บันทึกลับ [yaoi]-Story 3 [ตัวอย่าง] คุณชายในเรือนทาส (4P พร้อมกัน เสร็จในตัวและปาก)

โดย  นิทาน

บันทึกลับ [yaoi]

Story 3 [ตัวอย่าง] คุณชายในเรือนทาส (4P พร้อมกัน เสร็จในตัวและปาก)

สาวน้อยแต่งตัวเปรี้ยวด้วยเสื้อเอวลอยสีครีม มีเสื้อคลุมเป็นเสื้อถักสีดำดูเซ็กซี่เล็กๆ เข้ารับกระโปรงสีชมพูสดใสยาวเหนือเข่าสีเดียวกับรองเท้าผ้าใบน่ารักๆ ใบหน้าแต้มแต่งสีสันสไตล์เกาหลี ผมยาวถูกรวบเป็นหางม้าดูซุกซน ทำให้ใครๆ มองหน้าน้องนกเป็นตาเดียว ตั้งแต่เด็กสาวก้าวเท้ามาในโอเอซิสผับแห่งนี้

ธันวาแอบถอนหายใจ เพราะเขาไม่ค่อยชอบมาเที่ยวกลางคืน ที่มาก็เพราะต้องการมาเป็นผู้ปกครองให้น้องนก เขาเดินตามหลังน้องสาวเข้ามาเงียบๆ ตอนรับปากก็ดันลืมถามไปว่าจะมาที่ไหน ธันวาไม่ค่อยชอบบรรยากาศแบบนี้นัก แต่เมื่อรับปากจะพามาก็ต้องพามา ถึงเขาหรือชินกฤตไม่พามา น้องนกก็ต้องแอบหนีมาจนได้ เช่นนั้นแล้ว เขายอมทนอึดอัดสักหน่อยเพื่อให้น้องนกมาเที่ยวสบายใจก็แล้วกัน

“นี่พี่ธันวา พี่ชายเรา ใครกล้าหาเรื่องพี่ธันวาล่ะก็เป็นเรื่องแน่”

น้องนกทำขู่ใส่ เพื่อนที่ร่วมกลุ่มอยู่ที่มุมหนึ่งของร้าน ขณะที่แนะนำให้ธันวารู้จักกับเพื่อนๆของเธอ ธันวายิ้มแล้วดันแว่นตาชิดใบหน้าแก้เขินก่อนจะหาที่นั่งมุมส่วนตัว หลบเร้นเสียงดังของดนตรีที่เริ่มกระหึ่มขึ้นจังหวะเร็วเร้าใจขึ้นตามลำดับเวลาที่ยิ่งดึงเสียงเพลงยิ่งแรง ธันวามองเงาตัวเองในกระจกบานหม่นที่ด้านผนังห้อง เขาขยับแว่นให้กระชับใบหน้าแล้วยกแก้วน้ำอัดลมที่น้องนกนำมาเสิร์ฟให้ ธันวาขยับตัวนั่งไขว้ขาแก้เมื่อย นั่งดูหน้าจอมือถือของตัวเอง เขาสวมเสื้อยืดคอวีสีขาวไม่มีลวดลาย ดูยังไงก็ไม่มีใครเชื่อว่าเธอกับเด็กสาวที่กำลังกระโดดอยู่หน้าเวทีมาด้วยกัน ถ้าไม่เห็นทั้งคู่เดินเข้ามาตั้งแต่แรก ธันวาเอาแต่นั่งมองเงียบๆ โดยไม่รู้ว่ามีสายตาของใครบางคนมองอยู่นานแล้วเช่นกัน

“พี่ธันรอดูบนเวทีนะ มีนักร้องหนุ่มหล่อมากมาร้องเพลงด้วย”

น้องนกเดินเข้ามาบอกแล้วจิบน้ำดับกระหาย เพื่อนๆ และเจ้าของงานวันเกิดเรียกให้ไปรวมกลุ่มหน้าเวที เด็กสาวรีบวิ่งไปหาเพื่อน เสียงกรี๊ดดังลั่นเมื่อหนุ่มหล่อ 5 คนขึ้นมายืนประจำตำแหน่งบนเวทีแล้วกวาดสายตาส่งยิ้มหวานให้สาวๆที่ส่งเสียงเรียกชื่อนักร้องนำ

ธันวาจำได้ว่าเป็นรุ่นพี่ปี 4 ที่มหาวิทยาลัยเดียวกับเขา แต่เขาไม่ค่อยได้ใส่ใจนัก รู้เพียงแต่กลุ่มนี้ค่อนข้างใหญ่ทั้งอิทธิพลเพราะเป็นลูกเจ้าของโรงแรมใหญ่แห่งหนึ่งในเมืองนี้ และนิสัยอันธพาลไม่ใช่เล่น

เพลงเร็วจบไปหลายเพลง เพลงช้าเข้ามาแทนที่ หลายคนจับคู่เต้นรำ โอบกอดและโยกตัวตามเสียงเพลง ธันวาลุกขึ้นเดินไปห้องน้ำ เขาเห็นน้องสาวกำลังเลือกคู่เต้นรำอยู่ เพราะรู้สึกอึดอัด หลังจากห้องน้ำแล้วเดินเล่นอยู่ด้านหลังซึ่งทางร้านทำไว้ให้ลูกค้าสูบบุหรี่ ถึงมุมหนึ่งที่มีต้นไม้ประดับอยู่ ร่างผอมบางถูกรั้งเอวให้หลบผู้คนที่มาเดินสวนไปมาอยู่บริเวณนั้น

“จะทำอะไร!”

ธันวาตวาดเสียงสั่นทั้งที่แขนยังถูกล็อกให้ไพล่ไปด้านหลัง พอหันหน้ากลับมาก็ปะทะกับลมหายใจอุ่นที่คุ้นเคย รู้สึกร้อนวูบที่ใบหน้าขึ้นมาทันที

“ธัน เอ่อ ธันวา” เจ้าของลมหายใจพูดได้แค่นั้น เขาคิดถึงแทบขาดใจ แต่พออยู่ใกล้กลับพูดอะไรไม่ออก

“บิลลี่”

ธันวาเรียกชื่อคนตรงหน้า น้ำเสียงไม่ได้ดังไปกว่าเสียงสายลมกระซิบ แต่กระนั้นก็เรียกรอยยิ้มจากอีกฝ่ายได้ไม่ยากเย็น

“ดีใจจังที่ธันวายังจำผมได้” ดวงตาอ่อนโยนสีน้ำตาลเข้มสีเดียวกับเส้นผมสีที่ยาวระต้นคอของเขาทำให้เขารู้สึกถึงความคุ้นเคยที่ห่างเหินมานานแสนนาน

“ปล่อยแขนผมก่อนได้ไหม?”

“ขอโทษ” เขาเอ่ยเบาๆ แล้วปล่อยเขาออก แต่ยังคงกุมมือไว้ราวกับกลัวว่าจะหายไปให้เขาออกตามหาอีกครั้ง

“เจ็บหรือเปล่า” น้ำเสียงที่ถามอ่อนโยนจนไม่เหลือคราบเด็กเกเรเมื่อสามปีก่อน

“เปล่า…แค่ตกใจ”

ธันวามองดูเขาเหมือนที่เขาเองก็ทำเช่นเดียวกัน รู้สึกว่าร่างกายอีกฝ่ายสูงใหญ่กว่าเดิม ผมยาวขึ้นกว่าก่อน คืนนี้เขาใส่เสื้อยืดสีขาวสะอาดพับแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อย กับกางเกงยีนส์สีดำสีเดียวกับรองเท้าหนังที่เขาสวมอยู่ เพียงการแต่งกายง่ายๆ กลับทำให้เขาดูโดดเด่นสะดุดตา หรือเพราะความสูงที่เพิ่มขึ้น หรือจะเรียกว่าหล่อเหลากว่าเดิม

“ขอตัวก่อนนะ”

ธันวาบอกลาเขาทั้งที่อยากจะพูดกันมากกว่านี้ แต่ยังไปไม่ได้เพราะข้อมือเล็กยังถูกยึดไว้อยู่ ชายหนุ่มยิ้มเก้อๆ ก่อนปล่อยมือตัวเองออกอย่างนึกเสียดาย ยอมรับว่าไม่มีความกล้าพอที่จะขอร้องให้อยู่ต่อ เหมือนสำนึกว่าครั้งหนึ่งที่เขาทำให้เจ็บ

มันน่าประหลาดนัก ไม่เจอกัน 3 ปี จู่ๆ กลับมาเจอกันได้ในเมืองริมทะเลเล็กๆ อย่างนี้ ธันวาหันหลังเดินจากไปแล้ว เพื่อนหนุ่มเจ้าของรถสปอร์ตสีดำสนิทเข้ามาตบไหล่

“เห็นพวกที่ร้องเพลงบนเวทีแล้วเซ็งวะ เล่นดนตรีอย่างกับเด็กร้องเพลงก็ยังค่อมโน้ตอยู่แล้วทำเป็นอวดเก่ง”

“อย่างนี้มันน่าทำให้รู้จักดนตรีของแท้เป็นยังไง” เพื่อนอีกคนพูดแทรกขึ้นราวกับรู้ทัน

บิลลี่มองเพื่อนที่เดินเข้ามาใหม่ ตัดผมสั้นเกรียนรูปร่างเล็กชื่อ“เจ”สวมเสื้อยืดตัวใหญ่มาดดูยียวนกวนประสาท เพื่อนอีกคนก็มาดคุณชายเป็นหนุ่มเจ้าสำอาง จนนึกแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงโคจรมารวมเป็นกลุ่มเดียวกันจนตั้งวงดนตรีได้

“พี่ธันไปไหนมาคะ น้องนกเป็นห่วง” เด็กสาวเข้ามาเกาะแขนประจบ ธันวาได้แต่ยิ้มเช่นทุกครั้ง

“ไปห้องน้ำมาครับ ใกล้เวลากลับบ้านแล้วนะ” ธันวายกนาฬิกาข้อมือดู เด็กสาวทำหน้าเบ้แต่ก็ยิ้มออกมาได้

“น้องนกสัญญาว่าจะไม่ดื้อก็ไม่ดื้อแน่นอนค่ะ แต่ขอไปบอกเจ้าของงานก่อนนะคะ”

ธันวาพยักหน้ารับ เด็กสาวแทรกตัวเข้าไปหากลุ่มเพื่อนที่ยังสนุกกันอยู่ แต่ดูเหมือนว่าบนเวทีจะมีเรื่องน่าดูน่าสนใจไม่น้อย ธันวาจำได้ว่าคนที่อยู่บนเวทีเป็นกลุ่มเดียวกับที่เข้ามาในร้านมินิมาร์ทของชินกฤตเมื่อหลายวันก่อน โดยเฉพาะคนที่ขึ้นทำหน้าที่นักร้องนำ เพราะเขาเพิ่งจะพบเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเข้มเมื่อครู่

“นี่มันเรื่องอะไรกัน” ธันวาพึมพำแล้วแล้วแทรกตัวไปหาน้องนก จะดึงตัวกลับแต่คราวนี้คนเชื่อฟังกลับดื้อดึงขึ้นมา

“พี่ธันดูสิ คนร้องต้องเป็นลูกครึ่งแหง๋เลย หล่อเชียว ร้องเพลงก็เพราะ เมื่อกี๊น้องนกได้ยินว่าเขาท้าดวลเพลงกันแหล่ะ”

เด็กสาวพูดอย่างชอบใจทำท่าจะไม่ยอมขยับเท้าให้ห่างจากขอบเวที ชายหนุ่มผมยาวระต้นคอบังเอิญมองลงมาสบตากับธันวาด้วยสายตาหวานซึ้ง แต่ธันวาหันไปมองเจ้าของเวทีที่ยืนขบกรามแน่น รู้แน่ว่าไม่พอใจมากที่ถูกฉีกหน้าแบบนี้

“กลับบ้านได้แล้วครับน้องนก ไม่งั้นพี่ไม่พาน้องนกไปไหนอีกแล้วนะ”

เจอไม้นี้เด็กสาวต้องยอมกลับโดยดี ธันวาไม่ยอมหันไปสบตากับคนที่ร้องเพลงอยู่บนเวทีสักครั้งเดียว แม้ว่าน้ำเสียงที่ร้องเพลงนั้นราวกับจะอ้อนวอนให้เขาอยู่ และรอให้โอกาสเขากลับมาแก้ตัวใหม่อีกสักครั้ง

ครั้งเดียวก็พอ

ธันวาขับรถเก๋งญี่ปุ่นคันเล็กมาส่งน้องนกที่บ้าน เขาลงจากรถไปส่งน้องนกถึงหน้าประตูบ้านเพราะต้องการให้พ่อกับแม่ของน้องนกสบายใจว่าลูกสาวกลับถึงบ้านปลอดภัยดี แต่คนที่เปิดประตูบ้านคือชินกฤตที่ทำหน้าตึงรอดุน้องสาวของตนเอง

“ชักจะเอาใหญ่แล้วนะยัยนก” ชินกฤตดุน้องสาว

“น้องนกขอคุณพ่อกับคุณแม่แล้วนะคะ แล้วพี่ธันก็ไปด้วย” น้องนกเบ้ปากไม่รู้สึกผิดเลยสักนิด

“อย่าเอาพ่อกับแม่มาอ้างเลย เราก็น่าจะรู้ตัวอายุก็ไม่ถึงสิบแปดแท้ๆ ยังไปผับอีก ถึงจะไปกับผู้ปกครองก็เถอะ”

“โอ๊ย!พี่ชินนี่บ่นยิ่งกว่าพ่อกับแม่อีก”

“ก็พ่อกับแม่เอือมระอาเราเต็มทีแล้ว นี่ก็รอจนหลับไปแล้ว เข้าบ้านเงียบๆ ล่ะ”

“เจ้าค่ะ” น้องนกสะบัดหน้าพรืดแล้วเดินกระแทกไหล่พี่ชายเข้าบ้านไป

ชินกฤตได้แต่ถอนหายใจ น้องนกเป็นลูกสาวที่แม่เอาอกเอาใจมากกว่าเขา ตามใจแทบทุกเรื่อง พ่อก็รักแม่จึงไม่อยากโต้เถียงอะไร ก็มีแต่เขานี่แหละที่คอยห้ามปราบน้องสาวไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง

“ขอบคุณมากนะธันวา” ชินกฤตเอ่ยขึ้น “ดึกแล้วผมขับรถตามไปส่งดีกว่านะ”

“ไม่เป็นไรหรอกแค่ไม่กี่กิโลเอง ปกติยังปั่นจักรยานเอาเลย” ธันวาหัวเราะออกมา

“น้องนกไม่คอยชอบขี้หน้าเรา มีอะไรก็ไปรบกวนธันตลอดเลย ยังไงก็ขอโทษแทนน้องสาวด้วยนะ”

“ก็บอกว่าไม่เป็นไรไงล่ะ น้องนกก็เหมือนน้องสาวเรานั้นแหละ” ธันวาแตะหลังมือให้กำลังชินกฤต เขาเหมือนหัวเรี่ยวหัวแรงของบ้านทำให้ดูเป็นผู้ใหญ่เกินวัย

“ผมกลับแล้วนะครับ พรุ่งนี้เจอกัน”

“ครับ ฝันดีนะ”

“ครับ”

ธันวาหมุนตัวแล้วเดินกลับมาที่รถ สตาร์ทรถแล้วขับออกมาแต่แทนที่จะขับเข้าบ้าน เขาขับเลยไปที่ชายหาด ยามเที่ยงคืนร้างไร้ผู้คน ธันวาถอดรองเท้าแล้วเดินไปที่ชายหาด ปล่อยให้น้ำทะเลแตะปลายเท้า รู้สึกถึงร่างกายที่สั่นสะท้าน ไม่ใช่เพราะไอเย็นจากทะเลแต่เพราะการได้พบผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง

‘บิลลี่’ เขาแค่บังเอิญผ่านเมืองนี้ใช่ไหม? พรุ่งนี้เขาก็จะจากไปเหมือนสายลมของฤดูกาล ชีวิตเราควรเดินหน้า แต่ทำไมมันยังเหมือนไม่เคยก้าวเท้าพ้นจากอดีตของตัวเองได้เลย

“บิลลี่”

ธันวาพึมพำเรียกชื่อเขา เพียงแค่นั้นมันก็ทำให้หัวใจเต้นแรง คงเพราะแบบนี้เอง ที่ทำให้หัวใจเขาไม่เคยมีใครเข้ามาอีกเลย

ชายหนุ่มหมุนตัวแล้วเดินกลับมาที่รถ ขับรถกลับบ้านแล้วทิ้งตัวนอนบนที่นอน เจ้ากระรอกน้อยหลับอยู่ในบ้านหลังน้อย ธันวาหลับตาและปล่อยใจให้ตัวเองคิดถึงวันวาน ที่ไม่เคยจางจากความทรงจำ










บรรยากาศของศาลากลางน้ำเย็นสบาย คนที่กำลังตั้งใจอ่านหนังสือสอบหาวติดต่อกันหลายครั้ง เด็กหนุ่มสะดุ้งเมื่อถูกไม้บรรทัดตีที่ต้นแขนแม้มันจะไม่แรงนักแต่ทำให้เด็กหนุ่มแสร้งทำหน้านิ่วแกล้งเจ็บ ก่อนจะตามด้วยสายตาออดอ้อน

“ตั้งใจหน่อย อย่างนี้เมื่อไรจะสอบผ่านล่ะ”

ธันวาทำหน้าดุแต่ดูเหมือนใบหน้าหวานๆ ไม่ได้ทำให้นักเรียนติวของเขากลัวเลยสักนิด บิลลี่เขาสะบัดหัวไล่ความง่วงไปมา ก่อนเสยผมรองทรงที่ส้นผมสีน้ำตาลแดงเข้มสีเดียวกับดวงตาที่ปรือเต็มที

“ขอพักหน่อยสิ อ่านทั้งวันก็ตายพอดี” คนเกเรปิดหนังสือแล้วโอดครวญ

“ไม่ได้ ต้องทำชีทวิชาภาษาอังกฤษชุดนี้ให้เสร็จก่อน” ธันวาว่าแล้วขยับแว่นสายตาให้กระชับใบหน้า

“ขอเวลานอก”

“บิลลี่!” ธันวาร้องเสียงหลงตกใจ เมื่ออยู่ๆ คนเกเรก็ทิ้งตัวลงหนุนนอนที่ตักโดยไม่ขออนุญาต

“ฮะ...ยังหายใจอยู่” ดวงตาเขาปิดสนิท แต่ริมฝีปากคลี่ยิ้ม “สบายจริงๆ”

ธันวาพูดอะไรไม่ออก แต่รู้สึกร้อนผ่าวทั่วใบหน้าราวคนเป็นไข้ แต่อีกฝ่ายกลับแย้มยิ้มได้ใจ เอื้อมมือมาดึงแว่นของเขาออก

“ดวงตาของธันสวยนะ...สวยมาก” เขานั่งจ้องลึกในดวงตาคู่นั้น

“ธันอาจจะไม่เชื่อคำพูดของผม แต่อยากให้รู้ว่าทุกคำพูดออกจากหัวใจ ผมไม่เคยมีใครที่ใส่ใจผมเท่าธันมาก่อน ตลอดเวลาผมไม่ต่างจากลูกนอกคอกคนหนึ่งของครอบครัว ผมเป็นเนื้อร้ายที่ไม่รู้ว่าเกิดมาได้ยังไงทั้งที่ไม่มีใครต้องการ เกิดมาพบแต่ความเลวร้าย เขาว่าแม่ผมใจง่ายได้ กับฝรั่งที่ไหนไม่รู้ ผมเหมือนตัวอะไรสักอย่างที่ไม่มีใครใส่ใจ แต่วันนี้ธันทำให้ผมรู้สึกว่ายังมีค่ามีความหมายอยู่บ้าง”

เด็กหนุ่มซบหน้าลงกับไหล่ของอีกฝ่าย ธันวาตั้งใจฟังและเชื่อในทุกเรื่องที่เขาเล่า รู้สึกว่าคนที่ซบไหล่กำลังร้องไห้ มันเป็นการร้องไห้ที่ไร้เสียงใดๆ มีเพียงรอยชื้นที่ซึมทะลุผ่านเสื้อ คล้ายหยดน้ำตานั้นแตะถูกหัวใจของเขา

“ธันตัวหอมจังเลย”

เด็กหนุ่มแทบผลักคนที่ซบไหล่ให้กระเด็นไปไกล แต่ทำได้แค่ผลักออกห่างตัวแล้วลุกขึ้นยืน ใบหน้าขาวแดงระเรื่อเด็กหนุ่มยิ้มได้ใจที่แอบสูดลมหายใจเอากลิ่นหอมที่ซอกคอของอีกฝ่ายตอนเผลอได้

“เอาแว่นคืนมา” ธันวาแย่งแว่นตาในมือบิลลี่ แต่คนเจ้าเล่ห์กลับไวกว่าหมุนตัวหลบได้ตลอด

“โอ๊ย!”

ธันวาร้องเสียงหลงเมื่อสะดุดกับขาโต๊ะจนล้มลง เด็กหนุ่มรีบเข้ามาประคองทันที

“เจ็บ”

ธันวาหลุดปากร้องออกมาเบาๆ เมื่อเด็กหนุ่มจับที่ข้อเท้า แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาดวงตาก็ประสานกันนิ่งจนอีกฝ่ายรีบเบือนหน้าหนี

“ต้องไปโรงพยาบาลมั้ย” เขาถามกลับยิ้มๆ แต่หมุนตัวหันหลังให้แล้วนั่งลง “ขึ้นหลังมาสิ!”

“ไม่เอา!” ธันวาหน้าแดงไปถึงหู ทำให้อีกฝ่ายกลับสนุกหัวเราะไม่หยุด

“ไม่ต้องเกรงใจ ธันผอมจะตาย กินข้าวบ้างหรือเปล่าเนี้ย ยังกับเด็กขาดสารอารหาร”

“บอกว่าไม่ต้องไง!” ธันวาถลึงตาใส่ แต่บิลลี่ไม่กลัวเลยสักนิด

เพราะธันวายืนกรานไม่ขึ้นหลัง บิลลี่จึงลุกขึ้นยืนแล้วคว้ามือของธันวามากุมไว้ไม่ยอมปล่อยง่ายๆ ธันวาทำอะไรไม่ถูก พอยืนชิดกันขนาดนี้ทำให้เขาต้องแหงนหน้าขึ้นมอง เป็นจังหวะเดียวกับที่บิลลี่โน้มหน้าลงมาประทับริมฝีปากกับหน้าผากของธันวาเบาๆ

เหมือนนาฬิกาหยุดเดินไปชั่วขณะ ความอบอุ่นอบอวลอยู่รอบตัว ดวงตาคู่ใสกระจ่างได้แต่จ้องมองอย่างไม่มั่นใจ และสุดท้ายก็เป็นฝ่ายหลบสายตา ธันวาเคยสับสนในความรู้สึกของตนเองมาตลอด ส่วนหนึ่งที่เขาปิดกั้นตัวเองรวมทั้งเพื่อนในห้องเรียนเพราะความรู้สึกไม่ชัดเจนของตัวเอง

แต่เวลานี้ บิลลี่ทำให้เขารู้ว่าหัวใจต้องการสิ่งใด บิลลี่อาจเป็นเด็กเกเรในสายตาคนอื่น แต่เมื่ออยู่ด้วยกันแบบนี้ เขาก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่ง แต่เป็นคนเดียวที่ทำให้หัวใจของธันวาวูบไหวและได้เรียนรู้ว่านี่คือความรัก

เด็กหนุ่มลูกครึ่งยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากของธันวา ราวกับรู้ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร แล้วชิงพูดขึ้นมาก่อน

“ผมสัญญา ผมจะไม่มีวันปล่อยมือธัน ตราบเท่าที่ธันต้องการผม”

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว