เพื่อทำให้ตัวเองมึนเมาจนสับสนฮ่องเต้จงใจใช้ยา
ไม่สนใจทุกอย่าง ปล่อยอารมณ์นำพาไป
เป็นเพราะเขารู้ชัดเจนว่าหากมีความคิดบางอย่างผุดออกมาก็ยากจะระงับอีกต่อไปได้ ดังนั้นเมื่อเขาเสพเพศรสกับสาวงาม เขาจึงไม่คิดและไม่มองไปกว่านี้ เขาไม่ต้องการและทำไม่ได้
เพียงคำว่า ‘เฉิงหวน’ ก็ทำให้เขาหงุดหงิดมากแล้ว ตอนนี้เขาต้องเพิ่มเรื่องลำบากให้ตัวเองอีก
การเคลื่อนไหวของฮ่องเต้แข็งค้างกลางอากาศแล้วถอนมือกลับทันที เขาจ้องมองอีกฝ่าย ยิ่งมองมากเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกถึงสิ่งที่เก็บกดในใจมากเท่านั้น เมื่อนึกถึงสถานการณ์หน้าจวนซูวันนั้น เขาก็พูดประโยคด้วยความประชดประชัน “คืนนี้เตรียมสาวงามให้พร้อม”
ไม่ได้ยินเสียงตอบรับเหมือนเช่นเคย
ครู่หนึ่งเขาก็หันหน้ามาเห็นอีกฝ่ายมีท่าทางลังเล
“ท่านอัครเสนาบดีซู?”
ซูเฉิงฮวนลดสายตาลงกล่าวว่า “กระหม่อมเข้าใจแล้ว เดี๋ยวจะกลับไปเตรียมสาวงามให้พร้อมพ่ะย่ะค่ะ”
จากนั้นหนานซื่อก็บ่นกระปอดกระแปดในใจ “ขออยู่สบายๆ สักวันไม่ได้เลยรึไง”
คืนนั้น
ฮ่องเต้ยังอยู่ในอาการมึนเมาเหมือนเคย
สาวงามก็ยังออดอ้อนออเซาะ
“ฝ่าบาททรงอ่อนโยนหน่อยเพคะ” สาวงามอ้อนวอนขอความเมตตา ฮ่องเต้กัดนางพูดว่า “ไม่ได้ ข้าไม่ได้มาครึ่งเดือนแล้ว เจ้าควรต้องให้ข้าทำงานหนักขึ้นอีกหน่อยถึงจะถูก”
เรือนร่างแนบชิดรัดรึงราวกับปลาได้น้ำ
เช่นเดียวกับที่นางไม่พูด เขาก็ไม่พูดเช่นกัน ระหว่างทั้งสองมีแต่รุกรับสอดประสาน
เขากดริมฝีปากนุ่มนวลเย้ายวนใจ สำรวจราวกับว่ากำลังดื่มยาพิษเพื่อดับความกระหาย เสียงครวญครางที่เอ่อล้นออกมาจากริมฝีปากบาง ช่างชวนมัวเมาจนไม่สามารถถอนตัวไปได้
นางพยายามถอยหนี แต่การเคลื่อนไหวนี้กลับทำให้เขารู้สึกเสียวซ่าน เลือดเดือดพล่านไปหมด
ฮ่องเต้กล่าวว่า “ทนไม่ได้หรือ”
เสียงสะอื้นไห้ด้วยความกลัว “ครั้งก่อนหม่อมฉันเจ็บ...”
ฮ่องเต้กล่าวโดยไม่ได้คิด “รักษาตัวตั้งหลายวัน ควรจะหายดีแล้วนะ...”
ทันใดนั้นความแข็งแกร่งก็รุกเข้าไป จู่ๆ เขาก็นึกถึงภาพซูเฉิงฮวนในวันนี้ได้เลือนราง
ลำคอเรียวระหงราวกับรากบัว
ฮ่องเต้ก้มมองไปที่สาวงามที่กำลังทนทรมานภายใต้ร่างตัวเอง
ความคิดบางอย่างทับซ้อนกัน
บังเอิญจริงๆ ซูเฉิงฮวนก็ใช้เวลาพักฟื้นมานานกว่าครึ่งเดือน
เขาตัวแข็งทื่อไปหมด พยายามจะปัดเป่าความคิดตอนนี้ออกไปให้สิ้นซาก แต่เศษเสี้ยวปะติดปะต่อยิ่งชัดเจน...ชัดเจนยิ่งขึ้น จนไม่สามารถใช้ฤทธิ์ยาและความสุขกดไว้ได้
ฮ่องเต้ราวกับสัตว์ป่าห้อทะยาน แนบชิดร่างนางอย่างบ้าคลั่ง จนนางแทบลืมตาไม่ขึ้น
อย่าคิดอีก
หยุด…
เขาอ้าปากหอบหายใจ ดวงตาแดงก่ำ บ่นพึมพำในปาก
หนานซื่อเอื้อมมือเหนี่ยวรอบคอเขา พยายามจะฟังสิ่งที่เขาพูด
เขาจับมือนางกัดลงไปอย่างรุนแรง
รอยกัดลึกมากจนมีเลือดไหลออกมา
เป็นอีกคืนที่ร้อนรุ่มตลอดทั้งคืน จนหมดแรงไปตามกัน
วันรุ่งขึ้นซูเฉิงฮวนมาประชุมที่ท้องพระโรงตามปกติ
หยกทงหลิงรู้สึกนับถือหนานซื่อเอามากๆ เท้าแมวแนบพื้นในท่าคุกเข่า ถูกกัดจนเหวอะขนาดนั้นยังไปทำงานเหมือนไม่เป็นอะไร นายหญิงแผดเผาตัวเองเพื่อภารกิจจริงๆ
ทุกคนสังเกตเห็นว่าซูเฉิงฮวนเหมือนจะเคลื่อนไหวมือไม่สะดวก กระทั่งแมวยังไม่อุ้ม งานเขียนหนังสือและประทับตราก็จะปล่อยให้คนอื่นทำทั้งหมด
ทุกคนระมัดระวังมากขึ้น เกรงว่าจะไปละลาบละล้วงเข้า
แต่ก็ยังมีพวกไม่แยแสใครอย่างเยี่ยนอ๋อง
ระยะนี้คนสนิทของเยี่ยนอ๋องถูกเล่นงาน ซึ่งถูกจัดการด้วยน้ำมือของซูเฉิงฮวนเช่นเคย เพื่อให้มีตำแหน่งว่างจะได้ใส่คนของตัวเองลงไป การต่อสู้เพื่อแย่งอำนาจส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้ ผู้ชนะเป็นใหญ่ ผู้แพ้รับกรรมไป
แต่เยี่ยนอ๋องไม่
เขาโกรธมาก
โกรธมากจนอยากจะไปต่อยซูเฉิงฮวน
เยี่ยนอ๋องสนับสนุนคนขึ้นมาอย่างลำบาก ซูเฉิงฮวนกลับลงมือไร้ความปรานีไม่ไว้หน้า จะยังไงเขาก็ทนไม่ไหวแล้ว
เวลานี้ทั้งสองกำลังยืนรออยู่นอกห้องทรงพระอักษร
เฮ่อหลานฉือเหลือบตามอง “คิดว่ามีแต่เจ้าเท่านั้นที่ฟ้องเป็นเรอะ? ข้าก็ฟ้องเก่งไม่ต่างจากเจ้าหรอก”
ซูเฉิงฮวนยังสงบนิ่ง ไม่หวั่นไหว
เมื่อเฮ่อหลานฉือเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เห็นตนเองอยู่ในสายตา ก็ยิ่งเดือดดาลเดินเข้าไปใกล้ๆ พูดว่า “อย่าผยอง เสด็จพี่เอ็นดูข้ามาก เจ้าใช้วิธีสกปรกทำร้ายคนของข้า ฮ่องเต้จะต้องสืบความจริงและลงโทษเจ้าอย่างแน่นอน”
ซูเฉิงฮวนทำเป็นหูทวนลม
เยี่ยนอ๋องทนท่าทางมองไม่เห็นหัวขับไล่คนอื่นไกลหลายพันลี้แบบนี้ไม่ได้
เขาหมดความอดทนกระชากอีกฝ่ายเข้ามา “ซูเฉิงฮวน ข้ากำลังพูดกับเจ้านะ”
เขาไม่ยั้งมือ กดลงไปที่รอยแผลบนมือพอดี ทำเอาหนานซื่อถึงกับต้องขมวดคิ้ว “ปล่อย”
ในที่สุดสีหน้าสูงส่งก็เปลี่ยนไป เยี่ยนอ๋องภูมิใจยิ่งได้ใจมากขึ้น “ข้าไม่ปล่อยจะทำไม"
มือแผ่ความเจ็บมากพยายามดึงออก แต่เยี่ยนอ๋องไม่ยอมและทึกทักไปว่าอีกฝ่ายกลัวตัวเอง “ขอร้องข้าสิ”
พอพูดประโยคนี้จบลง ทันใดนั้นเสียงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลัง “พวกเจ้ากำลังทำอะไรอยู่!”
พอหันไปก็เห็นว่าเป็นฮ่องเต้
ฮ่องเต้เดินเข้ามาด้วยใบหน้าบูดบึ้ง แยกทั้งสองออกโดยไม่พูดอะไรสักคำ จากนั้นก็ลากซูเฉิงฮวนเข้าไปในห้องด้านใน
เยี่ยนอ๋องตามไปไม่ลดละ
ระหว่างโถงด้านนอกและห้องด้านใน มีฉากไม้จันทน์แดงแกะสลักภาพมังกรและเมฆหมอกบังสายตา
เยี่ยนอ๋องยกเท้าขึ้นกำลังจะก้าวข้ามธรณีประตู คำตำหนิงรุนแรงก็ดังมาจากห้องด้านใน “ห้ามเข้ามา!”
เยี่ยนอ๋องก้มศีรษะอย่างขุ่นเคือง
สายตาหนานซื่อมองไปที่ฮ่องเต้พยายามปลดมือตัวเองจากจากบีบจับของเขา “ฝ่าบาท”
ฮ่องเต้บีบข้อมือบางแน่น
เขานึกถึงภาพที่เห็นเมื่อครู่
ต่อหน้าทุกคน เฮ่อหลานฉือยืดยุดฉุดกระชากกับซูเฉิงฮวนไม่หยุด ทั้งสองคนเล่นกันแบบนี้ ช่างบังอาจจริงๆ
พละกำลังของฮ่องเต้มีมากกว่าเยี่ยนอ๋อง ชอบกระชากแขนซ้ายกันทั้งพี่ทั้งน้อง วันนั้นที่ฮ่องเต้กัดก็ขบลงเกือบถึงกระดูก แขนแทบจะหักด้วยซ้ำ
ตอนนี้ถูกเขาจับกดที่แผล ยิ่งเจ็บเหมือนจะขาดใจ
เมื่อเห็นใบหน้าซูเฉิงฮวนซีดขาวราวกับเจ็บปวด ฮ่องเต้ก็อึ้งไปครู่หนึ่งถามว่า “เป็นอะไรไป?”
ขณะที่พูดเขาก็ปล่อยมือ หนานซื่อรีบปรับแขนเสื้อ “ไม่เป็นอะไรพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้จ้องมองด้วยความสงสัย
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ ดวงตาเขาหยุดอยู่ที่แขนซ้ายของซูเฉิงฮวน ความคิดที่ลอยอ้อยอิ่งในใจก็ระเบิดขึ้นในเวลานี้
ฮ่องเต้ไม่เคยรู้สึกว่าตนเองกล้าขนาดนี้ แม้แต่ตอนที่เขาตัดสินใจจัดการตระกูลสูงศักดิ์ เขาก็ไม่จำเป็นต้องรวบรวมความมุ่งมั่นยิ่งใหญ่เช่นนี้
เขากลั้นหายใจ ขมับกระตุก จับมืออีกฝ่ายมาอีกครั้ง
ใบหน้าซูเฉิงฮวนเงยขึ้นอย่างสงสัย “ฝ่าบาท?”
ฮ่องเต้รวบรวมความกล้า ดึงกระชากแขนเสื้อออกอย่างแรง
บนแขนขาวและอ่อนนุ่มมีรอยกัดตกสะเก็ดอยู่
ฮ่องเต้แข็งทื่อไปทั่วสรรพางค์กาย
หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจเขาก็ก้มศีรษะลง เปิดปากกัดอีกครั้ง
เป็นนางจริงๆ!
ในเวลานี้ความจริงกระจ่างชัด ไม่มีการปกปิดอีกต่อไป
เขาเค้นชื่อนางลอดไรฟัน “ซู-เฉิง-ฮวน เจ้าช่างกล้า”
ร่างบางถูกบีบให้จนมุมแนบติดโต๊ะหนังสือ ทว่าก็ไม่มีอาการแตกตื่น “สิ่งที่ฝ่าบาทตรัส กระหม่อมไม่เข้าใจ”
เวลานี้ห้องด้านในไม่มีคนอื่นอยู่แล้ว ขันทีนางกำนัลทุกคนรออยู่ด้านนอกโถง มีเพียงเยี่ยนอ๋องคนเดียวที่รออยู่ด้านนอกโดยมีเพียงฉากกั้น
ฮ่องเต้เข้ามาใกล้ ใบหน้าเคร่งขรึมหล่อเหลาเต็มไปด้วยความโกรธ เขายกขาขึ้นเตะข้อเท้านาง ขานางอ่อนลงฟุบลงบนโต๊ะหนังสือไม้จันทร์แดง
ไม่ทันที่จะลุกขึ้นก็ถูกกดเอาไว้ทั้งตัว
เสียงซูเฉิงฮวนร้องเรียกด้วยความเจ็บปวด “ฝ่าบาท...”
ฮ่องเต้สังเกตนางอย่างใกล้ชิด
มือเขาลูบไล้คิ้ว-ตา-จมูก-คางอย่างช้าเหมือนกับตอนอยู่บนเตียง
ทุกที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยในความทรงจำเขา
ขุนนางคนโปรดของเขา ไม่ได้เพียงเป็นหญิงเท่านั้น แต่ยังถวายตัวให้เขาอีกด้วย
ขณะที่โกรธ เขาก็รู้สึกได้ว่าเชือกที่รัดแน่นมานานหลายปีในใจคลายลงกะทันหัน
ไม่มีข้อห้ามนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป
เขามองคนยอมแพ้เลิกต่อต้านภายใต้ร่างตัวเองถามอย่างเย็นชา “ทำไม?”
นางจ้องมองเขาเมื่อเห็นว่าไม่มีทางหลบเลี่ยงได้ก็ยอมรับเสียงอ่อน “ไม่ทำไม อย่างไรฝ่าบาทก็โปรดไม่ใช่หรือ ตราบใดที่ฝ่าบาทโปรดก็ไม่จำเป็นต้องถามว่าทำไม”
ฮ่องเต้กัดริมฝีปากช่างจำนรรจา “ซูเฉิงฮวน เจ้ามีโทษหลอกลวงเบื้องสูงนะ!”
หนานซื่อยิ้มอย่างขมขื่น “โชคชะตาทำให้หม่อมฉันต้องเป็นอัครเสนาบดี ไม่อาจเลี่ยงการหลอกลวงต้องทำโดยไม่ลังเล”
ฮ่องเต้ถามโดยไม่รู้ตัว “แล้วข้าล่ะ? เจ้าเอาข้าไปไว้ที่ไหน?”
เงียบเสียง
ฮ่องเต้ค่อยๆ กำหมัดแน่น ทั้งๆ ที่อดกลั้นตัวเองไม่ถาม แต่สุดท้ายก็ยังอดบีบคั้นนางจนได้
เขาบีบแผลของนางขู่ว่า “พูด!”
เสียงถอนหายใจ “ฝ่าบาท พระองค์คิดว่าในตอนนั้นหม่อมฉันมีทางเลือกหรือ?”
ฮ่องเต้ตัวแข็งอีกครั้ง
ข้างหน้ามีหมาป่าข้างหลังมีเสือ[1] ก้าวผิดเล็กน้อยก็จะเป็นอันตราย ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพึ่งพาเขาเท่านั้น
ดวงตาฮ่องเต้แดงก่ำตะคอกเสียงลั่น “แล้วทำไมเจ้าถึงถวายตัว!”
มือบางเอื้อมออกไปแตะแผงอกเขา ขยับราวกับว่ากำลังเอนซบเขาตอนที่รู้สึกอ่อนเปลี้ย “เพราะหม่อมฉันยากจนไม่สามารถหาหญิงงามมาถวายได้ จำต้องใช้ตัวเอง นี่คือครั้งแรกในรอบยี่สิบปีที่หม่อมฉันรู้ว่าร่างกายผู้หญิงของตัวเองมีประโยชน์”
นางมองมาที่เขาตรงนิ่ง พักใหญ่กว่าจะเอ่ยออกมา “ฝ่าบาทจะประหารหม่อมฉันไหม?”
ฮ่องเต้สั่นสะท้านไปทั้งตัว
เวลาผ่านไปนาน ในที่สุดเขาก็ตะโกนด้วยเสียงต่ำ “ออกไป! ไสหัวออกไป!”
[1] 前有豺狼后有猛虎 ข้างหน้ามีหมาป่าข้างหลังมีเสือ เป็นสุภาษิตจีน แปลว่าเดินไปข้างหน้าก็ไม่ได้ ถอยไปข้างหลังก็ไม่ได้ ใกล้เคียงกับสำนวนไทย หนีเสือปะจระเข้
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว