แน่จริงก็เข้ามา! หญิงอัปลักษณ์เช่นข้าจะสั่งสอนขยะอย่างพวกเจ้าเอง -บทที่ 28 ฟันต่อฟัน

โดย  Camellianovel

แน่จริงก็เข้ามา! หญิงอัปลักษณ์เช่นข้าจะสั่งสอนขยะอย่างพวกเจ้าเอง

บทที่ 28 ฟันต่อฟัน


ครั้นเห็นใบหน้าเศร้าสลดของหลานสาวสุดที่รัก สีหน้าของหรงกุ้ยเฟยก็ฉายประกายยากคาดเดา ไฟโทสะลุกโชนในดวงตา

ทว่าที่แล้วมานางใช้ชีวิตอยู่ในวังหลังที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง คว้าชัยชนะเหนือศัตรูมานับไม่ถ้วน จนยามนี้สามารถนั่งในตำแหน่งได้อย่างมั่นคง ถึงแม้ในใจจะเดือดดาลเพียงใดนางก็ไม่มีทางตะโกนโวยวายฝ่ายตรงข้าม ทำให้เกียรติยศของกุ้ยเฟยต้องหมองมัว

หรงกุ้ยเฟยปรายตามองเสิ่นจื่อโยวด้วยสายตาเย็นชา ในใจลอบเหยียดหยัน ก็แค่เด็กสาวต่ำช้าที่ขนยังขึ้นไม่ครบคนหนึ่ง บังอาจยิ่งนักที่เดินเข้ามาในวังหลวงด้วยอากัปกิริยาเช่นนี้

ยามนี้ปล่อยให้นางหยิ่งผยองไปเถิด อีกไม่นานนางก็ต้องร้องไห้แล้ว!

หรงกุ้ยเฟยคิดถึงสารพันวิธีที่จะใช้ทรมานเสิ่นจื่อโยวไว้แล้ว สำหรับคนที่ไม่ฟังความพรรค์นี้ แต่ไรมานางไม่เคยปราณี

หรงกุ้ยเฟยปิดฝาถ้วยน้ำชาลงด้วยแรงไม่หนักไม่เบา น้ำเสียงราบเรียบดังขึ้น “เสิ่นจื่อโยว เจ้ารู้หรือไม่ว่ายามนี้ตนเองอยู่ที่ใด เหตุใดเมื่อพบข้าแล้วจึงยังไม่คุกเข่า ทั้งยังมาโต้เถียงหลานสาวของข้า เจ้าต้องการให้ข้าสั่งสอนเจ้าด้วยตนเองหรือว่าสิ่งใดที่เรียกว่า ‘กฎระเบียบ’”

ดวงตาของเสิ่นจื่อโยวหรี่เล็กลงยามพินิจมองหรงกุ้ยเฟยในอาภรณ์งดงามหรูหราที่ประทับอยู่บนตำแหน่งประมุข

ผ่านไปเพียงชั่วครู่นางจึงหัวเราะออกมาเบา ๆ และยอบกายให้กับหรงกุ้ยเฟย พลางกล่าว “ถวายพระพรกุ้ยเฟย ขอให้กุ้ยเฟยเกษมสำราญ”

หรงกุ้ยเฟยเลิกคิ้วขึ้นสูง กล่าวด้วยน้ำเสียงดูแคลน “มิใช่ว่าข้าให้เจ้าคุกเข่าลงหรือ เหตุใดเจ้าจึงเพียงยอบกาย”

เสิ่นจื่อโยวตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูไม่ช้าไม่เร็ว “กุ้ยเฟยโปรดระงับโทสะ ตั้งแต่วัยเยาว์หม่อมฉันก็เก็บตัวอยู่แต่ในเรือนใน ไม่เคยคุกเข่าแก่ฟ้าดินทั้งยังไม่เคยคุกเข่าให้บิดามารดา จึงไม่ค่อยเข้าใจว่าลักษณะ ‘การคุกเข่า’ เป็นเช่นไร มิสู้กุ้ยเฟยแสดงให้หม่อมฉันดูสักครั้ง?”

“บังอาจ! เสิ่นจื่อโยว เจ้ามีสถานะอะไรถึงได้กล้าสั่งให้หรงกุ้ยเฟยคุกเข่าให้เจ้า?!” บิดาของหรงเมิ่งหลันตบโต๊ะตวาดเสียงกร้าว

“หม่อมฉันย่อมไม่กล้า เพียงแต่เมื่อครู่กุ้ยเฟยได้ตรัสเองว่าจะสอนกฎเกณฑ์ให้หม่อมฉันด้วย ‘ตนเอง’ กุ้ยเฟยทรงวางตนใกล้ชิดกับราษฎรยิ่งนัก มิเสียทีที่แต่ไรมากุ้ยเฟยก็ได้รับการกล่าวขานว่า ‘มีพระเมตตา’”

‘มีพระเมตตา’ เสิ่นจื่อโยวเน้นย้ำอักษรสี่คำนี้ทีละคำ แต่เมื่อฟังแล้วกลับไม่คล้ายคำยกย่องชื่นชมทว่าคล้ายการเสียดสีมากกว่า

เหน็บแนมที่หรงกุ้ยเฟยตีสองหน้า เหน็บแนมถึงจิตใจอันโหดเหี้ยมอำมหิตของหรงกุ้ยเฟย

เพลิงโทสะในใจของหรงกุ้ยเฟยพลันทะยานขึ้นสู่ศีรษะ นางเดือดดาลจนหัวเราะออกมา

“ดีมาก ปากช่างแหลมคมยิ่งนัก ตั้งแต่ข้าได้มานั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดกล้าปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้เลย เสิ่นจื่อโยว เจ้านับเป็นคนแรก”

หรงกุ้ยเฟยกล่าวจบนัยน์ตาก็ปรากฏประกายอำมหิต “ในเมื่อแม่นางเสิ่นต้องการให้ข้าสั่งสอนกฎระเบียบให้แก่เจ้าด้วย ‘ตนเอง’ เช่นนั้นย่อมได้ วันนี้ข้าจะตั้งใจสั่งสอนเจ้า! ทหาร จงคุมตัวเสิ่นจื่อโยวออกไปตีขา ตีจนกระทั่งนางรู้จักคำว่า ‘คุกเข่า’!”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

องครักษ์น้อมรับคำ ก้าวยาว ๆ เข้าไปหาเสิ่นจื่อโยว

นัยน์ตาของเสิ่นจื่อโยวฉายประกายกร้าว ในตำแหน่งที่ทุกคนไม่ทันสังเกตนิ้วมือนางเคลื่อนไหวเป็นสัญญาณมือซับซ้อน

สัญญาณมือนี้รวดเร็วจนไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ทันสังเกต

หรงเมิ่งหลันจับจ้องเสิ่นจื่อโยวไม่ไหวติง ครั้นเห็นนางไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดก็หลงนึกว่านางเกิดความหวาดกลัวเสียแล้ว

หรงเมิ่งหลันคลี่ยิ้มออกมาอย่างย่ามใจ

ในขณะที่องครักษ์ใกล้จะสัมผัสแขนของเสิ่นจื่อโยว หรงกุ้ยเฟยก็พลันส่งเสียงร้องแหลม “กรี๊ด” ออกมา มือไม้ของนางสั่นเทา กวาดเอาถ้วยน้ำชาที่อยู่ข้างมือพลิกหล่นทันที

ความสนใจของทุกคนจึงตกไปอยู่บนร่างของหรงกุ้ยเฟย บรรดาองครักษ์ต่างหยุดการเคลื่อนไหว มองไปยังหรงกุ้ยเฟยที่อยู่บนตำแหน่งประมุขด้วยสายตาสับสน

ดูคล้ายหรงกุ้ยเฟยจะกำลังตื่นตกใจกับบางสิ่ง นัยน์ตาสั่นระริก มือทั้งคู่สั่นเทา

“เมื่อครู่พวกเจ้า...ได้ยินเสียงอะไรหรือไม่” หรงกุ้ยเฟยถามด้วยเสียงหอบโยน

ทุกคนต่างสบสายตากันก่อนโคลงศีรษะแล้วกล่าว “กราบทูลกุ้ยเฟย พวกกระหม่อมไม่ได้ยินอะไรเลยพ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่มี? ไม่มี...” ร่างของหรงกุ้ยเฟยสั่นสะท้านไปชั่วครู่ก่อนจะค่อย ๆ สงบลง

นางกวาดตามองไปยังเบื้องล่างก็พบกับเสิ่นจื่อโยวที่สบสายตากับตนอย่างไม่หวั่นเกรง โทสะในทรวงอกพลันโหมกระพือขึ้นอีกครา ขับไล่ความหวาดกลัวเมื่อครู่ไปจนหมดสิ้น

“พวกเจ้ากำลังรออะไรอยู่ ไม่ได้ยินคำสั่งของข้าเมื่อครู่หรือ จับนางโบยให้หนัก! โบยจนกว่าเสิ่นจื่อโยวจะรู้จักกฎเกณฑ์!”

หรงกุ้ยเฟยนำความหวาดกลัวและความโกรธไปลงบนร่างของเสิ่นจื่อโยว

บรรดาองครักษ์เคลื่อนไหวอีกครั้ง ในยามนี้เองข้างหูของหรงกุ้ยเฟยก็มีเสียงดังกังวานของเด็กหญิงตัวน้อยดังขึ้น

“ท่านแม่...”

หรงกุ้ยเฟยกรีดร้องอย่างเสียอาการขึ้นอีกครา นางลุกขึ้นจากที่ประทับ ถามด้วยท่าทีดุดัน

“พวกเจ้ามีผู้ใดกำลังกล่าวสิ่งใด แท้จริงแล้วเมื่อครู่เป็นพวกเจ้าคนใดที่เอ่ยวาจา?!”

ทุกคนต่างข้ามองเจ้า เจ้ามองข้า สบสายตาประสานกัน

เมื่อครู่มีใครกล่าวสิ่งใดหรือ...ไม่มีสักคน

ความเงียบงันของทุกคนทำให้ความหวาดกลัวในจิตใจของหรงกุ้ยเฟยยิ่งสลักลึก แม้จะกล่าวว่าหลายปีมานี้มือของนางเปื้อนโลหิตมาไม่น้อยแต่นั่นก็เป็นเลือดของฝ่ายตรงข้าม

ถึงแม้เลือดของฝ่ายตรงข้ามจะเปรอะเปื้อนเพียงใดแต่ก็ไม่อาจสร้างความกดดันในใจได้เท่ากับการบีบคอสังหารบุตรสาวของตนเอง

หลายปีมานี้หรงกุ้ยเฟยใช้ชีวิตอยู่ในความรู้สึกผิดอันหนักหน่วง ทว่าด้านหนึ่งนางก็พร่ำสะกดจิตตนว่าทุกสิ่งนี้คุ้มค่า

หากในปีนั้นนางไม่ใจเหี้ยมไม่ลงมือกระทำเรื่องเหล่านั้น ไม่มีข้ออ้างการตายของลูกสาวเพื่อใช้กำจัดฮวาเฟย สุดท้ายคนที่ต้องถูกส่งเข้าพระตำหนักเย็นก็อาจเป็นตัวนางไม่ใช่ฮวาเฟยผู้ได้รับความรักความโปรดปรานจากฮ่องเต้อย่างลึกซึ้ง

หรงกุ้ยเฟยกัดริมฝีปาก ในขณะที่กำลังพร่ำบอกตนว่าเสียงเมื่อครู่เป็นเพียงนางที่หูแว่วไป เสียงข้างหูก็ดังขึ้นอีกครา

“พระมารดา เหตุใดท่านจึงต้องสังหารลูก”

“พระมารดา ลูกอยู่ด้านล่างหนาวเหลือเกิน ท่านลงมาอยู่เป็นเพื่อนลูกได้หรือไม่...”

“กรี๊ด...ออกไป! เจ้ารีบออกไป! เจ้าไม่ใช่ลูกของข้า! จงออกไปเสีย...” หรงกุ้ยเฟยตกใจจนสูญเสียสติสัมปชัญญะโดยสิ้นเชิง นางโบกสะบัดสองมือไปมากลางอากาศคล้ายกำลังขับไล่บางสิ่ง

เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของหรงกุ้ยเฟยทุกคนยังจะมีกะจิตกะใจจัดการเสิ่นจื่อโยวอีกหรือ พวกเขาหลายคนรีบวิ่งไปทางหรงกุ้ยเฟยหมายจะสงบสติอารมณ์ของนางไว้ ยังมีอีกหลายคนที่รีบวิ่งออกไปเรียกหมอหลวง

มุมปากของเสิ่นจื่อโยวยกหยักขึ้นช้า ๆ นัยน์ตาฉายประกายสนุก

หรงเมิ่งหลันพยายามจับแขนขาของหรงกุ้ยเฟยอยู่หลายคราแต่ก็ไร้ผล หางตาของนางหันไปมองเสิ่นจื่อโยวโดยไม่ตั้งใจ

ครั้นเห็นเสิ่นจื่อโยวยังยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยความสงบนิ่งในหัวของนางก็ปรากฏความคิดหนึ่งวาบผ่าน

เมื่อคิดถึงงานเลี้ยงฉลองที่ฮ่องเต้ทรงจัดให้เหล่าขุนนางในราตรีนั้น เสิ่นเชียนซีที่ล่วงเกินเสิ่นจื่อโยวก็เกิดอาการคลุ้มคลั่งโดยไร้สาเหตุเช่นนี้

“เสิ่นจื่อโยว! เจ้าเองใช่หรือไม่ที่ทำให้ท่านอาทรงมีสภาพเช่นนี้!”

หรงเมิ่งหลันชี้ไปทางเสิ่นจื่อโยวและผรุสวาทอย่างเคียดแค้น จากนั้นนางจึงหันไปสั่งการองครักษ์คนอื่น “ทหาร! รีบเข้าไปจับตัวเสิ่นจื่อโยวโทษฐานที่นางทำร้ายกุ้ยเฟย!”

สีหน้าของเสิ่นจื่อโยวพลันเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ ในตำแหน่งที่หรงเมิ่งหลันมองไม่เห็นนางทำสัญญาณมือซับซ้อนขึ้นอีกครั้ง

หรงเมิ่งหลันกล่าวได้ไม่ผิด ที่หรงกุ้ยเฟยมีสภาพเช่นในยามนี้เป็นเพราะนาง

นางลอบแปะยันต์ลวงตาบนร่างของหรงกุ้ยเฟยอย่างไร้สุ้มเสียงจนทำให้นางสามารถควบคุมประสาทสัมผัสทั้งห้าของหรงกุ้ยเฟยได้

หลายปีมานี้หรงกุ้ยเฟยได้ถูก ‘ผี’ ในใจตนเองทรมานอย่างแสนสาหัส เพียงนางลอบเพิ่มฟางเส้นเล็ก ๆ ลงไป ความนึกคิดของหรงกุ้ยเฟยก็พังทลายลงอย่างสิ้นเชิง

ถึงแม้หรงเมิ่งหลันจะสงสัยนางแล้วอย่างไร นางไม่ได้ทิ้งร่องรอยหรือหลักฐานอันใดไว้ ในเมื่อหรงเมิ่งหลันต้องการจับนางโดยไร้หลักฐานเช่นนั้นก็อย่าได้กล่าวโทษที่นางจะไม่เกรงใจกันแล้ว!

มุมปากของเสิ่นจื่อโยวยกหยักขึ้นน้อย ๆ หลังจากที่นางทำสัญญาณมือเสร็จสิ้นเบื้องหน้าของหรงกุ้ยเฟยก็ปรากฏเป็นภาพลวงภาพใหม่

นางเห็นหรงเมิ่งหลันเป็นบุตรสาวของตนเองที่กำลังจับแขนของนางพลางเอ่ยถามอย่างกล้ำกลืน “พระมารดา ท่านลืมเสี่ยวเยว่ไปแล้วใช่หรือไม่ ทั้งที่เสี่ยวเยว่เป็นเด็กที่ท่านตั้งครรภ์ถึงสิบเดือนก่อนจะคลอดออกมา...”

‘เสี่ยวเยว่’ ที่อยู่ตรงหน้านั้นสองข้างแก้มอาบรินไปด้วยน้ำตาเลือด ใบหน้าซีดขาวไร้ซึ่งโลหิต อีกทั้งบนลำคอยังมีรอยนิ้วมือ!

หรงกุ้ยเฟยยิ่งกรีดร้องเสียงดังขึ้นก่อนจะฟาดฝ่ามือไปบนใบหน้าของหรงเมิ่งหลัน!

หรงเมิ่งหลันถูกนางตบจนล้มคว่ำลงไปบนพื้น นางมองไปยังหรงกุ้ยเฟยที่คลุ้มคลั่งอย่างเหลือเชื่อ

เพียงแต่ในสายตาของหรงกุ้ยเฟย หรงเมิ่งหลันกลับแปรเปลี่ยนเป็นอีกร่างหนึ่ง

‘เสี่ยวเยว่’ ฟุบอยู่บนพื้น จับชายกระโปรงของนางไว้แล้วกล่าว “ท่านแม่...ข้าเจ็บมาก...เหตุใดท่านจึงต้องตีเสี่ยวเยว่ เสี่ยวเยว่เจ็บเหลือเกิน...”

กล่าวจบยังแลบลิ้นยาวไปหาหรงกุ้ยเฟย...

หรงกุ้ยเฟยหวาดกลัวจนดึงทึ้งผมของตนเองไว้ ทว่าในเวลาถัดมาหัวใจนางพลังเขม็งตึง สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นดุร้าย

นางกระโจนเข้าหา ‘เสี่ยวเยว่’ จากนั้นยังพยายามบีบลำคอของนาง

“ขอโทษ...แม่เองก็ไม่อยาก...เจ้าอย่าได้กล่าวโทษข้า...อย่าได้กล่าวโทษ...หากจะโทษก็ต้องโทษที่เจ้าเกิดมาในเวลาไม่เหมาะสม...ในเมื่อเจ้าตายไปแล้วเช่นนั้นก็จงตายไปอีกครั้งเถิด...”

หรงเมิ่งหลันถูกบีบคอจนดวงตาแทบถลนออกมา ลมหายใจในทรวงอกที่เบาบางลงทำให้นางสัมผัสได้ถึงรสชาติแห่งความตาย

นางอยากดึงนิ้วมือของหรงกุ้ยเฟยออกทว่าอีกฝ่ายได้ตัดสินใจที่จะกระทำการด้วยใจโหดเหี้ยมแล้ว หรงเมิ่งหลันที่มือเท้าอ่อนแรงไม่สามารถดึงมือของหรงกุ้ยเฟยออกได้เลย!

สิ่งที่ทำให้นางสะพรึงมากที่สุดก็คือนางคล้ายได้ยินความลับอันยิ่งใหญ่ความลับหนึ่ง...

บุตรสาวของท่านอา...ถูกท่านอาสังหารด้วยตนเอง?!!!

ในชั่วขณะนี้เองที่หรงเมิ่งหลันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าตนเองจะไม่เคยมาที่นี่ในวันนี้!


รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว