สายตาร้อนผ่าวสองคู่จ้องมองมาที่นาง คู่หนึ่งฉายแววตกตะลึงหลงไหล อีกคู่เป็นสายตาริษยา ด้วยพลังจิตที่กล้าแกร่งของเสิ่นจื่อโยวหากจะให้นางไม่สังเกตเห็นก็คงถือเป็นเรื่องยาก
นางหันกลับไปมองก็พบกับคนสองคนที่ยืนนิ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก รอยยิ้มบนใบหน้าพลันจางลงหลายส่วน
ถนนช่างแคบนัก เหตุใดไปที่แห่งใดก็ต้องพบกับคนสองคนที่ชอบสรรค์สร้างความรำคาญใจอยู่ร่ำไป
อารมณ์ที่กำลัง ‘ชื่นชมทัศนียภาพ ทอดร่างให้กับแสงอาทิตย์’ ถูกทำลายจนหมดสิ้น เสิ่นจื่อโยวลุกขึ้นจากธารน้ำอุ่น ย่ำเท้าลงบนพื้นหญ้าแห้ง
นางไม่คิดสนใจสองคนนั้นแลเเตรียมตัวจากไป
ฝ่าเท้างามขาวดุจหิมะย่ำลงบนพื้นหญ้านุ่ม หยดน้ำดุจผลึกใสกลิ้งหล่นจากบนหลังเท้า ท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่ทอดส่องเกิดเป็นประกายเรืองรองแวววาว
เซวียนหยวนช่างจับจ้องจนดวงตาแทบถลน
ใช่ว่าเขาไม่เคยผ่านเรื่องทางโลก ในฐานะหนึ่งในองค์ชายที่ได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดิแคว้นหลิวหั่ว ตั้งแต่อายุสิบสามเขาก็มีนางกำนัลห้องข้างแล้ว
เซวียนหยวนช่างมีข้อเรียกร้องต่อนางกำนัลข้างกายสูงมาก หนึ่งคือรูปโฉมต้องงดงาม และสองท่วงท่าอากัปกิริยาต้องดูดี
สามารถกล่าวได้ว่าถึงแม้เซวียนหยวนช่างจะอายุยังน้อยแต่เขาก็ถือเป็นหนึ่งในยอดฝีมือแห่งการชื่นชมมวลบุปผามาช้านาน
เซวียนหยวนช่างที่แต่ไรมาไม่เคยขาดแคลนโฉมงามในอ้อมกอด สาวงามหากพบมากแล้ว ได้ลองลิ้มมากแล้วย่อมหมดความใคร่กระหาย ทั้งที่มีเสน่ห์ เย้ายวน ไร้เดียงสา แสร้งปั้นตนเย็นชาสูงส่ง มีสาวงามประเภทใดบ้างที่เขาไม่เคยพานพบ
และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดเมื่อเขาได้พบกับเสิ่นเชียนซีโฉมงามอันดับหนึ่งแห่งแคว้นหลิวหั่วเขาจึงเกิดความรู้สึกคล้ายมีคล้ายไม่มี
ก่อนงานเลี้ยงในวังหลวงวันนั้น เขารู้สึกมาโดยตลอดว่าเสิ่นเชียนซีเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่สุดที่จะรับตำแหน่งพระชายาเอกแห่งองค์รัชทายาท
แต่ก็เพียงเท่านี้ หากจะให้กล่าววาจาทำนอง ‘มิใช่นางมิได้’ พรรค์นั้น นั่นคงเป็นเรื่องขำขันแล้ว
ในสายตาของเซวียนหยวนช่าง แน่นอนว่าความงามของเสิ่นเชียนซีย่อมพอเพียงแต่ก็เป็นได้เพียงไม้กระดานที่งดงามเท่านั้น ประหนึ่งแจกันที่ประดับอยู่ในเรือน เมื่อมองนานไปย่อมไร้ความรู้สึก
ทว่าวันนี้เมื่อเขาได้พบสตรีที่ประหนึ่งนางสวรรค์จุติลงมาบนโลกมนุษย์ ท่ามกลางสายธารแสงอาทิตย์ เซวียนหยวนช่างจึงสัมผัสได้ถึงเปลวเพลิงเร่าร้อนที่โหมกระหน่ำขึ้นในใจ
เขาต้องการดึงนางเข้าสู่อ้อมกอด กดนางไว้ใต้ร่าง เข้าครอบครองนางอย่างหนักหน่วง ทำให้นางแปดเปื้อนอวลกรุ่นไปด้วยลมหายใจของตน ตกสู่โลกมนุษย์โดยแท้จริง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามที่นางเบี่ยงใบหน้ามา เปลวเพลิงร้อนแรงในใจเขาก็ลุกโชนถึงจุดสูงสุด
แต่เห็นได้ชัดว่านางมีท่าทีคร้านจะสนใจพวกเขา สวมรองเท้าเตรียมจากไปแล้ว
หัวใจของเซวียนหยวนช่างขมวดแน่นโดยพลัน เขาก้าวยาว ๆ เข้าไป ยื่นมือหมายจับแขนของเสิ่นจื่อโยว
เดิมเสิ่นจื่อโยวก็ระแวดระวังสองคนนี้มาโดยตลอด ชั่วขณะที่เซวียนหยวนช่างยื่นมือเข้ามานางจึงหมุนตัวหลบได้อย่างว่องไว
“ท่านคิดทำอะไร” เสิ่นจื่อโยวกล่าวเสียงเย็นเยียบ
เซวียนหยวนช่างจึงเพิ่งตระหนักได้ว่าการกระทำของตนเมื่อครู่วู่วามเพียงใด เกรงว่าเขาจะทำให้โฉมงามโกรธเสียแล้ว
เมื่อต้องเผชิญกับคำถามอันเย็นชาของเสิ่นจื่อโยวเซวียนหยวนช่างก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี เขาดึงมือกลับ แสดงท่วงท่าผ่อนคลายแล้วกล่าว “ข้าเห็นแม่นางอยู่เพียงลำพังที่นี่จึงเกรงว่าจะรู้สึกโดดเดี่ยว ดังนั้นจึงอยากทำความรู้จักเป็นสหายกับแม่นาง”
“เป็นสหาย?” เสิ่นจื่อโยวเลิกคิ้ว ร่องรอยประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้า
นางจึงเพิ่งตระหนักได้ว่ายามนี้ตนเองไม่ได้สวมผ้าปิดบังใบหน้า คนตรงหน้าจึงจำนางไม่ได้
เสิ่นจื่อโยวยิ้มขึ้นอย่างนึกสนุก นางปรายตามองเสิ่นเชียนซีด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
ไม่ผิดจากที่คาด เสิ่นเชียนซีที่ติดตามองค์ชายสามเซวียนหยวนช่างมาชมบุปผา บัดนี้สีหน้าย่ำแย่จนใกล้เปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำแล้ว
ถึงแม้การได้ชมการเปลี่ยนแปลงสีหน้าของเสิ่นเชียนซีจะเป็นเรื่องที่ทำให้นางอารมณ์ดี แต่เสิ่นจื่อโยวก็รู้สึกว่าเพื่อความสุขเพียงชั่วขณะนางไม่ถึงขั้นต้องยอมกระทำเรื่องน่าขยะแขยง
เช่นการเป็น ‘สหาย’ กับเซวียนหยวนช่าง
ดังนั้นหลังจากที่เสิ่นจื่อโยวดึงสายตากึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้มกลับมาจากร่างของเซวียนหยวนช่าง นางก็ปฏิเสธโดยไร้ความเกรงใจ “ขออภัย ข้าไม่มีความคิดที่จะเป็นสหายกับคนเช่นท่าน”
ประกายขุ่นเคืองพาดผ่านดวงตาของเซวียนหยวนช่าง ผู้ที่ถูกยกย่องว่าเป็น ‘บุรุษงามอันดับหนึ่งแห่งแคว้นหลิวหั่ว’ เช่นเขาแม้จะไม่ได้เผยสถานะของตนแต่ก็มีโฉมงามนับไม่ถ้วนกระโจนเข้าหาเขาดุจแมงเม่าบินเข้ากองไฟ
ทว่าคนผู้นี้กลับปฏิเสธเขาโดยไม่แม้แต่จะครุ่นคิด?!
เซวียนหยวนช่างไม่สบอารมณ์จึงเผยสถานะของตนออกมา
“ข้าคิดว่าแม่นางควรจะครุ่นคิดให้กระจ่างแล้วค่อยตอบข้าอีกครั้ง ข้าคือเซวียนหยวนช่างองค์ชายสามแห่งแคว้นหลิวหั่ว การเป็นสหายกับข้าเจ้าจะได้รับแต่ผลดีไม่มีเสีย”
มุมปากของเสิ่นจื่อโยวยกหยัก กล่าวเสียงเนือย “ข้ารู้ว่าท่านคือเซวียนหยวนช่างองค์ชายสามแห่งแคว้นหลิวหั่ว แต่ข้าก็ยังไม่คิดอยากเป็นสหายกับท่าน เช่นนี้แล้วจะทำอย่างไรดี”
เซวียนหยวนช่างสะอึก เบิกตากว้างอย่างยากจะเชื่อ
สตรีผู้นี้รู้ว่าเขาเป็นองค์ชายสามแต่ก็ยังปฏิเสธเขา?!
“แม่นางท่านนี้โอหังเกินไปแล้ว ทั้งที่รู้ว่าองค์ชายสามทรงประทับอยู่ที่นี่นอกจากจะไม่คุกเข่าแล้วยังกล้าใช้น้ำเสียงเช่นนี้สนทนากับองค์ชายสาม!”
เสิ่นเชียนซีตวาดกร้าว ในขณะที่นางประนามเสิ่นจื่อโยวก็หวังว่ามันจะทำให้องค์ชายสามเกิดความเกลียดชังฝ่ายตรงข้ามได้อย่างสิ้นเชิง
รูปโฉมงดงามแล้วมีประโยชน์อันใด สตรีที่ตาไร้แววเช่นนี้ช้าเร็วก็ต้องตายเพราะความโง่เขลาของตน!
เสิ่นเชียนซีคิดอย่างมาดร้าย
เสิ่นจื่อโยวกล่าวด้วยน้ำเสียงลากยาวแฝงนัยล้ำลึก “อ้อ? เช่นนั้น เสิ่นเชียนซีเจ้าลองกล่าวมาสิว่าข้าต้องใช้น้ำเสียงเช่นไรในการสนทนากับองค์ชายสาม ต้องเหมือนเจ้าหรือ เสแสร้งอ่อนหวานเปราะบาง บีบเสียงในลำคอ กลัวว่าจะไม่มีบุรุษคนใดเอ็นดูทะนุถนอมเจ้าหรือ”
เสิ่นจื่อโยวอดแสดงทักษะลิ้นเคลือบพิษออกมาไม่ได้ ในขณะที่เสิ่นเชียนซีกำลังเดือดเป็นฟืนเป็นไฟเพราะวาจาของเสิ่นจื่อโยวนั้น นางกลับไม่ได้นำสตรีตรงหน้ามาเชื่อมโยงกับเสิ่นจื่อโยวแม้เพียงเศษเสี้ยว
บางทีในความคิดของเสิ่นเชียนซี เสิ่นจื่อโยวก็คือหญิงอัปลักษณ์คนหนึ่ง ไม่มีทางแปรเปลี่ยนเป็นโฉมงามสะคราญ?
เสิ่นเชียนซีโต้คารมมิอาจสู้เสิ่นจื่อโยว นางโกรธจนน้ำตาเอ่อรื้น ดึงแขนเสื้อของเซวียนหยวนช่างพลางร้องคร่ำครวญ “องค์ชาย ท่านดูสิเพคะ ปากคอของแม่นางผู้นี้ร้ายกาจยิ่งนัก!”
“จุ๊ ๆ ดูสิ เสิ่นเชียนซี ยังไม่ทันไรเจ้าก็แสร้งปั้นท่าน่าสงสารออกมาอีกแล้ว หากจะกล่าวว่าเจ้าไม่ได้เสแสร้งทำตัวน่าสงสารเพื่อเรียกร้องความเห็นใจ ข้าคงไม่เชื่อสักเท่าไร”
วาจาเชือดเฉือนของเสิ่นจื่อโยว แต่ละถ้อยคำแต่ละประโยคราวกับมีดที่กรีดลงบนใบหน้าของเสิ่นเชียนซี ทำให้นางรู้สึกแสบร้อนเหลือคณา
ที่ทำให้เสิ่นเชียนซีสัมผัสได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวและอันตรายมากที่สุดก็คือเซวียนหยวนช่างกลับมีอาการหวั่นไหวกับคำพูดนี้
นางเห็นเพียงเซวียนหยวนช่างขมวดคิ้วมุ่นปรายตามองนางปราดหนึ่ง ก่อนดึงแขนของนางออกอย่างไร้ความอดทน
เสิ่นเชียนซีแทบหยุดหายใจ!
ทว่าในขณะที่เซวียนหยวนช่างหันกลับไปเผชิญหน้ากับเสิ่นจื่อโยวหัวคิ้วของเขากลับคลายลง
ปากของโฉมงามที่อยู่เบื้องหน้าร้ายกาจไปบ้าง ทว่านี่กลับยิ่งทำให้เขารู้สึกสนุกมากขึ้นในการปราบพยศนาง...มิใช่หรือ?
เซวียนหยวนช่างหยิบต่างหูแร่สีคู่หนึ่งออกมาจากแหวนเก็บสมบัติ เขาแกว่งไกวไปมาเบื้องหน้าเสิ่นจื่อโยวก่อนกล่าว “หากแม่นางยินยอมเป็นสหายกับข้า ข้าก็จะมอบต่างหูแร่สีคู่นี้ให้กับแม่นาง...เป็นอย่างไร”
ต่างหูแร่สี ของวิเศษคุ้มกันระดับสี่ หากสวมใส่ติดร่างจะสามารถป้องกันการโจมตีทุกชนิดจากนักบำเพ็ญเพียรที่มีระดับต่ำกว่าปราณก่อเกิดได้
สำหรับปุถุชนทั่วไป การได้ครอบครองต่างหูคู่นี้ย่อมถือว่าไม่เลวเป็นอย่างยิ่ง
เซวียนหยวนช่างไม่เคยพบเห็นโฉมงามผู้นี้อยู่ในตระกูลของขุนนางชนชั้นสูงศักดิ์คนใด ดังนั้นเขาจึงทึกทักเอาเองว่าเสิ่นจื่อโยวเป็นเพียงสาวงามชนชั้นสามัญทั่วไป
เสิ่นเชียนซีจับจ้องต่างหูแร่สีในมือของเซวียนหยวนช่างตาเขม็ง ดวงตาจวนเจียนลุกเป็นไฟ!
ของขวัญทุกชิ้นที่เซวียนหยวนช่างเคยมอบให้นาง แต่ไรมาก็ไม่เคยสูงกว่าระดับสาม!
คาดไม่ถึงว่าการพบกันเพียงครั้งเดียวนางก็ถูกแย่งความสนใจไปโดยสตรีที่ไม่รู้ที่มาคนหนึ่ง
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว