A+B=C แวมไพร์แห่งรุ่งอรุณ

ตอนที่ 4 (1)

“สมองของเจ้าคงถูกมณีตรึงไว้พร้อมกับร่างกายจริง ๆ”

เฟโรสยกมือขึ้นยีผมตัวเอง ถอนหายใจแรง ๆ แล้วนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เหมือนกำลังระบายอารมณ์โดยไม่ระเบิดใส่นาง

“ฟังข้านะ ออสการ์ร่ำรวย มีอำนาจมากพอจะพกพาของวิเศษที่เราคาดไม่ถึง ซ้ำเจ้ายังรู้ว่าพวกนั้นร้ายกาจแค่ไหน บาร์ลอซมีมณีผนึกเงา อาซซ์มีกำลังมากพอจะฉีกเจ้าออกเป็นชิ้น ๆ เพียงมันคว้าแขนเจ้าได้ เบลิอาลกับบัลกัสมีอาวุธอาบยาพิษ ส่วนยัซซานก็เผาเจ้าได้ในพริบตา”

เขาพูดเร็วขึ้น รัวขึ้น สะท้อนความไม่อาจควบคุมได้ของอารมณ์ที่อัดแน่นในใจ

“แล้วเจ้าก็เดินเข้าไปคนเดียว เพียงเพราะเจ้าเชื่อว่าทาสพวกนั้น ‘ไม่ควรตาย’ งั้นรึ?”

คำสุดท้ายหลุดออกมาอย่างเยียบเย็น ผ่านเสียงแผ่วกระซิบ

“เจ้าต้องโง่ขนาดไหน ถึงคิดว่านั่นคือความถูกต้อง”

ไอชานิ่งไปครู่หนึ่ง

“ข้ารู้ว่าบาร์ลอซเป็นตัวอันตราย” นางกลั้นใจรวบรวมคำพูด ตอบเรียบ ๆ แต่แววตายังทอแรงอารมณ์อยู่ลึก ๆ “ข้าสังหารเขาก่อนจะทันได้ใช้มณีด้วยซ้ำ เจ้าไม่เห็นรึไง?”

เฟโรสพยักหน้าช้า ๆ เหมือนรอถ้อยคำนั้นมาเนิ่นนาน เสียงของเขาเฉือนออกมาแทบจะทันที

“ข้าเห็นแล้ว เห็นแน่นอน”

น้ำเสียงยังต่ำ แต่ประโยคถัดมากลับพุ่งสูงขึ้น

“เจ้าใช้พลังจากมณีผลุบเข้าไป แทงมันกลางอกในพริบตา ได้ผล! มันตายคาที่เลย! เจ้าแก้แค้นได้สำเร็จ ความตายของมันคงชื่นใจเจ้าชะมัด!”

เสียงประชดเริ่มแรงขึ้นทุกจังหวะ คล้ายคนกำลังอ่านบทละครด้วยน้ำเสียงแดกดัน

“จากนั้นเจ้ายังใช้มณีต่อ กำจัดไปอีกสองคน แถมลากออสการ์ลงนรกในคราวเดียว น่าทึ่ง! ปราดเปรื่อง! ข้าไม่เคยเห็นใครฉลาดเฉียบแหลมขนาดนี้มาก่อนเลย ไอชาเอ๋ย… เจ้านี่มันสุดยอดจริงเชียว”

เด็กสาวยังฟังเงียบ ๆ ไม่มีคำโต้กลับ นั่นไม่ใช่คำชมเชยอย่างแน่นอน

“แต่เจ้าลืมสนิท ‘มณีประกายดาว’ ต้องการมานามหาศาล เจ้าทุ่มสุดตัวจนหมดแรง และแทนที่จะถอยกลับมา เจ้ากลับชักมีด ควงกริช วิ่งเข้าใส่ศัตรูที่เหลือ ทำเหมือนตัวเองเป็นขุนพลในละครมหากาพย์”

เสียงหัวเราะต่ำ ๆ ดังลอดไรฟัน เหมือนเขาเองก็ไม่อยากเชื่อว่านางจะกล้าทำอย่างนั้น

“ถ้าข้าไม่ได้พกปืนอาคมมาด้วย เจ้าคงนอนตายใต้ดาบของดีล็อปเป้ไปแล้ว เชื่อข้าเถอะ เจ้าไม่รู้หรอกว่าเจ้านั่นร้ายกาจแค่ไหน”

ไอชาไม่ใช่คนช่างเถียง ฝีปากยิ่งไม่ใช่จุดแข็ง รู้ตัวดีว่าไม่มีวันชนะในสมรภูมิของถ้อยคำ และบางครั้งการเงียบอาจเป็นชัยชนะเดียวของนาง

หลายปีที่ระหกระเหินร่วมทางกัน ผ่านภารกิจที่แทบไม่เคยห่างจากความตาย ในสายตาของมือสังหารสาว ชายผู้นั้นน่าทึ่งจนไม่อาจปฏิเสธ เขาเป็นได้ทุกอย่าง สายลับ มือสังหาร นักรบ นักวางกล หรือแม้แต่นักการทูตในคราวจำเป็น คำพูดของเขาคมจัด ชัดเจน และมักทิ่มแทงลึก บุคลิกแข็งกร้าว นิ่งเย็น เข้มแข็งอยู่เสมอ นางชื่นชมเขา ยอมรับในตัวเขา โดยไม่เคยเอื้อนเอ่ยบอกเล่าถึงความคิดนั้น

…แต่น่าเศร้า สิ่งที่เลวร้ายที่สุดกลับเป็นหัวใจของเขา

หัวใจอันดำสนิท ประหนึ่งคืนเดือนมืดที่ไร้เงาจันทร์ เย็นเยียบดั่งน้ำแข็ง แห้งแล้งยิ่งกว่าทะเลทราย และที่สำคัญกว่านั้น นางไม่มีวันลืม ไม่มีวันยอมให้อภัยต่อสิ่งที่เขาทำลงไป

“เจ้าฟังข้าอยู่หรือเปล่า?” เฟโรสถาม พลางยกถุงหนังที่เหลือน้ำติดก้นขึ้นมาดื่ม

“กษัตริย์เฟรดเดอริก”

ไอชาตอบอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หลังละสายตาจากอะไรบางอย่างในใจ ขณะที่ชายหนุ่มขมวดคิ้วทันควัน

“ฟลาโวอัส วาเรนส์” เขาเน้นชัดทุกพยางค์ แก้ชื่อให้ถูกอย่างไม่ยอมปล่อยผ่าน

ไอชาชำเลืองมอง อดนึกในใจไม่ได้ว่า เขานี่ช่างอดทนเกินมนุษย์จริง ๆ ทั้งที่วันนี้พวกเขาตื่นตั้งแต่ตีหนึ่ง เดินทางไกลไม่ต่ำกว่าครึ่งวัน ฝ่าฝุ่น ฝ่าแดด แล้วมาควบม้าอยู่บนทะเลทรายร้อนระอุจนบ่าย แต่ชายผู้นี้กลับยังพูดไม่หยุดมาตลอดทาง ไม่มีแม้แต่สัญญาณของความเหนื่อยล้าในน้ำเสียง

“เหลือเชื่อเป็นบ้า” เฟโรสพึมพำกับตัวเองต่ำ ๆ ถึงเรื่องที่เล่าขึ้นมาก่อนหน้า “สงสัยนักว่าใครที่เล็ดลอดเข้าสู่พระราชวังแม็กซิอัสได้”

เขาขมวดคิ้ว หรี่ตาลง ใช้ความคิดครู่เดียวแล้วพูดต่อ

“ที่นั่นใหญ่โต กว้างขวาง เต็มไปด้วยองครักษ์นับพัน ซ้ำยังลอบสังหารกษัตริย์ยอดนักรบได้ถึงในห้องนอน ที่น่าทึ่งกว่าคือ ไม่มีใครล่วงรู้แม้แต่การมีอยู่ของมือสังหารนิรนามนั่น ไม่รู้ว่าแอบดอดเข้าไปได้ยังไง ลอบฆ่าและหลบหนีด้วยวิธีไหน แต่ที่แน่ ๆ มีการต่อสู้ และจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของ ฟลาโวอัส วาเรนส์ กษัตริย์ที่ขึ้นชื่อว่าไร้ผู้เทียมในเชิงดาบ”

มือสังหารหนุ่มเล่าถึงข่าวสารจากแดนไกลที่เพิ่งจะเดินทางมาถึงเมื่อคืนก่อนนี้

สายตาของไอชาจับอยู่บนเส้นขอบฟ้าที่ค่อย ๆ ละลายเป็นสีส้มอ่อน เงียบจนเหมือนไม่อยากพูดอะไรแล้ว แต่สุดท้ายก็เอ่ยออกมานิ่ง ๆ

“บางที… เขาอาจมีเวทมนตร์แปลงโฉม ปลอมตัวเป็นนางกำนัล แล้วย่องเข้าไปในห้องนอน”

“ก่อนอื่นเจ้าควรรู้ว่า กษัตริย์วาเรนส์เอ็นดูเด็กผู้ชาย หรือชายหนุ่มเป็นพิเศษ เขาไม่มีเครือญาติสตรีแม้แต่คนเดียว และไม่มีนางกำนัลในวัง เขารำคาญผู้หญิง และไม่ไว้ใจใครนอกจากองครักษ์ใกล้ชิด”

เขาหยุดเว้นจังหวะนิดหนึ่ง แล้วกดคำชัดเจน

“หลังเกิดเหตุ ตรวจสอบแล้วว่าไม่มีใครหายไป แสดงว่ามือสังหารคนนั้นลอบเข้ามา และจากไปโดยไม่มีใครเห็น”

ไอชาขมวดคิ้วเบา ๆ ลองเสนออีกทางหนึ่ง

“หรือไม่… อาจล่องหนเข้ามา และออกไปด้วยวิธีเดียวกัน”

“เจ้าพูดเหมือนไม่เคยได้ยินชื่อ ‘อาณาจักรอเล็กซานเดรีย’ มาก่อน พวกเขาเจริญก้าวหน้าไม่แพ้ฟาริส หรือบางอย่างอาจล้ำหน้ากว่าด้วยซ้ำไป ขอบเขต ‘อีเดน’ ครอบคลุมทั้งเมือง ปิดการใช้เวทมนตร์ทั้งหมดอย่างสมบูรณ์”

“จะดีกว่า ถ้าเจ้าเล่าให้ข้าฟังทั้งหมด ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นที่ไหน”

“ข้าเคยเล่าแล้ว”

“ไม่ เจ้าไม่เคยเล่า”

เฟโรสขมวดคิ้ว กลอกตามองเด็กสาวที่มักย้อนคำพูดเขาได้แม่นยำทุกครั้ง

เขาแน่ใจว่าเคยพูดถึงมัน อาจเป็นสิบกว่าปีที่แล้ว นานจนนางลืมไป หรือเป็นเพียงบทสนทนาในหัวที่เขาเคยเชื่อว่าเอ่ยออกมา… นิ่งไปครู่หนึ่ง โยนคำถามที่หาแก่นสารไม่ได้ทิ้งไป จากนั้นจึงเริ่มเล่าถึงอาณาจักรอเล็กซานเดรีย ดินแดนในอีกฟากฝั่งมหาสมุทร

เป็นเช่นนี้อยู่เสมอ ไอชามักฟังเงียบ ๆ ระหว่างที่เฟโรสพูดยาวเหยียด ว่าด้วยสงคราม การเมือง ความเชื่อ และประวัติศาสตร์โลก ซึ่งนางไม่ใคร่ใส่ใจนัก ว่าแล้วจึงลอบถอนหายใจ พยายามไม่คิดมากกับพฤติกรรมของอีกฝ่าย และโทษตัวเองที่ไม่เคยชิน หยิบถุงน้ำขึ้นจิบเงียบ ๆ ก่อนจะส่งอีกถุงไปให้

เฟโรสมอง แล้วส่ายหน้า

“นั่นเป็นส่วนของเจ้า”

ไอชาไม่ได้ตอบ แต่เอาอีกถุงที่ยังเต็มขึ้นมาแกว่งให้เห็น เหมือนจะบอกเขาว่านางยังมีส่วนของตนเองเหลืออยู่ และคงไม่กระหายเท่าหนุ่มช่างจ้อเช่นเขา

เด็กสาวมองดูอีกฝ่ายดื่มน้ำแล้วจึงว่า

“เล่าต่อสิ”


รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว