Change! มีในรูปแบบ e-book แล้วนะคะ-ตอนที่ 5 รอคอย

โดย  ไหลเย็น น้ำใจ

Change! มีในรูปแบบ e-book แล้วนะคะ

ตอนที่ 5 รอคอย

ขณะที่เหลิ่งเยว่ก้มหน้ากินขนมเปี๊ยะในมืออย่างจริงจังไม่ยอมหยุด

จิ่งอี้ก็นั่งยิ้มมองนางอย่างไม่ละสายตาเช่นกันและกลายเป็นภาพที่เซียวจิ่นอวี๋เห็นแล้วต้องหยุดชะงักที่หน้าประตู

นอกจากกลิ่นเหม็นไหม้ที่คลุ้งออกมานอกห้อง บรรยากาศในห้องตอนนี้มองอย่างไรก็ไม่เหมือนเป็นสถานที่พบศพคนตายเลย

เหลิ่งเยว่รับรู้การมาถึงของเซียวจิ่นอวี๋อย่างรวดเร็ว นางเพียงชะงักไปชั่วอึดใจก่อนจะรีบยัดขนมเปี๊ยะที่เหลือในมือเข้าปาก จากนั้นก็ใช้ชายแขนเสื้อชุดแต่งงานเช็ดปากอย่างง่ายๆ ทุกการเคลื่อนไหวรวดเร็วมากจนเซียวจิ่นอวี๋ที่อยากจะร้องห้ามก็ยังทำได้แค่คิด พอเห็นนางยืนตัวตรงในระเบียบก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างอับจน

ในแผ่นดินนี้เจ้าสาวที่กล้าใช้แขนเสื้อชุดแต่งงานเช็ดปาก นอกจากเหลิ่งเยว่ก็คงไม่มีใครคิดทำแน่นอน!

เหลิ่งเยว่รีบเคี้ยวขนมในปากแล้วกลืนลงท้องรวดเดียว หลังกระแอมให้คอโล่งแล้วจึงประสานมือคำนับ “ท่านอ๋อง”

“สะดวกให้ข้าเข้าไปไหม?”

“เชิญท่านอ๋องเจ้าค่ะ”

ตอนที่เซียวจิ่นอวี๋พยายามออกแรงดันเก้าอี้รถเข็นข้ามธรณีประตูเข้ามา เหลิ่งเยว่ก็เพิ่งสังเกตว่าเขามาที่นี่เพียงลำพัง

แม้ยามปกติจะต้องมีผู้ติดตามแต่เซียวจิ่นอวี๋ก็ไม่ยินยอมให้ผู้ใดมาแตะต้องรถเข็นที่เขานั่งอยู่โดยง่าย ตอนนี้ลุงฉีที่เป็นพ่อบ้านของจวนยังมาไม่ถึง รัชทายาทและเหลิ่งเยี่ยนก็ยังไม่มา แม้แต่อู๋เจียงก็ไม่ได้มาด้วย กลายเป็นว่าผู้ที่เดินเหินไม่สะดวกที่สุดในจวนมาถึงก่อน

ขณะที่เหลิ่งเยว่กำลังสงสัยอยู่นั้น เซียวจิ่นอวี๋ก็ดันเก้าอี้รถเข็นข้ามธรณีประตูเข้ามาในห้องได้สำเร็จ หลังปรับลมหายใจที่เหนื่อยหอบให้สงบเรียบร้อยจึงเอ่ย “อู๋เจียงบอกว่าในห้องหอของพวกเจ้าพบบางสิ่งบางอย่าง”

จิ่งอี้ตีหน้าเศร้าพร้อมกับชี้นิ้วไปยังหีบไม้แดงที่เปิดฝาค้างไว้ “หีบใบนั้นไงล่ะที่โรงเผาหลิงหลงส่งมาให้ข้า! ท่านดูเอาเถอะ ของในหีบข้าใบนี้ไหม้เกรียมกว่าของท่านมาก”

เซียวจิ่นอวี๋หมุนล้อรถเข็นไปข้างหีบ พอเห็นเขาขมวดคิ้วเพ่งมอง เหลิ่งเยว่ก็ขยับมาอยู่ข้างกายพร้อมรายงานไม่เร็วไม่ช้า

“ท่านอ๋อง จากการตรวจสอบผู้ตายเป็นบุรุษ อายุไม่แน่ชัด คาดว่าน่าจะเป็นหนุ่มน้อยอายุประมาณสิบกว่าปี สูงประมาณหกฉื่อ รูปร่างค่อนข้างผอม กะโหลกศีรษะด้านหลังบริเวณท้ายทอยแตกมีรูที่มองเห็นได้ชัด เขาน่าจะถูกทำร้ายก่อนถูกจับเผา การเผาน่าจะเกิดขึ้นเมื่อวาน สาเหตุการตายยังไม่ทราบ ช่วงเวลาที่ตายยังไม่ทราบเจ้าค่ะ”

จิ่งอี้มองเหลิ่งเยว่อย่างงงงัน นางยืนอยู่ข้างหีบแค่ดูไม่กี่ครั้งก็สามารถมองออกว่าเจ้าก้อนดำไหม้นั่นเคยเป็นอะไรมาก่อน ถ้าเช่นนั้นตอนที่นางเจอเขาครั้งแรกแล้วเอาแต่จ้องร่างกายส่วนล่างของเขา...

เซียวจิ่นอวี๋นิ่งฟังแล้วส่งเสียง “อืม” ออกมาเบาๆ คำหนึ่งเป็นเชิงเห็นด้วย จากนั้นก็หันมองบุรุษชุดแดงที่กำลังจมอยู่ในภวังค์ความคิดด้วยท่าทางใจลอย

“จิ่งอี้ คดีนี้ยกให้เจ้า”

“ข้าหรือ!” จิ่งอี้ถูกน้ำเสียงเรียบนิ่งเรียกสติกลับมาอย่างรวดเร็ว เขาตะลึงเสียจนดวงตาจิ้งจอกคู่นั้นกลายเป็นก้อนกลมๆ “ไม่ถูกต้องนะท่านอ๋อง ศพนี้ถูกพบในเรือนของข้า ศพถูกใส่มาในหีบของโรงเผา
หลิงหลง โรงเผาหลิงหลงเป็นกิจการของท่านลุงของข้าด้วย เช่นนี้แล้วข้าไม่สมควรที่จะหลีกเลี่ยงหรอกหรือ?”

“ครั้งนี้ไม่ต้องทำตามกฎ” เซียวจิ่นอวี๋ถอนใจเบาๆ ลดเสียงที่เดิมก็เบาอยู่แล้วให้เบาลงอีก เขามองจิ่งอี้ด้วยแววตาลุ่มลึก “เจ้าคิดว่าสาเหตุที่ผู้อื่นรังเกียจเจ้ายังมีน้อยอยู่หรือ ถึงได้เอาจุดอ่อนไปมอบให้ผู้อื่นอีก”

จิ่งอี้ชะงักแล้วเหลือบมองเหลิ่งเยว่ที่ยืนอยู่ข้างกายอันอ๋อง

คำพูดนี้ของเซียวจิ่นอวี๋มากกว่าเจ็ดส่วนก็เพื่อเตือนเขาว่าคดีที่มาไม่ถูกที่ถูกเวลานี้อาจจะเพื่อจัดการกับเขาหรืออาจเพื่อจัดการตระกูลจิ่งทั้งตระกูล ขณะเดียวกันก็สร้างผลกระทบต่อราชสำนักด้วย ที่เหลืออีกสามส่วนก็พูดเพื่อทดสอบหญิงสาวในชุดแดง

เหลิ่งเยว่นั้นคล้ายไม่ได้ยินคำพูดของเซียวจิ่นอวี๋เลย สายตาจับจ้องแต่ของด้านในหีบพลางขมวดคิ้วน้อยๆ ไม่รู้ว่ากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่

“รับคำสั่งท่านอ๋อง” สุดท้ายจิ่งอี้ก็จำต้องยอมรับคดีนี้ไว้เอง

“เย็นนี้เจ้าเขียนหนังสือลาแต่งงานให้ข้าหนึ่งใบ ข้าจะขอลาหยุดกับศาลต้าหลี่ให้สามวัน เจ้ารีบจัดการเรื่องนี้ให้ชัดเจน หากทิ้งไว้นานทางข้าก็ไม่แคล้วจะต้องเจอปัญหาไปด้วย” เซียวจิ่นอวี๋พูดจบก็หันไปสั่งคนข้างกาย

“เสี่ยวเยว่ เจ้าอยู่เป็นผู้ช่วยเขาเถอะ”

คำสั่งนี้ทำให้เหลิ่งเยว่ละสายตาจากหีบ สองมือประสานคำนับ น้ำเสียงหนักแน่น “รับทราบเจ้าค่ะ”

“ถ้าพบเจอเรื่องยุ่งยากให้มาหาข้าได้ทุกเมื่อ” เซียวจิ่นอวี๋กำชับ

เหลิ่งเยว่ฟังความนัยในคำพูดของเซียวจิ่นอวี๋ไม่ออก นางหันมองหีบไม้แดงอีกครั้ง มุมปากยกยิ้มมั่นใจ “ท่านอ๋องโปรดวางใจ เรื่องนี้ไม่มีอะไรยาก แค่สามวันก็เพียงพอแล้ว”

“ดี!” เซียวจิ่นอวี๋พยักหน้าแล้วบอกสถานการณ์ปัจจุบันให้ทั้งคู่รู้ “เรื่องนี้รัชทายาทและองครักษ์เหลิ่งรับปากแล้วว่าจะไม่แพร่งพรายออกไป อู๋เจียงก็จัดการดึงตัวพ่อบ้านฉีและสาวใช้ของเจ้าเอาไว้แล้ว จะปิดปากพวกเขาอย่างไร จะบอกกับราชครูจิ่งอย่างไร พวกเจ้าก็ปรึกษากันเองเถอะ”

ทั้งสองเรื่องไม่ใช่เรื่องง่าย จิ่งอี้ถอนหายใจอย่างไร้เรี่ยวแรง “เช่นนั้นข้าจะรีบออกไปจัดการเรื่องยุ่งยากข้างนอกก่อนดีกว่า แขกที่ตาเฒ่าของข้าเชิญมาเป็นพวกหูผีจมูกมดทั้งนั้น หากพวกเขาสงสัยต่อให้ปิดเขื่อนกั้นแม่น้ำได้แต่ก็ปิดปากคนพวกนี้ไม่ได้”

“ไม่จำเป็น” เซียวจิ่นอวี๋ยิ้มมีเลศนัย “แค่ข้าบอกกับพวกเขาว่าพวกเจ้าเข้าหอกันแล้วก็จบ”

เข้าหอ...

หากคนพูดไม่ใช่เซียวจิ่นอวี๋ จิ่งอี้จะต้องไม่ยอมให้อีกฝ่ายออกไปจากห้องโดยที่ยังหายใจสบายแน่!


แม้เซียวจิ่นอวี๋จะออกไปจากห้องแล้ว แต่จิ่งอี้ก็ยังคงนั่งร้องไห้อย่างไร้น้ำตาอยู่ที่เดิม

เหลิ่งเยว่เดินมาหยุดตรงหน้าเขา “ใต้เท้าจิ่ง พวกเรามาเริ่มกันเลยเถอะ”

ความคิดในหัวจิ่งอี้ยังวนเวียนอยู่กับคำว่า ‘เข้าหอ’ ของเซียวจิ่นอวี๋ พอได้ยินคำพูดของหญิงสาวก็เงยหน้ามองด้วยสีหน้าตื่นตะลึง “เริ่มกันเลย!”

ข่าวลือในเมืองหลวงเรื่องหนึ่งที่แพร่สะพัดไปทั่วทุกตรอกซอกซอยก็คือคุณชายสี่ตระกูลจิ่งเจ้าชู้ตั้งแต่อายุยังน้อยทั้งผ่านสาวๆ มานับไม่ถ้วน จิ่งอี้ยอมรับว่าเรื่องผ่านสาวงามมานับไม่ถ้วนเป็นความจริง แต่เป็นการผ่านด้วยสองตาเท่านั้น! อยู่ดีๆ ก็บอกให้เริ่มเลยแล้วเขาจะเริ่มอย่างไรเล่า!

เหลิ่งเยว่หันมองสีท้องฟ้านอกหน้าต่าง “เวลาก็ไม่เช้าแล้ว”

“ไม่ต้องรีบร้อน งานด้านนอกเพิ่งเริ่มไปไม่นาน...” จิ่งอี้พยายามตั้งสติเค้นรอยยิ้มออกมา “นี่คือ...เจ้ายังหิวอยู่ไหม ให้ข้าออกไปหาของกินมาให้อีกดีไหม?”

ไม่ได้กินข้าวมาสามมื้อ แค่ขนมเปี๊ยะชิ้นเดียวจะอยู่ท้องได้อย่างไร เหลิ่งเยว่ถูกประโยคนี้กระตุ้นเข้าก็รู้สึกหิวขึ้นมาอีกแต่สุดท้ายกลับส่ายหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว

“จัดการเรื่องราวให้เสร็จสิ้นค่อยว่ากันเถอะ เรื่องที่ช้าหรือเร็วก็ต้องทำรีบทำให้เสร็จจะได้สบายใจ”

จิ่งอี้คาดไว้แต่แรกว่าค่ำคืนนี้จะต้องเกิดความเก้อเขินจนยากจะลืมไปชั่วชีวิต เขายังอุตส่าห์คิดหาวิธีคลายความเขินอายเอาไว้มากมาย แต่คิดไม่ถึงว่าตนเองจะเก้อเขินจนมือไม้คล้ายจะพันกันไปหมด

ชัดเจนว่าเหลิ่งเยว่คิดจะรวบรัดให้เสร็จสิ้นในดาบเดียว จิ่งอี้จึงก็ได้แต่ขบฟันแน่นอย่างจำยอม อิสตรีเช่นนางพูดออกมาขนาดนี้แล้ว หากเขายังรีรออยู่อีกคงเสียเชิงชายจนยากจะแก้ไข

“ตกลง...ถ้าเช่นนั้นข้าขอเวลาเตรียมตัวสักหน่อย”

ไม่ว่าอย่างไรเจ้าหีบที่ทำลายบรรยากาศใบนี้ก็สมควรจะต้องจัดเก็บให้เรียบร้อยก่อน

“ข้าต้องการกระถางธูปหนึ่งใบ ธูปสามดอก อ่างไฟหนึ่งกระถาง จ้าวเจี่ยว* ชางซู่** กับพู่กันสะอาดหนึ่งด้าม” เหลิ่งเยว่พูดออกมาทั้งหมดในคราวเดียวก่อนจะบอกอย่างเกรงใจ “รบกวนใต้เท้าจิ่งด้วย”

จิ่งอี้ที่กำลังจะปลดสายรัดเอวต้องตกตะลึงอีกครั้ง!

อย่างน้อยเขาก็ทำงานในศาลต้าหลี่มากว่าครึ่งปี ในตระกูลยังมีพี่รองที่หลงใหลวิชาหมอจนไม่อาจถอนตัวได้มาตั้งแต่เล็ก ดังนั้นเมื่อขอให้นำจ้าวเจี่ยว ชางซู่และกระถางไฟมา ของสามอย่างนี้มีไว้เพื่อใช้ทำอะไรนั้นเขาย่อมรู้ดี

“เจ้าจะชันสูตรศพนี้เองหรือ?”

“ใช่ ยิ่งตรวจศพเร็วยิ่งเป็นผลดี หากทิ้งเอาไว้นานจะเกิดความผิดพลาดได้ง่าย” เหลิ่งเยว่พูดพลางมองหีบไม่วางตา แต่พอหันมาเห็นใบหน้าแข็งทื่อกับสองมือของจิ่งอี้ที่จับสายรัดเอวอยู่ หญิงสาวก็ชะงักแล้วขมวดคิ้ว “ใต้เท้าจิ่งกำลังจะทำอะไรหรือ?”

ข้าจะพูดความจริงได้อย่างไรเล่า!

“เจ้าบอกให้ทำอะไรก็ทำอย่างงั้น”

คำพูดนี้ของจิ่งอี้มาพร้อมเสียงถอนหายใจยาว เหลิ่งเยว่มองใบหน้าขาวเนียนที่ขึ้นสีแดงสลับขาวจนตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นสีดำแล้ว “สีหน้าใต้เท้าจิ่งดูไม่ค่อยดี หรือว่ามีของสิ่งใดที่เจ้าไม่สะดวกจัดหาให้งั้นหรือ?”

จิ่งอี้พลันคลี่ยิ้มซื่อราวเด็กน้อยไร้เดียงสา “ไม่มี ทุกอย่างล้วนจัดหาได้ หัวหน้าเหลิ่งไม่ต้องกังวล”

“ถ้าเช่นนั้นต้องรบกวนใต้เท้าจิ่งแล้ว”

“ไม่ต้องเกรงใจ”

เหลิ่งเยว่เห็นจิ่งอี้เดินออกจากห้องด้วยสีหน้าสับสนคล้ายมีบางสิ่งกวนใจจึงฉุกคิดเรื่องหนึ่งขึ้นได้ “ใต้เท้าจิ่ง เมื่อครู่ข้าเป็นคนเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวตัวเองไปแล้ว เรื่องนี้ไม่ถูกต้องตามธรรมเนียม ถ้าเช่นนั้นข้าจะคลุมหน้าใหม่แล้วเจ้าค่อยเป็นคนเปิดดีไหม แบบนี้จะได้ถูกต้องตามธรรมเนียมด้วย”

ขนาดห้องหอยังกลายเป็นห้องชันสูตรไปแล้ว ใครจะเป็นคนเปิดผ้าคลุมหน้าไหนเลยจะต้องมาใส่ใจอีก...

จิ่งอี้หันกลับมายิ้มให้อย่างอบอุ่น “เจ้าไม่ต้องกังวล ใครจะเปิดก็เหมือนกัน”

“ในห้องหอนอกจากรอให้เจ้าบ่าวเป็นคนเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวแล้วมีอย่างอื่นให้ทำอีกไหม อย่างไรข้าก็ต้องรอเจ้าเตรียมของที่ขอไป นั่งรออย่างเดียวข้าเบื่อ ถ้ามีอะไรต้องทำจะได้จัดการให้เสร็จระหว่างรอ เจ้าคิดว่าดีหรือไม่?”

เรื่องที่เหลือในห้องหอไหนเลยจะให้นางทำคนเดียวแก้เบื่อได้เล่า

“ไม่มีแล้ว” ใบหน้าหล่อเหลาดุจภาพวาดเผยรอยยิ้มบริสุทธิ์ดุจเด็กน้อย “เจ้าและข้าร่วมกราบไหว้ฟ้าดินถือว่าเป็นสามีภรรยากันแล้ว เรื่องที่เหลือต่อไปก็ค่อยๆ ว่ากัน เจ้าวางใจเตรียมตัวชันสูตรศพนี้เถอะ”

เหลิ่งเยว่หายใจโล่งอย่างสบายใจ “ตกลง”

ทันทีที่เขาก้าวออกจากห้องหอ รอยยิ้มก็เลือนหายอย่างรวดเร็ว

นางยังคิดจะจริงจังกับการเป็นสามีภรรยาในนามนี้อีกหรือ อันที่จริงนี่ก็เป็นเรื่องที่เขาคาดเดาเอาไว้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ ทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้รู้สึกจิตใจร้อนรนขึ้นมาได้ล่ะ

พลันจิ่งอี้ก็นึกถึงของสิ่งหนึ่ง มือแข็งแรงจับที่สายรัดเอวตรงตำแหน่งที่เหล่าคุณชายในเมืองหลวงต่างก็ห้อยหยกประจำตัว ตัวเขาเองก็ห้อยกำไลเงินที่ใช้เส้นไหมถักเป็นที่ห้อย นี่เป็นของหมั้นหมายระหว่างเขากับคุณหนูตระกูลเหลิ่ง จากวันแรกที่ห้อยติดตัวไว้จนถึงวันนี้ก็สิบเจ็ดปีแล้ว ในที่สุดก็ถึงเวลาสมควรเสียที

จิ่งอี้ออกแรงกระตุกสายห้อยกำไลเงินออกจากสายรัดเอวแล้วใส่ไว้ในแขนเสื้อ แต่พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็รู้สึกไม่สบายเท่าไรจึงเปลี่ยนใส่ไว้ในอกเสื้อแทน คิ้วเข้มที่ขมวดอยู่คลายออก จากนั้นก็เดินหายไปท่ามกลางเสียงครื้นเครงของค่ำคืนวันมงคล


------------------------------------------------------------

จ้าวเจี่ยว* ขิง : ชางซู่** โกฐเขมา

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว