หยกงามเคียงบัลลังก์-บทที่ 30 เจ้าละเมิดกฎแล้ว

โดย  OfficeOnlybook

หยกงามเคียงบัลลังก์

บทที่ 30 เจ้าละเมิดกฎแล้ว

บทที่ 30 เจ้าละเมิดกฎแล้ว


ฝ่าบาทกำลังทรงงานอยู่ในตำหนักฉินเจิ้งก็เห็นฝูไห่เดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าร้อนใจ “ฝ่าบาท กุ้ยเฟยพลันหมดสติไป เรียกอย่างไรก็ไม่ฟื้นพ่ะย่ะค่ะ”


แววตาของฮ่องเต้มืดหม่น เขารู้ว่าพักนี้กุ้ยเฟยสุขภาพไม่สู้ดี แต่คิดไม่ถึงว่าจะถึงขั้นเป็นลมหมดสติ เขาจึงหยัดกายลุกขึ้นเดินตรงไปทางวังหลัง “สำนักหมอหลวงไม่ได้รักษากุ้ยเฟยอย่างทันท่วงทีหรือ”


“ทูลฝ่าบาท กุ้ยเฟยเสวยโอสถมาตลอด แต่ก็ไม่ดีขึ้นพ่ะย่ะค่ะ” ฝูไห่ตอบฮ่องเต้ขณะเดินตามหลัง


ฝ่าบาทเพิ่งเสด็จมาถึงประตูตำหนักจิ่งซิ่วก็เห็นหมอหลวงหลายคนคุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าหนักอึ้ง


กุ้ยเฟยนอนอยู่บนเตียง เปลือกตาปิดสนิท สีหน้าปราศจากสีเลือด แม้ฝ่าบาททรงเรียกว่า ‘กุ้ยเฟย’ หลายครั้งก็ยังไม่ได้สติ


กู้อวี้คุกเข่าอยู่ข้างเตียง ใบหน้าซีดขาวถามอย่างร้อนใจว่า “ฝ่าบาท เมื่อครู่พี่สาวกำลังพูดกับข้าอยู่ดี ๆ ยังพูดไม่ทันจบประโยคก็เป็นลมไปเลยพ่ะย่ะค่ะ”


ฝ่าบาททราบว่ากู้ซื่อจื่อกำลังเสียขวัญจึงเรียกหมอหลวงเข้ามาถาม “เกิดอะไรขึ้นกันแน่”


หัวหน้าหมอหลวงจ้าวที่อยู่ข้างหน้าทูลรายงาน “ทูลฝ่าบาท กุ้ยเฟยได้รับความเย็นจากภายนอก พอสะสมนานเข้าจึง…”


เขายังพูดไม่จบ กู้อวี้ก็โพล่งขึ้นมา “พี่สาวข้าสุขภาพแข็งแรงมาตลอด จะเป็นลมไม่ได้สติแค่เพราะได้รับความเย็นได้อย่างไร”


หัวหน้าหมอหลวงจ้าวซับเหงื่อเย็นตรงขมับ “กระหม่อมมิกล้าปิดบัง กุ้ยเฟยมีอาการเช่นนี้จริง ๆ ส่วนว่าเหตุใดจึงสาหัสเช่นนี้ อาจเป็นเพราะเทียบยาที่กระหม่อมออกให้คราวก่อน กุ้ยเฟยไม่ได้กินยาตามเวลาพ่ะย่ะค่ะ”


นางกำนัลคนสนิทในตำหนักกุ้ยเฟยคุกเข่าลงทันใด พร้อมร้องไห้ทูลว่า “กราบทูลฝ่าบาททรงพระปรีชา กุ้ยเฟยกินยาจนหมดทุกครั้ง นางกำนัลจากห้องโอสถเป็นพยานให้ได้เพคะ นอกจากนี้ กุ้ยเฟยมีโรคภัยรุมเร้า จะไม่ตั้งใจกินยาได้อย่างไร”


ฮ่องเต้ตรัสกับหัวหน้าหมอหลวงจ้าวอย่างโกรธกริ้ว “วิชาแพทย์ของพวกเจ้าไม่เอาไหน ยังกล้าโยนความผิดให้กุ้ยเฟยอีก ข้าจะเลี้ยงคนไร้ประโยชน์แบบพวกเจ้าเอาไว้ทำไม”


กู้อวี้ถาม “ในเมื่อพี่สาวของข้ากินยาตรงตามเวลา เมื่อครู่นี้หัวหน้าหมอหลวงจ้าวก็ฝังเข็มไปแล้ว แล้วเหตุใดนางจึงไม่ฟื้น ไม่มีใครในหมู่พวกท่านที่สามารถอธิบายได้เลยหรือ”


กล่าวจบก็เห็นว่าหมอหลวงหนุ่มด้านหลังหัวหน้าหมอหลวงจ้าวคุกเข่ายืดหลังตรง กู้อวี้เก็บงำสายตาอันคุกรุ่นด้วยอารมณ์ ทราบว่านี่คือหมอหลวงหลินซึ่งเป็นคนของพี่สาว


“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมขอบังอาจรายงานว่ากุ้ยเฟยไม่ได้ต้องลมเย็น แต่ถูกพิษพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงหลินกล่าว


“อะไรนะ! ถูกพิษงั้นรึ” กู้ซื่อจื่อเบิกตากว้าง เผยสีหน้าตื่นตระหนก “พี่สาวข้าอยู่ในวังดี ๆ จะถูกพิษได้อย่างไร”


หัวหน้าหมอหลวงจ้าวแย้งขึ้นทันควัน “อย่าพูดจาเหลวไหล กุ้ยเฟยถูกลมเย็นชัด ๆ!”


หมอหลวงหลินกล่าวด้วยสีหน้าปราศจากความหวาดหวั่น “กระหม่อมแน่ใจยิ่ง อาการของกุ้ยเฟยคือคนถูกพิษ หากหัวหน้าหมอหลวงจ้าวยืนยันว่าต้องลมเย็นก็ลองอธิบายมาว่าเหตุใดกุ้ยเฟยจึงยังคงสลบไม่ได้สติเช่นนี้”


หัวหน้าหมอหลวงจ้าวลุกลี้ลุกลน เขารับคำสั่งจากฮองเฮา เปลี่ยนลักษณะชีพจรของกุ้ยเฟยโดยพลการและไม่ปล่อยให้หมอหลวงคนอื่นจับชีพจร เพียงบอกลักษณะชีพจรและเทียบยาแก่หมอหลวงคนอื่น หมอหลวงหลินผู้นี้รู้ได้อย่างไรว่านางถูกพิษ


“เจ้าไม่ได้จับชีพจรกุ้ยเฟยด้วยซ้ำ รู้ได้อย่างไรว่าถูกพิษ เห็นได้ชัดว่าเจ้ากำลังพูดให้คนหวาดกลัว” หัวหน้าหมอหลวงจ้าวแย้งกลับ


หมอหลวงหลินยืนกราน “การวินิจฉัยโรคต้องอาศัยการดู ดม ฟัง ซักถาม และสัมผัส แม้กระหม่อมจะไม่ได้จับชีพจรให้กุ้ยเฟย แต่ดูจากสีหน้า สีเล็บ และเสียงลมหายใจก็สามารถทราบได้”


“ประกอบกับนางกำนัลยังบอกว่ากุ้ยเฟยกินยาตามเวลา แต่ยาไม่ถูกโรค มีแต่จะทำให้อาการแย่ลงกว่าเดิม กระหม่อมกล้าใช้ศีรษะเป็นประกันว่ากุ้ยเฟยถูกพิษ ไม่ใช่ต้องลมเย็นพ่ะย่ะค่ะ”


ฝ่าบาททรงพิโรธอย่างยิ่ง อดีตฮ่องเต้มีสนมมากมาย ในวังหลังมีเรื่องอื้อฉาวนับไม่ถ้วน เขารู้มาตลอดว่าสตรีในวังแก่งแย่งชิงดีกัน แต่วังหลังของเขาไม่เคยยื่นมือเข้ามาวุ่นวายถึงขั้นกระทำอย่างเปิดเผย


พระองค์กำลังจะให้กู้อวี้รับหน้าที่สำคัญ กุ้ยเฟยก็มาถูกคนวางยาพิษ ไม่เห็นกฎเกณฑ์ของวังหลวงอยู่ในสายตาเลยสักนิด


“ตรวจสอบ! ตรวจสอบให้ข้าโดยละเอียด ส่งข้ารับใช้ในวังจิ่งซิ่วทั้งหมดไปที่กรมราชทัณฑ์ ข้าอยากรู้นักว่าใครกันที่อำมหิตถึงขั้นกล้าวางยาพิษกุ้ยเฟย”


“แล้วก็พวกเจ้า” ฝ่าบาทชี้ไปทางหมอหลวงพลางตรัสว่า “ส่งคนที่จับชีพจรให้กุ้ยเฟยไปที่กรมราชทัณฑ์ นอกจากหมอหลวงหลิน คนอื่น ๆ ให้ลดตำแหน่งลงหนึ่งขั้น”


ทั้งห้องพลันตกสู่ความโกลาหล เสียงร้องอ้อนวอนดังระงม


ฝ่าบาทตรัสว่า “หมอหลวงหลิน เจ้ามาตรวจชีพจรให้กุ้ยเฟย”


“กระหม่อมน้อมรับบัญชา” หมอหลวงหลินเดินเข้ามาใช้ผ้าผืนบางวางทับข้อมือกุ้ยเฟย หลังตรวจชีพจรโดยละเอียดก็ซักถามอาการในระยะหลังของกุ้ยเฟย แล้วกล่าวว่า


“ทูลฝ่าบาท ยาพิษที่กุ้ยเฟยได้รับเรียกว่า ‘ฉางเย่ (วิกาลยาวนาน)’ ฤทธิ์ไม่รุนแรง แต่ถ้าใช้ในระยะยาวจะทำให้มีอาการเหมือนเหน็บหนาว ถ้าผู้เป็นหมอจัดยารักษาอาการต้องลมเย็นให้ ฤทธิ์พิษกับฤทธิ์ยาจะปะทะกัน ทำให้ร่างกายย่ำแย่ลงอย่างรวดเร็ว”


กู้อวี้มีสีหน้าร้อนใจ ถามหมอหลวงหลินด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้านเพราะความเสียขวัญ “ต้องทำอย่างไรจึงจะสามารถขจัดพิษ เมื่อไหร่พี่สาวข้าจึงจะฟื้นขึ้นมา”


หมอหลวงหลินตอบ “กระหม่อมไม่อาจระบุชัดเจนว่ากุ้ยเฟยจะฟื้นขึ้นมาเมื่อใด แต่จะพยายามเต็มกำลังสามารถ เรื่องเร่งด่วนในตอนนี้คือที่มาของพิษ เพื่อป้องกันไม่ให้ได้รับพิษมากไปกว่านี้”


กู้อวี้คุกเข่าลงเสียงดัง “ทูลฝ่าบาท! พี่สาวกระหม่อมปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยดีมาตลอด ไม่เคยล่วงเกินใคร แต่กลับต้องถูกคนชั่วช้าวางยาพิษเช่นนี้ กระหม่อมขอร้องให้ฝ่าบาทมอบความเป็นธรรมให้พี่สาวด้วยพ่ะย่ะค่ะ”


ฝ่าบาทตรัสว่า “กู้ซื่อจื่อวางใจเถอะ ข้าจะต้องมอบคำอธิบายให้พวกเจ้าสองพี่น้องแน่นอน”


เวลานั้น ฝูไห่เดินเข้ามา “ทูลฝ่าบาท นางกำนัลวังจิ่งซิ่วคนหนึ่งบอกว่า ก่อนหน้านี้ตอนไปรับดอกไม้ที่เรือนบุปผา เห็นนางกำนัลคนหนึ่งโปรยอะไรบางอย่างใส่กระถางดอกไม้ด้วยท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ พอเห็นนางก็เก็บกลับไปด้วยท่าทางร้อนตัว อาจเกี่ยวข้องกับเรื่องที่กุ้ยเฟยถูกพิษก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”


หมอหลวงหลินลุกขึ้นเดินไปถึงชั้นวางกระถางดอกไม้ ชะโงกเข้าไปดมดอกตู้เจวียนในกระถางทั้งสองนั้นหลายที เด็ดกลีบดอกมาอมไว้ในปาก แล้วกล่าวทันทีว่า “ทูลฝ่าบาท บนดอกไม้นี้พรมน้ำผสม ‘ฉางเย่’ ไว้พ่ะย่ะค่ะ ถ้าสูดดมเป็นเวลานานก็จะทำให้ถูกพิษได้”


ฝ่าบาทกำสร้อยลูกประคำสิบแปดเม็ดในมือแน่นจนส่งเสียงดัง จากนั้นตรัสว่า “พานางกำนัลผู้นั้นไปชี้ตัวคนที่เรือนบุปผา เจอตัวคนแล้วก็ให้ส่งไปที่กรมราชทัณฑ์ด้วยกัน สอบสวนอย่างเข้มงวด”


กู้อวี้ดวงตาแดงก่ำ โขกศีรษะให้ฮ่องเต้พลางกล่าวว่า “ฝ่าบาทโปรดเมตตา อนุญาตให้กระหม่อมอยู่ดูแลพี่สาวด้วยพ่ะย่ะค่ะ”


ฮ่องเต้ไม่ใคร่พอพระทัยนัก ที่ผ่านมาไม่เคยมีบุรุษอื่นมาค้างในวัง “กู้ซื่อจื่อ เจ้าละเมิดกฎแล้ว”


นางน้ำตาไหลลงมา โขกศีรษะไม่หยุด “ฝ่าบาทโปรดเมตตาด้วย!”


ฮ่องเต้ทรงเห็นว่าหน้าผากของซื่อจื่อบวมแดงขึ้นมา แล้วหันไปทอดพระเนตรกุ้ยเฟยที่นอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ตรงหน้าก็รู้สึกใจอ่อน “เอาเถอะ แค่ครั้งนี้เท่านั้น กุ้ยเฟยฟื้นขึ้นมาอย่างปลอดภัยเมื่อไหร่ให้เจ้าออกจากวังทันที”


กู้อวี้หมอบร่างกายสั่นเทิ้มอยู่บนพื้น “ขอบพระทัยฝ่าบาท”


นางกล่าวความรู้สึกออกมาจากใจ แม้พี่สาวจะรับประกันครั้งแล้วครั้งเล่าว่าตนเองไม่เป็นไร แต่เห็นอีกฝ่ายนอนอยู่ตรงนั้น นางก็ยังวางใจไม่ลงอยู่ดี ในเมื่อพี่สาวไว้วางใจส่งต่อเรื่องให้แล้ว นางก็จะไม่ปล่อยให้คนวางยาพิษลอยนวลเป็นแน่


หมอหลวงหลินฝังเข็มให้กุ้ยเฟย เห็นบนมือและใบหน้าของพี่สาวมีเข็มปักเต็มไปหมด กู้อวี้รู้สึกปวดใจยิ่งนัก


แม้หมอหลวงคนอื่น ๆ จะถูกลดขั้นแต่ก็ยังอยู่ที่นี่ ช่วยกันหารือวิธีแก้พิษ ‘ฉางเย่’ หัวหน้าหมอหลวงจ้าวยืนอยู่ในกลุ่มหมอหลวงและไม่เอ่ยวาจาใด กู้อวี้มองเขาด้วยสายตาเย็นชาดุจน้ำแข็ง


ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งให้คนนำฎีกามาตรวจที่วังจิ่งซิ่ว กู้อวี้เฝ้าอยู่ข้างกายพี่สาว คอยเป็นลูกมือให้หมอหลวงหลิน


ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ฝูไห่ก็มารายงานอีกครั้ง “ทูลฝ่าบาท นางกำนัลจากเรือนบุปผาสารภาพแล้วพ่ะย่ะค่ะ บอกว่านางได้ยาพิษฉางเย่จากขันทีคนสนิทของโจวเป่าหลินเมื่อสิบวันก่อน อีกฝ่ายใช้เงินรางวัลล่อลวง บอกให้นางพรมพิษฉางเย่ไว้บนกระถางดอกไม้ที่จะส่งไปยังวังจิ่งซิ่ว”


ตอนแรกฝ่าบาททรงชะงักไปเล็กน้อย แต่แล้วก็ทรงคิดถึงงิ้วไม่ได้เรื่องในงานวันเกิดของเจียงไท่เฟยวันนั้น จึงตรัสเสียงเคร่งขรึม “นำตัวนางมาที่นี่!”


รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว