การประลองรอบที่ 3 นี้ ยังคงเป็นการจับสลากเลือกลำดับการประลองจากทั้ง 4 คู่ ไม่ทราบแน่ชัดว่าด้วยโชคชะตาหรือความแม่นยำ สุดท้าย ซุน และ เกาทงหลิน ได้กลายเป็นคู่แรกของการประลองรอบนี้...
สองชายหนุ่มที่หอบหิ้วความคับข้องใจระหว่างกัน เดินก้าวขึ้นไปบนเวทีประลอง... หากเป็นการเผชิญหน้ากันปกติ หรือเป็นการเผชิญหน้ากันในสถานที่อื่น แน่นอนว่าทุกคนย่อมต้องบอกเป็นเสียงเดียวกัน ว่าผู้ชนะย่อมต้องเป็น เกาทงหลิน จากตำแหน่งอัจฉริยะรุ่นเยาว์ลำดับที่ 5 ของทวีปนี้
ทว่า... หลังจากได้เห็นศึกระหว่าง ซุน และ ซางกวานเฉิน เมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อน เหล่าผู้ชมยังคงเป็นกลุ่มเดิม ทั้งยังมีมากขึ้นอีกหลายส่วนจากการมาสบทบเพิ่มเติม ทำให้ผู้ชมก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วล่ะว่า ชัยชนะจะยังเป็นของ เกาทงหลิน อย่างชัดเจนอยู่อีกหรือไม่... โดยเฉพาะชนชั้นระดับยอดฝีมือของทวีป ที่ยอมมีสายตาที่กว้างไกลและเฉียบคมยิ่งกว่า ต่างฝ่ายต่างวิพากษ์วิจารณ์ให้น้ำหนักการประลองระหว่าง เกาทงหลิน และ ซุน ในอัตราราว 7 ต่อ 3 ส่วน...
อีกทั้งรอบนี้สมาชิกตระกูลเกา ที่นำโดย เกาเทียนฉี อดีตผู้นำตระกูลยังเข้ามารับชมด้วย และยังมี เทพปรมาจารย์อย่าง ลู่เหรินฮ่าว ที่เดินทางแยกมาในอีกทิศทางเพื่อมิให้เกิดร่องรอยความสัมพันธ์ การมาของ เทพปรมาจารย์ลำดับที่ 2 ของทวีป สร้างความตื่นตระหนกให้กับทุกพรรคและสำนักไม่น้อย...
และยิ่งมีหนึ่งคนที่น่าครั่นคร้ามที่สุด... เป็นหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่ง ที่ใบหน้าไม่ชัดเจนนัก เนื่องด้วยถูกปกปิดด้วยผ้าบางสีดำครึ่งใบหน้า มีเพียงดวงตาที่สาดประกายคมกล้าไร้สิ้นสุด อัฒจันทร์ในด้านที่นางเดินเข้ามา ทุกคนล้วนลึกยืนพรึบพร้อมกันโดยสัญชาตญาณ จิตใจสะท้านสะเทือนกับการดำรงอยู่ของสตรีผู้นี้...
นางคือ 1 ใน 3 สมาชิกจากตระกูลเล้ง
ที่เดินทางมาเข้าร่วมงานอภิเษก...
ดวงตาของนางยังมีร่องรอยความแปลกประหลาดบางอย่าง จ้องมองตรงไปยัง ซุน ด้วยความล้ำลึก ด้วยความสามารถพิเศษบางอย่างของนาง ทำให้สัมผัสได้ถึงร่องรอยเส้นใยแห่งชะตากรรมที่เกี่ยวพัน หากแต่มันพร่าเลือนเจือจางเกินกว่าจะชี้ชัด ก้ำกึ่งระหว่างความรู้สึกและการคิดไปเอง...
ทั้งยังมีคนจากขุมกำลังอื่น ๆ ที่ส่งตัวแทนเข้ามาสังเกตการณ์ แม้จะเป็นการต่อสู้ในระดับผู้เยาว์ต่างทวีป ทว่าในอนาคตผู้เยาว์เหล่านี้ย่อมต้องเติบใหญ่เป็นยอดฝีมือชนชั้นแนวหน้าของทวีปพยัคฆ์ขาว ฉะนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องที่เสียหายหากจะบันทึกเรื่องราวเหล่านี้เอาไว้...
บนเวทีประลอง...
ซุน หยิบเอากระบี่พันชั่งออกมาตั้งท่าพร้อมรบ แผ่อำนาจคุกคามเหี้ยมหาญอย่างที่การประลองก่อนหน้านี้มิได้เคยแสดง แม้ว่าจะมีกฎห้ามสังหารกันบนเวทีประลอง ทว่ามันก็ถูกบัญญัติไว้เพียงแค่ห้ามสังหารเท่านั้น!! การจะเล่นงานให้อีกฝ่ายตายทั้งเป็นย่อมมีนับสิบนับร้อยวิธี
ซึ่งแน่นอนว่าในส่วนนี้ เกาทงหลิน ก็ทราบดีเช่นกัน... ดวงตาของ เกาทงหลิน มีความดุร้ายผิดกับใบหน้าที่หล่อเหลาเข้ารูป มือซ้ายมีประกายแสงสีทอง มือขวามีประกายแสงสีเงิน ก่อนที่แสงทั้งสองจะก่อเกิดเป็นยุทธภัณฑ์ที่ชำนาญ...
พรรคราชสีห์สวรรค์ เป็นพรรคที่เก่าแก่มีประวัติความเป็นมานับหมื่นปีเช่นกัน ถูกก่อตั้งขึ้นโดยชนเผ่าดั้งเดิมชาวตะวันตกในยุคสมัยหนึ่ง จากชนเผ่าในเขตชายแดนที่มีรูปแบบการต่อสู้เป็นเอกลักษณ์สมบูรณ์ทั้งการโจมตีและป้องกัน จนเอาชนะศึกสงครามพิชิตเผ่าอื่น ๆ นับร้อยเผ่าตลอดรัศมีหมื่นลี้ ทำให้กลายเป็นขุมกำลังอันแข็งแกร่ง และก่อตั้งเป็นพรรคราชสีห์สวรรค์เข้าร่วมกับทางยุทธภพในภายหลัง...
แสงสีทองในมือซ้ายของ เกาทงหลิน เปลี่ยนโล่ทรงกลมสีทอง มีใบหน้าราชสีห์อยู่ตรงกลางเด่นชัด... แสงสีเงินในมือขวา ก่อรูปเป็นดาบสั้นสองคม ที่หนายิ่งกว่าดาบทั่วไป... เมื่อดาบและโล่ประสานร่วมกัน กลายเป็นรูปแบบต่อสู้โบราณชาวตะวันตก ที่สมบูรณ์ทั้งป้องกันและโจมตี
“ราชสีห์ประจัญบาน!!”
ซุน หดนัยน์ตาแคบลงเล็กน้อย แน่นอนว่าเจ้าตัวย่อมตรวจสอบรูปแบบการต่อสู้ของ เกาทงหลิน มาอย่างละเอียดแล้ว แต่เมื่อได้มายืนตรงหน้าเช่นนี้ ก็ยิ่งสัมผัสได้ว่าความสมบูรณ์ของการป้องกันและโจมตี อยู่ในระดับที่สมดุลเป็นเลิศ
“เริ่มการประลองได้!!”
สิ้นเสียงกรรมการประกาศ น่าแปลกที่ทั้งสองกลับยังนิ่งสงบ!! จากท่าทีที่ราวกับพร้อมจะพุ่งเข้าเข่นฆ่ากันก่อนเริ่มประลอง หลายคนคิดว่าเมื่อการต่อสู้เริ่มต้น ทั้งสองอาจจะตัดสินกันในชั่วพริบตา... ทว่ากลับตรงกันข้ามกับความคิดเหล่านั้น ต่างฝ่ายต่างไร้ซึ่งความประมาท สายตาที่ขยับไปมาพิจารณาอีกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง บ่งบอกถึงความเชี่ยวชาญด้านการประเมินวิเคราะห์
จนในที่สุด ซุน ก็พ่นลมหายใจแรง ๆ ออกมาครั้งหนึ่ง
“ช่วยไม่ได้... เช่นนั้นขอดูหน่อยว่า การป้องกันของเจ้ามันจะมีมากเพียงใด!!”
ซุน ระเบิดท่าร่างเป็นฝ่ายพุ่งเข้าหา กระบี่พันชั่ง เปล่งแสงวูบวาบพลางสั่นกระเพื่อม บ่งบอกถึงน้ำหนักมหาศาลที่กำลังถูกกระตุ้นให้เพิ่มพูนอย่างต่อเนื่อง... เกาทงหลิน มองผ่านโล่ราชสีห์ที่ยกกำชับแน่นระดับสายตา แม้จะเคยเห็นพลานุภาพสยบในทุกกระบวนท่าของ ซุน มาแล้ว แต่ก็ยังไร้ท่าทีกระวนกระวาย
ซุน ยกชูกระบี่พันชั่งขึ้นสูง ปราณกระบี่โดยรอบถูกรวมผนึกเป็นหนึ่งเดียว มองเห็นกระบี่พันชั่งเกิดเป็นภาพมายาเงากระบี่ที่ขยายขนาดยืดยาวออกไปกว่า 10 จั้ง ในชั่วพริบตา แผ่อำนาจคุกคามสะท้านสะเทือน...
“เพลงกระบี่วีรชนแดนประจิม... หนึ่งกระบี่พิชิตทรราช!!”
การฟาดฟันลงมาของเงากระบี่ขนาดใหญ่ แน่นอนว่ามิได้คาดหวังจะเผด็จศึก หากแต่ต้องการวิเคราะห์ความแข็งแกร่งด้านการป้องกันของ เกาทงหลิน ผ่านการปะทะครั้งนี้... แต่แล้วจังหวะนั้นเอง ดวงตาของ เกาทงหลิน พลันฉายแววดุร้าย ระเบิดแสงสีทองจากโล่ราชสีห์ กวาดแขนซ้ายที่ปูดโปนไปด้วยกล้ามเนื้อเพียงครั้ง ผลักดันยังจุดที่เปราะบางของเงากระบี่ยักษ์จนเกิดการเอนเอียงเบี่ยงทิศ
“!!!!!!!!!!!” ซุน เบิกตากว้างขึ้นทันที การทำเช่นนี้ของ เกาทงหลิน มิได้เกิดจากพละกำลังที่มากไปกว่า ซุน แต่เป็นเพราะ เกาทงหลิน มองขาดในตำแหน่งที่ง่ายต่อการผลักดัน ใช้กำลังเพียงระดับ 1 สามารถผลักดัน กระบี่แนวตรงที่มีกำลังระดับ 10 ให้เฉแฉลบ เอียงเอนเสียหลักอย่างง่ายดาย
ทั้งยังใช้จังหวะนั้นโดดทะยานตรงเข้าไปยังจุดบอดหลังการฟาดฟัน ชั่วพริบตาก็เข้ามาประชิดร่าง ฟาดฟันดาบสีเงินอันทรงพลัง เข้าหาร่างของ ซุน ด้วยจิตสังหารที่พรั่งพรู... ดาบสีเงินเล่มนี้แม้จะสั้น ทว่ามันกลับเป็นการลดความเทอะทะของตัวดาบ ความหนาและสั้นของมันยังทำให้เกิดเป็นพลังโจมตีประชิดที่ไม่เน้นระยะ ตวัดฟันแต่ละครั้งหนักหน่วงไร้เทียมทาน
ซุน สัมผัสได้ถึงวิกฤตในพริบตานั้น... เพียงแค่เสียงฟันที่แหวกอากาศ ยังบอกได้เลยว่าการฟันที่มุ่งเน้นความหนักหน่วงของ เกาทงหลิน แตกต่างไปจากการทิ่มแทงกระบี่ที่เน้นจำนวนและความต่อเนื่องของ ซางกวานเฉิน อย่างมาก…
ดังนั้นต่อให้ใช้รอยสักและอาคมคุ้มกาย ก็ใช่ว่าจะป้องกันการฟันครั้งนี้ได้ทั้งหมด อีกทั้ง เกาทงหลิน ยังเลือกที่จะฟันมายังศีรษะอันเป็นจุดตายอย่างไม่มีความลังเล ราวกับไม่สนใจต่อกฎการประลอง...
“ตาย!!” เกาทงหลิน คำรามเสียงสะท้านฟ้า
ซุน เผยจิตสังหารขึ้น กัดฟันดังกรอด... กระบี่พันชั่ง หนักเกินกว่าจะยกขึ้นมาตั้งรับได้ทันในจุดบอดเช่นนี้ จึงตัดสินใจทิ้งกระบี่ในทันที เอี้ยวสะบัดร่างอย่างรุนแรงหันตรงไปยัง เกาทงหลิน จับคว้าไปยังความว่างเปล่าเบื้องหน้า แหวนมิติพลันสว่างวาบ ก่อนจะมีแสงสีทองสาดประกายขึ้น...
“กระบี่ทองไร้เอกลักษณ์!!”
ตูม!!
กระบี่สีทองและดาบสีเงินเข้าปะทะกันตรง ๆ เกิดเสียงกัมปนาทที่ฉีกกระชากชั้นบรรยากาศโดยรอบให้แตกกระจาย ผลักดันจนทั้งสองคนจนต้องถลาโซเซไปด้านหลัง ต่างฝ่ายต่างก็ตระหนักถึงความรุนแรงที่สะท้านมายังข้อมือ...
การปะทะเพียงครั้งเดียวเมื่อครู่บ่งบอกถึงหลายสิ่ง... ซุน นึกถึงการประชุมภายในหน่วยมือปราบเทพพยัคฆ์ ที่กล่าวถึงความสามารถของ เกาทงหลิน ไว้อย่างละเอียด ว่าชายหนุ่มผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้มีกระบวนท่าที่สะท้านสะเทือนฟ้าดิน จนน่าเกรงขามเฉกเช่นอัจฉริยะหลาย ๆ คน แต่กลับเป็นอัจฉริยะในด้านที่แตกต่างออกไป
นั่นคือทักษะด้านสายตาอันเฉียบคม ที่สามารถมองเห็นจุดอ่อนของกระบวนท่าได้ในพริบตา เป็นพลังในการมองขาดที่น่าตกใจ ระดับที่เทียบเท่าชนชั้นยอดฝีมือผู้ชรา... เกาทงหลิน จะใช้โล่สกัดกระบวนท่า ที่แม้ว่ากระบวนท่านั้นจะครอบฟ้าคลุมดิน ก็ยังมองขาดเห็นถึงช่องโหว่ในพริบตา และป้องกันอย่างถูกจุด...
จากนั้นก็จะใช้ทักษะการมองขาดนี้อีกครั้ง ตรงเข้าเล่นงานยังจุดบอดเพื่อสวนคืนในฉับพลัน ด้วยดาบสีเงินอันทรงพลัง รูปแบบการต่อสู้ของ เกาทงหลิน ฟังดูแสนเรียบง่าย แต่กลับป้องกันได้ยากยิ่ง เป็นนักฉวยโอกาสที่น่ากลัว จากพื้นฐานของอุปนิสัยที่เจ้าเล่ห์เพทุบาย...
“หากโจมตีอย่างไม่ระวัง จะถูกสวนกลับในทันทีงั้นสินะ... สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของ เกาทงหลิน มิใช่โล่และดาบ แต่เป็นสายตาที่มองขาดนั่น!!” ซุน เอ่ยพึมพำกับตนเอง เขม็งมองด้วยท่าทีหวาดหวั่นไม่น้อย ข้อมูลของ เกาทงหลิน ที่ฟังมา ไม่เป็นรูปธรรมนัก แต่พอได้เผชิญหน้าก็ทำให้ตระหนักได้ทันที ว่า เกาทงหลิน สมกับตำแหน่งอัจฉริยะ
การจะมีสายตาที่สามารถมองขาดในกระบวนท่าของอีกฝ่ายในพริบตาเช่นนี้ แปลว่า เกาทงหลิน ผ่านการต่อสู้มาอย่างโชกโชน กอบโกยประสบการณ์เหล่านั้นมาย่อยสลายเป็นความสามารถ ซึ่งในส่วนนี้ก็นับว่ามีความคล้ายคลึงกับ ซุน อยู่หลายส่วน... แต่เพราะ ซุน มีประสบการณ์ต่อสู้จริงน้อยเกินไป จึงไม่อาจทำได้ในระดับเดียวกับ เกาทงหลิน...
เกาทงหลิน ตั้งท่าราชสีห์ประจัญบานอีกครั้ง ยกโล่เสมอสายตา ดาบยกชี้ซ้อนอยู่ด้านหลังของโล่ แววตาคมกริบคล้ายอ่านได้แม้แต่การไหลเวียนของโลหิตใต้อาภรณ์ ยกมุมปากแค่นเสียงเย็นขึ้นยั่วยุ “หวาดกลัวงั้นหรือ?! บอกแล้วยังไงว่าข้าจะดับรัศมีของเจ้าในการประลองครั้งนี้ และอย่าคิดว่าจะได้เดินลงจากเวทีด้วยร่างกายสมประกอบ!!”
แม้ เกาทงหลิน จะเอ่ยดูแคลนออกมาเช่นนั้น แต่ภายในใจก็พลันเต้นระส่ำอยู่ไม่น้อย... สิ่งที่ เกาทงหลิน รู้สึกหวาดหวั่นต่ออีกฝ่าย มิใช่พละกำลัง มิใช่ความสามารถของ ซุน แต่เป็นกระบี่เก่าคร่ำครึ ที่เต็มไปด้วยรอยบิ่นทื่อเล่มนั้น!! เกาทงหลิน สัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณแห่งศาสตราอันน่าสะพรึงที่พวยพุ่งเป็นพลังงานที่มองไม่เห็น แต่กลับรู้สึกขนลุกชูชันอย่างไร้ที่มา
ซุน เผยสีหน้าไม่ยี่หระในคำยั่วยุ ขณะที่มองไปยัง เกาทงหลิน ก็ค่อย ๆ เดินเนิบนาบตรงไปเก็บกระบี่พันชั่งอย่างไม่เร่งร้อน ในเวลาส่วนนี้ครุ่นคิดหาวิธี พอจะเข้าใจรูปแบบการต่อสู้ของ เกาทงหลิน ผ่านห้วงสมาธิขึ้นมาบ้างแล้ว...
“แบบนี้นี่เอง...ยิ่งโถมกระบวนท่ารุนแรง ก็จะยิ่งมีโอกาสถูกสวนกลับมาได้ง่ายขึ้น...” ซุน เอ่ยพึมพำพลางหดนัยน์ตาแคบลง ก่อนจะแสยะยิ้มขึ้นเผยฟันเขี้ยวมีประกาย
“เกาทงหลิน... ดูท่าเจ้าจะมั่นใจในการป้องกันและสายตาของตนเองมากเลยงั้นสินะ เช่นนั้นข้าจะสอนให้เจ้ารู้เองว่า ยังมีสิ่งที่แม้จะเห็นถึงกระบวนท่า แม้จะถูกอ่านขาด แต่โล่ในมือของเจ้าก็มิอาจป้องกันมันได้!!”
“!!!!!!!!!!” เกาทงหลิน เบิกตากว้างในทันที
ชั่วพริบตานั้น ซุน ระเบิดท่าร่างพุ่งตรงเข้าหา มองแล้วทั้งอุกอาจและเต็มไปด้วยความประมาท... ทว่ามันกลับสร้างความสับสนให้กับ เกาทงหลิน จนเต็มไปด้วยความหวาดระแวง
“มันคิดจะทำอะไร!!”
ท่าทีพรวดพราดเช่นนั้นของ ซุน ตรงเข้ามาโดยไม่เห็นแม้แต่การตระเตรียมกระบวนท่าที่จะโจมตีใด ๆ มีเพียงกระแสลมโดยรอบที่ถูก ซุน สูดเอาลมหายใจลึกเข้าไปเท่านั้น อีกทั้งยังสูดเข้าไปมากขึ้นเรื่อย ๆ จนหน้าอกกระเพื่อมโป่งพอง ไม่ทราบแต่ชัดว่ามีมวลอากาศมากเพียงใดที่ปอดคู่นั้นสามารถกักเก็บเอาไว้
จวบจนมาถึงระยะครึ่งก้าว ห่างจาก เกาทงหลิน ที่ยังคงยกโล่กระชับมั่น...
เงาร่างของสมิงขาว โผล่ออกมาจากแผ่นหลัง ทับซ้อนไปยังร่างของ ซุน ดวงตาเปล่งประกายแสงเจิดจรัส ก่อนจะระเบิดคลื่นเสียงคำรามที่สะท้านฟ้าสะเทือนดิน กังวานดังกัมปนาทกระจายไปแปดทิศ เป็นเสียงที่ดังกึกก้องอย่างที่ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน...
“ระเบิดคลื่นเสียง พยัคฆ์คำรน!!”
…………………………………..
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว