ในช่วงปิดเทอมของนาระ
เพราะซูซูโกะ ฉีเฝิงซวีจึงเปลี่ยนมาเป็นคนที่ร่าเริงสดใสมากขึ้น และก็เป็นเพราะซูซูโกะอีกนั่นแหละที่ทำให้ช่วงเวลานั้นสั้นลงไปเป็นพิเศษ
ได้ชมดอกซากุระด้วยกัน เที่ยวงานวัดด้วยกัน แต่พอเจอหน้ากันสองสามครั้ง ฉีเฝิงซวีก็ได้รับโทรเลขจากเพื่อนร่วมชั้น บอกว่าการพักการเรียนของเขายุติลงแล้ว ถึงเวลาที่ต้องกลับโตเกียวไปรายงานตัว
วินาทีนั้น ฉีเฝิงซวีพลันตระหนักถึงภาระหน้าที่ของตัวเอง
เขาเป็นทหาร
ยิ่งไปกว่านั้นคือเป็นทหารจีนเสียด้วย ชีวิตของเขาถูกกำหนดเอาไว้แล้วว่าไม่อาจอยู่ที่ญี่ปุ่นเพื่อปกป้องความรักน้อยๆ ระหว่างหนุ่มสาวที่เพิ่งผลิบานนี้ได้ เขาทิ้งจดหมายลาให้กับซูซูโกะหนึ่งฉบับ เขียนอธิบายอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งถึงตัวตน ที่มาที่ไป และต้นสายปลายเหตุของตัวเอง จากนั้นก็หย่อนมันเข้าไปในตู้รับจดหมาย
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าหญิงสาวจะคาดเดาที่พักของเขาได้จากจดหมายฉบับนั้น
ฉีเฝิงซวีเปลี่ยนไปสวมชุดเครื่องแบบของทางโรงเรียนซื่อกวน ถือกระเป๋าเดินทางเรียบง่าย ก่อนจะอำลาคุณน้าที่คอยดูแลตัวเองมาเป็นอย่างดี แต่แล้วฝีเท้าที่ก้าวออกจากลานบ้านเป็นต้องชะงักเมื่อเห็นซูซูโกะยืนถือจดหมายที่ยังไม่ได้เปิดอ่านเอาไว้ในมือ เธอโบกไม้โบกมือให้เขาพร้อมรอยยิ้ม “ทำไมถึงเขียนจดหมายให้ฉันกันล่ะ มีเรื่องอะไรก็พูดกันซึ่งหน้าได้นี่”
สีหน้าของซูซูโกะเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อเห็นกระเป๋าเดินทางของฉีเฝิงซวี “นายจะไปแล้วเหรอ?”
ฉีเฝิงซวีรู้สึกว่าลำคอแห้งผากเป็นผุยผง “ฉันเป็นทหาร ไม่ไปไม่ได้หรอก”
ซูซูโกะพยายามยิ้ม แต่ทันทีที่กะพริบตาน้ำตากลับร่วงลงมาเสียอย่างนั้น “งั้นฉันจะรอนายกลับมานะ”
“ฉันคงจะไม่กลับมาอีกแล้วเหมือนกัน” ฉีเฝิงซวีส่ายหน้า “ฉันก็แค่มาขอพักอาศัยอยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราวเท่านั้น ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ตลอดชีวิตนี้คงจะไม่มีโอกาสกลับมาแล้วละ” เขานิ่งไปสักพัก แต่แล้วก็ยื่นมือออกมา “คุณซูซูโกะ ขอให้คุณมีความสุขตลอดไปนะครับ”
ซูซูโกะยื่นมือออกไปประสาน ขณะที่ปลายนิ้วสั่นระริกใกล้จะบรรจบ เธอดันชักมือกลับแล้วโผเข้าไปกอดเอวของฉีเฝิงซวี สาดน้ำตาเปียกชุ่มเปรอะกระดุมเสื้อทหารของเขา
เธอเขย่งปลายเท้าพร้อมประทับจุมพิตลงไปที่แก้มของฉีเฝิงซวีอย่างแผ่วเบา เสียงสั่นเครือเอ่ยกระซิบที่ข้างหูเขา “งั้นวันหน้าฉันจะไปหานายเอง รอฉันนะ”
ฉีเฝิงซวีตะลึงงัน ยังไม่ทันได้ตอบสนองใดๆ ซูซูโกะก็ผละห่างจากเขาอย่างรวดเร็ว หลังจากจ้องมองเขาอย่างลึกซึ้งไปหนึ่งรอบก็หมุนตัววิ่งจากไป
การสอบจบของโรงเรียนซื่อกวนโหดร้ายกว่าการสอบโดยทั่วไป เพื่อทำภารกิจให้สำเร็จลุล่วง ฉีเฝิงซวีกลิ้งลงจากเนินสูงตกลงไปยังลำธาร เสี่ยงอันตรายเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด ต้องพยายามยึด
พุ่มไม้เตี้ยอย่างสุดกำลังเพื่อปีนป่ายขึ้นมา เพื่อนร่วมชั้นรีบรุดเข้ามาช่วยเหลือ ยังแปลกใจไม่หายที่ฉีเฝิงซวีบาดเจ็บขนาดนี้แต่ยังหายใจได้อยู่
ส่วนเขากลับแค่นยิ้มอย่างเลอะเลือนและตะโกนออกมาว่า “ดี!”
เพื่อนร่วมชั้นพยุงเขาขึ้น “ชีวิตหายไปกว่าครึ่งชีวิตแล้ว ยังจะบอกว่าดีอยู่อีก”
ฉีเฝิงซวียิ้ม “ก็ยังดีที่ซูซูโกะไม่รู้อย่างไรล่ะ ไม่งั้นมีหวังได้ร้องไห้ขี้มูกโป่งแน่เลยเชียว”
หลังจากจบการศึกษาแล้วจึงได้กลับประเทศจีน
ฉีเฝิงซวียืนอยู่บนดาดฟ้าของเรือลำเลียงข้ามฟาก ในมือถือรูปถ่ายขาวดำรูปหนึ่ง เป็นรูปที่ถ่ายในงานเทศกาลของวัดในนาระ โดยที่เขายืนมองไปที่กล้องอย่างองอาจผ่าเผย ส่วนหญิงสาวในชุดกิโมโนและรองเท้าเกี๊ยะข้างกายก็เอาแต่เงยหน้ามองเขาด้วยรอยยิ้มสดใส เหมือนว่าเสียงของเธอยังคงวนเวียนอยู่ข้างหูเขาไม่สร่าง “งั้นวันหน้าฉันจะไปหานายเอง รอฉันนะ”
ไม่มีทางมี ‘วันหน้า’ ได้อีกแล้ว หากเธอได้อ่านจดหมายลาฉบับนั้น ก็จะเข้าใจความจำใจต้องลาจากของเขาได้อย่างแจ่มชัด
ข้ามมหาสมุทรผืนนี้ไป สิ่งที่กั้นระหว่างเราทั้งคู่ก็จะเป็นสองประเทศ การจากไปในครั้งนี้นานตราบชั่วชีวิต คงไม่มีวันได้พบเจอกันอีก
ฉีเฝิงซวีคลายนิ้วออกเล็กน้อย พลันรูปถ่ายก็ร่วงลงกลางมหาสมุทร
ค่อยๆ ไกลออกไป
ฉีเฝิงซวีไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่ตนจะได้กลับมาพบหน้าโยโกตะ ซูซูโกะอีกครั้ง
หลายปีต่อมา สามมณฑลทางตะวันออกเฉียงเหนือถูกกองทัพญี่ปุ่นรุกราน กองทัพทหารแห่งชาติจีนแตกพ่าย ฉีเฝิงซวีและทหารสองสามนายที่ปฏิบัติภารกิจพิเศษ ถูกตัดหางปล่อยวัดอยู่ที่ฮาร์บิน ทำให้ถูกจับกุมตัวไปยังกองกำลังทหารญี่ปุ่นที่ประจำการอยู่ในพื้นที่
ฉีเฝิงซวีบาดเจ็บสาหัส จึงถูกทหารญี่ปุ่นที่ยังอยากง้างความจริงออกจากปากเขาส่งตัวไปรักษา
เขาสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาจากการที่หมดสติ แค่มองแวบเดียวก็จำผู้หญิงตรงหน้าที่อยู่ในชุดเสื้อคลุมสีขาวและสวมหน้ากากอนามัยได้แล้ว ดวงตาที่ปราดเปรียวและมีความสุขในวันวาน บัดนี้คลอไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความสงสารและเศร้าเสียใจ เธอเช็ดแก้มเขาด้วยแอลกอฮอล์เบาๆ ถึงแม้จะมีจุดยืนที่เป็นปรปักษ์ต่อกัน แต่การกระทำกลับยังนุ่มนวลไม่เปลี่ยน
ริมฝีปากของฉีเฝิงซวีสั่นขึ้นมาน้อยๆ ไม่รู้ว่าตรงหน้าเป็นภาพลวงตาหรือไม่
จวบจนการเคลื่อนไหวที่แผ่วเบาหยุดลง
สำลีร่วงลงพื้น
ฉีเฝิงซวีจึงได้ยื่นมือออกไปถอดหน้ากากอนามัยของอีกฝ่ายที่ชุ่มน้ำตาออกอย่างช้าๆ เผยให้เห็นดวงหน้าที่คุ้นเคย
โยโกตะ ซูซูโกะ
เขาคิดว่าจดหมายที่ตนเคยทิ้งไว้ได้อธิบายตัวตนของตัวเองอย่างชัดเจนแล้ว แต่กลับไม่เคยคิดเลยว่าเพราะตนระบุบนซองจดหมายว่าเป็นจดหมายลาจาก จึงทำให้ตลอดหลายปีมานี้ซูซูโกะ
ไม่เคยเปิดมันออกอ่าน เธอไม่อยากบอกลา เชื่อแต่ว่าจะได้กลับมาพบกันอีกเท่านั้น
และแม้จะเคยทนทรมานจากความคิดถึงไม่ไหว ถึงกับต้องเอาซองจดหมายมาแนบไว้กับอกแล้วหลับไปนับครั้งไม่ถ้วน แต่เธอก็ไม่เคยเปิดอ่าน ทำราวกับว่าพอเปิดออกมาแล้ว การจากไปอย่างตลอดกาลนั้นก็จะกลายเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดให้เกิดขึ้นจริง
เธอรู้ว่าเขาเป็นทหาร จึงออกตามหา จนกระทั่งจับพลัดจับผลูได้มาทำงานในประเทศจีน เธอมีหน้าที่ตรวจรักษาให้ทหารบาดเจ็บอยู่ในค่ายทหาร ทั้งวาดหวังที่จะได้เจอและหวาดกลัวที่จะเจอเขาด้วย
สิ่งเดียวที่ไม่เคยคิดมาก่อนเลยก็คือ
ฉีเฝิงซวีเป็นทหารจีน
ในคืนนั้น ซูซูโกะแอบนำเครื่องแบบทหารญี่ปุ่นชุดหนึ่งเข้ามาในห้องผู้ป่วย จัดการให้ฉีเฝิงซวีเปลี่ยนเสื้อผ้า อาศัยความคล่องแคล่วในภาษาญี่ปุ่นของเขาปลอมตัวแล้วปะปนออกไป ก็ใช่ว่าจะเป็นไป
ไม่ได้ แต่วินาทีก่อนจาก เขากลับหมุนตัวมาจับข้อมือเธอ และกดเสียงให้เบาอย่างที่สุด “คุณยินดีจะไปกับผมไหม?”
ซูซูโกะก้มหน้าลงเล็กน้อย “ถ้าคุณพาฉันไปด้วย เราจะหนีไม่พ้นด้วยกันทั้งคู่”
ฉีเฝิงซวีรู้สึกปวดใจขึ้นมา “คุณรอผมได้ไหม รอให้สงครามยุติลงแล้วผมจะกลับนาระไปหาคุณ”
ไม่รู้เป็นเพราะคำสัญญานี้มันว่างเปล่าและเบาบางเกินไปหรือไม่ น้ำเสียงของซูซูโกะถึงได้บางเบาตามไปด้วย “อย่าเลยค่ะ ฉันเปิดจดหมายฉบับนั้นอ่านแล้ว คงถึงเวลาที่ต้องบอกลากันเสียที ฉันจะ
ไม่รอคุณ และจะไม่ตามหาคุณอีก”
ฉีเฝิงซวีพยายามข่มความเจ็บปวดในใจนั้นเอาไว้ ปล่อยมือเธออย่างสิ้นหวัง
ก่อนจะลับประตูออกไปเขาก็ได้ยินเสียงเธอเอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่ง “เทพเจ้าโกหกฉัน”
เขาหันหน้ากลับมาทันที “อะไรนะ?”
ซูซูโกะโผเข้าไปกอดแผ่นหลังของอดีตคนรัก ราวกับนกไร้ที่พึ่งที่พยายามจะแอบอิงอยู่ในรังที่กำลังจะถูกลมพัดปลิว เธอกล่าวออกมาทั้งน้ำตา “ครั้งแรกที่พบกันฉันอธิษฐานขอพรกับเทพเจ้าแห่งดอกซากุระว่า ได้โปรดประทานใครสักคนที่จะอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่าให้ฉันที แต่แล้วเทพเจ้าก็โกหก! เทพเจ้าโกหกฉัน!”
ต้นไม้นอกหน้าต่างถูกลมพัดจนเกิดเป็นเสียงซ่าๆ ทันใดนั้นฉีเฝิงซวีก็นึกถึงนาระในปีนั้นขึ้นมา ดอกซากุระค่อยๆ ปลิวเข้าไปในศาลเจ้า แล้วไปติดเข้ากับปอยผมบนหน้าผากของหญิงสาว เขาใน
ตอนนั้นถามเธอด้วยรอยยิ้มว่า ‘แล้วเธออธิษฐานขออะไรกันล่ะ’
ซูซูโกะเขย่งปลายเท้า ริมฝีปากที่สั่นเทาแนบลงไปกับคางที่คมคร้ามไปด้วยเครา จากนั้นริมฝีปากร้อนลวกก็เอ่ยออกมาเบาๆ ว่า “ขอให้คุณอยู่รอดปลอดภัยค่ะ”
การหายตัวไปอย่างลึกลับของฉีเฝิงซวีในคืนนั้น
ทำให้เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบค่อนข้างโกรธ แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไปสงสัยว่าแพทย์หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะมีเหตุผลและความกล้าหาญ ถึงขนาดจะปล่อยตัวทหารจีนคนหนึ่งไปได้
แต่อย่างไรเสีย ซูซูโกะก็เป็นหมอเปลี่ยนเวรเพียงคนเดียวที่เข้าออกหอผู้ป่วยในคืนนั้น แม้จะไม่มีหลักฐาน แต่สุดท้ายก็ยังพาลถูกโกรธไปด้วยอยู่ดี เบื้องบนลงมติกันว่าจะต้องมีการลงโทษในความผิดพลาดที่โง่เขลาครั้งนี้ ซูซูโกะจึงถูกมอบหมายหน้าที่ให้ไปส่ง ‘สารโพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนต’ ที่ใช้ฆ่าเชื้อและอุปกรณ์ตรวจรักษาโรคระบาดที่เว่ยอันสั่ว
หน้าที่ที่ได้รับมอบหมายฟังดูดี แต่ความเป็นจริงนั้นช่างโหดร้าย
พอไปถึงซูซูโกะก็ถูกใช้กำลังบังคับให้นอนอยู่บนเตียงพยาบาลของเว่ยอันสั่ว รอบตัวเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของเหล่าทหารญี่ปุ่นที่ก้าวเข้ามาระบายความใคร่ คุณหมอพยายามปกป้องสาบเสื้อเอาไว้อย่างสุดชีวิต ถึงขั้นกัดลงบนแขนของทหารนายหนึ่งจนจมเขี้ยว
สิ่งที่ตามมาคือแรงตบมหาศาลจนหน้าหัน!
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว