“มันเป็นเครื่องหมายแห่งเกียรติยศของเจ้า ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก” ปัสกาลปฏิเสธไมตรีนั้น มองดาบเลอค่าในมืออย่างหนักใจ
“เกียรติยศอยู่ในใจข้า”
โคราลีกล่าวผ่านน้ำเสียงราบเรียบ แต่หนักแน่น ดวงตาสีอำพันจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของอัศวินหนุ่ม ก่อนยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงว่า
“หรือหากเจ้ามองว่าเกียรติยศของข้าสถิตอยู่ในดาบนั่น ถือว่าข้าฝากมันเอาไว้กับเจ้าก็ได้ เจ้าช่วยรักษามันแทนข้าได้ไหม”
คำพูดของนางทำให้ชายหนุ่มนิ่งงัน ก้มลงมองดาบอีกครั้ง
มันคืออาวุธที่พัฒนาต่อยอดมาจากดาบสองมือ โดยลดขนาดลงเล็กน้อย เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและเสริมอำนาจในการแทง สามารถถือได้ทั้งมือเดียวและสองมือ หรือที่เรียกกันว่า ‘ดาบยาว’ อันเป็นอาวุธประจำกายของชนชั้นสูง นามของมันคือ ‘เยโซด’ เป็นดาบพี่น้องกับดาบอีกเล่มหนึ่งคือ ‘มาลคูท’ ซึ่งอยู่ในมือของเคานต์ดาวิด
ประหนึ่งความเชื่อมั่นอันหนักอึ้งถูกโยนเข้าใส่ ทว่ามันไม่อาจกดทับเขา แต่กลับกลายเป็นแรงผลักดันให้มุ่งมั่น และเพิ่มพูนความกล้าหาญมากขึ้นเป็นเท่าทวี ปัสกาลเข้าใจดีทีเดียว นี่ไม่ใช่แค่การมอบอาวุธอันทรงพลัง แต่มันคือการมอบความไว้วางใจ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่สตรีผู้กล้าเช่นโคราลีจะหยิบยื่นให้ใครโดยง่าย
“เป็นเกียรติยิ่ง ข้าจะรับดูแลทั้งเกียรติยศ และความไว้วางใจของเจ้าเอง” อัศวินหนุ่มให้คำมั่น
“เจ้าต้องปกป้องมันด้วย” โคราลียิ้มบอก
“ด้วยชีวิตของข้าเลย”
“เจ้าจะบ้าหรือ นั่นมันก็แค่ดาบ เอาชีวิตของเจ้าไปเทียบได้ยังไง”
“ข้าหมายถึงเกียรติยศต่างหากเล่า”
การฝึกซ้อมดวลดาบของ ปัสกาล ผู้เป็นรองหัวหน้าอัศวินในสังกัดของเคาน์เตสราเชล และ โคราลี หัวหน้าอัศวินในสังกัดของ คลีมองต์ บารอนแห่งคานาอัน ล้วนอยู่ในสายตาของเอียนที่ยืนแอบอิงพิงเสาอยู่
ใบหน้าของเขาเรียบเฉย ดูเหมือนผู้ชมทั่วไปที่สนใจการประลองดาบของสองยอดยุทธ์ แต่แววตาคมกล้านั้นจับจ้องทุกการเคลื่อนไหว คอยวิเคราะห์ท่วงท่า ความสามารถ และจุดอ่อนของพวกเขา ขณะที่หูยังคอยเก็บทุกสุ้มเสียงของการสนทนา
เฟโรสเพ่งมองภาพทั้งหมดผ่านสายตาคมกริบ จับจ้องทุกความเคลื่อนไหวของเอียนไม่วางตามาตั้งแต่เช้ามืด สะกดสายตาเพ่งมองนานสองนาน จนแน่ใจว่าอีกฝ่ายจะยังไม่ขยับสองเท้าไปไหนจึงลดกล้องส่องทางไกล เบียดตัวหลบเข้ามุมมืดข้างหน้าต่าง แขนแกร่งกอดอกแน่น เอ่ยถามอัศวินหนุ่มที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
“ประสบการณ์บอกข้าว่าเจ้านั่นเป็นหนอนบ่อนไส้จริง ๆ ทีนี้ท่านจะเอายังไง”
ฟังคำถามนั้นแล้วหัวหน้าอัศวินแห่งป้อมปราการเอลล์จึงก้มหน้าลง มือหยาบกร้านจับคางอย่างไตร่ตรอง ก่อนให้ความเห็น
“ข้าก็เห็นด้วยว่าท่าทางของเขาชวนสงสัย แต่เรายังไม่มีหลักฐาน”
“หลักฐาน?” เฟโรสแค่นเสียงสูง แววตาแข็งกร้าวฉายชัดถึงความหงุดหงิดคับข้องใจ “ของอย่างนั้นจำเป็นด้วยเหรอ แค่อัศวินไร้สกุลจมน้ำตายไปคงไม่มีใครสนหรอก”
“ใจเย็นก่อน การลงมือโดยไม่มีหลักฐานอาจก่อให้เกิดปัญหาได้”
ฟังเหตุผลที่อ่านออกได้ง่าย ๆ เฟโรสถึงกับออกอาการ ริมฝีปากของเขาบิดเป็นรอยยิ้มเยาะ ประหนึ่งกำลังสมเพชในความคิดของอีกฝ่าย
“ท่านกำลังจะบอกข้าว่า การลงมือโดยพลการอาจสร้างปัญหาใหญ่หลวงตามมา ดังนั้นเราต้องค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป สืบสวน แกะรอย ค้นหาหลักฐานมามัดตัว เพื่อให้มันจนมุมและยอมจำนน… งั้นเหรอ?”
“ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”
“ท่านหมายความอย่างนั้นแหละ! หรือหากไม่จริงลองโต้แย้งข้าดูสิ มีเหตุผลอะไรสำคัญมากพอจะปล่อยมันเอาไว้” เฟโรสพูดเสียงเฉียบ ดวงตาอาบด้วยความเดือดดาลอยู่แวบหนึ่ง
เมื่อถูกจ้องเขม็ง อัศวินหนุ่มจึงขบกรามแน่น สายตาหลุบต่ำเพื่อหลบซ่อนความลำบากใจ มือหยาบกร้านยกขึ้นลูบคางอย่างเคร่งเครียด
“ท่านยึดมั่นในกฎเกณฑ์มากไปหรือเปล่า? กว่าเราจะหาหลักฐานพบอาจสายเกินไปแล้ว”
เมื่ออีกฝ่ายยังนิ่ง เฟโรสจึงพูดต่อ สายตาชำเลืองมองเอียนเป็นระยะ ขณะที่ในหัวกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก
“อย่าลืมสิว่าเจ้านั่นเป็นคนสนิทของท่าน อยู่กับท่านตลอดจนได้ข่าวสารไปมากมาย ไม่มีทางรู้ว่าศัตรูของเรากำลังซุ่มซ่อนอะไรเอาไว้ในป้อมนี้อีกบ้าง หรือกระทั่งพวกมันคิดจะทำอะไร”
“แล้วเจ้าจะให้ข้าสั่งจับเขา เพียงเพราะคุณหนูวิโอล่ากับเจ้าเห็นตรงกันว่าเขาเป็นคนร้าย ด้วยเหตุผลเพียงเท่านี้งั้นรึ”
“ท่านอ้างไปอย่างนั้นเอง การตัดสินใจพลาดเพียงครั้งเดียวอาจเป็นเหตุให้ต้องสูญเสียเกียรติยศทั้งหมด นั่นต่างหากคือความคิดของท่านที่เดาง่ายชะมัดยาด”
ขณะที่ความคิดตีกันวุ่นวาย เสียงของเฟโรสทะลวงถึงจุดอ่อนภายในใจของหัวหน้าอัศวิน ริมฝีปากที่ตั้งใจจะเอ่ยโต้แย้งสั่นเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็เงียบไป
ท่าทีอ้ำอึ้งชวนให้บรรยากาศโดยรอบดูอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด นานสองนานอัศวินหนุ่มจึงเปิดปากพูด ใบหน้าของเขาอ่อนลงเล็กน้อย
“เช่นนั้น… เรามาประนีประนอมกันครึ่งทาง ข้าจะให้เจ้าสะกดรอยเขา เมื่อเจ้าพบหลักฐานให้ส่งสัญญาณ ข้าจะส่งคนไปจับเขาทันที”
เฟโรสถึงกับชักสีหน้า ความอึดอัด ร้อนใจ เปลี่ยนเป็นความฉงนงงงวย
“นั่นมันครึ่งทางตรงไหนกัน!?”
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว