วันต่อมา ตามทางเนืองแน่นไปด้วยชาวบ้าน แถบนี้มีอยู่สามถึงสี่หมูบ้าน มีหนึ่งวัดเป็นศูนย์รวม หลากคนหลายสิ่งของหอบแบกกันมาแน่นขนัด โต๊ะไม้ตีตะปูวางเรียงกับเกือบห้าสิบตัว ชาวบ้านต่างแลกเปลี่ยนข้าวของกันอย่างอึกทึก
อินทรชิตอารมณ์ไม่ดี กระโจมอกที่ใฝ่ฝันไม่มีให้เห็น โน่นก็พาดสไบนั่นก็สไบนี่ รวมถึงแม่ปานวาดยังสไบ! ใจห่อเหี่ยวหนักยิ่งกว่าต้นไม้ไม่ได้น้ำมาหลายวัน มันก็ปามาหลายวันแล้วที่อินทรชิตขาดผู้หญิง เหมือนกำลังจะลงแดงตาย
ปล่อยให้นายเพาและแม่แย้มเปลี่ยนของกับชาวบ้านเขาได้เวลาเดินลัดเลาะหาที่สงบ ผ่านมาข้างอุโบสถ หัวมุมนั้นมีเสียงของผู้ชายหลายคนกำลังจับกลุ่มก้อน สอดรู้หนักนายอินแอบย่องไปฟัง
“มึงมั่นใจได้เยี่ยงไรว่าคาถานี้จักได้ผล” นายดำเกริงเปิดหนังวัวดู ด้านแผ่นนั้นมันมีตัวอักขระเขียนใส่ เขาเป็นลูกคนรวย พ่อขายเครื่องประดับ แม่ขายผ้า จึงเป็นคนมีอิทธิพลใหญ่ที่สุดในระแวกนี้
“ลูกพี่ดำเกริง นี่เป็นของพ่อปู่ที่อยู่ในอาศรมในป่าลึกแถวบางปะอินเชียวนะ รับรองพี่ปานวาดของลูกพี่ดำเกริงจักต้องอ่อนยวบกับอาคมนี้เป็นแน่แท้” ชายผู้หนึ่งอายุไล่เลี่ยกันกำลังพูดคุยกับคนที่เป็นใหญ่กว่า
“มนต์นี้ผลจะเป็นอันใดวะ” ดำเกริงเพ่งหนังวัวประหนึ่งว่านั่นคือสิ่งสุดยอด
“มนต์นี้พ่อปู่ท่านเพิ่งคิดได้ในเจ็ดวันนี้ มีชาวบ้านใช้ไปสามคนได้ผลยอดเยี่ยม แค่พี่เสกท่องคาถานี้เป่าไปที่ของนางผู้นั้น เวลาได้เข้าไปตัวหญิงผู้ใดมันจะสยิวจวนจะตายคาตัวพี่เลย ต่อให้แม่ปานวาดจักบริสุทธิ์มากเพียงใด จะไม่เจ็บแม้แต่น้อยเลย” ลูกน้องอธิบายจนชัดเจน
“ดี กูจักหาวิธีเอาปานวาดมาทำเมีย” ดำเกริงเหยียดยิ้ม พึงพอใจต่ออักขระมหาอาคม
“ใครมันอยู่ตรงนั้นพวกเอ็งทำอันใดไม่ดี” เสียงหลวงพ่อเอ็ดตะโรมาจากอุโบสถ พวกมันตื่นตระหนกแตกกันไปคนละทิศละทาง นายอินเห็นดำเกริงวิ่งมาทางตนจึงแกล้งเดินเรื่อยเปื่อยมาดักหน้า จึงชนกันแรง ดำเกริงด่ากราดก่อนจะวิ่งหนี
“ไอ้โง่ตาบอดรึ!”
ดำเกริงลุกวิ่งไปไกลแล้ว แต่ไม่รู้ทราบเลยว่าหนังวัวอักขระมหาอาคมนี้ตกอยู่ที่พื้น
“เริงรักได้โดยไม่เจ็บปวดหรือ” อินทรชิตหยิบขึ้นมาดู ซึ่งเป็นลายลักษณ์อักษรอักขระสักราวกับยันต์ “เฮ้อ จะใช้ยังไงล่ะ ต่อให้ใช้เป็นแต่ ปานวาดจะถูกไอ้ลูกนักเลงนั่นเอาไปอยู่ดี ทำไงดีวะ”
อินทรชิตเก็บหนังวัวสลักอักขระมาไว้กับตัว หาร่มไม้นั่งให้ไกลสายตาผู้คน เมื่อได้หย่อนกายาลงใต้ต้นไทรสูงใหญ่ รอบด้านเงียบสงบเสียงนกกู่ร้องอยู่หลายตัว บรรยากาศเย็นร่มรื่นย์เสียจนจะรํ่าไห้ เขาไม่เคยแม้แต่จะได้ยินเสียงธรรมชาติ มีก็แต่อยู่ที่นี่แล้วช่างเป็นสิ่งที่เขาปรารถนาเหลือเกิน
ไทรใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาแผ่คลุมบริเวณ บดบังแสงอาทิตย์ร้อนได้เป็นอย่างดี เขาเปลี่ยนใจจากความอุดมสมบูรณ์ของสถานที่มาเปิดหนังวัวดู อักขระสลักเป็นรอยเหมือนหมึกมิมีวันจางหาย คล้ายกับว่าถูกสักยันต์จารึกไว้
เรื่องอ่านภาษาโบราณมิใช่ว่าอินทรชิตจะไม่ถนัด เขามีเพื่อนอย่างเทพพิทักษ์เป็นนักโบราณคดี เป็นผู้หาวัตถุสมัยโบราณไปเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ เรื่องภาษาโบราณเขาเห็นจากเพื่อนมามาก เคยอ่านศึกษามาพอรู้ ชายหนุ่มยิ้มกว้าง ไม่ได้เป็นภาษที่ยุ่งยากอะไร
อินทรชิตเริ่มท่องจำเข้าสมอง ให้ขึ้นใจในเร็ววัน หากจะใช้ครั้งใดมิต้องคลี่อ่านก็สามารถใช้ได้ เมื่อเวลาผ่านมาเกือบชั่วโมง ตะวันบ่ายคล้อยลงตํ่า เสียงดังระงงมาจากด้านหน้าอุโบสถลานหน้าวัดก็แว่วมาถึงหู ชายหนุ่มสงสัยอยากรู้ทราบว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นจึงรีบลุกขึ้นจากลานไทรเก็บหนังวัวเข้าผ้าขาวม้ามัดเอว ก่อนจะเร่งเท้าไปดูให้แจ้ง
อลหม่านกันยกใหญ่ คล้ายว่ามีนายดำเกริงกำลังฉุดกระชากตัวเองกับพ่อเกริกบิดาของแม่ปานวาด ชาวบ้านมุงดูมิมีผู้ใดกล้าเข้าไปปราม นายอินเหลียวหาปานวาด นางยืนอยู่หลังแม่ตนเองเหมือนกำลังร้องไห้ นางยืนหน้าซีดเผือกและกลัวเกรงต่อนักเลงหัวไม้
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” หลวงพ่อออกมาจากอุโบสถ ดูชรามากแล้ว เห็นลูกศิษย์ได้พยุงมาห้ามปรามศึกอลเวงด้านนอก
“อะไรล่ะหลวงตา สวดมนต์ไปสิ อย่าได้ยุ่งเรื่องทางโลกเลย” ดำเกริงกล่าวห้าวแข็งข้อ มิมีความเคารพต่อพระสงฆ์องค์เจ้า
“อาตมามิได้อยากยุ่ง หากเอ็งไม่ละเมิดมนุษย์ผู้ร่วมทุกข์บนโลกนี้ ที่นี่มันวัด มิใช่แหล่งรวมตัวอันธพาล” หลวงตาเอ็ดตะโร ชี้หน้าสอนสั่งคนไม่รักดี
“จะเกลี้ยกล่อมข้ารึ บอกให้พ่อของปานวาดอนุญาตให้ข้าแต่แม่หญิงสิ ข้าจักไม่เป็นผู้ก่อกวน” ดำเกริงต่อรอง
“ไม่ ข้าไม่เป็นของเอ็ง ปล่อยพ่อข้านะดำเกริง” แม่ปานวาดก้าวออกจากหลังแม่ ไปคว้าแขนพ่อนาง
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว