อาหลานหวานละมุม

ค่ายอาสา

เมื่อผ่านประตูวาสนา เหนือศีรษะของทุกคนพลันปรากฏลูกแสงทรงกลมขึ้นมา และแน่นอนว่าในลูกแสงย่อมมีตัวเลขแห่งโชควาสนา ซึ่งจะเป็นสิ่งที่เปิดเผยขอบเขตจำนวนชั้นสูงสุดบนหอคอย ที่คนผู้นั้นสามารถไปถึงได้...

ทว่าในตอนนี้ ไม่มีใครมามั่วพะวงกับตัวเลข เนื่องด้วยกลุ่มศิษย์ทั้งเหล่านี้ทั้งหมด ยกเว้น ซุน ต่างก็เคยมาที่หอคอยแห่งนี้กันแล้ว ตัวเลขของโชควาสนาแม้จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในแต่ละปี ทว่าก็ไม่คลาดเคลื่อนมากมายนัก... ทางด้านของ ซุน เองก็อยู่บนหลังของ เฝิงน้อย ทะยานบินเหนือขบวนศิษย์ จึงยากที่ผู้ในจะมองเห็นตัวเลขลูกแสงของ ซุน ได้

เวลานี้ทุกคนให้ความสำคัญกับรูปขบวนเสียมากกว่า เพื่อสร้างเป็นขอบข่ายพลังปกป้องตนเองและพวกพ้องในขบวนขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง... เบื้องหน้าเป็นประตูทางเข้าหอคอย เป็นประตูแสงที่ราวกับเป็นประตูไปสู่มิติอื่น...

ทุกคนควบสัตว์อสูรพาหนะเต็มกำลัง ทะลุผ่านประตูเข้าไปอย่างรวดเร็ว ปรากฏตัวอีกครั้งในสถานที่อันแตกต่าง... สองเจ้าสำนัก รวมไปถึงบรรดาเหล่าผู้อาวุโส ได้แต่เฝ้ามองขบวนศิษย์หลักจากที่ห่างไกล เผยสีหน้าเป็นกังวลอย่างอดไม่ได้ แต่บางส่วนก็ยังค้างคาใจในการปรากฏตัวเลขสามหลักที่ประตูวาสนา

“ตอนที่ตัวเลขสามหลักปรากฏ มีเพียงแค่สมาชิกในขบวนศิษย์หลักที่ผ่านประตูวาสนา ไม่มียอดฝีมือจากภายนอก ฉะนั้นจะต้องเป็นศิษย์หลักคนในคนหนึ่งอย่างแน่นอน...” เสียงบางส่วนเอ่ยพึมพำขึ้น คนจากสำนักบุปผาประจิม ต่างก็คิดไปต่าง ๆ นานา

ทว่ากลุ่มผู้อาวุโสของสำนักสายลมประจิม กลับค่อยข้างมั่นใจว่าคนผู้นั้นเป็นใคร โดยเฉพาะเจ้าสำนักอย่าง อวิ๋นหยางหลิ่ง... “ในเมื่อคนเป็นที่ท่านภูติผู้พิทักษ์เฝ้ารอมาตลอดหนึ่งหมื่นปี ยังจะเป็นใครไปได้อีกนอกจากเด็กคนนั้น ทว่าโชคชะตามิใช่สิ่งที่จะจับคว้าได้ง่ายนัก โดยเฉพาะโชควาสนา ไม่มีผู้ยิ่งใหญ่คนใดมีเส้นทางที่ราบรื่นในการก้าวเดิน หวังก็แต่เจ้าจะฝ่าฟันมันไปได้อย่างปลอดภัย...”

คำพูดของ อวิ๋นหยางหลิ่ง ทำให้เหล่าผู้อาวุโสอีกหลาย ๆ คนพยักหน้าเห็นพ้อง จ้องมองไปยังวิหคเพียงหนึ่งเดียวในขบวนที่ทะลุผ่านประตูแสง เข้าไปในหอคอย...

................................................

ผู้นำขบวนด้านหน้าสุดก็คือ เจี่ยโย่วเทียน และ ซวงฉวี่ ทั้งคู่ต่างก็เป็นศิษย์หลักอันดับ 1 ที่ศิษย์จากทั้งสองสำนักให้ความไว้วางใจมากที่สุด สองผู้นำขบวนจดจำแผนที่ตั้งแต่ชั้นที่ 1-50 ได้อย่างละเอียด โดยปกติแล้วก็สามารถนำทางได้เลย ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาหยิบแผนที่ขึ้นมาตรวจสอบใด ๆ ทว่า ณ เวลานี้มรสุมภายในหอคอยเกิดความแปรปรวนอย่างผิดปกติ แม้แต่ในชั้นที่ 1 ซึ่งควรจะเป็นชั้นที่ไร้ซึ่งอันตราย ยังมีพายุทะเลทรายที่หมุนวนอยู่รอบ ๆ

แต่ในขณะเดียว กระแสลมปราณที่คละคลุ้งอยู่ภายในชั้นที่ 1 ซึ่งปกติแล้วน่าจะไม่แตกต่างไปจากด้านนอกเท่าใดนัก เวลานี้มันกลับพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก จนอาจจะเทียบได้กับชั้นที่ 2-3 ในช่วงเวลาปกติ สิ่งนี้ยิ่งตอกย้ำให้ทุกคนเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

“ชั้นที่ 1 ยังมีกระแสลมปราณในระดับนี้ หากไปยังชั้นที่ 40 50 หรือมากกว่านั้น จะไม่ยิ่งมีกระแสลมปราณที่มากมายเหนือประมาณเลยงั้นหรือ!!”
“มาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าจะไม่ยอมให้มรสุมใด ๆ มาขว้างกันโชควาสนาในครั้งนี้ได้เป็นแน่!!”

ภายในขบวน ทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความฮึกเหิม ดวงตาเจิดจ้าอย่างที่พบเห็นได้ไม่บ่อยครั้งนัก บางคนยังถึงขั้นรีบกลืนโอสถเพิ่มพูนพลังในการดูดซับตั้งแต่ในช่วงชั้นนี้ เป็นการบอกเป็นนัย ๆ ว่าคงตระเตรียมโอสถมาเป็นจำนวนมาก ชนิดที่สามารถกลืนกินได้โดยไม่นึกเสียดาย...

ซุน ในคราแรกกำลังตื่นเต้นไปกับการเข้ามาในหอคอยเป็นครั้งแรก เมื่อผ่านประตูเข้ามาแล้วราวกับเป็นมิติดินแดนที่แตกต่างกับโลกด้านนอก สัมผัสทุกอย่างสูญเสียความเสถียร แม้แต่หยกสื่อสารก็ยังมิอาจนำมาใช้งาน มันคือความแปลกใหม่ที่เพิ่งเคยได้รู้สึก

จวบจนเฒ่าชีเปลือยกระแอมไอขึ้นมาเพื่อเรียกสติ...
“ลืมไปแล้วหรือเป้าหมายของเจ้าคือการพิชิตหอคอยเชียวนะ อย่าได้มาตกตะลึงกันเรื่องแปลกใหม่เล็กน้อยเช่นนี้... และยิ่งไปกว่านั้น อย่าลืมสิ่งที่เจ้าติดค้างข้าเอาไว้ด้วย แม้ที่นี่จะยังไม่สมควร แต่ก็อย่างให้ข้าต้องรอคอยนานนัก!!”

ซุน เมื่อได้ยินเช่นกัน ก็กะพริบตาปริบ ๆ พอนึกขึ้นมาได้ก็สูดลมหายใจลึก หันมองไปยังลูกแสงทรงกลมที่อยู่เหนือศีรษะ เพื่อให้เห็นตัวเลขแห่งวาสนา ภาวนาว่าอย่าให้มันต่ำเกินไปนัก มิเช่นนั้นคงต้องเผชิญความลำบากจากการปฏิเสธหอคอยอย่างแน่นอน...

และตัวเลขที่ปรากฏก็คือ... 111

“!!!!!!!!!” ซุน เบิกตากว้างในทันทีเมื่อเห็นตัวเลขของตนมีสามหลัก รีบมองสังเกตไปรอบ ๆ ว่าใครเห็นแล้วหรือไม่ ซึ่งก็ค่อนข้างแน่ใจว่ายังไม่มีใครสังเกตเห็นในเรื่องนี้ คงเป็นเพราะ ซุน บินอยู่เหนือคนอื่น ๆ และที่สำคัญก็คือทุกคนกำลังพะวงเกี่ยวกับพายุทรายที่ก่อตัวในชั้นนี้

ซุน ชั่งใจอยู่ว่าควรจะปิดบังเรื่องตัวเลขที่ปรากฏนี้ดีหรือไม่ เกรงว่าตนจะถูกเพ่งเล็งอย่างไม่สมควรกับโชควาสนาที่ดูคล้ายจะเลยเถิดไปกว่าผู้อื่น ซึ่งหากคิดที่จะแก้ไข ซุน ก็สามารถใช้ปราณธาตุแสง ที่ตนเรียนรู้ขั้นพื้นฐานมาแล้ว คงพอจะหาวิธีแก้ไขลบเลือนลงได้...

แต่หลังจากครุ่นคิดสักระยะ ก็นึกได้ว่าปกติชื่อเสียงของ แมวสวรรค์ ก็เป็นที่โจษจันอยู่แล้ว การจะมีเรื่องโจษจันเพิ่มอีกสัก 1-2 เรื่องก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร อาจจะยิ่งสร้างบารมีให้กับตนได้อีกขั้น... “หากข้าทำตัวให้ถูกสังเกตเห็นตอนนี้ อาจจะดูจงใจเกินไปนัก แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้และปล่อยให้คนอื่นมาเห็นเองน่าจะดีกว่า...”

ชายหนุ่มปลื้มปริ่มอยู่ลึก ๆ กับโชควาสนาของตน อย่างน้อยมันก็มิได้ย้ำแย่...

ภายใต้การนำขบวนของ เจี่ยโย่วเทียน และ ซวงฉวี่ ที่ทำออกมาได้ดี สามารถหาเส้นทางที่หลีกเลี่ยงมรสุมทั้งหมดโดยที่ขบวนไม่ได้รับผลกระทบ เรื่องนี้แม้แต่ผู้นำขบวนคนอื่น ๆ ก็ยังให้การยอมรับ และไม่เข้าไปแทรกแซง ไม่นานก็สามารถฝ่าทะลวงชั้นต่าง ๆ ขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็เข้ามาถึงชั้นที่ 10 ในหอคอยได้แล้ว

ซุน เริ่มเข้าใจความลำบากในการปีนหอคอยมากยิ่งขึ้น ร่างกายของ ซุน หนักอึ้งขึ้นกว่าปกตินับ 10 เท่าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่มันเป็นความรู้สึกที่เกิดจากแรงกดดันรอบด้านเท่านั้น น้ำหนักของ ซุน ไม่ได้เพิ่มมากขึ้นจริง ๆ เฝิงน้อย จึงไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ มิเช่นนั้นจะต้องมีอาการผิดแปลกยามโบยบินไปแล้ว

แรงกดดันจากหอคอย ไม่มีผลกับสัตว์อสูร มีผลเฉพาะกับมนุษย์เท่านั้น!! นี่คือสิ่งที่ผ่านการวิเคราะห์มาแล้วนับตั้งแต่อดีต ขอเพียงผู้ที่ใช้สัตว์อสูรพาหนะสามารถทนต่อแรงกดดันในชั้นต่าง ๆ ได้ สัตว์อสูร ก็สามารถนำพาเพื่อฝ่าตะลุยไปได้อย่างต่อเนื่อง

แม้ว่าในหอคอย ณ เวลานี้จะเต็มไปด้วยยอดฝีมือหลายร้อย หรืออาจจะมีนับพันคน ที่ทยอยกันเข้ามาอย่างต่อเนื่อง... ทว่ากลุ่มของศิษย์หลักสองสำนักที่ทุกคนล้วนใช้สัตว์อสูรพาหนะ เคลื่อนพลพร้อมเพรียงเป็นขบวนก็จัดว่าโดดเด่นที่สุด ถึงแม้จะมีแต่ชนชั้นผู้เยาว์ทว่าก็ยังสามารถสร้างความน่ากริ่งเกรงให้กับผู้พบเห็น

เมื่อขึ้นมาในชั้นที่สูงขึ้น จำนวนของยอดฝีมือที่เข้ามาก็เริ่มบางตาลง แต่ในขณะเดียวกัน ก็เริ่มมองเห็นสายตาแห่งความริษยาปรากฏให้เห็นมากมาย เนื่องจากสัตว์อสูรพาหนะคือทรัพยากรที่มีราคามหาศาล มิใช่สิ่งที่ทุกคนจะมีไว้ในครอบครองได้... ยอดฝีมือเกือบทั้งหมดล้วนเดินทางด้วยเท้า และต้องเผชิญกับความยากลำบากของแรงกดดัน เมื่อเห็นขบวนสัตว์อสูรพาหนะเคลื่อนผ่านไป จึงเผยแววตาที่ดุร้ายมายังกลุ่มขบวนนี้

จ้าวซือจี๋ มีใบหน้าที่เคร่งขรึมลงเรื่อย ๆ ด้วยฐานะของผู้คุ้มกันขบวน และประสบการณ์ที่โชกโชนในยุทธภพ เริ่มออกมาออกว่าใกล้จะเข้าสู่ขอบเขตความเสี่ยงบางอย่างแล้ว... กระแสลมปราณบ้าคลั่งที่หนาแน่นในการดูดซับ ยิ่งขึ้นไปในชั้นสูง ๆ ก็เปรียบได้กับโชควาสนาอย่างหนึ่ง

จะไม่น่าแปลกใจเลย หากจะมีคนพยายามหาทางช่วงชิงสัตว์อสูรพาหนะของผู้อื่น เพื่อให้ตนเองไปได้ไกลมากยิ่งขึ้น… ภายในหอคอยถือสถานที่ซึ่งผู้คนด้านนอกจะไม่มีทางเข้ามาตรวจสอบที่เกิดเหตุได้ ดังนั้นจึงเกิดการลอบสังหารมากมายนับครั้งไม่ถ้วน และยากที่จะจับมือใครดม ยังสามารถมองเห็นโครงกระดูกมนุษย์ ที่เกลื่อนกลาดอยู่ตามพื้นได้ตลอดเส้นทาง...

“ทุกคนพยายามอย่าแตกแถว หรือออกจากขบวน กระชับวงให้แคบลง ขอบข่ายอาคมจะมีผลน้อยลงเรื่อย ๆ เมื่อขึ้นไปในชั้นที่สูงขึ้น เพราะความปรวนแปรมหาศาลจากกระแสลมปราณ ทั้งตอนนี้ยังมีความบ้าคลั่งมากกว่าปกติ ไม่แน่ว่าขอบข่ายอาคมที่พวกเราเตรียมไว้เพื่อไปให้ถึงชั้นที่ 50 อาจจะสลายลงตั้งแต่ชั้นที่ 30 ก็เป็นได้...” จ้าวซือจี๋ ตะโกนย้ำเตือนเป็นระยะ

ไม่นานขบวนก็เข้าสู่ชั้นที่ 11 ของหอคอย... ดูเหมือนว่าความแตกต่างของชั้นที่ 10 และ 11 จะมีช่องว่างที่มากยิ่งกว่าชั้นอื่น ๆ ที่เคยผ่านมา แสดงให้เห็นว่าในทุก ๆ 10 ชั้นของหอคอย กระแสลมปราณที่คละคลุ้งจะเหนือล้ำกว่ากันอย่างมิอาจเทียบได้

ในชั้นที่ 11 นี้ ถึงแม้ว่าความหนักอึ้งของร่างกาย จะมีมากราวกับจมอยู่ในแรงกดดันของน้ำลึกใต้ก้นทะเล กล้ามเนื้อและโลหิต คล้ายส่งเสียงลั่นดังออกมาอยู่เป็นระยะ... ทว่าความหนาแน่นของกระแสลมปราณอันมหาศาล ที่เพียงแต่การสูดอากาศหายใจ ยังรู้สึกได้ถึงพื้นฐานลมปราณซึ่งเริ่มก่อตัวทีละนิด สร้างความตื่นตะลึงให้กับทุกคนในขบวนอย่างมาก...

“ความหนาแน่นของลมปราณเช่นนี้ ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก...” ซุน แทบจะสำลักลมหายใจ

ชั้นที่ 11 มีอุปสรรคอันเป็นมรสุมไม่ต่างอะไรกับชั้นอื่น ๆ ทว่ายังมีตำแหน่งปลอดภัยอยู่มากเช่นกัน ดังนั้น เจี่ยโย่วเทียน ที่เห็นว่าสัตว์อสูรพาหนะ เริ่มจะอ่อนล้าขึ้นมาบ้างแล้ว หลังจากเร่งร้อนเดินทาง จึงส่งสัญญาณไปยัง จ้าวซือจี๋ และ หยวนอิงเล่อ เพื่อขออนุญาตหยุดพัก

ซึ่งเมื่อสองชนชั้นผู้ฝึกสอนกวาดมองไปรอบ ๆ ก็เห็นว่าไม่พบเจออันตรายใดน่าเป็นห่วง อีกทั้งจำนวนยอดฝีมือในชั้นนี้ก็ค่อนข้างเบาบาง จึงยอมอนุญาตให้หมู่ศิษย์ และสัตว์อสูรพาหนะได้พักเพื่อฟื้นฟูร่างกาย...

แม้แรงกดดันที่ชั้นนี้จะมีไม่น้อย ทว่าทุกคนล้วนเป็นศิษย์หลักที่มีฝีมือ ไม่ถือเป็นการลำบากใด ๆ ภายใต้แรงกดดันระดับนี้ จึงเริ่มกระจายตัวกันดูดซับกระแสลมปราณโดยรอบ ความเร็วที่ปรากฏนับว่าคุ้มค่ากับความเสี่ยงที่เข้ามา

ความหนาแน่นของกระแสลมปราณในชั้นที่ 11 เพียงแค่ทำการดูดซับลมปราณรอบกายครึ่งชั่วยาม ยังเทียบเท่ากับการเข้าฌานบ่มเพาะที่ด้านนอกตลอดหนึ่งวันเต็ม!! นี่คือความแตกต่างที่น่าตกใจของการยกระดับในหอคอย และแน่นอนว่ายิ่งเดินทางไปชั้นที่สูงขึ้น กระแสลมปราณก็ยิ่งทวีคูณมากขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่แปลกเลยที่จะมีใครสามารถทะลวงผ่านขอบเขตชั้นพลังได้ภายในหอคอยแห่งนี้...

ซุน ลงจากหลัง เฝิงน้อย เป็นครั้งแรก ร่างกายของ ซุน แข็งแกร่งกว่าผู้เยาว์ในระดับเดียวกันมากมายนัก ความหนักอึ้งของร่างกายในตอนนี้ยังแทบไม่รู้สึกรู้สาอันใด ขณะที่ทุกคนก้าวเดินด้วยความยกลำบาก ซุน ยังแสร้งกระโดดไปมาด้วยการเขย่งขาเพียงข้างเดียว ราวกับตนไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทำเอาทุกคนที่มองเห็นถึงกับอึ้งงัน ถึงแม้ว่าที่นี่เป็นเพียงแค่ชั้นที่ 11 ก็จริง แต่ก็ไม่คิดว่ายังจะมีใครสามารถกระโดดไปมาได้ด้วยการเขย่งขาข้างเดียวเช่นนี้

ทว่าการถูกจับจ้องของคนหลาย ๆ คนโดยรอบ ย่อมทำให้ใครบางคนเริ่มสังเกตไปที่ลูกแสงทรงกลมเหนือศีรษะของ ซุน... ศิษย์หลักผู้นั้นเบิกตาโพลงโดยพลัน และยังคิดว่าตนเองนั้นตาฟาดไป จึงขยี้ตาอยู่อีกหลายครั้งก่อนจะเพ่งมองพิจารณาดูใหม่

คราวนี้เมื่อแน่ชัดแล้วกันสิ่งที่เห็น ร่างกันพลันสั่นเยือก สบถขึ้นเสียงดัง...
“สวรรค์!! นี่เจ้ามีตัวเลขวาสนา ถึงชั้นที่ 111 เชียวงั้นหรือ!!”

……………………………………….

รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว