริศรานึกได้ว่าควรทักทายภรรยาของเขา เธอจึงรีบยกมือไหว้
“อาจารย์หนึ่งสวยมากค่ะ” วริศราบอกอย่างจริงใจ ยอมรับว่าหวังเค่อเหว่ยกับหนึ่งฤทัยช่างเหมาะสมกันเหลือเกิน
“ขอบคุณค่ะ” หนึ่งฤทัยยิ้มรับอย่างมีไมตรี
“หนึ่งจ๊ะ คุณหวานอยากจะคุยเรื่องสปาน่ะจ้ะ” หวังเค่อเหว่ยบอก
วริศราแอบสังเกตเห็นมือของเขาสอดประสานแนบแน่นกับมือของภรรยาอยู่ตลอดเวลา ช่างเป็นภาพที่น่ารัก แต่ทำไมในใจของวริศรากลับรู้สึกซึมเซาเลื่อนลอยอย่างบอกไม่ถูก
หวังว่าฉันคงจะไม่หลงรักคุณเข้าไปจริง ๆ หรอกนะ คุณเควิน
โจวไห่เซิ่งมองดูวริศราคุยกับสองสามีภรรยาอย่างออกรสชาติโดยมีหมีคอยยืนเป็นลูกคู่แล้ว ชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกิน ได้แต่เก้ ๆ กัง ๆ มองไปรอบ ๆ หาใครสักคนมาคุยด้วย แต่ก่อนที่โจวไห่เซิ่งจะปลีกตัวออกมาหมีก็เข้ามาชวนคุยเสียก่อน
“นี่...พ่อรูปหล่อ ชื่ออาเซิ่งใช่มั้ย? เมื่อกี้นี้ได้ยินเจ๊เขาเรียกอย่างนี้ แซ่ไรน่ะ? ” หมีแกล้งถามทั้งที่รู้อยู่แล้ว
“แซ่โจวครับ โจวไห่เซิ่ง” โจวไห่เซิ่งขยับกายถอยออกไปเล็กน้อยเพราะไม่คุ้นกับกะเทย และหมีก็เข้าใจข้อนี้ดีจึงหัวเราะคิกแล้วกล่าวว่า
“แหม..ไม่ต้องกลัวหรอก กะเทยไม่กัดหรอกนะฮ้า ฉันชื่อหมี หรือจะเรียกว่าน้าหมีก็ได้นะ”
“ครับ” ชายหนุ่มยังมีท่าทางเกร็ง ๆ จนหมีแอบกระหยิ่มในใจ
หนูฟ้าเข้าใจเลือกผู้ชาย หน้าตาหล่อคมคายมาดดี แต่ซื่อนิด ๆ คล้ายคุณเควินตอนหนุ่ม ๆ แถมยังท่าทางเรียบร้อยขนาดนี้เห็นทีจะเสร็จองค์หญิงน้อยของเราในเร็ววัน
“มาอยู่เมืองไทยนานรึยังน่ะ? ” หมีชวนคุย
โจวไห่เซิ่งแม้จะกลัวกะเทยอยู่เล็กน้อย แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีน้ำจิตน้ำใจเข้ามาคุยด้วย อีกทั้งฝ่ายนั้นยังเป็นเพื่อนของอาจารย์หนึ่งจึงคิดว่าไม่น่าจะมีพิษมีภัยก็เริ่มคลายอาการเกร็งลงบ้าง
อย่างน้อยก็ยังดีกว่าไม่มีเพื่อนคุย...เขาคิด
“ประมาณปีนึงแล้วครับ”
“มิน่าล่ะ พูดภาษาไทยเก่งนะ ตอนนี้ยังเรียนภาษาไทยกับเจ๊เขาอยู่รึเปล่า? ”
“ไม่ได้เรียนแล้วครับ เพราะผมเรียนจนไม่รู้จะเรียนอะไรแล้วครับ แต่ก็พยายามทบทวนแล้วก็หาโอกาสคุยกับพนักงานในบริษัทบ้าง ก็มีคนช่วยสอนบ้างนะครับ”
“มาเมืองไทยมากับใครเหรอ? หรือว่ามีญาติอยู่ที่นี่? ” หมีถามข้อมูลอีก
“ตอนแรกมากับน้องสาวแต่ว่าตอนนี้เขากลับไปทำงานที่ไต้หวันแล้วนะครับ ส่วนญาติก็ไม่มีหรอกครับ พ่อแม่ผมเสียไปแล้ว ตอนนี้ไม่มีญาติที่ไหน”
“อ้อ...” หมีพยักหน้ารับรู้ และเปลี่ยนเรื่องคุยก่อนที่ ‘เหยื่อ’ จะตื่นตกใจหาว่ากะเทยสอดรู้สอดเห็นจนเกินงาม
ครึ่งชั่วโมงต่อมา พิธีกรบนเวทีประกาศว่าจะมีการแสดงซึ่งเป็นไฮไลท์ของงาน โดยการแสดงชุดนี้มีชื่อว่า ‘บุปผาแก้ว’ อันเป็นการแสดงจากพนักงานสาวในร้านกาแฟที่อาคารคอฟฟี่ อินฟินิตี้นั่นเอง
โจวไห่เซิ่งรู้ว่าม่านฟ้าร่วมแสดงด้วย เธอบอกเขาเองแต่ไม่ได้บอกว่าการแสดงเป็นอย่างไรเพราะถือว่าเป็นความลับของทางบริษัทที่แม้แต่พนักงานที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องก็ห้ามเข้าชมการซ้อม ดังนั้นยิ่งเป็นการกระตุ้นต่อมความอยากของใครหลายคนให้สนใจเพิ่มขึ้นอีก ไม่เว้นแม้แต่โจวไห่เซิ่งที่ตั้งใจว่าจะถ่ายรูปการแสดงชุดนี้เก็บไว้ด้วย
ส่วนหวังเค่อเหว่ยนั้นพกกล้องถ่ายรูปมาด้วย หนึ่งฤทัยก็รับหน้าที่ถ่ายภาพลูกสาวสุดที่รักลงมือถือเช่นเดียวกับบรรดา ‘กองหนุนม่านฟ้า’ อย่างหมี รวมไปถึงอลันกับไช่หลิ่วอิ๋งต่างก็เข้ามายืนอยู่หน้าเวที
แต่ทุกคนก็เว้นที่ไว้ให้โจวไห่เซิ่งได้เข้ามายืนอย่างสะดวก กองหนุนทั้งหลายต่างมองตากันเมื่อรู้ว่าแผนของพวกตนล่อเหยื่อได้สำเร็จ
ไฟในห้องจัดเลี้ยงถูกหรี่ให้มืดลง ก่อนที่ทุกคนจะได้ยินดนตรีเพลง ‘บุปผาแก้ว’ ของ ‘โจวเจี๋ยหลุน’ นักร้องยอดนิยมของไต้หวัน ไฟกลางเวทีส่องสว่างมองเห็นนางระบำชุดขาวยืนแถวคู่ตอนลึกโบกสะบัดพัดขนนกสีขาวปิดความลับที่อยู่กลางเวที เสียงกู่เจิงจากดนตรีที่เข้าสู่ท่วงทำนองเพลง ความตระการตาปรากฏเมื่อนางระบำแต่ละคู่ค่อย ๆ เปิดพัดสีขาวออกเผยให้เห็นนางดอกไม้ในชุดโบราณสีม่วงระยับยาวกรุยกรายออกมาร่ายรำ
เสียงปรบมือดังขึ้นทั่วห้องจัดเลี้ยงพร้อมกับเสียงฮือฮาของผู้ร่วมงาน โดยเฉพาะหมีที่แทบจะร้องกรี๊ดอย่างถูกใจเมื่อเห็นเจ้าตัวเล็กของตนกลายร่างเป็นสาวงาม หวังเค่อเหว่ยยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปองค์หญิงน้อยของเขา ในขณะที่โจวไห่เซิ่งได้แต่ยืนตะลึง
เขารู้ว่าเด็กคนนี้ไม่ได้ขี้เหร่ แต่พอเห็นใบหน้าป่อง ๆ ใส ๆ ที่เคยเห็นทุกวันตอนนี้แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอาง เรือนผมประดับดอกโบตั๋นสีแดงกับปิ่นทองสุดอลังการ เข้าชุดสีม่วงซีทรูกรุยกรายที่คลุมทับชุดสีเหลืองทองชั้นในร่ายรำอ่อนช้อย โปรยยิ้มหวานหยาดเยิ้มอย่างนั้นแล้วหากไม่บอกว่างาม แล้วยังจะมีคำพูดอะไรจะเปรียบได้อีก
“นางระบำสวยจังเลย ต้องถ่ายรูปซะหน่อย” หมีแกล้งพูดดัง ๆ ให้โจวไห่เซิ่งได้ยิน
และก็ได้ผลเมื่อชายหนุ่มรีบหยิบมือถือขึ้นมาแชะภาพม่านฟ้าเอาไว้เช่นกัน หมีเห็นเช่นนั้นก็กระหยิ่มยิ้มย่อง
พอการแสดงจบเสียงปรบมือก็ดังเกรียวกราวขึ้นด้วยความประทับใจก่อนที่ผู้ชมทั้งหลายจะแยกย้ายไปเม้าท์กันต่อ รวมถึงหนึ่งฤทัยกับหวังเค่อเหว่ยที่ยังต้องคุยเรื่องสปากับวริศราต่อด้วย คุยกันได้ไม่กี่นาทีมือถือของหวังเค่อเหว่ยก็สั่น พอเขายกขึ้นมาดูจึงรู้ว่าเป็นองค์หญิงน้อยของเขานั่นแหละที่โทรเข้ามา เขาจึงปลีกตัวออกมารับสาย
“พ่อ..” ปลายสายเรียก
“ว่าไงจ๊ะลูกรัก”
“พ่อกับแม่มาถ่ายรูปกับฟ้าหน่อยสิ เดี๋ยวฟ้าจะเปลี่ยนชุดแล้ว ฟ้าอยากถ่ายรูปกับพ่อแม่”
“แม่เขาคุยธุระกับคุณหวานอยู่น่ะลูก ถ้าพ่อเรียกออกมาเดี๋ยวคุณหวานเขาจะสงสัยนะ”
“อ้าว...งั้นเหรอ ถ้างั้นพ่อมาคนเดียวก็ได้ ฟ้าจะรอที่น้ำพุหลังโรงแรมนะ”
“จ้ะลูก” เขารับคำก่อนจะค่อย ๆ ปลีกตัวออกจากห้องจัดเลี้ยง พาร่างสูงลงบันไดไปชั้นหนึ่งทะลุออกไปด้านหลังโรงแรมซึ่งเป็นลานน้ำพุเปิดไฟสลับสีสวยส่องน้ำให้ผู้คนได้พักผ่อนหย่อนใจ ม่านฟ้าในชุดนางดอกไม้ยืนยิ้มแฉ่งรออยู่แล้ว
“พ่อ..มาถ่ายรูปกัน” เจ้าตัวเล็กคล้องแขนคนเป็นพ่อไปยืนอยู่หน้าลานน้ำพุก่อนจะหยิบมือถือออกมาถ่ายรูปคู่หลายรูป แถมยังบอกให้พ่อทำท่าเอานิ้วจิ้มแก้มแอ๊บแบ๊วเสียด้วย แต่หวังเค่อเหว่ยก็ไม่เคยขัดลูกสาว นั่นทำให้ม่านฟ้าหัวเราะอย่างสนุกสนาน
หารู้ไม่ว่าโจวไห่เซิ่งกำลังแอบยืนมองอยู่ไกล ๆ จากมุมหนึ่ง เขาเพียงแต่เบื่อ ๆ เพราะอยู่ในงานไม่รู้จะคุยกับใครจึงออกมาเดินเล่น แล้วก็ได้เห็นภาพที่ทำให้เขาคาดไม่ถึง
เด็กคนนี้ดูสนิทสนมกับคุณเควินมาก ท่าทางสวีทหวานแหววกันขนาดนี้จะให้คิดอย่างไร ครั้งที่แล้วก็กลับบ้านกับคุณอลัน ทั้งคุณอลันละคุณเควินเป็นเพื่อนสนิทกัน แล้วเด็กคนนี้...
อา..ใช่แล้ว โจวไห่เซิ่งตกใจเมื่อค่อย ๆ ปะติดปะต่อเรื่องราวได้
เด็กคนนี้หน้าตาผิวพรรณดีเกินกว่าจะมาเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้านกาแฟ แถมยังมีมือถือรุ่นแพง ๆ ใช้ ใส่ต่างหูทองคำขาวอีกต่างหาก ที่แท้เธอก็.....
โจวไห่เซิ่งหันไปมองม่านฟ้าอีกที เห็นเธอกอดแขนหวังเค่อเหว่ยแน่นก่อนจะเขย่งเท้าขึ้นหอมแก้มฝ่ายนั้น
อ้อนเก่งขนาดนี้ล่ะสิ ‘ลูกค้า’ ถึงได้หลงซื้อโน่นซื้อนี่ให้
หน้าตาก็ดี ไม่น่ามาทำอาชีพสาวไซด์ไลน์...โจวไห่เซิ่งทั้งสะท้อนใจ ทั้งเจ็บใจ
แต่ก็ไม่รู้ว่าเจ็บใจอะไร รู้เพียงแต่ว่าไม่อยากให้เธอทำแบบนี้ คิดไปก็พาลโกรธอลันซึ่งเป็นเจ้านายของเขาเองที่เห็นผู้หญิงเป็นสินค้าที่ซื้อขายได้ตามอำเภอใจยังไม่พอ ยังจะแบ่งให้เพื่อนรักอย่างคุณเควินได้ร่วมสนุกด้วย บัดสีจริง ๆ
เฮอะ...นี่น่ะเหรอแฟมิลี่แมนของหวาน พอเมียเผลอก็แอบหาเศษหาเลยนอกบ้าน ขนาดมีภรรยาสวยอย่างอาจารย์หนึ่งฤทัยแล้วก็ยังไม่รู้จักพอ
โจวไห่เซิ่งซึ่งโตมาจากครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ทำให้เขาไม่เคยชื่นชอบกับพฤติกรรมแบบนี้เลย งานวันนี้ชักจะไม่สนุกเสียแล้ว ชายหนุ่มหงุดหงิดจนต้องโบกรถแท็กซี่กลับบ้านโดยไม่คิดจะล่ำลาใครทั้งสิ้น
“ไม่ได้กลับบ้านตั้งหลายอาทิตย์ เด็ก ๆ คิดถึงเสี่ยงเสียงกันรึเปล่า? ” หลินอี้เสียงทักทายหมาน้อยทั้งสามตัวที่กรูเข้ามากระดิกหางอย่างยินดีเมื่อพบเจ้าของ
หมูยอง...พุดเดิ้ลทอยสีน้ำตาลตัวจิ๋ว
ปุยฝ้าย...ปอมเปอเรเนี่ยนหน้าหมีขนฟูสีขาว และ
เฉาก๊วย...ยอคเชียร์ขนยาววาววับสีเทาสลับน้ำตาลทอง
โจวไห่หลินรู้ว่าทั้งสามตัวเป็นหมาที่หลินอี้เสียงเลี้ยงมาตั้งแต่พวกมันยังเด็ก หญิงสาวมองดูชายหนุ่มที่พอได้อยู่กับสุดที่รักทั้งสามตัวกลับเป็นหนุ่มอารมณ์ดีคล้ายเป็นคนละคนกับหลินอี้เสียงที่ชอบเอาแต่ใจกวนอารมณ์ชาวบ้านทั่วไป
ภาพชายหนุ่มกำลังเล่นกับหมาน้อยทั้งสามตัวนั้นถูกโจวไห่หลินถ่ายไว้และโพสต์ลงโซเชียลเน็ตเวิร์คในทันใด พร้อมกับโพสต์ข้อความกำกับ
‘ระหว่างเสี่ยงเสียงกับหมา ใครน่ารักกว่ากัน? ’
หลินอี้เสียงเดินเข้าไปในห้องนอนอันใหญ่โตของตน ล้มตัวลงนอนแผ่บนเตียงนุ่มอย่างสบายใจ เขาไม่ได้กลับบ้านเกือบสองเดือนแล้วเพราะงานที่รัดตัวจนแทบไม่มีเวลารับประทานอาหาร แต่ชายหนุ่มก็ชินเสียแล้วกับชีวิตแบบนี้ แม้จะเหนื่อยแต่กลับไม่เคยเบื่อ ราวกับว่าชีวิตเกิดมาเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากเป็นซูเปอร์สตาร์เท่านั้น
ชายหนุ่มกวาดสายตาไปรอบห้องแล้วก็มาหยุดตรงภาพวาดที่แขวนไว้บนผนัง
หลินอี้เสียงชอบภาพนี้ เพราะมันดูเหมือนมีชีวิตจริง คนที่วาดใบหน้าและลักษณะท่าทางของเขาได้อย่างมีจิตวิญญาณเช่นนี้ย่อมเป็นคนช่างสังเกต มันเป็นภาพที่แฟนคลับคนหนึ่งวาดให้เขา และส่งให้ม่านฟ้ามอบให้เขาเมื่อครั้งที่ไปถ่ายโฆษณาที่ไร่ม่านฟ้าเมื่อปีที่แล้ว แฟนเพลงคนนี้ใช้ชื่อว่า ‘ลูกแมวน้อย’ และดูเหมือนว่าเธอคนนี้จะเข้ามาโพสต์ความเห็นบนหน้ากระดานโซเชียลเน็ตเวิร์คของเขาอยู่เป็นประจำ
เห็น ‘ยัยเตี้ย’ผู้จัดการจอมโหดนั่นก็ชอบวาดภาพอยู่บ่อย ๆ ถ้าให้เธอวาดภาพเขาได้คงจะดีไม่น้อย แต่พอบอกให้ช่วยวาดภาพให้เขาหน่อยเธอก็มักจะบอกว่า ‘ไม่มีอารมณ์’ ทุกทีไป
ผู้หญิงอะไรประหลาดคน
วัน ๆ ไม่เคยแสดงอารมณ์อะไรกับเขาเลยสักนิด ถ้าเธอปั้นปึ่งใส่เขาบ้าง หลินอี้เสียงคงจะคิดเข้าข้างตัวเองได้ว่าเธอคงจะกำลังเรียกร้องความสนใจจากเขา แต่นี่กลับเฉยเมยเย็นชา จะยิ้มแย้มก็เมื่ออยู่ต่อหน้าสื่อหรือกับแฟนคลับเท่านั้น หลินอี้เสียงเองเสียอีกที่กลับต้องเป็นฝ่ายคอยยั่วแหย่ให้เธอโมโห
บางทีให้เธอโมโหบ้างก็ยังดีกว่าให้เธอทำเฉยเมยเย็นชาเป็นอาจิณ เพราะอย่างน้อยเขาก็ยังรับรู้ได้ว่าเธอยังมีความรู้สึกอะไรกับเขาบ้าง
มันจะเป็นไปได้ยังไง เราก็ออกจะหล่อ ไม่น่าทำให้ผู้หญิงหมดอารมณ์ได้ถึงขนาดนี้...หลินอี้เสียงคิดอย่างเคือง ๆ
‘ชอบเสี่ยงเสียงภาพนี้จัง’
โจวไห่หลินใช้ชื่อ ‘ลูกแมวน้อย’ โพสต์ความเห็นรวมกับบรรดาแฟนคลับหลายพันคนที่เข้ามาแสดงความเห็นชื่นชอบภาพที่หลินอี้เสียงเล่นกับหมาน้อยสามตัว
ความในใจของโจวไห่หลินถูกถ่ายทอดผ่านชื่อลูกแมวน้อยทุกครั้ง เธอยังเป็นลูกแมวน้อยที่ชื่นชอบเทพบุตรคนนี้ และเธอก็เป็น ‘ยัยเตี้ย’ ผู้จัดการสุดโหดของเขาเหมือนกัน เธอเป็นทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน
ที่เธอโหดกับเขาไม่ใช่ไม่มีเหตุผล บางคราวผู้ชายอย่างหลินอี้เสียงก็ดื้อด้านจนเกินไป และเอาแต่ใจจนเกินเหตุ ทุกวันนี้เขาอยู่ได้เพราะบารมีพ่อ ทุกคนเกรงใจเพราะเขาเป็นลูกชายของหลินอี้เหวินจึงไม่มีใครกล้าตอแยกับเขามากนัก
โจวไห่หลินคิดว่ามันไม่ควรจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป อย่างน้อยเขาก็ควรลดอาการเย่อหยิ่งจองหองลงบ้าง เธอรู้ว่ามันยากสำหรับคนที่เคยได้รับการเอาใจมาตั้งแต่เด็กที่จะมาเปลี่ยนนิสัยเอาตอนอายุใกล้สามสิบ แต่มันก็เป็นหน้าที่ที่หญิงสาวต้องทำ
เมื่อกี้นี้เธอเห็นเขาเล่นกับสุดที่รักทั้งสามตัวนั้น มันก็ทำให้เธอยังพอเข้าใจได้ว่าแท้ที่จริงแล้วหลินอี้เสียงก็เป็นคนอ่อนโยนอยู่ไม่น้อย ที่ผ่านมาหลายเดือนทำให้เธอรู้ว่าเรื่องที่เขารักสัตว์และเป็นห่วงแฟนคลับทุกคนนั้นเป็นเรื่องจริงที่เขามิได้เสแสร้งสร้างภาพแต่อย่างใด จะมีก็แต่นิสัยขี้โวยวายเอาแต่ใจนั่นแหละที่มีแต่คนวงในเท่านั้นที่รู้
และแน่นอน..หลินอี้เสียงยอมให้เธอรู้ทุกอย่าง เขาอยู่กับเธอก็ทำตัวตามสบายปลอดโปร่งอย่างยิ่ง
แล้วตัวเธอล่ะ....ต้องทำเฉยเมยกับเขาไปอีกนานเท่าไหร่ โจวไห่หลินเริ่มรู้สึกว่าตัวเองชักจะเมื่อยหน้ามากขึ้นทุกวันแล้ว
เสียงกอกแกกดังขึ้นที่ประตูห้องนอนของเธอ ดูเหมือนจะเป็นเสียงตะกุยประตูพร้อมกับเสียงงี้ดง้าด คงจะเป็นเจ้าสี่ขาตัวใดตัวหนึ่ง ว่าแต่มันมาทำไม....
โจวไห่หลินเปิดประตูออกไปดู
“ปุยฝ้าย” โจวไห่หลินมองดูเจ้าปุยฝ้ายยืนโชว์ขนฟูสีขาวกระดิกหางวิ่งไปก่อนจะหยุดหันมามองเธอแล้วเห่า คล้ายจะเรียกให้เธอตามมันไป หญิงสาวเอียงคอมองสงสัยแต่ก็ตามไปแต่โดยดี
เจ้าหมาน้อยวิ่งนำเธอลงบันไดลัดเลาะไปตามห้องต่าง ๆ บ้านใหญ่โตมโหฬารอย่างนี้ โจวไห่หลินยอมรับว่าตั้งแต่กลับมาอยู่ไต้หวันหลายเดือนไป ๆ มา ๆ ระหว่างโรงแรมกับบ้านหลังนี้ จนแล้วจนรอดเธอก็ยังเดินไม่ทั่วบ้านสักที
หญิงสาวก้าวเท้าตามเจ้าหมาน้อยจนกระทั่งได้ยินเสียงเปียโนแว่วมาแต่ไกล และเสียงนั้นชัดเจนใกล้เข้ามาทุกทีเมื่อเธอเดินตามเจ้าหมาน้อยไป จนกระทั่งเสียงเปียโนนั้นดังกังวานอยู่ตรงหน้าเธอพร้อมกับภาพที่ปรากฏตรงหน้า
เปียโนสีขาวหลังใหญ่เสียงไพเราะกังวานนี้มีเทพบุตรรูปงามเป็นผู้บรรเลง หลินอี้เสียงยังไม่ได้อาบน้ำเขายังอยู่ในชุดเสื้อยืดแขนยาวสีขาวกับกางเกงยีนส์ ใบหน้างดงามที่ธรรมชาติจงใจปั้นแต่งดูผ่อนคลายอย่างยิ่ง อย่าว่าแต่เจ้าหมูหยองกับเจ้าเฉาก๊วยนั่งฟังเจ้านายบรรเลงเปียโนกันจนเพลิน โจวไห่หลินเองก็ยังชมดูจนเคลิบเคลิ้ม แต่แล้วก็นึกขึ้นได้หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปโพสต์ลงโซเชียลเน็ตเวิร์คอีก
ดนตรีบรรเลงจบแล้ว ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาเห็นโจวไห่หลินที่มีเจ้าปุยฝ้ายยืนกระดิกหางทำหน้ายิ้มแฉ่งอยู่ข้าง ๆ
“ยังไม่นอนอีกเหรอ? ” เขาถาม
“อือม์” เธอตอบแค่นี้
ทำหน้าเหมือนจะยิ้ม...รึเปล่า? หลินอี้เหวินนึกสงสัย
สีหน้าของเธอทำให้เขาสงสัยอยู่บ่อย ๆ เพราะบางทีคล้ายจะยิ้มแต่ไม่ยิ้มจนชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าตนคิดไปเองหรือมีสิ่งใดมาลวงตา
“นายก็ยังไม่นอน? ”
“ยังไม่อยากนอน พรุ่งนี้ทำงานตอนบ่าย คงไม่ต้องรีบตื่น แล้วเธอลงมานี่มีอะไรจะสั่งฉันรึเปล่า? ”
“หมานายไปเรียกฉันถึงห้อง บ้านใหญ่อย่างนี้ให้ฉันเดินมาเองคงหลงทาง” เธอยิ้มน้อย ๆ
“ยังไงห้องเราก็ไปทางเดียวกัน เดี๋ยวกลับไปด้วยกันก็ได้ไม่ต้องกลัวหลง” ชายหนุ่มเลิกคิ้วทำตาโต
ดวงตาของเขานั้นบางคราวโจวไห่หลินยังมองเห็นเงาแห่งความไร้เดียงสาอยู่ในนั้น
“แต่ตอนนี้ฉันนึกได้ว่ามีเรื่องจะสั่งนาย”
“เรื่องอะไร? ”
“อย่าลืมดื่มนมก่อนนอน”
ม่านฟ้านั่งเคี้ยวข้าวอย่างอึดอัดคล้ายกับโดนรังสีบางอย่างของคนที่นั่งตรงข้ามคุกคาม หญิงสาวมองหน้าคมนั้นอย่างไม่เข้าใจ โจวไห่เซิ่งยังคงมานั่งรับประทานอาหารกับเธอทุกวัน ม่านฟ้าก็สอนภาษาไทยให้เขาเช่นเคย แต่สองวันมานี้ทำไมเขาจึงดูปั้นปึ่งเย็นชากับเธอชอบกล ม่านฟ้าคิดว่าเขาคงจะเครียดเรื่องอะไรสักอย่าง
อาจจะเป็นเรื่องงาน
เอ...รึว่าทะเลาะกับพี่หวาน?
แต่จะอะไรก็ช่าง ฟ้าไม่อยากเห็นหน้าพี่เซิ่งเป็นแบบนี้เลย อุตส่าห์ทำอาหารอร่อยมาให้ทานทุกวันก็ยังไม่หายเครียดอีก
“อาหารไม่อร่อยเหรอคะพี่เซิ่ง ถ้ามันไม่อร่อยตรงไหนบอกฟ้าได้นะคะ” ม่านฟ้าเอ่ย
“เปล่าหรอก ก็อร่อยดี ทำอาหารได้ขนาดนี้น่าจะไปเปิดร้านเอง ที่จริงอาชีพดี ๆ ก็มีเยอะทำไมไม่ไปทำ”
มาเป็นสาวไซด์ไลน์ทำไม....โจวไห่เซิ่งไม่ได้ถามคำถามที่อยากถามออกไปตรง ๆ เขายังรักษาหน้าเธอ เพราะคิดว่าฐานะทางบ้านเธอไม่ค่อยดีจึงต้องทำแบบนั้น แต่ถึงอย่างไรเขาก็ต้องเตือนเธอไม่ให้เธอถลำลึกไปกว่านี้ ชายหนุ่มไม่รู้ว่าทำไมเขาต้องเสียดายอย่างสุดแสนที่สาวน้อยหน้าใสคนนี้มีอาชีพแบบนั้น
“ฟ้าคิดว่าทำงานที่นี่ก็สนุกดีนี่คะ”
ฮึ...ได้สนุกกับคุณอลันล่ะซิ ชายหนุ่มคิด
“เธอรู้มั้ยว่าคุณค่าของคนเรามันอยู่ตรงไหน บางทีมันก็ไม่ได้อยู่ที่เงินหรอกนะ ฉันเองก็เคยอยู่ในบ้านหลังใหญ่มีเงินมากมายแต่แวดล้อมไปด้วยคนไม่จริงใจ มีแต่น้องสาวเท่านั้นที่อยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน แม้แต่พ่อของเราบางทีก็ไม่ได้เข้าใจเรา” โจวไห่เซิ่งกล่าวอย่างซึมเซา
“พี่เซิ่งคิดถึงพ่อเหรอคะ? ” ม่านฟ้าใจคอไม่ดีเมื่อเห็นเขาทำหน้าอย่างนั้น ปกติเขาก็ไม่ค่อยยิ้มอยู่แล้ว เธอเกรงว่าเขาจะมีความในใจอันใดแต่ไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง อย่างน้อยเธอก็ยังพอรับฟังได้
“บางทีฉันก็ไม่ชอบเขาแต่ไม่รู้ทำไมถึงไม่เคยเกลียดเขาทั้งที่เขาไม่เคยทำอะไรเพื่อแม่เลย พรากเราสองพี่น้องมาจากแม่ ซ้ำร้ายยังไม่เคยเข้าใจพวกเราสองพี่น้อง ปล่อยให้แม่เลี้ยงรังแกเรา ปล่อยให้แม่ของเราต้องตรอมใจตาย จนสุดท้ายพ่อก็ตรอมใจตายตามแม่ไปเหมือนกัน...”
ม่านฟ้ารับฟังอย่างสงสารจับใจ ที่แท้พี่เซิ่งของเธอก็มีอดีตที่ขมขื่นเช่นนี้ มิน่าเล่า..เขาถึงได้ยิ้มยากนัก อย่างมากก็ยิ้มแค่มุมปาก แต่ม่านฟ้าก็ยังไม่เคยเห็นเขาหัวเราะแบบสุด ๆ เลยสักครั้ง
“แล้วทำไมพ่อแม่พี่เซิ่งถึงไม่อยู่ด้วยกันล่ะคะ? ”
“เพราะแม่จนไง ญาติฝ่ายพ่อเลยกีดกันทั้งที่ตอนนั้นพ่อกับแม่มีฉันกับน้องสาวแล้ว แต่สุดท้ายเพราะแม่อยากให้พวกเราสองพี่น้องมีชีวิตที่ดีได้เรียนโรงเรียนดี ๆ จึงต้องยอมทำตามข้อเสนอที่ญาติทางฝ่ายพ่อบอกให้เลิกกันแล้วพาฉันกับน้องสาวไปอยู่บ้านพ่อ แต่สุดท้ายความรวยก็ไม่ได้ช่วยอะไร เราสองพี่น้องอยู่กันอย่างทรมานจนพ่อตายเราถึงได้ออกมาจากบ้านหลังนั้น ปล่อยให้คนที่นั่นอยู่กันอย่างมีความสุข”
“พี่เซิ่งคะ ทุกวันนี้พี่ก็มีชีวิตที่ดีแล้ว อยู่ที่เมืองไทยถ้ามีอะไรให้ฟ้าช่วยฟ้าก็ยินดี อย่าไปสนใจคนที่เขาเคยรังแกพี่เลยนะคะ เขาไม่คู่ควรให้พี่ต้องเจ็บหรอกค่ะ”
“เธอนี่มันช่างพูดอย่างนี้นี่เองนะ มิน่าล่ะ..หึ” โจวไห่เซิ่งแค่นเสียงอย่างซึมเซา
“มิน่าอะไรคะ? ” ม่านฟ้าสงสัย
“ช่างเถอะ ฉันก็แค่จะบอกว่าเธออย่าเห็นเงินสำคัญกว่าคุณค่าความเป็นคน ยังมีหนทางอีกมากมายที่จะหาเงินได้ แล้วอีกอย่างนึงวัยอย่างเธอน่าจะคิดเรื่องเรียนหนังสือ ฉันรู้มาว่าที่เมืองไทยนี่มีมหาลัยที่สามารถเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยได้นะ เธอควรจะคิดให้ไกล อย่าคิดแต่ความสบายเฉพาะหน้า”
“เออ..ค่ะ” หญิงสาวงง ไม่เข้าใจว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร แต่ก่อนที่ม่านฟ้าจะวิเคราะห์อะไรได้ชายหนุ่มก็ลุกขึ้น
“ฉันจะไปทำงานล่ะ”
“อ้าว..พี่เซิ่ง วันนี้พี่ยังไม่ได้เริ่มเรียนเลยนะคะ”
“วันนี้งดละกัน ฉันมีงานค้างอยู่ ตามทฤษฎีแล้ว ถ้าจิตใจยังไม่สบายก็ยังไม่สามารถรับข้อมูลใด ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
เขาพาร่างสูงเดินออกไปแล้ว ทิ้งให้ม่านฟ้าอ้าปากค้างก่อนจะเกาหัวแกรกพึมพำ
“อะไรวะ พูดจาแปลกๆ ”
โจวไห่หลินมองคนแปลกหน้าทั้งสองที่หลินอี้เสียงพาเข้ามาในบ้าน และแนะนำว่าเป็นช่างตัดเสื้อและดีไซเนอร์ คนหนึ่งเป็นหญิงวัยกลางคนแต่ยังแต่งตัวด้วยเสื้อยืดกางเกงยีนส์เหมือนวัยรุ่น ส่วนอีกคนเป็นชายวัยกลางคนร่างท้วมท่าทางตุ้งติ้ง โจวไห่หลินแสดงสีหน้าไม่ไว้ใจทันที ไม่ใช่ไม่ไว้ใจคนแปลกหน้าทั้งสอง แต่ไม่ไว้ใจว่าหลินอี้เสียงกำลังจะทำอะไร เหตุไฉนจึงพาคนทั้งสองมาที่นี่ เพราะถ้าเป็นเรื่องเสื้อผ้าของเขาเธอจะต้องรู้เรื่อง
“ฉันจะให้ช่างมาวัดตัวตัดชุดให้เธอ” ชายหนุ่มตอบคำถามที่เธอกำลังสงสัย
“ทำไมต้องตัด? ”
“ฉันจะไปงานแต่งนีนี่ เธอก็ต้องไปด้วย ฉันจะให้ช่างตัดชุดราตรีให้เธอเอง”
“ฉันไม่ได้ออกสื่อถ่ายรูป ไม่ต้องใส่ชุดพวกนั้นก็ได้ เดี๋ยวฉันจะเรียกพวกเพื่อนดาราสาวที่ว่างให้ไปกับนาย นายจะได้มีคู่ควง”
“ไอ้เรื่องจะควงใครไปงานมันไม่สำคัญหรอกนะ ถึงยังไงเธอก็ต้องใส่ชุดราตรี”
“ฉันแค่ถ่ายรูปให้นายก็พอ” โจวไห่หลินเถียง ทำเอาหลินอี้เสียงอ่อนใจหันไปพยักพเยิดให้แขกทั้งสองออกไปก่อน แล้วจึงหันมาพูดกับผู้จัดการสาว
“นี่เจ๊ นี่มันงานแต่งงานนะ เธอจะใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ไปรึไง ช่วยรักษาหน้าฉันหน่อยได้มั้ย หะ! ”
“ฉันรู้ แต่ฉันหาชุดใส่เองได้”
“แต่ฉันไม่ไว้ใจว่ามันจะดีพอคู่ควรกับการเป็นผู้จัดการของซูเปอร์สตาร์อย่างฉันรึเปล่า” ชายหนุ่มยื่นหน้าเข้ามาท่าทางยียวนกวนอารมณ์นัก
“งั้นฉันก็ไม่ไป! ” โจวไห่หลินกล่าวเสียงแข็ง
“เอ๊ะ! เธอนี่มันยังไงเนี่ย เธอเป็นผู้จัดการฉันนะ ฉันไปไหนเธอก็ต้องไปด้วย ไม่งั้นใครจะถ่ายรูปให้ฉันล่ะ”
“ยังไง ๆ ฉันก็ไม่ใส่ชุดราตรี! ” หญิงสาวยืนกราน ก่อนจะหมุนกายเตรียมเดินหนี แต่หลินอี้เสียงคว้าข้อมือเธอไว้ได้ทัน และเกินกว่าที่ซูเปอร์สตาร์หนุ่มจะทันตั้งตัว โจวไห่หลินก็หมุนตัวเข้ามายังอ้อมกอดของเขาแล้วจับเขาทุ่มลงกับพื้นพรมหนานุ่ม
มิคาด...หลินอี้เสียงถึงกับดึงร่างบางของเธอลงไปด้วย ก่อนจะพาร่างหนาของกลิ้งทับเธอแล้วคำรามใส่
“ยัยหน้าแมวเอ๊ย! ทำไมฤทธิ์มากอย่างนี้นะ! ”
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว