รอยรัก ในปฐพี

ความห่วงใยจากคนไกล

ตอนที่สี่...ความห่วงใยจากคนไกล

ณ ประเทศเยอรมนี ภายในคฤหาสน์แบบวิคตอเรียนสไตล์เน้นความอบอุ่นในการอยู่อาศัยภายใต้แสงสีนวลของโคมไฟระย้าขนาดใหญ่ซึ่งตกแต่งอย่างงดงาม ศิรินทร์ชายหนุ่มลูกครึ่งเชื้อสายไทย-เยอรมัน ผู้เป็นเจ้าของบริษัทรถยนต์ระดับตำนานยี่ห้อดังกำลังนั่งชมเทปบันทึกรายการซึ่งนักสืบของเขาได้จัดส่งมาให้ตามความต้องการของผู้เป็นแม่และท่านก็กำลังร่วมชมอยู่ด้วยในขณะนี้ ลักษณะของรายการนี้คือเป็นรายการซึ่งนำปัญหาที่เกิดขึ้นมาพูดคุยกันและช่วยกันหาหนทางแก้ไขหรือไกล่เกลี่ยให้กับคู่กรณีโดยมีพิธีกรและนักวิชาการเป็นที่ปรึกษา

ปัญหาในรายการวันนี้คือปัญหาเกี่ยวกับกรณีพิพาทเรื่องที่ดินระหว่างทายาทเจ้าของเดิมและผู้ซื้อรายใหม่ซึ่งซื้อที่ดินมาจากทายาทคนอื่นๆ โดยผู้ซื้อรายใหม่ไม่ยินยอมให้คู่กรณีใช้ถนนซึ่งตัดผ่านผืนนาอันเป็นถนนสายดั้งเดิมตั้งแต่ครั้งปู่ย่าตายาย อีกทั้งยังทำการปิดกั้นทางน้ำให้เปลี่ยนทิศทาง ทำให้ทายาทของเจ้าของเดิมขาดแคลนน้ำซึ่งต้องใช้ในการทำการเกษตร

“ถ้าหากปัญหาที่เกิดขึ้นตกลงกันไม่ได้และทางฝ่ายคู่กรณีขอซื้อที่ดินคืน ไม่ทราบว่าทางคุณมลุลีจะยอมขายคืนให้มั้ยคะ” คำถามของพิธีกรสาวทำให้สาวใหญ่ผู้มีอาชีพค้าที่ดินซึ่งเป็นธุรกิจหนึ่งในหลายๆ ธุรกิจของหล่อนต้องยิ้มอย่างขบขันและตอบคำถามนั้นไปอย่างคนใจกว้าง

“ยินดีซิคะ! ดิฉันก็เบื่อเหลือเกินแล้วกับปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ซากๆ แต่ดิฉันคิดว่าไม่มีทายาทคนไหนซื้อที่ดินคืนได้หรอกค่ะ เพราะได้ข่าวว่าเงินที่ได้จากการขายที่ก็ใช้จ่ายกันแบบล้างผลาญ...สมบัติเก่าหมดเมื่อไหร่ก็คงไม่มีอะไรจะกิน” คำพูดเชือดเฉือนซึ่งแสดงถึงความมั่นใจว่าตนเองเป็นฝ่ายได้เปรียบนั้นทำให้ยอดชายบุรุษวัยกลางคนซึ่งเป็นคู่กรณีต้องระงับโทสะของตนไว้ด้วยความยากเย็น เนื่องด้วยรู้ดีว่าขณะนี้กำลังอยู่ในสายตาของสาธารณชน ท่าทีของผู้เป็นพ่อซึ่งต้องอดทนต่อคำพูดของคู่กรณีนั้นสร้างความปวดร้าวให้กับยอดข้าวหญิงสาวผู้เป็นบุตรสาวคนเดียวของยอดชายเป็นอย่างยิ่ง หล่อนนั่งอยู่ในตำแหน่งของผู้ชมรายการขณะทำการถ่ายทอดในห้องส่งแววตาของหล่อนที่ผู้เป็นพ่อได้มองสบนั้นเต็มไปด้วยกระแสแห่งกำลังใจ

“ศิรินทร์...ทำยังไงก็ได้ช่วยจัดการซื้อที่ดินที่เป็นกรณีพิพาททั้งหมดจากผู้หญิงคนนั้นให้แม่ด้วย” คำขอร้องแกมบังคับเอ่ยออกจากปากของคุณศิริผู้เป็นแม่หลังจากที่ท่านกดรีโมตปิดสัญญาณภาพนั้น คำพูดของท่านสร้างความสงสัยให้แก่ลูกชายเป็นอย่างยิ่งว่าท่านต้องการที่นาผืนนั้นมาเพื่อเหตุผลใด เพราะธุรกิจของครอบครัวเขาทั้งหมดไม่ได้เกี่ยวข้องกับธุรกิจทางการเกษตรเลย

“ผมยินดีทำตามความต้องการของคุณแม่ทุกอย่างครับ แต่คุณแม่ช่วยบอกเหตุผลกับผมหน่อยได้มั้ยครับว่าเพราะอะไร” และเหตุผลที่ชายหนุ่มได้รับรู้จากผู้เป็นแม่คือ เจ้าของที่ดินดั้งเดิมของที่นาผืนกว้างใหญ่นั้นคือผู้มีพระคุณสูงสุดคนหนึ่งของท่าน ศิรินทร์เข้าใจดีถึงความรู้สึกของผู้เป็นแม่ซึ่งท่านต้องการทดแทนบุญคุณของผู้มีพระคุณโดยการให้ความช่วยเหลือทายาทของท่านผู้นั้นให้พ้นจากการถูกรังแกจากคู่กรณีซึ่งมีอำนาจเงินที่เหนือกว่า

หลังจากนั้นอีกเพียงไม่กี่วันซึ่งศิรินทร์ได้รับปากไว้กับผู้เป็นแม่ ข้อมูลเพิ่มเติมต่างๆ จากนักสืบฝีมือดีก็มาถึงมือชายหนุ่ม ภาพชายวัยกลางคนอันคุณศิริให้ลูกชายเรียกเขาว่า ‘น้ายอด’ พร้อมด้วยยอดข้าวหญิงสาวสวยสคราญผู้เป็นบุตรสาว ในภาพนั้นสองพ่อลูกกำลังยืนมองผืนนากว้างใหญ่ซึ่งไกลออกไปนั้นคนงานกำลังทำนาอยู่ตามแปลงนา ภาพโรงนาซึ่งปลูกสร้างไว้เป็นระยะๆ ตั้งอยู่ใกล้แนวป่า ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายใต้ผืนฟ้าสีครามอันงดงามของประเทศไทยบ้านเกิดเมืองนอนของผู้เป็นแม่ซึ่งท่านได้จากมานานแสนนาน... ภารกิจที่ได้รับปากกับท่านไว้กำลังจะเริ่มต้น ศิรินทร์จะต้องเดินทางไปยังประเทศเล็กๆ แห่งนั้น ประเทศที่มีพื้นที่เพียงน้อยนิดหากเปรียบเนื้อที่กับประเทศต่างๆ แต่กลับเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ พื้นที่ทุกหย่อมหญ้าล้วนเต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์และอีกทั้งยังเป็นผืนแผ่นดินที่สื่อต่างๆ ได้ทำการประโคมข่าวเกี่ยวกับความต้องการของชาวต่างชาติในการที่จะครอบครองเพื่อตักตวงเอาผลประโยชน์ต่างๆ จากผืนแผ่นดินนี้เพื่อนำกลับไปยังประเทศของตน

สองสัปดาห์ผ่านไปซึ่งเป็นยามเช้าวันอาทิตย์ของประเทศไทย ณ บ้านเรือนไทยหลังใหญ่ซึ่งในอดีตครั้งคุณปู่ของยอดข้าวยังมีชีวิตนั้นมากไปด้วยสมาชิกหลายชีวิตทั้งเจ้าของบ้านและบรรดาลูกจ้าง แต่บัดนี้เหลือเพียงหญิงสาวและผู้เป็นพ่อเท่านั้น สภาพของบ้านเริ่มเปลี่ยนแปลงไปตามวันเวลา

“สวัสดีค่ะอายอด” เสียงทักทายจากเพื่อนรักของยอดข้าวทำให้ยอดชายซึ่งกำลังเดินออกกำลังกายรอบๆ บ้านต้องหันไปยังที่มาของเสียง

“บุญรักษาเถอะลูก” ยอดชายรับไหว้ทันทีที่ได้พบหน้ารักษ์นวล ชายวัยกลางคนไพล่นึกไปถึงหญิงสาวอีกคนหนึ่งซึ่งเกิดในปีเดียวกันกับยอดข้าวและรักษ์นวล นั่นก็คือธัญลักษณ์หลานสาวแท้ๆ ของเขาเองแต่หญิงสาวไม่ได้สนิทสนมรักใคร่กับยอดข้าวเหมือนเช่นรักษ์นวลแต่อย่างใด นั่นเพราะพี่ชายพี่สาวของยอดชายมีวิธีการเลี้ยงลูกที่แตกต่างไปจากเขาและครอบครัวของรักษ์นวล

พี่ชายคนโตนั้นเมื่อลูกชายเพียงคนเดียวติดการพนันและล้างผลาญทรัพย์สมบัติที่ผู้เป็นปู่ทิ้งไว้ให้จนหมดสิ้นไม่เหลือแม้กระทั่งบ้านที่จะพักอาศัย สุดท้ายต้องหันไปค้ายาเสพติดและถูกตำรวจวิสามัญฆาตกรรม นำมาซึ่งความเสียใจอย่างที่สุดของพ่อกับแม่ และทางออกสุดท้ายที่พี่ชายของเขาจะต้องเลือกนั้นก็คือ การใช้ทูตมรณะยิงภรรยาจนเสียชีวิตก่อนที่จะปลิดชีพตัวเองด้วยปืนกระบอกเดียวกัน ส่วนธัญญาผู้พี่สาวซึ่งก็คือแม่ของธัญลักษณ์นั้นยังโชคดีที่นพพรพี่เขยของยอดชายนับเป็นคนดีมีเหตุผลคนหนึ่ง ทรัพย์สินในส่วนของพี่เขยจึงยังคงมีเหลือไว้ให้ลูกสาวลูกชาย ซึ่งธัญลักษณ์หลานสาวของเขาไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่าเงินทองที่ใช้จ่ายด้วยความฟุ้งเฟ้อนั้นได้มาจากการขายสมบัติดั้งเดิมของครอบครัว แต่ ‘เธียร’ หลานชายของเขานั้นรู้ดีเพราะเป็นตัวต้นคิดให้ธัญญาขายทรัพย์สินทั้งหมดจนแทบไม่เหลืออะไร

‘ยอดรู้มั้ย...พี่เป็นห่วงธัญญากับลูกจริงๆ ไม่รู้ว่าหากวันไหนสิ้นพี่ไปแล้วพวกเขาจะอยู่กันยังไง’สิ่งนี้คือคำพูดที่พี่เขยมักจะปรารภให้ยอดชายได้รับรู้อยู่เสมอๆ โดยที่นพพรก็โทษว่าเป็นความผิดของเขาด้วยเช่นกันที่ปล่อยให้ภรรยารักลูกในทางที่ผิดมาโดยตลอด

“ข้าวไม่อยู่หรือคะอายอด บ้านเงียบจัง”หญิงสาวเอ่ยถามเมื่อสังเกตได้ว่ายอดชายมีท่าทีนิ่งอึ้งไป ชายวัยกลางคนยิ้มน้อยๆ ก่อนเอ่ยตอบ

“อาเห็นเจ้าเบิ้มมันมาตามตั้งแต่เช้าแน่ะนวล พอมันบอกว่ามีชาวต่างชาติมาดูที่ที่เคยเป็นของลุงกับป้าเขาน่ะ สองคนนั้นก็รีบปั่นจักรยานกันไปเลยล่ะคงกลัวว่าผู้หญิงคนนั้นจะขายที่ให้นอมินีของชาวต่างชาติ” ยอดชายเลี่ยงที่จะเอ่ยชื่อมลุลีผู้หญิงที่มีแต่ความโลภคนนั้น

“จริงหรือคะอา! ถ้าอย่างนั้นนวลตามไปด้วยดีกว่าเผื่อจะมีอะไรสนุกๆ”แววตาของหญิงสาวแสดงถึงความตื่นเต้นก่อนจะขอตัวขี่จักรยานตามเพื่อนรักและลูกสมุนไปตามสถานที่ซึ่งยอดชายบอกกล่าว

“พวกเราสามคนน่ะอย่าไปทำอะไรที่ซนเป็นลิงทะโมนอีกล่ะ อาเป็นห่วงจริงๆ” ยอดชายตะโกนบอกไล่หลัง สิ่งที่เขาเป็นห่วงนั่นก็คือถึงแม้ทั้งสองสาวจะมีหน้าที่การงานที่มั่นคง ในเวลางานทั้งคู่จะเอาจริงเอาจังกับหน้าที่ของตนและสมบูรณ์พร้อมไปด้วยวุฒิภาวะแต่นอกเหนือเวลางานก็มักจะทำตัวเป็นเด็กซนๆ โดยเฉพาะเมื่อมีเจ้าเบิ้มลูกสมุนซึ่งใกล้จะจบการศึกษาในระดับปริญญาตรีด้านการเกษตรจากมหาวิทยาลัยมีชื่อ อันเป็นวิทยาเขตที่อยู่ใกล้บ้านและยอดข้าวก็จบการศึกษาระดับปริญญาโทมาจากที่นี่เช่นกัน หน้าที่หลักของหล่อนคือนักวิชาการการเกษตรในหน่วยงานของรัฐองค์กรหนึ่ง และอีกหน้าที่คือช่วยดูแลงานของครอบครัว

หญิงสาวผู้นี้ตั้งมั่นไว้ว่าอาชีพชาวนาจะต้องอยู่คู่กับครอบครัวของหล่อนตลอดไป และสำหรับทั้งสามคนแล้วหากมีการรวมตัวกันเมื่อไหร่ความปั่นป่วนในละแวกนี้ก็จะเกิดขึ้นทันที เช่นเดียวกับวันนี้เมื่อรักษ์นวลขี่จักรยานมาจนถึงจุดหมายของหล่อนและจอดมันไว้ใกล้ๆ กับจักรยานคุ้นตาอีกสองคันซึ่งเจ้าของกำลังแอบซุ่มอยู่หลังพุ่มไม้เพื่อรอเวลากระทำการอะไรบางอย่าง ไม่รอช้า...หญิงสาวรีบเดินเข้าไปสมทบอย่างเงียบกริบประมาณว่ากำลังใช้วิชานินจาในการก้าวย่างอย่างไรอย่างนั้น

“เอาเลยเจ้าเบิ้ม! แกเล็งให้ดีๆ เลย เอาให้โดนหัวไอ้หน้าลิงนั่นเลยนะแก”

“ได้เลยเจ๊ข้าว” เจ้าเบิ้มพูดขณะใช้สมาธิเล็งหนังสติ๊กไปยังศีรษะของนักลงทุนชาวต่างชาติคนนั้น

“ทำอะไรเจ้าเบิ้ม...” แม้น้ำเสียงนั้นจะเบาหวิวแต่ก็ทำให้สมาธิของลูกสมุนต้องมีอันกระเจิดกระเจิงไปเหมือนกันด้วยไม่คาดคิดว่าจะมีบุคคลที่สามมารู้เห็นการกระทำของมันและลูกพี่คนสวย จุดหมายปลายทางของลูกดินเหนียวซึ่งได้เปลี่ยนวิถีเดินทางไปเล็กน้อยนั้นปะทะเข้ากับหน้าผากของมลุลีอย่างจัง

“โอ๊ย!!! ใครเล่นบ้าๆ นี่ อย่าให้ฉันจับได้แล้วกันว่าเป็นฝีมือใครแกตายแน่!” มลุลีใช้มืออวบอูมของตนลูบวนบริเวณศีรษะอย่างแผ่วเบาด้วยความเจ็บปวด ซึ่งขณะนี้ได้ปรากฏรอยนูนขึ้นมาอย่างทันตาเห็น ทั้งยอดข้าวและเจ้าเบิ้มต่างแหงนเงยขึ้นมองผู้มาใหม่และเหมือนยกภูเขาออกจากอกเมื่อรู้ว่าผู้นั้นคือรักษ์นวล

“นวล! เจ๊นวล!” สองเสียงอุทานพร้อมกัน รักษ์นวลยิ้มขันกับท่าทางตกใจสุดขีดของคนทั้งสองก่อนหน้านี้พร้อมส่งมือทั้งสองข้างของหล่อนไปเพื่อฉุดดึงยอดข้าวกับเจ้าเบิ้ม ให้ลุกขึ้นยืนและออกวิ่งไปโดยเร็วพร้อมกับตนเอง

ทั้งสามชีวิตต่างมุ่งตรงไปยังรถจักรยานที่แอบจอดไว้ก่อนจะเร่งปั่นเจ้าสองล้อไร้มอเตอร์ด้วยความเร็วสุดชีวิตโดยมียอดข้าวนำหน้าขบวนเพราะดีกรีอดีตนักกีฬามหาวิทยาลัยหลายเหรียญทอง สำหรับรักษ์นวลครองตำแหน่งที่สองและมีเจ้าเบิ้มรั้งท้ายเพื่อทำหน้าที่ผู้พิทักษ์ความปลอดภัยให้กับเจ๊ๆ ของมัน ทุกคนต่างตั้งหน้าตั้งตาปั่นฝีเท้ากันมาแบบสุดชีวิตโดยขี่ย้อนเส้นทางด้วยประมาทว่าถนนสายนี้นานๆ จึงจะมีรถยนต์ผ่านมาและที่สำคัญต่างก็ขี่รถจักรยานมาบนไหล่ทางเท่านั้น คงไม่มีรถยนต์คันไหนวิ่งบนไหล่ทาง แต่สิ่งที่ลืมนึกถึงไปก็คือถึงแม้จะไม่มีรถยนต์วิ่งบนไหล่ทางแต่ใช่ว่าจะไม่มีรถจอดบนไหล่ทาง

ยอดข้าวหันไปส่งยิ้มให้รักษ์นวลและเจ้าเบิ้มเมื่อมั่นใจว่าทั้งสามคนมาไกลจากคนของมลุลีในระยะปลอดภัยแล้วโดยไม่ทันสังเกตว่ารถยนต์สีดำสุดหรูคันหนึ่งให้สัญญาณจอดอยู่เบื้องหน้า

“เจ๊ข้าวระวัง!!! ข้าวระวังรถ!!!” การร้องเตือนอย่างสุดเสียงของรักษ์นวลและเจ้าเบิ้มไม่ได้เกิดผลใดๆในการหยุดยั้งการเคลื่อนไหวของยอดข้าว ทันทีที่หล่อนหันกลับไปมองยังทิศทางเบื้องหน้านั่นเป็นการช้าไปเสียแล้วกับแรงปะทะที่เกิดขึ้นระหว่างจักรยานคู่ใจของหญิงสาวกับวัตถุสุดหรูเบื้องหน้า ซึ่งนับเป็นโชคดีที่รถคันนั้นได้จอดสนิทลงแล้วแรงปะทะที่เกิดขึ้นจึงเป็นแรงปะทะฝ่ายเดียวแต่ก็ทำเอาเจ้าของรถจักรยานต้องบาดเจ็บไปพอสมควร

ทั้งเจ้าเบิ้มและรักษ์นวลต่างก็เบรกลากล้อ! ตกใจที่ยอดข้าวประสบอุบัติเหตุ เช่นเดียวกับศิรินทร์เขาสังเกตเห็นเจ้าของจักรยานทั้งสามคันนี้ตั้งหน้าตั้งตาปั่นเลี้ยวโค้งมาแต่ไกล ชายหนุ่มยังนึกตำหนิว่าผู้หญิงคนที่ขี่นำหน้ามานั้นประมาทโดยหญิงสาวไม่มองหนทางข้างหน้าทั้งๆ ที่ตัวเองขี่รถผิดเส้นทางอีกต่างหาก เขารีบปลดล็อคเข็มขัดนิรภัย ตั้งใจจะลงไปดูอาการของคู่กรณีแต่ก็ช้ากว่าเจ้าเบิ้มที่ตรงปรี่มายังรถของเขา หมายจะเอาเรื่องกับเจ้าของรถคันนั้นซึ่งเป็นสาเหตุให้ลูกพี่ของมันต้องบาดเจ็บ โดยลืมไปสนิทว่าทั้งตนและลูกพี่ทั้งสองเป็นฝ่ายผิดอย่างเห็นๆ ทันทีที่ประตูเปิดออกและศิรินทร์ก้าวลงจากรถ

“เฮ้ย! ฝรั่งว่ะ” เจ้าเบิ้มผู้มีความสูงต่ำกว่ามาตรฐานชายไทยเล็กน้อยและไม่ได้มีลักษณะรูปร่างที่เบิ้มสมชื่อแต่ประการใดนั้นต้องแหงนเงยจนคอตั้งบ่ากว่าที่มันจะมองเห็นใบหน้าคมสันของศิรินทร์ เครื่องหน้าและสีผมของชายหนุ่มบ่งบอกให้ทั้งสามได้รับรู้ว่าเขาเป็นชาวตะวันตกแต่แววตาของผู้ชายคนนี้คือแววตาของคนไทย หรือ...เขาจะเป็นลูกครึ่ง

ครั้งแรกที่เจ้าเบิ้มกระโจนเข้ามานั้นมันหมายใจจะเอาเรื่องกับเจ้าของรถคู่กรณีของยอดข้าว บัดนี้เมื่อได้ทำการประเมินพละกำลังและสถานการณ์ต่างๆ แล้วเจ้าเบิ้มต้องพูดกับตัวเองก่อนที่จะถอยไปดูอาการของยอดข้าว “ถอยดีกว่าตัวอย่างกับตึก”

เมื่อรักษ์นวลประคองให้เพื่อนรักลุกขึ้นรอยถลอกตามร่างกายของยอดข้าวซึ่งมีเลือดไหลซิบๆ อีกทั้งเศษก้อนกรวดเล็กๆ ที่ติดอยู่กับบาดแผลนั้นก็สร้างความเจ็บปวดมิใช่น้อยให้แก่หญิงสาว

“ไหวมั้ยข้าว...” แววตาของรักษ์นวลเจ็บปวดไปด้วยกับอาการของเพื่อน

“ไหวจ้ะนวล ข้าวไม่เป็นอะไรมากหรอก” หญิงสาวปัดเศษดินออกจากเนื้อตัวก่อนจะก้มลงสำรวจบาดแผลของหล่อนที่บริเวณข้อศอกและเข่าข้างขวา

“ผมว่าคุณทำแผลก่อนดีกว่านะครับ” ศิรินทร์พูดภาษาไทยด้วยสำเนียงชัดเจนหลังจากได้หยิบกระเป๋าซึ่งมีรูปเครื่องหมายกาชาดอันบ่งบอกว่ามันคือกระเป๋าที่บรรจุสิ่งของซึ่งใช้ในการปฐมพยาบาล ชายหนุ่มวางมันลงที่พื้นตรงหน้ายอดข้าว และแววยินดีปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาเมื่อแหงนเงยขึ้นพิจารณาคู่กรณีซึ่งบัดนี้ปราศจากหมวกที่ใช้คลุมศีรษะได้รูปของหล่อน ‘ลูกสาวน้ายอด’ รอยยิ้มน้อยๆ ของชายหนุ่มลบเลือนไปในทันทีเมื่อสายตาแห่งความสงสัยของยอดข้าวมองสบมา ก็แน่ล่ะยอดข้าวคิดว่าผู้เป็นคู่กรณีจะต้องว่ากล่าวหล่อนและเพื่อนๆ อย่างรุนแรงแต่รอยยิ้มของเขาหมายถึงอะไรหญิงสาวเก็บความสงสัยนั้นไว้ก่อนจะกล่าวปฏิเสธความหวังดีของศิรินทร์

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะบ้านฉันอยู่ใกล้แค่นี้เองขอบคุณนะคะ” ยอดข้าวหันไปทางเพื่อนรักและลูกสมุน “ไปกันเถอะพวกเรา” แม้เจ้าวัตถุสีดำคันแกร่งที่จอดสนิทอยู่เบื้องหน้าของหล่อนจะได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่หากคู่กรณีเรียกค่าเสียหายขึ้นมาก็คงจะเป็นเงินจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว ‘เก็บเงินไว้ใช้อย่างอื่นดีกว่า’ นั่นคือความคิดของยอดข้าวในขณะนี้

“เดี๋ยวซิครับ!” ศิรินทร์ถือวิสาสะคว้าข้อมือหล่อนไว้เป็นเหตุให้เจ้าเบิ้มเกิดอาการลืมตัวมันกำลังตรงปรี่เข้าไปเอาเรื่องกับชายหนุ่มโทษฐานที่บังอาจมาจับมือลูกพี่ของมัน ยังดีที่ได้รับการยับยั้งจากรักษ์นวลโดยหล่อนได้ดึงชายเสื้อของมันเอาไว้ พร้อมกล่าวเสียงกระซิบ

“ช้าไว้เจ้าเบิ้ม...ถ้าเปรียบเขาเป็นราชสีห์แกก็แค่ลูกแมวตัวเล็กๆ เท่านั้นเอง แกคิดให้ดีๆ นะ” สีหน้าลูกสมุนจ๋อยสนิท

“เอ่อ...จริงด้วยซิเจ๊ ใจร้อนไปหน่อยก็ไอ้หรั่งนั่นมันฉวยโอกาสกับเจ๊ข้าวนี่” อาการฮึดฮัดของเจ้าเบิ้มผ่อนคลายลงเมื่อเริ่มนึกถึงความปลอดภัยของตัวเอง รักษ์นวลอมยิ้มกับท่าทีของลูกสมุน

“โธ่! เจ้าเบิ้มแกน่ะคิดมากเรื่องแค่นี้ฝรั่งเขาไม่ถือว่าฉวยโอกาสหรอกแก เขาอาจจะหวังดีกับข้าวจริงๆ ก็ได้” หญิงสาวพูดอย่างคนมองโลกในแง่ดีให้เจ้าเบิ้มผู้มองโลกในแง่ร้ายได้เข้าใจ แต่มิวายเจ้าเบิ้มยังหาเหตุผลมาโต้แย้งกับรักษ์นวลจนได้

“ฝรั่งอะไรกันเจ๊นวลก็ดูสำเนียงภาษาไทยของพี่แกซิ ชัดเจนกว่าเบิ้มอีกนะนี่” รักษ์นวลเห็นด้วยกับเจ้าเบิ้ม ผู้ชายคนนี้ถ้าไม่ได้เกิดและเติบโตที่เมืองไทยแล้วเขาก็อาจจะมีสายเลือดไทยอยู่ในตัวอย่างแน่นอนเพราะถ้าเปรียบเทียบสำเนียงการพูดของเขากับเจ้าเบิ้มซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดที่มีรอยต่อกับประเทศเพื่อนบ้านและยังมีเชื้อสายกะเหรี่ยงนิดๆ แล้วนั้น หากไม่เห็นหน้าตาของเจ้าของน้ำเสียงแล้วผู้ชายคนนี้ก็คือคนไทยแท้ๆ และผู้ที่มีลักษณะของสำเนียงลูกครึ่งก็คือเจ้าเบิ้มหากแต่เป็นลูกครึ่งแถวแนวตะเข็บชายแดน ทั้งรักษ์นวลและเจ้าเบิ้มจำต้องหยุดการสนทนาลงเพราะการยื้อยุดฉุดกระชากกันระหว่างศิรินทร์กับยอดข้าว

“เอ๊ะ! คุณนี่ยังไงนะฉันบอกว่าไม่ต้องก็ไม่ต้องซิ...” หญิงสาวมองหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง

“ไม่ปล่อยจนกว่าคุณจะยอมให้ผมทำแผลให้คุณก่อน” ศิรินทร์ไม่สนใจอาการขัดขืนของยอดข้าวเขาจะปล่อยหญิงสาวคนนี้ไปได้อย่างไรในเมื่อหล่อนคือลูกสาวของน้ายอดและเป็นน้องที่เขาได้รับปากกับผู้เป็นแม่ว่าจะดูแลหล่อนเป็นอย่างดีที่สุดก่อนที่เขาจะตัดสินใจเดินทางมาในครั้งนี้

“ข้าว... คุณเขาแค่อยากจะทำแผลให้ข้าวก็ปล่อยให้เขาทำให้เถอะ ดีกว่าจะพกพาเชื้อโรคกลับไปถึงบ้าน” รักษ์นวลพูดอย่างผู้ตัดสินคดีความให้แก่คู่กรณีทั้งสองยอดข้าวมองสบตาเพื่อนรักเข้าใจในเหตุผลของฝ่ายนั้น หญิงสาวพยักหน้าอย่างยินยอม

“ก็ได้”

ตลอดระยะเวลาที่ศิรินทร์ตั้งอกตั้งใจทำแผลให้ยอดข้าวอย่างระมัดระวังนั้นไม่ได้รอดพ้นไปจากสายตาของรักษ์นวลและเจ้าเบิ้ม สองผู้สังเกตการณ์ต่างยิ้มให้กันเมื่อความคิดบางอย่างเกิดขึ้นในสมองของคนทั้งคู่ เจ้าเบิ้มใช้มือหนาของมันป้องหูลูกพี่สาว

“เจ๊นวล...หรือว่านี่จะเป็นการปรากฏตัวครั้งแรกของเนื้อคู่เจ๊ข้าว” รักษ์นวลยิ้มถูกใจกับความคิดของลูกสมุนซึ่งตรงกับความคิดของหล่อน

“เจ๊ก็ว่าอย่างนั้น อิมพอร์ตมาเลยล่ะ” สองเสียงแอบหัวเราะกันอย่างถูกอกถูกใจหากแต่สายตาทั้งสองคู่ก็ยังคงจับจ้องไปที่ศิรินทร์และยอดข้าว

“ขอบคุณ” เป็นคำพูดสั้นๆ ที่ยอดข้าวมีให้ผู้ชายตัวโตๆ คนนี้ แทบไม่น่าเชื่อว่าเขาจะทำแผลให้หล่อนอย่างเบามือและตลอดเวลาที่เขาทำแผลให้หล่อนนั้นยอดข้าวสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยที่เขามีให้แก่หญิงสาว มันเกิดขึ้นได้อย่างไรในเมื่อยอดข้าวและเขานั้นเพิ่งจะพบเจอกันเป็นครั้งแรกเขาจะมาห่วงใยหล่อนมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร คำถามนั้นยังอยู่ในใจของยอดข้าวโดยไร้ซึ่งคำตอบเพราะหาเหตุผลไม่ได้จริงๆ แต่สำหรับคำตอบที่เกิดขึ้นในใจของรักษ์นวลและเจ้าเบิ้มต่างเห็นพ้องต้องกันว่านี่คือ บุพเพสันนิวาสนั่นเอง

เช่นเดียวกันกับศิรินทร์ชายหนุ่มแปลกใจเมื่อรู้ตัวว่าขณะนี้เขารู้สึกเช่นไรต่อหญิงสาวตรงหน้า ผู้ชายซึ่งอุทิศชีวิตที่ผ่านมาให้กับความสำเร็จของงาน ผู้ซึ่งไม่เคยเชื่อถือในประโยคที่ว่า ‘อานุภาพของความรัก ปาฏิหาริย์แห่งรัก หรือรักแรกพบ’ หรือแม้แต่ประโยคอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับความรักล้วนแต่เป็นสิ่งไร้สาระทั้งสิ้นสำหรับเขา ไม่มีผู้หญิงคนไหนมีค่ามากไปกว่าวัตถุที่เขาจะเชยชมชั่วครั้งชั่วคราว แล้วนี่มันอะไรกันสิ่งที่เขาไม่เชื่อว่ามีอยู่จริงและใครบางคนสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้เพียงเพื่อให้ได้มันมาครอบครองกำลังเกิดขึ้นกับเขาหรือนี่...ศิรินทร์ตัดสินใจที่จะไม่ไปแสดงตัวกับยอดชายและยอดข้าวในวันนี้ พลันแผนการบางอย่างก็เกิดขึ้นในใจของเขา

ตอนที่สี่...ความห่วงใยจากคนไกล

ณ ประเทศเยอรมนี ภายในคฤหาสน์แบบวิคตอเรียนสไตล์เน้นความอบอุ่นในการอยู่อาศัยภายใต้แสงสีนวลของโคมไฟระย้าขนาดใหญ่ซึ่งตกแต่งอย่างงดงาม ศิรินทร์ชายหนุ่มลูกครึ่งเชื้อสายไทย-เยอรมัน ผู้เป็นเจ้าของบริษัทรถยนต์ระดับตำนานยี่ห้อดังกำลังนั่งชมเทปบันทึกรายการซึ่งนักสืบของเขาได้จัดส่งมาให้ตามความต้องการของผู้เป็นแม่และท่านก็กำลังร่วมชมอยู่ด้วยในขณะนี้ ลักษณะของรายการนี้คือเป็นรายการซึ่งนำปัญหาที่เกิดขึ้นมาพูดคุยกันและช่วยกันหาหนทางแก้ไขหรือไกล่เกลี่ยให้กับคู่กรณีโดยมีพิธีกรและนักวิชาการเป็นที่ปรึกษา

ปัญหาในรายการวันนี้คือปัญหาเกี่ยวกับกรณีพิพาทเรื่องที่ดินระหว่างทายาทเจ้าของเดิมและผู้ซื้อรายใหม่ซึ่งซื้อที่ดินมาจากทายาทคนอื่นๆ โดยผู้ซื้อรายใหม่ไม่ยินยอมให้คู่กรณีใช้ถนนซึ่งตัดผ่านผืนนาอันเป็นถนนสายดั้งเดิมตั้งแต่ครั้งปู่ย่าตายาย อีกทั้งยังทำการปิดกั้นทางน้ำให้เปลี่ยนทิศทาง ทำให้ทายาทของเจ้าของเดิมขาดแคลนน้ำซึ่งต้องใช้ในการทำการเกษตร

“ถ้าหากปัญหาที่เกิดขึ้นตกลงกันไม่ได้และทางฝ่ายคู่กรณีขอซื้อที่ดินคืน ไม่ทราบว่าทางคุณมลุลีจะยอมขายคืนให้มั้ยคะ” คำถามของพิธีกรสาวทำให้สาวใหญ่ผู้มีอาชีพค้าที่ดินซึ่งเป็นธุรกิจหนึ่งในหลายๆ ธุรกิจของหล่อนต้องยิ้มอย่างขบขันและตอบคำถามนั้นไปอย่างคนใจกว้าง

“ยินดีซิคะ! ดิฉันก็เบื่อเหลือเกินแล้วกับปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ซากๆ แต่ดิฉันคิดว่าไม่มีทายาทคนไหนซื้อที่ดินคืนได้หรอกค่ะ เพราะได้ข่าวว่าเงินที่ได้จากการขายที่ก็ใช้จ่ายกันแบบล้างผลาญ...สมบัติเก่าหมดเมื่อไหร่ก็คงไม่มีอะไรจะกิน” คำพูดเชือดเฉือนซึ่งแสดงถึงความมั่นใจว่าตนเองเป็นฝ่ายได้เปรียบนั้นทำให้ยอดชายบุรุษวัยกลางคนซึ่งเป็นคู่กรณีต้องระงับโทสะของตนไว้ด้วยความยากเย็น เนื่องด้วยรู้ดีว่าขณะนี้กำลังอยู่ในสายตาของสาธารณชน ท่าทีของผู้เป็นพ่อซึ่งต้องอดทนต่อคำพูดของคู่กรณีนั้นสร้างความปวดร้าวให้กับยอดข้าวหญิงสาวผู้เป็นบุตรสาวคนเดียวของยอดชายเป็นอย่างยิ่ง หล่อนนั่งอยู่ในตำแหน่งของผู้ชมรายการขณะทำการถ่ายทอดในห้องส่งแววตาของหล่อนที่ผู้เป็นพ่อได้มองสบนั้นเต็มไปด้วยกระแสแห่งกำลังใจ

“ศิรินทร์...ทำยังไงก็ได้ช่วยจัดการซื้อที่ดินที่เป็นกรณีพิพาททั้งหมดจากผู้หญิงคนนั้นให้แม่ด้วย” คำขอร้องแกมบังคับเอ่ยออกจากปากของคุณศิริผู้เป็นแม่หลังจากที่ท่านกดรีโมตปิดสัญญาณภาพนั้น คำพูดของท่านสร้างความสงสัยให้แก่ลูกชายเป็นอย่างยิ่งว่าท่านต้องการที่นาผืนนั้นมาเพื่อเหตุผลใด เพราะธุรกิจของครอบครัวเขาทั้งหมดไม่ได้เกี่ยวข้องกับธุรกิจทางการเกษตรเลย

“ผมยินดีทำตามความต้องการของคุณแม่ทุกอย่างครับ แต่คุณแม่ช่วยบอกเหตุผลกับผมหน่อยได้มั้ยครับว่าเพราะอะไร” และเหตุผลที่ชายหนุ่มได้รับรู้จากผู้เป็นแม่คือ เจ้าของที่ดินดั้งเดิมของที่นาผืนกว้างใหญ่นั้นคือผู้มีพระคุณสูงสุดคนหนึ่งของท่าน ศิรินทร์เข้าใจดีถึงความรู้สึกของผู้เป็นแม่ซึ่งท่านต้องการทดแทนบุญคุณของผู้มีพระคุณโดยการให้ความช่วยเหลือทายาทของท่านผู้นั้นให้พ้นจากการถูกรังแกจากคู่กรณีซึ่งมีอำนาจเงินที่เหนือกว่า

หลังจากนั้นอีกเพียงไม่กี่วันซึ่งศิรินทร์ได้รับปากไว้กับผู้เป็นแม่ ข้อมูลเพิ่มเติมต่างๆ จากนักสืบฝีมือดีก็มาถึงมือชายหนุ่ม ภาพชายวัยกลางคนอันคุณศิริให้ลูกชายเรียกเขาว่า ‘น้ายอด’ พร้อมด้วยยอดข้าวหญิงสาวสวยสคราญผู้เป็นบุตรสาว ในภาพนั้นสองพ่อลูกกำลังยืนมองผืนนากว้างใหญ่ซึ่งไกลออกไปนั้นคนงานกำลังทำนาอยู่ตามแปลงนา ภาพโรงนาซึ่งปลูกสร้างไว้เป็นระยะๆ ตั้งอยู่ใกล้แนวป่า ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายใต้ผืนฟ้าสีครามอันงดงามของประเทศไทยบ้านเกิดเมืองนอนของผู้เป็นแม่ซึ่งท่านได้จากมานานแสนนาน... ภารกิจที่ได้รับปากกับท่านไว้กำลังจะเริ่มต้น ศิรินทร์จะต้องเดินทางไปยังประเทศเล็กๆ แห่งนั้น ประเทศที่มีพื้นที่เพียงน้อยนิดหากเปรียบเนื้อที่กับประเทศต่างๆ แต่กลับเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ พื้นที่ทุกหย่อมหญ้าล้วนเต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์และอีกทั้งยังเป็นผืนแผ่นดินที่สื่อต่างๆ ได้ทำการประโคมข่าวเกี่ยวกับความต้องการของชาวต่างชาติในการที่จะครอบครองเพื่อตักตวงเอาผลประโยชน์ต่างๆ จากผืนแผ่นดินนี้เพื่อนำกลับไปยังประเทศของตน

สองสัปดาห์ผ่านไปซึ่งเป็นยามเช้าวันอาทิตย์ของประเทศไทย ณ บ้านเรือนไทยหลังใหญ่ซึ่งในอดีตครั้งคุณปู่ของยอดข้าวยังมีชีวิตนั้นมากไปด้วยสมาชิกหลายชีวิตทั้งเจ้าของบ้านและบรรดาลูกจ้าง แต่บัดนี้เหลือเพียงหญิงสาวและผู้เป็นพ่อเท่านั้น สภาพของบ้านเริ่มเปลี่ยนแปลงไปตามวันเวลา

“สวัสดีค่ะอายอด” เสียงทักทายจากเพื่อนรักของยอดข้าวทำให้ยอดชายซึ่งกำลังเดินออกกำลังกายรอบๆ บ้านต้องหันไปยังที่มาของเสียง

“บุญรักษาเถอะลูก” ยอดชายรับไหว้ทันทีที่ได้พบหน้ารักษ์นวล ชายวัยกลางคนไพล่นึกไปถึงหญิงสาวอีกคนหนึ่งซึ่งเกิดในปีเดียวกันกับยอดข้าวและรักษ์นวล นั่นก็คือธัญลักษณ์หลานสาวแท้ๆ ของเขาเองแต่หญิงสาวไม่ได้สนิทสนมรักใคร่กับยอดข้าวเหมือนเช่นรักษ์นวลแต่อย่างใด นั่นเพราะพี่ชายพี่สาวของยอดชายมีวิธีการเลี้ยงลูกที่แตกต่างไปจากเขาและครอบครัวของรักษ์นวล

พี่ชายคนโตนั้นเมื่อลูกชายเพียงคนเดียวติดการพนันและล้างผลาญทรัพย์สมบัติที่ผู้เป็นปู่ทิ้งไว้ให้จนหมดสิ้นไม่เหลือแม้กระทั่งบ้านที่จะพักอาศัย สุดท้ายต้องหันไปค้ายาเสพติดและถูกตำรวจวิสามัญฆาตกรรม นำมาซึ่งความเสียใจอย่างที่สุดของพ่อกับแม่ และทางออกสุดท้ายที่พี่ชายของเขาจะต้องเลือกนั้นก็คือ การใช้ทูตมรณะยิงภรรยาจนเสียชีวิตก่อนที่จะปลิดชีพตัวเองด้วยปืนกระบอกเดียวกัน ส่วนธัญญาผู้พี่สาวซึ่งก็คือแม่ของธัญลักษณ์นั้นยังโชคดีที่นพพรพี่เขยของยอดชายนับเป็นคนดีมีเหตุผลคนหนึ่ง ทรัพย์สินในส่วนของพี่เขยจึงยังคงมีเหลือไว้ให้ลูกสาวลูกชาย ซึ่งธัญลักษณ์หลานสาวของเขาไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่าเงินทองที่ใช้จ่ายด้วยความฟุ้งเฟ้อนั้นได้มาจากการขายสมบัติดั้งเดิมของครอบครัว แต่ ‘เธียร’ หลานชายของเขานั้นรู้ดีเพราะเป็นตัวต้นคิดให้ธัญญาขายทรัพย์สินทั้งหมดจนแทบไม่เหลืออะไร

‘ยอดรู้มั้ย...พี่เป็นห่วงธัญญากับลูกจริงๆ ไม่รู้ว่าหากวันไหนสิ้นพี่ไปแล้วพวกเขาจะอยู่กันยังไง’สิ่งนี้คือคำพูดที่พี่เขยมักจะปรารภให้ยอดชายได้รับรู้อยู่เสมอๆ โดยที่นพพรก็โทษว่าเป็นความผิดของเขาด้วยเช่นกันที่ปล่อยให้ภรรยารักลูกในทางที่ผิดมาโดยตลอด

“ข้าวไม่อยู่หรือคะอายอด บ้านเงียบจัง”หญิงสาวเอ่ยถามเมื่อสังเกตได้ว่ายอดชายมีท่าทีนิ่งอึ้งไป ชายวัยกลางคนยิ้มน้อยๆ ก่อนเอ่ยตอบ

“อาเห็นเจ้าเบิ้มมันมาตามตั้งแต่เช้าแน่ะนวล พอมันบอกว่ามีชาวต่างชาติมาดูที่ที่เคยเป็นของลุงกับป้าเขาน่ะ สองคนนั้นก็รีบปั่นจักรยานกันไปเลยล่ะคงกลัวว่าผู้หญิงคนนั้นจะขายที่ให้นอมินีของชาวต่างชาติ” ยอดชายเลี่ยงที่จะเอ่ยชื่อมลุลีผู้หญิงที่มีแต่ความโลภคนนั้น

“จริงหรือคะอา! ถ้าอย่างนั้นนวลตามไปด้วยดีกว่าเผื่อจะมีอะไรสนุกๆ”แววตาของหญิงสาวแสดงถึงความตื่นเต้นก่อนจะขอตัวขี่จักรยานตามเพื่อนรักและลูกสมุนไปตามสถานที่ซึ่งยอดชายบอกกล่าว

“พวกเราสามคนน่ะอย่าไปทำอะไรที่ซนเป็นลิงทะโมนอีกล่ะ อาเป็นห่วงจริงๆ” ยอดชายตะโกนบอกไล่หลัง สิ่งที่เขาเป็นห่วงนั่นก็คือถึงแม้ทั้งสองสาวจะมีหน้าที่การงานที่มั่นคง ในเวลางานทั้งคู่จะเอาจริงเอาจังกับหน้าที่ของตนและสมบูรณ์พร้อมไปด้วยวุฒิภาวะแต่นอกเหนือเวลางานก็มักจะทำตัวเป็นเด็กซนๆ โดยเฉพาะเมื่อมีเจ้าเบิ้มลูกสมุนซึ่งใกล้จะจบการศึกษาในระดับปริญญาตรีด้านการเกษตรจากมหาวิทยาลัยมีชื่อ อันเป็นวิทยาเขตที่อยู่ใกล้บ้านและยอดข้าวก็จบการศึกษาระดับปริญญาโทมาจากที่นี่เช่นกัน หน้าที่หลักของหล่อนคือนักวิชาการการเกษตรในหน่วยงานของรัฐองค์กรหนึ่ง และอีกหน้าที่คือช่วยดูแลงานของครอบครัว

หญิงสาวผู้นี้ตั้งมั่นไว้ว่าอาชีพชาวนาจะต้องอยู่คู่กับครอบครัวของหล่อนตลอดไป และสำหรับทั้งสามคนแล้วหากมีการรวมตัวกันเมื่อไหร่ความปั่นป่วนในละแวกนี้ก็จะเกิดขึ้นทันที เช่นเดียวกับวันนี้เมื่อรักษ์นวลขี่จักรยานมาจนถึงจุดหมายของหล่อนและจอดมันไว้ใกล้ๆ กับจักรยานคุ้นตาอีกสองคันซึ่งเจ้าของกำลังแอบซุ่มอยู่หลังพุ่มไม้เพื่อรอเวลากระทำการอะไรบางอย่าง ไม่รอช้า...หญิงสาวรีบเดินเข้าไปสมทบอย่างเงียบกริบประมาณว่ากำลังใช้วิชานินจาในการก้าวย่างอย่างไรอย่างนั้น

“เอาเลยเจ้าเบิ้ม! แกเล็งให้ดีๆ เลย เอาให้โดนหัวไอ้หน้าลิงนั่นเลยนะแก”

“ได้เลยเจ๊ข้าว” เจ้าเบิ้มพูดขณะใช้สมาธิเล็งหนังสติ๊กไปยังศีรษะของนักลงทุนชาวต่างชาติคนนั้น

“ทำอะไรเจ้าเบิ้ม...” แม้น้ำเสียงนั้นจะเบาหวิวแต่ก็ทำให้สมาธิของลูกสมุนต้องมีอันกระเจิดกระเจิงไปเหมือนกันด้วยไม่คาดคิดว่าจะมีบุคคลที่สามมารู้เห็นการกระทำของมันและลูกพี่คนสวย จุดหมายปลายทางของลูกดินเหนียวซึ่งได้เปลี่ยนวิถีเดินทางไปเล็กน้อยนั้นปะทะเข้ากับหน้าผากของมลุลีอย่างจัง

“โอ๊ย!!! ใครเล่นบ้าๆ นี่ อย่าให้ฉันจับได้แล้วกันว่าเป็นฝีมือใครแกตายแน่!” มลุลีใช้มืออวบอูมของตนลูบวนบริเวณศีรษะอย่างแผ่วเบาด้วยความเจ็บปวด ซึ่งขณะนี้ได้ปรากฏรอยนูนขึ้นมาอย่างทันตาเห็น ทั้งยอดข้าวและเจ้าเบิ้มต่างแหงนเงยขึ้นมองผู้มาใหม่และเหมือนยกภูเขาออกจากอกเมื่อรู้ว่าผู้นั้นคือรักษ์นวล

“นวล! เจ๊นวล!” สองเสียงอุทานพร้อมกัน รักษ์นวลยิ้มขันกับท่าทางตกใจสุดขีดของคนทั้งสองก่อนหน้านี้พร้อมส่งมือทั้งสองข้างของหล่อนไปเพื่อฉุดดึงยอดข้าวกับเจ้าเบิ้ม ให้ลุกขึ้นยืนและออกวิ่งไปโดยเร็วพร้อมกับตนเอง

ทั้งสามชีวิตต่างมุ่งตรงไปยังรถจักรยานที่แอบจอดไว้ก่อนจะเร่งปั่นเจ้าสองล้อไร้มอเตอร์ด้วยความเร็วสุดชีวิตโดยมียอดข้าวนำหน้าขบวนเพราะดีกรีอดีตนักกีฬามหาวิทยาลัยหลายเหรียญทอง สำหรับรักษ์นวลครองตำแหน่งที่สองและมีเจ้าเบิ้มรั้งท้ายเพื่อทำหน้าที่ผู้พิทักษ์ความปลอดภัยให้กับเจ๊ๆ ของมัน ทุกคนต่างตั้งหน้าตั้งตาปั่นฝีเท้ากันมาแบบสุดชีวิตโดยขี่ย้อนเส้นทางด้วยประมาทว่าถนนสายนี้นานๆ จึงจะมีรถยนต์ผ่านมาและที่สำคัญต่างก็ขี่รถจักรยานมาบนไหล่ทางเท่านั้น คงไม่มีรถยนต์คันไหนวิ่งบนไหล่ทาง แต่สิ่งที่ลืมนึกถึงไปก็คือถึงแม้จะไม่มีรถยนต์วิ่งบนไหล่ทางแต่ใช่ว่าจะไม่มีรถจอดบนไหล่ทาง

ยอดข้าวหันไปส่งยิ้มให้รักษ์นวลและเจ้าเบิ้มเมื่อมั่นใจว่าทั้งสามคนมาไกลจากคนของมลุลีในระยะปลอดภัยแล้วโดยไม่ทันสังเกตว่ารถยนต์สีดำสุดหรูคันหนึ่งให้สัญญาณจอดอยู่เบื้องหน้า

“เจ๊ข้าวระวัง!!! ข้าวระวังรถ!!!” การร้องเตือนอย่างสุดเสียงของรักษ์นวลและเจ้าเบิ้มไม่ได้เกิดผลใดๆในการหยุดยั้งการเคลื่อนไหวของยอดข้าว ทันทีที่หล่อนหันกลับไปมองยังทิศทางเบื้องหน้านั่นเป็นการช้าไปเสียแล้วกับแรงปะทะที่เกิดขึ้นระหว่างจักรยานคู่ใจของหญิงสาวกับวัตถุสุดหรูเบื้องหน้า ซึ่งนับเป็นโชคดีที่รถคันนั้นได้จอดสนิทลงแล้วแรงปะทะที่เกิดขึ้นจึงเป็นแรงปะทะฝ่ายเดียวแต่ก็ทำเอาเจ้าของรถจักรยานต้องบาดเจ็บไปพอสมควร

ทั้งเจ้าเบิ้มและรักษ์นวลต่างก็เบรกลากล้อ! ตกใจที่ยอดข้าวประสบอุบัติเหตุ เช่นเดียวกับศิรินทร์เขาสังเกตเห็นเจ้าของจักรยานทั้งสามคันนี้ตั้งหน้าตั้งตาปั่นเลี้ยวโค้งมาแต่ไกล ชายหนุ่มยังนึกตำหนิว่าผู้หญิงคนที่ขี่นำหน้ามานั้นประมาทโดยหญิงสาวไม่มองหนทางข้างหน้าทั้งๆ ที่ตัวเองขี่รถผิดเส้นทางอีกต่างหาก เขารีบปลดล็อคเข็มขัดนิรภัย ตั้งใจจะลงไปดูอาการของคู่กรณีแต่ก็ช้ากว่าเจ้าเบิ้มที่ตรงปรี่มายังรถของเขา หมายจะเอาเรื่องกับเจ้าของรถคันนั้นซึ่งเป็นสาเหตุให้ลูกพี่ของมันต้องบาดเจ็บ โดยลืมไปสนิทว่าทั้งตนและลูกพี่ทั้งสองเป็นฝ่ายผิดอย่างเห็นๆ ทันทีที่ประตูเปิดออกและศิรินทร์ก้าวลงจากรถ

“เฮ้ย! ฝรั่งว่ะ” เจ้าเบิ้มผู้มีความสูงต่ำกว่ามาตรฐานชายไทยเล็กน้อยและไม่ได้มีลักษณะรูปร่างที่เบิ้มสมชื่อแต่ประการใดนั้นต้องแหงนเงยจนคอตั้งบ่ากว่าที่มันจะมองเห็นใบหน้าคมสันของศิรินทร์ เครื่องหน้าและสีผมของชายหนุ่มบ่งบอกให้ทั้งสามได้รับรู้ว่าเขาเป็นชาวตะวันตกแต่แววตาของผู้ชายคนนี้คือแววตาของคนไทย หรือ...เขาจะเป็นลูกครึ่ง

ครั้งแรกที่เจ้าเบิ้มกระโจนเข้ามานั้นมันหมายใจจะเอาเรื่องกับเจ้าของรถคู่กรณีของยอดข้าว บัดนี้เมื่อได้ทำการประเมินพละกำลังและสถานการณ์ต่างๆ แล้วเจ้าเบิ้มต้องพูดกับตัวเองก่อนที่จะถอยไปดูอาการของยอดข้าว “ถอยดีกว่าตัวอย่างกับตึก”

เมื่อรักษ์นวลประคองให้เพื่อนรักลุกขึ้นรอยถลอกตามร่างกายของยอดข้าวซึ่งมีเลือดไหลซิบๆ อีกทั้งเศษก้อนกรวดเล็กๆ ที่ติดอยู่กับบาดแผลนั้นก็สร้างความเจ็บปวดมิใช่น้อยให้แก่หญิงสาว

“ไหวมั้ยข้าว...” แววตาของรักษ์นวลเจ็บปวดไปด้วยกับอาการของเพื่อน

“ไหวจ้ะนวล ข้าวไม่เป็นอะไรมากหรอก” หญิงสาวปัดเศษดินออกจากเนื้อตัวก่อนจะก้มลงสำรวจบาดแผลของหล่อนที่บริเวณข้อศอกและเข่าข้างขวา

“ผมว่าคุณทำแผลก่อนดีกว่านะครับ” ศิรินทร์พูดภาษาไทยด้วยสำเนียงชัดเจนหลังจากได้หยิบกระเป๋าซึ่งมีรูปเครื่องหมายกาชาดอันบ่งบอกว่ามันคือกระเป๋าที่บรรจุสิ่งของซึ่งใช้ในการปฐมพยาบาล ชายหนุ่มวางมันลงที่พื้นตรงหน้ายอดข้าว และแววยินดีปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาเมื่อแหงนเงยขึ้นพิจารณาคู่กรณีซึ่งบัดนี้ปราศจากหมวกที่ใช้คลุมศีรษะได้รูปของหล่อน ‘ลูกสาวน้ายอด’ รอยยิ้มน้อยๆ ของชายหนุ่มลบเลือนไปในทันทีเมื่อสายตาแห่งความสงสัยของยอดข้าวมองสบมา ก็แน่ล่ะยอดข้าวคิดว่าผู้เป็นคู่กรณีจะต้องว่ากล่าวหล่อนและเพื่อนๆ อย่างรุนแรงแต่รอยยิ้มของเขาหมายถึงอะไรหญิงสาวเก็บความสงสัยนั้นไว้ก่อนจะกล่าวปฏิเสธความหวังดีของศิรินทร์

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะบ้านฉันอยู่ใกล้แค่นี้เองขอบคุณนะคะ” ยอดข้าวหันไปทางเพื่อนรักและลูกสมุน “ไปกันเถอะพวกเรา” แม้เจ้าวัตถุสีดำคันแกร่งที่จอดสนิทอยู่เบื้องหน้าของหล่อนจะได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่หากคู่กรณีเรียกค่าเสียหายขึ้นมาก็คงจะเป็นเงินจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว ‘เก็บเงินไว้ใช้อย่างอื่นดีกว่า’ นั่นคือความคิดของยอดข้าวในขณะนี้

“เดี๋ยวซิครับ!” ศิรินทร์ถือวิสาสะคว้าข้อมือหล่อนไว้เป็นเหตุให้เจ้าเบิ้มเกิดอาการลืมตัวมันกำลังตรงปรี่เข้าไปเอาเรื่องกับชายหนุ่มโทษฐานที่บังอาจมาจับมือลูกพี่ของมัน ยังดีที่ได้รับการยับยั้งจากรักษ์นวลโดยหล่อนได้ดึงชายเสื้อของมันเอาไว้ พร้อมกล่าวเสียงกระซิบ

“ช้าไว้เจ้าเบิ้ม...ถ้าเปรียบเขาเป็นราชสีห์แกก็แค่ลูกแมวตัวเล็กๆ เท่านั้นเอง แกคิดให้ดีๆ นะ” สีหน้าลูกสมุนจ๋อยสนิท

“เอ่อ...จริงด้วยซิเจ๊ ใจร้อนไปหน่อยก็ไอ้หรั่งนั่นมันฉวยโอกาสกับเจ๊ข้าวนี่” อาการฮึดฮัดของเจ้าเบิ้มผ่อนคลายลงเมื่อเริ่มนึกถึงความปลอดภัยของตัวเอง รักษ์นวลอมยิ้มกับท่าทีของลูกสมุน

“โธ่! เจ้าเบิ้มแกน่ะคิดมากเรื่องแค่นี้ฝรั่งเขาไม่ถือว่าฉวยโอกาสหรอกแก เขาอาจจะหวังดีกับข้าวจริงๆ ก็ได้” หญิงสาวพูดอย่างคนมองโลกในแง่ดีให้เจ้าเบิ้มผู้มองโลกในแง่ร้ายได้เข้าใจ แต่มิวายเจ้าเบิ้มยังหาเหตุผลมาโต้แย้งกับรักษ์นวลจนได้

“ฝรั่งอะไรกันเจ๊นวลก็ดูสำเนียงภาษาไทยของพี่แกซิ ชัดเจนกว่าเบิ้มอีกนะนี่” รักษ์นวลเห็นด้วยกับเจ้าเบิ้ม ผู้ชายคนนี้ถ้าไม่ได้เกิดและเติบโตที่เมืองไทยแล้วเขาก็อาจจะมีสายเลือดไทยอยู่ในตัวอย่างแน่นอนเพราะถ้าเปรียบเทียบสำเนียงการพูดของเขากับเจ้าเบิ้มซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดที่มีรอยต่อกับประเทศเพื่อนบ้านและยังมีเชื้อสายกะเหรี่ยงนิดๆ แล้วนั้น หากไม่เห็นหน้าตาของเจ้าของน้ำเสียงแล้วผู้ชายคนนี้ก็คือคนไทยแท้ๆ และผู้ที่มีลักษณะของสำเนียงลูกครึ่งก็คือเจ้าเบิ้มหากแต่เป็นลูกครึ่งแถวแนวตะเข็บชายแดน ทั้งรักษ์นวลและเจ้าเบิ้มจำต้องหยุดการสนทนาลงเพราะการยื้อยุดฉุดกระชากกันระหว่างศิรินทร์กับยอดข้าว

“เอ๊ะ! คุณนี่ยังไงนะฉันบอกว่าไม่ต้องก็ไม่ต้องซิ...” หญิงสาวมองหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง

“ไม่ปล่อยจนกว่าคุณจะยอมให้ผมทำแผลให้คุณก่อน” ศิรินทร์ไม่สนใจอาการขัดขืนของยอดข้าวเขาจะปล่อยหญิงสาวคนนี้ไปได้อย่างไรในเมื่อหล่อนคือลูกสาวของน้ายอดและเป็นน้องที่เขาได้รับปากกับผู้เป็นแม่ว่าจะดูแลหล่อนเป็นอย่างดีที่สุดก่อนที่เขาจะตัดสินใจเดินทางมาในครั้งนี้

“ข้าว... คุณเขาแค่อยากจะทำแผลให้ข้าวก็ปล่อยให้เขาทำให้เถอะ ดีกว่าจะพกพาเชื้อโรคกลับไปถึงบ้าน” รักษ์นวลพูดอย่างผู้ตัดสินคดีความให้แก่คู่กรณีทั้งสองยอดข้าวมองสบตาเพื่อนรักเข้าใจในเหตุผลของฝ่ายนั้น หญิงสาวพยักหน้าอย่างยินยอม

“ก็ได้”

ตลอดระยะเวลาที่ศิรินทร์ตั้งอกตั้งใจทำแผลให้ยอดข้าวอย่างระมัดระวังนั้นไม่ได้รอดพ้นไปจากสายตาของรักษ์นวลและเจ้าเบิ้ม สองผู้สังเกตการณ์ต่างยิ้มให้กันเมื่อความคิดบางอย่างเกิดขึ้นในสมองของคนทั้งคู่ เจ้าเบิ้มใช้มือหนาของมันป้องหูลูกพี่สาว

“เจ๊นวล...หรือว่านี่จะเป็นการปรากฏตัวครั้งแรกของเนื้อคู่เจ๊ข้าว” รักษ์นวลยิ้มถูกใจกับความคิดของลูกสมุนซึ่งตรงกับความคิดของหล่อน

“เจ๊ก็ว่าอย่างนั้น อิมพอร์ตมาเลยล่ะ” สองเสียงแอบหัวเราะกันอย่างถูกอกถูกใจหากแต่สายตาทั้งสองคู่ก็ยังคงจับจ้องไปที่ศิรินทร์และยอดข้าว

“ขอบคุณ” เป็นคำพูดสั้นๆ ที่ยอดข้าวมีให้ผู้ชายตัวโตๆ คนนี้ แทบไม่น่าเชื่อว่าเขาจะทำแผลให้หล่อนอย่างเบามือและตลอดเวลาที่เขาทำแผลให้หล่อนนั้นยอดข้าวสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยที่เขามีให้แก่หญิงสาว มันเกิดขึ้นได้อย่างไรในเมื่อยอดข้าวและเขานั้นเพิ่งจะพบเจอกันเป็นครั้งแรกเขาจะมาห่วงใยหล่อนมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร คำถามนั้นยังอยู่ในใจของยอดข้าวโดยไร้ซึ่งคำตอบเพราะหาเหตุผลไม่ได้จริงๆ แต่สำหรับคำตอบที่เกิดขึ้นในใจของรักษ์นวลและเจ้าเบิ้มต่างเห็นพ้องต้องกันว่านี่คือ บุพเพสันนิวาสนั่นเอง

เช่นเดียวกันกับศิรินทร์ชายหนุ่มแปลกใจเมื่อรู้ตัวว่าขณะนี้เขารู้สึกเช่นไรต่อหญิงสาวตรงหน้า ผู้ชายซึ่งอุทิศชีวิตที่ผ่านมาให้กับความสำเร็จของงาน ผู้ซึ่งไม่เคยเชื่อถือในประโยคที่ว่า ‘อานุภาพของความรัก ปาฏิหาริย์แห่งรัก หรือรักแรกพบ’ หรือแม้แต่ประโยคอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับความรักล้วนแต่เป็นสิ่งไร้สาระทั้งสิ้นสำหรับเขา ไม่มีผู้หญิงคนไหนมีค่ามากไปกว่าวัตถุที่เขาจะเชยชมชั่วครั้งชั่วคราว แล้วนี่มันอะไรกันสิ่งที่เขาไม่เชื่อว่ามีอยู่จริงและใครบางคนสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้เพียงเพื่อให้ได้มันมาครอบครองกำลังเกิดขึ้นกับเขาหรือนี่...ศิรินทร์ตัดสินใจที่จะไม่ไปแสดงตัวกับยอดชายและยอดข้าวในวันนี้ พลันแผนการบางอย่างก็เกิดขึ้นในใจของเขา

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว