[จบ] ทะลุมิติพลิกชะตากับครอบครัวคลั่งรักยุค 70-บทที่ 16 เปิดเทอม

โดย  OfficeOnlybook

[จบ] ทะลุมิติพลิกชะตากับครอบครัวคลั่งรักยุค 70

บทที่ 16 เปิดเทอม

บทที่ 43 อาบน้ำกับสาว ๆ


ครั้งล่าสุดที่เซี่ยชิงหยวนมาที่นี่ เธอไม่ได้เดินเที่ยวบริเวณรอบ ๆ เลย


หลังจากเจียงเพ่ยหลานกับเซวียไฉ่เฟิ่งแนะนำสถานที่เสร็จเรียบร้อย เธอก็พบว่า เมืองเตียนเฉิงเป็นเมืองที่มีชนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่ร่วมกัน และแม้แต่พื้นที่ของสถาบันวิจัยก็ยังเป็นดินแดนของชนกลุ่มน้อยที่ทางการเคยซื้อมาก่อน


เซวียไฉ่เฟิ่งแสร้งทำเสียงให้ดูน่าลึกลับ และพูดกับเซี่ยชิงหยวนว่า "ฉันได้ยินมาว่าพื้นที่บ้านของเรา เคยเป็นหลุมฝังศพจำนวนมากของชนเผ่าไต ต่อมาเมื่อมีการสร้างตึกอาคารใหม่ รถบรรทุกก็ขนกระดูกคนตายเหล่านั้นไปฝังที่เนินเขาอื่น"


เจียงเพ่ยหลานย่นคิ้วด้วยความกลัวเล็กน้อย "ไม่มีทางน่า ทำไมฉันถึงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้"


เมื่อเซวียไฉ่เฟิ่งเห็นว่าอีกฝ่ายสนใจจึงพูดต่อ "เรื่องแบบนี้จะพูดในหน่วยงานได้ยังไง อันที่จริง ฉันเคยได้ยินมาอีกเรื่องหนึ่ง สองซอยที่อยู่ถัดไปจากหลังบ้านของเรา แม่เฒ่าของหัวหน้าไจ๋เคยปลูกพืชผักตรงนั้น แต่เมื่อขุดดินลงไปก็เจอเข้ากับโครงกระดูกคนด้วยล่ะ”


คราวนี้เซี่ยชิงหยวนไม่อาจสงบนิ่งได้ เธอลอบกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว จากนั้นพูดขึ้นว่า "วิญญาณร้ายไม่มีทางทำอะไรคนเป็นได้หรอก อีกอย่างพวกเราก็อยู่ด้วยกันหลายครอบครัว จะไปกลัวอะไร"


แม้ว่าจะพูดแบบนั้น แต่หญิงสาวก็ตัดสินใจแล้วว่าจะนอนข้างเสิ่นอี้โจวทุกคืนต่อจากนี้ไป


เมื่อเจียงเพ่ยหลานได้ยินเรื่องเล่านี้ เธอก็รู้สึกราวกับมีลมแผ่วเบาพัดอยู่รอบตัว


เธอกับเซี่ยชิงหยวนจับมือกันแน่น และโพล่งขึ้นราวกับเข้าใจกันและกัน "เรารีบไปกันก่อนที่พระอาทิตย์จะตกเถอะ"


เดิมที เซวียไฉ่เฟิ่งคิดว่า ประเด็นสนทนานี้จะสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับอีกสองคนได้ แต่ใครจะรู้ว่าเซี่ยชิงหยวนกับเจียงเพ่ยหลานจะจากไปทันที


หลังจากพูดจบ หญิงสาวก็เริ่มกลัวจึงรีบเดินตามคนทั้งสองไป



อาคารหลายหลังในเมืองเตียนเฉิงสร้างขึ้นบนภูเขา และสถาบันวิจัยก็เป็นหนึ่งในนั้น


เผอิญมีรถในสถาบันกำลังขับลงมาจากภูเขา ดังนั้นพวกเธอจึงขอติดรถนั่งลงไปด้วยกัน


รถที่พวกเธอโบกเรียกยังคงเป็นรถแทรกเตอร์ แต่มีขนาดใหญ่กว่าในหมู่บ้านซีสุ่ยมาก มันวิ่งได้คงที่และเร็วกว่า


ในคราแรก ถนนที่ทอดอยู่บนภูเขาปูด้วยซีเมนต์ แต่หลังจากลงมาได้สักระยะถนนพลันเปลี่ยนเป็นถนนหินกรวด


ก้อนกรวดถูกบดลึกลงไปในดินหลังจากถูกรถวิ่งผ่านซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน ดังนั้นระหว่างนั่งรถ จึงไม่ค่อยได้เจอการตกหลุมตกบ่อมากนัก


สองข้างทางมีต้นไม้สูงใหญ่หนาทึบจนบังแดดได้ นกมักกระโดดอยู่บนต้นไม้คล้ายกำลังร้องเพลง


ที่เชิงเขาเป็นลำธารคดเคี้ยวและได้ยินเสียงน้ำไหลผ่าน


ระหว่างทาง เซวียไฉ่เฟิ่งยังคงใช้ลิ้นอันแหลมคมกระจายข่าวที่ไม่มีใครรู้ว่าเธอเอามันมาจากไหน แต่ดวงตาของเซี่ยชิงหยวนกลับกลายเป็นสีแดงอย่างเงียบงัน


เนื่องจากสถานที่ท่องเที่ยวเหล่านี้มีอยู่ทั่วไปในเมืองเตียนเฉิง หลังจากเซี่ยชิงหยวนจากบ้านเกิดมาและเดินทางลงใต้ในชาติที่แล้ว เธอจึงไม่เคยเห็นพวกมันอีกเลยจนกระทั่งเสียชีวิต


หลังจากขับรถประมาณสิบนาที พวกเขาก็มาถึงตีนเขา ซึ่งวันนี้มีตลาดขนาดกลางตั้งอยู่


ตลาดที่นี่มีชีวิตชีวามาก มันไม่ได้มีแค่ชาวฮั่นเท่านั้น แต่ยังมีเพื่อนร่วมชาติชาวไตจำนวนมากมาจับจ่ายซื้อของที่นี่ และในบางครั้งอาจพบเห็นพระที่สวมจีวรสีเหลืองหรือสีน้ำตาล


สีผิวของชาวไตส่วนใหญ่จะเข้มกว่า พวกเขาสวมชุดประจำชาติแบบดั้งเดิมและเกิดเป็นภาพที่สวยงามท่ามกลางฝูงชน


เซวียไฉ่เฟิ่งมองกระโปรงทรงเอยาวที่ผู้หญิงชาวไตสวมใส่ ดวงตาของเธอก็เปล่งประกายทันที


จากนั้นเธอก็หันไปพูดกับเซี่ยชิงหยวนและเจียงเพ่ยหลานว่า "ทำไมเราไม่ซื้อชุดกันด้วยล่ะ"


เสื้อผ้าของผู้หญิงชาวไตมักมีสีสันสดใส ท่อนบนเป็นเดรสทรงเกาะอกที่เห็นช่วงเอวเล็กน้อย และท่อนล่างเป็นกระโปรงทรงกระบอกที่ยาวเกือบถึงข้อเท้า


เรียกได้ว่าเป็นชุดที่เน้นให้เห็นทุกสัดส่วนของผู้หญิง


ความลำบากใจฉายวาบในดวงตาของเจียงเพ่ยหลาน "ไม่ ฉันคิดว่าฉันคงใส่มันไม่ได้"


เธอนึกถึงว่า หากสวมใส่มันขณะที่เดินอยู่ เธอคงต้องขยับผ้ามาปกปิดหน้าอกตัวเองไว้ มันก็…


เมื่อเซวียไฉ่เฟิ่งได้ยิน เธอก็หัวเราะออกมา "นี่มันยุคไหนแล้ว ยังถือตัวขนาดนี้ ถ้าเธอใส่ชุดนี้ แล้วไปยืนตรงหน้าผู้ชายของเธอ เขาจะไม่หลงใหลในตัวเธอมากขึ้นเหรอ"


"ฉันจะซื้อ" เจียงเพ่ยหลานต้องการจะปฏิเสธอีกครั้ง แต่เซี่ยชิงหยวนพูดแทรกขึ้นเสียก่อน


อันที่จริงแล้ว เครื่องแต่งกายของชาวไตค่อนข้างคล้ายกับเครื่องแต่งกายของสตรีไทยในจอเงินช่วงยุคหลัง ๆ


แม้มันจะดูเปิดโล่งไปหน่อยสำหรับคนในยุคนี้ แต่หากใส่ผ้าคลุมไหล่ไว้ก็ช่วยปกปิดส่วนนั้นและทำให้ดูเรียบร้อยได้


เธอจำได้ว่ามีเสื้อที่ดูเหมือนเสื้อเบลาส์ด้วย แต่อาจเป็นเพราะอากาศที่นี่ร้อนเกินไปและเป็นช่วงต้นฤดูร้อน พวกเขาจึงไม่ใส่มัน


เจียงเพ่ยหลานไม่คาดคิดเลยว่าเซี่ยชิงหยวนจะต้องการซื้อมัน


แต่เมื่อมองไปที่รูปร่างของอีกฝ่ายแล้ว เธอก็ลอบถอนหายใจออกมา มันก็ถูกต้อง หากเซี่ยชิงหยวนจะสวมเสื้อผ้าแบบนี้ เพื่อแสดงความงามให้ประจักษ์ยิ่งขึ้น


ดังนั้นพวกเธอทั้งสามจึงเลือกชุดในร้านเสื้อผ้าสำเร็จรูป สีทองของเซวียไฉ่เฟิ่ง สีเหลืองห่านของเจียงเพ่ยหลานและสีชมพูของเซี่ยชิงหยวน


เซี่ยชิงหยวนยังเลือกผ้าอีกผืนเพื่อนำไปตัดเป็นผ้าม่านสำหรับความเป็นส่วนตัวในบ้าน


เดิมที เธอต้องการสังเกตราคาสินค้าที่ตลาดแห่งนี้ และดูว่าธุรกิจประเภทใดเหมาะกับเธอ


แต่ขณะนี้มีเซวียไฉ่เฟิ่งและเจียงเพ่ยหลานอยู่ด้วย เธอจึงไม่อยากจะลากผู้หญิงทั้งสองคนไปไหนต่อไหนกับเธอได้สะดวกนัก ดังนั้นหญิงสาวจึงหยิบของใช้จำเป็นและผักที่ยังขาดเหลืออยู่ จ่ายเงินแล้วกลับบ้านไปกับเพื่อนสาวทั้งสอง


เมื่อกลับไป เธอซักเสื้อผ้าและแขวนไว้ที่สนามหญ้าหน้าบ้าน ไม่นานนักโจวหยางก็นำอาหารมาให้


เมื่อเห็นเสื้อผ้าสีชมพูแขวนอยู่ในสนาม เขาก็ชื่นชมหญิงสาว "พี่สะใภ้มีผิวขาว ดังนั้นจะต้องดูดีมากแน่เมื่อใส่ชุดสีนี้ ภรรยาของหลายคนในสำนักงานของเราก็ซื้อเสื้อผ้าแนวนี้มาใส่เหมือนกัน"


แต่ผู้คนที่นี่ส่วนใหญ่มีผิวสีเข้ม ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สวมใส่เสื้อผ้าสีแบบนี้เท่าไหร่เพราะมันไม่เข้ากัน


เซี่ยชิงหยวนพยักหน้าด้วยรอยยิ้มและถามว่า "อี้โจวยุ่งเหรอ"


โจวหยางพยักหน้า "ใช่ครับพี่สะใภ้ พี่เสิ่นเขาทำงานล่วงเวลาอยู่ เขายังฝากบอกมาด้วยว่าเขาจะไม่กลับมาทานอาหารเย็น ดังนั้นจะให้ผมเอาข้าวมาส่งให้อีกรอบ"


เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "พี่เสิ่นเป็นเหมือนเสาหลักของหน่วยงานเรา แค่เขาลาพักร้อนสองสามวันติดกัน ทั้งสำนักงานก็เกือบทำงานกันไม่ได้ ดังนั้นพี่เสิ่นจึงไม่สามารถลางานหรือกลับบ้านได้ง่าย ๆ พี่สะใภ้ก็อย่าโกรธเขาเลยนะครับ”


เซี่ยชิงหยวนสามารถบอกได้เลยว่าชายคนนี้กำลังพูดถึงเสิ่นอี้โจวในแง่ดี


แต่เธอก็ไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักดีชั่ว ดังนั้นเธอจึงยิ้มแย้มและพูดว่า "หากเขาสามารถช่วยเหลือประเทศได้ ฉันก็เข้าใจ"


โจวหยางคุยกับหญิงสาวอีกเล็กน้อยแล้วจึงรีบกลับไปที่สำนักงาน


เซี่ยชิงหยวนกินข้าวคนเดียวและพักผ่อนสักพัก จากนั้นจึงหยิบผ้าที่ซื้อมาตัดเย็บและเริ่มทำผ้าม่าน


เธอทำไปเรื่อย ๆ จนเวลาล่วงเลยมาถึงห้าโมงเย็นในพริบตา


เซวียไฉ่เฟิ่งมาเคาะประตูอีกครั้ง


เซี่ยชิงหยวนเปิดประตูและพบว่าอีกฝ่ายสวมเสื้อผ้าที่ซื้อมาเมื่อเช้า และเจียงเพ่ยหลานก็สวมชุดแบบเดียวกันยืนอยู่ข้าง ๆ


เซวียไฉ่เฟิ่งพูดอย่างมีความสุข "ชิงหยวน ไปอาบน้ำกันเถอะ!"


"อาบน้ำ?" เซี่ยชิงหยวนตกตะลึง


ที่นี่ไม่ใช่โรงอาบน้ำแบบทางเหนือ จู่ ๆ นัดไปอาบน้ำกันแบบนี้ได้ยังไง?


เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังงุนงง เซวียไฉ่เฟิ่งจึงอธิบายว่า "มีแม่น้ำอยู่ข้าง ๆ หมู่บ้านนี้ไม่ใช่เหรอ? สวมเสื้อผ้านี้แล้วไปอาบน้ำด้วยกันในแม่น้ำเร็ว ไม่ต้องกลัวว่าคนจะเยอะ"


เซี่ยชิงหยวนจึงตระหนักได้ทันที


ดูเหมือนผู้หญิงชาวไตจะมีธรรมเนียมในการอาบน้ำริมแม่น้ำด้วยกัน


เมื่อนึกถึงภาพผู้หญิงกลุ่มหนึ่งอยู่ในแม่น้ำ กำลังหัวเราะและเล่นกันอย่างมีชีวิตชีวา


หัวใจของเซี่ยชิงหยวนก็รู้สึกคันยุบยิบเล็กน้อย


เมื่อคิดว่าเสิ่นอี้โจวจะไม่กลับมาทานอาหารเย็นในคืนนี้ เธอก็กัดฟันและพูดว่า "ไปกันเถอะ"


จากนั้นพวกเธอทั้งสามคนจึงไปยังแม่น้ำที่เซวียไฉ่เฟิ่งพูดถึง และได้พบกับผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่อาศัยอยู่ในบริเวณบ้านพักเจ้าหน้าที่ระหว่างทาง พวกเธอจึงไปด้วยกันทั้งหมด


แม่น้ำที่เซวียไฉ่เฟิ่งกล่าวถึงคือลำธารใหญ่หลังบ้านของพวกเธอเอง


ด้วยการไหลกัดเซาะของสายน้ำเป็นเวลานาน ช่วงหนึ่งของแม่น้ำสายนั้นจึงมีขนาดกว้างเหมือนแอ่งน้ำที่มีขนาดหลายสิบตารางเมตร และมีน้ำใสถึงขนาดมองเห็นก้อนกรวดที่ก้นแม่น้ำได้อย่างชัดเจน


เมื่อพวกเธอมาถึง ผู้หญิงชาวไตหลายคนก็อยู่ในแม่น้ำแล้ว


พวกเธอไม่ถอดเสื้อผ้าและสวมชุดแบบเดียวกับพวกเธอ ขณะอาบน้ำนั้น ผู้หญิงชาวไตจะย่อตัวลงไปอยู่ใต้น้ำแล้วเอามือสอดไว้ใต้ชุด


ผู้หญิงชาวไตหลายคนแกะมวยผมปล่อยสยาย เรือนผมของพวกเธอยาวถึงเข่าหรือแม้แต่ข้อเท้าก็ยังมี


เซี่ยชิงหยวนรู้สึกตะลึงไป


เซวียไฉ่เฟิ่งแตะไหล่ของหญิงสาวด้วยความนึกสนุก "ชิงหยวน ฉันคิดว่าไม่มีอะไรดึงดูดสายตาของเธอได้แล้วซะอีก ไม่คิดเลยว่าเธอจะชอบดูผู้หญิงอาบน้ำด้วย"


เมื่อพูดอย่างนั้น หญิงสาวก็ว่ายออกไปพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้าง


เซี่ยชิงหยวนเป็นคนกลัวน้ำ ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถไล่ตามอีกฝ่ายไปได้ หญิงสาวได้แต่หัวเราะและเอ่ยดุ "คุณพูดเรื่องไร้สาระอะไรน่ะคะ!"


เจียงเพ่ยหลานก็ไม่อาจปล่อยผ่านมันไปได้เช่นกัน “ท้องฟ้าเป็นยังคงปลอดโปร่งและดวงอาทิตย์ก็มีแสงสดใส แต่ท้องฟ้าก็ยังเป็นท้องฟ้า เมื่อฉันมองขึ้นไปก็ไม่สบายใจอยู่ดี”


เซี่ยชิงหยวนอยากจะบอกว่าอีกฝ่ายว่า เมื่อคืนนี้เธอได้อาบน้ำท่ามกลางความมืดด้วยซ้ำ


เนื่องจากเสิ่นอี้โจวยังไม่กลับมา เขาจึงยังไม่สามารถสร้างห้องน้ำตามที่สัญญาได้


หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง พวกเธอก็พากันกลับบ้านเพราะเห็นว่าเริ่มมืดแล้ว


เสื้อผ้าของพวกเธอเปียกโชก ผมเผ้ายุ่งเหยิงไปหมด แลดูเหมือนผีสาวที่เพิ่งโผล่ขึ้นมาจากน้ำยังไงยังงั้น


เมื่อลมพัดโชยมาในยามเย็น เซวียไฉ่เฟิ่งก็จามออกมาในทันที "ฉันพลาดเอง ฉันน่าจะเอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนด้วย"


เจียงเพ่ยหลานยิ้มและพูดว่า "รีบกลับบ้านเถอะ ไม่งั้นเธอจะเป็นหวัดเอา"


เมื่อเซี่ยชิงหยวนกลับถึงบ้านของเธอ หญิงสาวก็เห็นว่าบ้านยังคงมืดสนิทอยู่ เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มยังไม่กลับมา


เธอกำผ้าคลุมไหล่ที่เปียกอยู่ไว้แน่น และหยิบกุญแจที่อยู่ใต้หินบริเวณหน้าประตูเพื่อไขเข้าประตู


ทว่ายังไม่ทันไขกุญแจ ประตูกลับเปิดได้ด้วยการผลักเพียงเล็กน้อย


เสิ่นอี้โจวกลับมาแล้วหรือมีโจรขึ้นบ้านกัน?


เธอนึกถึงดวงตาแฝงเจตนาร้ายของหลี่กวงหัวที่มองมายังเธอโดยไม่รู้ตัว ในตอนนี้ ร่างกายส่วนหนึ่งของเธอล้ำเข้าประตูมาแล้ว แต่หยิงสาวกลับอยากถอยกลับด้วยความกลัว


แต่ในวินาทีถัดมาก็มีคนมาคว้าข้อมือเธอจากด้านในแล้วดึงเธอเข้าไป!


รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว