สายตาของแม่บ้านหลี่หยุดที่ผมดำยาวระบ่าของเฉิงเซียว “ทำไมคุณหนูถึงไปเปลี่ยนสีผมเร็วจังคะ?”
เฉิงเซียวได้ยินแล้วก็หันกลับมาส่งยิ้มระรื่นให้อีกฝ่าย “เพราะผมสีไวน์เมื่อกี้เป็นผมปลอมไงคะ”
ตระกูลเฝิงและตระกูลเฉิงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมานาน
‘เฝิงอี่’ และเฉิงโฮ่วจูเป็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายกันในสมัยสงคราม และคบหากันมาจนถึงปัจจุบัน ตระกูลเฝิงมีลูกชายสองคนคือ ‘เฝิงจิ้นถิง’ และ ‘เฝิงจิ้นเซียว’ เฉิงเซียวไม่ค่อยมีโอกาสเจอกับพวกเขาเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะลูกชายคนเล็กอย่าง ‘เฝิงจิ้นเซียว’ ที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในเมือง G และไม่ได้คบหาสมาคมกันเป็นการส่วนตัว แต่เฉิงเซียวเป็นนักเรียนที่มีผลการเรียนดีเป็นอันดับต้นๆ ของมหาวิทยาลัยการบินและยังไม่ได้เซ็นสัญญากับบริษัทไหน ทำให้ผู้บริหารคนใหม่ของสายการบินไห่หนานอย่างเฝิงจิ้นถิงสนใจเธอเป็นอย่างมาก
ด้วยศักยภาพและชื่อเสียงด้านธุรกิจของสายการบินไห่หนานแล้ว ทำให้เฉิงเซียวไม่อาจปฏิเสธการนัดสัมภาษณ์ครั้งนี้ได้ ไหนๆ พ่อก็กรุยทางให้แล้ว เธอจึงตัดสินใจที่จะลองไปสัมภาษณ์ดูสักครั้ง
สำนักงานใหญ่ของสายการบินไห่หนานตั้งอยู่ที่เมือง G ในศูนย์การค้าหยางกวางซึ่งอยู่กลางย่านธุรกิจ เฉิงเซียวมาถึงก่อนเวลานัดหมายสิบนาที เมื่อพนักงานตรงเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์รู้ว่า
เฉิงเซียวมีนัดกับประธานเฝิงจึงรีบบอกชั้นที่ตั้งของสำนักงาน และโทรแจ้งเลขาของท่านประธานให้เฉิงเซียวอย่างไม่รีรอ
บริเวณหน้าลิฟต์มีชายหญิงคู่หนึ่งยืนอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเฉิงเซียวเดินไปถึงประตูลิฟต์ก็เปิดพอดี เธอเดินตามคนทั้งสองเข้าไป จังหวะที่ผู้หญิงคนนั้นหันกลับมา เฉิงเซียวก็พบว่าอีกฝ่ายคือ... คุณหนูบีเอ็ม
วันนี้คุณหนูบีเอ็มอยู่ในลุคผมสั้นสลวย แต่งหน้าอย่างประณีตงดงาม เธอยืนอย่างสง่างามอยู่บนรองเท้าส้นเข็ม และสีหน้าดูอารมณ์ดีอย่างยิ่ง
เซี่ยจื้อเคยบอกว่าคู่หมั้นของเฝ่ยเย่านั้นชื่อ ‘ซางหยู่’ เธอเป็นนางแบบขวัญใจสื่อมวลชน ส่วนชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ซางหยู่ในตอนนี้น่าจะเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเธอ
โลกมันกลมเสียจริงๆ เฉิงเซียวกลอกตาอย่างเอือมระอา
ส่วนทางด้านซางหยู่ก็จำเฉิงเซียวได้เช่นกัน หน้าตาที่เดิมกำลังยิ้มระรื่นแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาภายในเสี้ยววินาที
เฉิงเซียวตีหน้าขรึมแข่งกับอีกฝ่ายที่กำลังมองมาด้วยสายตาอาฆาต ซางหยู่จ้องเธอราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ทว่าหญิงสาวกลับไม่รู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด
เมื่อประตูลิฟต์ปิดลง ผู้จัดการคนนั้นก็กดลิฟต์ไปชั้นที่ยี่สิบ เขาหันมาถามเฉิงเซียวอย่างสุภาพว่า “ชั้นไหนครับคุณผู้หญิง?”
ชั้นที่ยี่สิบเป็นที่ตั้งของห้องทำงานของประธานสายการบินไห่หนาน
“ชั้นที่ยี่สิบค่ะ ขอบคุณค่ะ” เฉิงเซียวตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ซางหยู่ไม่ละสายตาจากเธอแม้แต่วินาทีเดียว ในขณะที่เฉิงเซียวก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ระหว่างที่ลิฟต์กำลังเคลื่อนขึ้นไปด้านบนซางหยู่ก็ตัดสินใจพูดออกมา “ให้พวกความประพฤติแย่มาสมัครเป็นนักบิน จะทำให้บริษัทตกอันดับหรือเปล่าก็ไม่รู้” ดูเหมือนว่าเฝ่ยเย่าคงจะเล่าเรื่องของเฉิงเซียวให้เธอฟังแล้ว
แต่ผู้จัดการส่วนตัวของเธอกลับตีความหมายเป็นอย่างอื่นเขาใช้น้ำเสียงที่พยายามบีบให้เหมือนผู้หญิงตอบกลับไปว่า “อันนั้นคงไม่เกี่ยวอะไรกับเราหรอก เขาจ้างให้เรามาถ่ายโฆษณา เราก็แค่ทำให้มันออกมาดูดี ส่วนเรื่องตกอันดับหรือไม่...”
ที่แท้สายการบินจ้างให้ซางหยู่มาถ่ายโฆษณานี่เอง เฉิงเซียวยืนนิ่งไม่พูดอะไรจนกระทั่งลิฟต์หยุดที่ชั้นยี่สิบถึงได้ตอบกลับอย่างช้าๆ ว่า “พวกคนที่มีความประพฤติแย่ๆ ก็มักจะชอบตำหนิความประพฤติชาวบ้านเขาไปทั่ว แต่ก็ทำได้แค่พูดเท่านั้นแหละ” เธอก้าวออกจากลิฟต์แล้วหันกลับมาพูดว่า “บังคับหางเสือไม่เป็น ก็อย่ามาทำเป็นอวดรู้หน่อยเลย”
ซางหยู่ได้ยินแล้วก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แววตาราวกับจะฆ่าคนได้ ส่วนทางด้านเฉิงเซียวหลังจากพูดจบแล้วก็หมุนตัวเดินเลี้ยวไปทางด้านขวาและไม่สนใจอีกฝ่ายอีก
ผู้จัดการส่วนตัวของซางหยู่ที่ยังไม่เข้าใจเรื่องราวตั้งแต่ต้นถามขึ้นว่า “หางเสืออะไรของเธอ นี่เธอกำลังว่าพวกเราเหรอ”
ซางหยู่เอื้อมมือไปกดปุ่มให้ลิฟต์เคลื่อนลงไปชั้นล่าง ก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดลงเฉิงเซียวได้ยินเสียงผู้จัดการคนนั้นพูดอย่างเป็นเดือดเป็นร้อนว่า “นี่เธอจะไปไหนกันน่ะ? เราต้องไปพบประธานเฝิงนะ ซางหยู่ จะมาทำตัวเอาแต่ใจอย่างนี้ไม่ได้นะ...”
เฝิงจิ้นถิงเป็นผู้บริหารหนุ่มไฟแรงของสายการบินไห่หนาน
เขาเป็นชายหนุ่มที่มีรูปลักษณ์สง่างามและสุภาพอ่อนโยน แม้จะเป็นคนที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมแต่เขาก็ไม่เคยแสดงอาการโอ้อวด หรือหยิ่งผยองออกมา
เฉิงเซียวก้าวเข้าไปในห้องพร้อมกับยิ้มทักทายอีกฝ่าย “สวัสดีค่ะประธานเฝิง”
“เสี่ยวเฉิง” เฝิงจิ้นถิงลุกขึ้นต้อนรับ “ในที่สุดก็รอจนถึงวันที่คุณเรียนจบจนได้”
เฉิงเซียวได้ยินแล้วก็รู้สึกซึ้งใจมาก “คงเพราะฉันโชคดีมั้งคะ แต่ประโยคเมื่อครู่ของคุณเหมือนพ่อที่กำลังพูดกับลูกสาวยังไงไม่รู้ ฉันไม่ค่อยชินกับประโยคที่แสดงความห่างของช่วงวัยเท่าไหร่เลย”
“คุณนี่ยังช่างพูดเหมือนเดิมเลยนะ” เฝิงจิ้นถิงพูดเหมือนพี่ชายที่กำลังหยอกล้อน้องสาว “เจอกันแต่ละครั้งผมเหมือนต้องทำความรู้จักกับคุณใหม่ตลอดเลย”
“เหรอคะ?” เฉิงเซียวเลิกคิ้วถาม
เฝิงจิ้นถิงขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็ถามอย่างสับสนว่า “ลูกสาวตระกูลเฉิงเป็นตัวของตัวเองอย่างนี้ตลอดเลยเหรอ”
เฉิงเซียวตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “คงเพราะมีดีเอ็นเอเดียวกันกับพ่อล่ะมั้งคะ ฉันก็ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดี”
เฝิงจิ้นถิงหัวเราะก่อนจะเอ่ยว่า “เรามานั่งคุยกันดีกว่า”
จากนั้นทั้งคู่ก็คุยกันเรื่องทั่วไป ผ่านไปครู่หนึ่งเฝิงจิ้นถิงก็พาเข้าประเด็น “เรารู้ข้อมูลเกี่ยวกับผลการเรียนตอนที่คุณเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยการบินดี แค่คุณตอบตกลง สายการบินไห่หนานพร้อมจะอ้าแขนรับคุณอย่างจริงใจ ห้าปีหลังจากนี้คุณจะกลายเป็นนักบินดีเด่นของเรา”
จากนักเรียนการบินสู่การเป็นนักบินฝึกหัดระดับสี่ดาวไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จากนั้นต้องเข้ารับการฝึกอบรมอย่างเข้มงวดและต้องผ่านการทดสอบภาคปฏิบัติถึงจะได้รับการเลื่อนขั้นเป็นผู้ช่วยกัปตันหรือนักบินที่สอง และกว่าจะคว้าตำแหน่งกัปตันมาครองได้นั้นจะต้องสะสมชั่วโมงบินให้ครบ 2,700 ชั่วโมง อีกทั้งยังต้องผ่านการฝึกฝนอย่างหนักหน่วง ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคต่างๆ และการควบคุมอารมณ์ของตนเองขณะบังคับเครื่องบิน ดังนั้นการจะเป็นนักบินที่ได้มาตรฐานนั้นโดยปกติแล้วจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยห้าถึงหกปี
“ฉันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ไห่หนานเสนอเงื่อนไขนี้ให้กับฉัน” เฉิงเซียวกล่าว “แต่ฉันเพิ่งจะกลับมาจากต่างประเทศ ยังไม่ได้จัดการเรื่องเอกสารต่างๆ ให้เรียบร้อย ขั้นตอนการยื่นเรื่องเปลี่ยน
ใบอนุญาตการบินต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งถึงสองเดือน”
เฉิงเซียวสอบใบอนุญาตการบินที่ต่างประเทศ โดยหลักการแล้วควรจะขอใบอนุญาตการบินในประเทศที่สำนักงานการบินพลเรือน เธอยังต้องซ่อมรอบบินให้ครบตามข้อกำหนดของหลักสูตร และต้องผ่านการทดสอบเรื่องเส้นทางการบิน เมื่อผ่านการทดสอบทุกขั้นตอนแล้วจึงจะได้รับใบรับรองการบินจากสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศจีน
เฝิงจิ้นถิงพูดยิ้มๆ “ฟังดูเหมือนเป็นข้ออ้างที่ไม่อยากถูกผูกมัดด้วยสัญญามากกว่า”
“ถ้าฉันรับข้อเสนอตอนนี้ก็เท่ากับสูญเสียเอกสารรับรองที่เกี่ยวข้องนี่คะ” เฉิงเซียวคลี่ยิ้ม “รอให้ฉันสอบข้อเขียนเรื่องเส้นทางการบินผ่านก่อน แล้วฉันจะส่งใบสมัครเข้ามาเอง ถ้าโชคดีสายการบินไห่หนานตกลงรับฉันเข้าทำงาน ฉันจะเพิ่มการฝึกฝนและปรับเปลี่ยนรูปแบบการฝึกตามที่บริษัทกำหนด หวังว่าถึงตอนนั้นคุณคงไม่ให้ฉันทำงานกินแรงคนอื่น ไม่เลือกปฏิบัติ และมอบหมายงานให้ฉันเหมือนอย่างที่นักบินคนหนึ่งควรจะได้ทำนะคะ”
เฝิงจิ้นถิงยิ้มน้อยๆ เคารพในการตัดสินใจของเธอ “ถ้าอย่างนั้นผมจะขอพูดในนามของสายการบินไห่หนานว่าเราจะรอใบสมัครของคุณเสมอ”
เพราะต้องออกไปทำธุระข้างนอกต่อ เฝิงจิ้นถิงจึงเดินลงจากตึกพร้อมกับเฉิงเซียว
พอก้าวออกจากลิฟต์ เฉิงเซียวก็หันไปกล่าวขอบคุณพนักงานตรงเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ “ขอบคุณนะคะ ไว้เจอกันใหม่ค่ะ” เธอเดินทิ้งช่วงห่างจากเฝิงจิ้นถิงเล็กน้อย คนอื่นๆ จึงไม่ทันสังเกตว่า
หนุ่มสาวทั้งสองเดินออกมาพร้อมกัน
ระหว่างนั้นเฝิงจิ้นถิงมีสายเรียกเข้า เขาจึงเดินก้มหน้าคุยโทรศัพท์มาตลอดทาง มีบ้างที่เงยหน้ามาเอ่ยทักทายกับผู้คนในบริษัทที่เดินผ่านไปมา ในขณะที่เฉิงเซียวก็เดินตามหลังเขาและแอบส่งข้อความถามเซี่ยจื้อว่า [กาแฟกลับมาหรือยัง เย็นนี้จะได้เตรียมฉลองกัน?]
เซี่ยจื้อส่งข้อความตอบกลับมาอย่างรวดเร็วว่า [รถก็ซ่อมเสร็จแล้ว ดูไม่ออกเลยว่าเพิ่งไปผ่านการชนมา ฉันเลยคิดว่าควรจะปิดเรื่องที่เราไปชนท้ายรถคนอื่นเอาไว้ ตกลงตามนี้นะ]
กาแฟเป็นคนละเอียดและรักรถยิ่งชีวิต นี่เซี่ยจื้อคิดจริงๆหรือว่าเขาจะดูไม่ออกน่ะ? เฉิงเซียวกำลังขบขันกับความคิดของเพื่อนรัก [กาแฟน่ะไหวพริบดีกว่าที่เธอคิดไว้เยอะ พนันได้เลยว่าต้องถูกจับได้แน่ๆ] อยู่ดีๆ เธอก็เหมือนจะเดินสะดุดอะไรบางอย่าง ในขณะที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็มีน้ำอุ่นๆ ราดรดลงมาบนศีรษะของเธอก่อนจะค่อยๆ ไหลลงมายังใบหน้า
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว