ลำนำล่มแคว้น ลิขิตลายหงส์-บทที่ 1.4 น้องสาวออกเรือนแทนพี่สาว

โดย  Baanarun

ลำนำล่มแคว้น ลิขิตลายหงส์

บทที่ 1.4 น้องสาวออกเรือนแทนพี่สาว

ผู้แทนพระองค์คนนี้สวมชุดคลุมยาวคอกลมสีแดงสด แขนเสื้อแคบกำลังประคองถ้วยชาด้วยสองมืออวบอิ่ม ยามยกชาขึ้นดื่ม ถ้วยชาบดบังใบหน้าของเขาไปกว่าครึ่ง เผยให้เห็นเพียงดวงตากลมโตดำวาว ดูมีปฏิภาณไหวพริบยิ่ง

เด็กเหลือเกิน! นี่เป็นความคิดแรกที่ผุดขึ้นในสมองของเซี่ยฉางเยี่ยน

ดูแล้วเขาน่าจะอายุน้อยกว่าข้าเสียอีก แต่ชุดสีแดงสดเป็นชุดของขุนนางขั้นห้า อายุน้อยเพียงนี้ก็ได้เป็นขุนนางขั้นห้าแล้วหรือ นี่เป็นความคิดต่อมาของเซี่ยฉางเยี่ยน

ได้ยินว่าฝ่าบาททรงมีขันทีน้อยฝาแฝดเป็นมหาดเล็กข้างพระวรกายที่โปรดมาก ชื่อหรูอี้กับจี๋เสียง หรือเขาผู้นี้จะเป็นหนึ่งในสองคนที่ว่า

ขณะที่เซี่ยฉางเยี่ยนกำลังคิดอยู่นั้นเอง เซี่ยไหฺวยงก็มองมาที่นางพลางเอ่ย “ฉางเยี่ยน ท่านนี้คือหรูอี้กงกง มหาดเล็กข้างพระวรกายฝ่าบาทเดินทางมาครานี้เพื่อประกาศราชโองการโดยเฉพาะ”

เป็นเขาจริง ๆ!

หรูอี้วางถ้วยชาลงบนโต๊ะ จึงทำให้เห็นทั้งใบหน้าของเขา นัยน์ตาเปล่งประกาย ฟันขาวหมดจด รูปงามราวหยกสลัก เห็นเช่นนี้ เสียงเล่าลือที่ว่าเยียนหวังโปรดปรานเด็กหนุ่มรูปงามก็ผุดขึ้นในใจเซี่ยฉางเยี่ยนทันใด

เซี่ยฉางเยี่ยนรีบหลุบตาลง เลี่ยงไม่ให้ความรู้สึกที่แท้จริงของตนเผยบนใบหน้า

ขณะที่นางพยายามสำรวมกิริยา หรูอี้กลับวางตัวตามสบายอย่างเห็นได้ชัด เขากวาดตามองเซี่ยฉางเยี่ยนตั้งแต่ศีรษะจรดเท้ารอบหนึ่ง สายตาที่มองนั้นประหลาดยิ่งนัก ราวกับกำลังดูแคลนนาง เซี่ยฉางเยี่ยนค้อมกายคารวะเขา แต่เขากลับแสดงกิริยารับการคารวะอย่างเย่อหยิ่ง ทั้งมิได้คารวะนางตอบ

จากนั้นเขาก็หยิบม้วนผ้าไหมสีเหลืองออกมาจากแขนเสื้อแล้วเริ่มอ่าน“เซี่ยฉางเยี่ยนรับราชโองการ...บ้านเมืองอันสงบสุขย่อมเริ่มต้นจากการมีเหล่าขุนนางผู้ภักดีคอย...เอ่อ ชะ...ช่วย ใช่ ช่วยเหลือราชกิจ อีกทั้งจรรยามารยาทแห่งอิสตรีก็นับเป็นสิ่งสำ...สำ...สำคัญยิ่ง นี่คือครรลองแห่งฟ้าอันบูรพกษัตริย์ทรงปฏิบัติสืบต่อกันมา เมื่อเจ้าได้รับการแต่งตั้งเป็นหวงโฮ่วย่อมพึงยึดถือจรรยามารยาทอันงดงามเฉกเช่นกุลสตรีผู้งะ...งะ...งาม...”

เซี่ยจือเวยซึ่งอยู่ด้านข้างทนต่อไปไม่ไหว ต้องกระซิบบอกว่า “พร้อม”

หรูอี้ค้อนใส่เซี่ยจือเวย แล้วอ่านต่อ “...พร้อม เพื่อเป็นแบบอย่างแก่สตรีทั่วหล้า ด้วยเหตุนี้จึงได้เชิญเฮ่อกงมาเป็นอาจารย์ของเจ้า ให้เข้ามาศึกษาวิชาในเมืองหลวงโดยทันที จบราชโองการ”

เซี่ยฉางเยี่ยนรู้สึกขันระคนตกใจ นางขันที่ผู้แทนพระองค์ผู้สูงศักดิ์อ่านอักษรบนราชโองการไม่ออกหลายตัว และตกใจที่ฝ่าบาทมีรับสั่งให้นางเข้าเมืองหลวงทันที ซ้ำยังหาอาจารย์ไว้ให้นางด้วย

เฮ่อกง แล้วเฮ่อกงคือใครอีกเล่า

เซี่ยไหฺวยงมีสีหน้าหนักใจยิ่ง เขาเชิญหรูอี้ไปคุยทางด้านข้าง “กงกงขอกงกงโปรดชี้แนะ เหตุใดฝ่าบาทจึงมีรับสั่งให้ฉางเยี่ยนไปเมืองหลวงตั้งแต่บัดนี้”

หรูอี้เก็บม้วนราชโองการด้วยอาการฮึดฮัด ทั้งจงใจไม่ตอบคำถาม

เซี่ยจือเวยยื่นกล่องบุแพรกล่องหนึ่งให้เซี่ยไหฺวยง เซี่ยไหฺวยงยัดกล่องนั้นใส่มือหรูอี้ “อิ่นโจวเป็นชนบทกันดารห่างไกล หามีสิ่งล้ำค่าใดไม่จะมีก็เพียงไข่มุกที่กำเนิดใต้โขดหินลั่วอู้ซึ่งพอจะนับว่างามอยู่บ้าง ขอกงกงโปรดรับไว้ด้วย”

หรูอี้คืนกล่องบุแพรกลับไปโดยไม่เปิดออกดู “พระประสงค์ของฝ่าบาท บ่าวจะล่วงรู้ได้อย่างไร เพียงทำตามพระบัญชาก็พอ”

ได้ยินเช่นนี้ เซี่ยไหฺวยงจึงได้แต่ล้มเลิกความพยายาม

หลังจากที่อ่านราชโองการเสร็จ หรูอี้ก็จากไป ก่อนจากยังจ้องเซี่ยฉางเยี่ยนด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ระคนดูแคลนอีกหลายคำรบ ทำเอาเซี่ยฉางเยี่ยนรู้สึกอึดอัดยิ่งนัก

หลังจากที่คณะผู้แทนพระองค์จากไป เซี่ยไหฺวยงก็นิ่งเงียบอยู่นานจากนั้นจึงช้อนตาขึ้นมองเซี่ยฉางเยี่ยน “แม้จะเร็วกว่ากำหนดสองปี แต่หากได้ไปเรียนรู้และปรับตัวในเมืองหลวงเร็วขึ้นหน่อยก็ย่อมดี ทั้งยังจะได้เป็นศิษย์ของเฮ่อกง ฉางเยี่ยน นี่นับว่าเป็นวาสนาของเจ้า”

“ท่านลุงห้า เฮ่อกงคือใครหรือเจ้าคะ”

เซี่ยไหฺวยงยังไม่ทันตอบ เจิ้งซื่อก็ชิงเอ่ยขึ้นว่า “แม้เฮ่อกงจะมีความรู้ความสามารถเหนือผู้ใด ทว่าความประพฤติไม่เหมาะสม หากให้เขาเป็นผู้อบรมหวงโฮ่ว ย่อมไม่สมควรยิ่ง”

เซี่ยฉางเยี่ยนสงสัยใคร่รู้ยิ่งขึ้นอีก นางดึงแขนเสื้อมารดาพลางเอ่ย“เขาเป็นใครกันแน่เจ้าคะท่านแม่”

เจิ้งซื่อลังเลครู่หนึ่ง ถอนใจพลางตอบ “เขาก็คือเฟิงเสียวหย่าบุตรชายอัครเสนาบดีเฟิง”

“อ้อ” เซี่ยฉางเยี่ยนอุทานเช่นนี้ มิใช่เพราะเฟิงเสียวหย่า แต่เพราะชื่อของอัครเสนาบดีเฟิง หากจะกล่าวว่าผู้ใดมีอำนาจบารมีมากที่สุดในแคว้นเยียนละก็ ย่อมหนีไม่พ้นเฟิงเล่อเทียนผู้เป็นขุนนางคนสำคัญสองรัชสมัย เขาเป็นอัครเสนาบดีในไท่ซั่งหวง[1] หลังจากที่ไท่ซั่งหวงสละบัลลังก์ละทางโลกแล้ว เขาก็ยังคงช่วยงานราชการอย่างแข็งขันในสมัยของจางหฺวาหวงตี้พระองค์ใหม่ ทั้งจัดระเบียบกองกำลังคุ้มกันชายแดนและจัดระเบียบขุนนาง ส่งผลให้บ้านเมืองยังคงความสงบสุขและเจริญรุ่งเรืองเรื่อยมา และเรื่องที่ทำให้ผู้คนชื่นชมอย่างยิ่งก็คือ เขาห้ามไม่ให้บุตรหลานในตระกูลรับราชการ ด้วยเหตุนี้ ราชสำนักจึงไม่ปรากฏขุนนางสกุลเฟิงเป็นคนที่สองจึงนับว่าเขาเป็นขุนนางใจซื่อมือสะอาดที่หาได้ยากยิ่ง

เจิ้งซื่อเห็นบุตรสาวมีท่าทีสงสัย จึงกล่าวต่อ “อัครเสนาบดีเฟิงมีบุตรชายคนนี้เพียงคนเดียว เขามีร่างกายไม่สมบูรณ์แต่กำเนิด เมื่อเกิดมาก็เป็นโรคกระดูกละลาย”

“โรคกระดูกละลายเป็นเช่นไรหรือเจ้าคะ”

“กระดูกของผู้เป็นโรคนี้จะไม่เจริญเติบโตตามปกติ เมื่ออายุยิ่งมากขึ้นกระดูกข้อต่อต่าง ๆ ก็จะยิ่งบวม ทำให้ร่างกายงุ้มงอและมีกระดูกปูดโปนดังนั้นจึงเคลื่อนไหวลำบาก ทั้งยังต้องทุกข์ทนเพราะเจ็บปวดตลอดเวลา”

เซี่ยฉางเยี่ยนตะลึงงัน “ถ้าเช่นนี้ ตอนนี้เฟิงเสียวหย่า...”

“ตอนเขาเกิด หมอวินิจฉัยว่าเขาคงมีชีวิตอยู่ไม่พ้นสิบปี ทว่าตอนที่เขาอายุสิบขวบกำลังจะสิ้นใจ ชาวบ้านรู้ว่าบุตรชายคนเดียวของอัครเสนาบดีป่วยหนัก ในวันขึ้นสิบสองค่ำเดือนสิบสอง ต่างพากันถือโคมข่งหมิง[2]ไปเทศกาลแกะสลักน้ำแข็งที่ซิ่งชวนเพื่ออธิษฐานขอพรให้เขา คืนนั้นมีคนไปร่วมจุดโคมประทีปนับพัน”

เซี่ยฉางเยี่ยนฟังเรื่องที่มารดาเล่าจนเพลิน

“จะว่าไปก็น่าอัศจรรย์นักที่เขารอดชีวิตมาได้จริง ๆ ใต้เท้าเฟิงยังเสาะหายอดฝีมือมาสอนวรยุทธ์ให้บุตรชาย ด้วยเหตุนี้เขาจึงกลายเป็นผู้มีวรยุทธ์สูง ทั้งยังทำให้เขามีชีวิตอยู่มาจนถึงบัดนี้ก็อายุยี่สิบปีบริบูรณ์”

“ยี่สิบปี? หากเขามาเป็นอาจารย์ของข้าจริง ๆ ก็นับว่าอายุน้อยไปสักหน่อย...”

“อาจเพราะเขารู้ซึ้งถึงความเป็นความตายมาก่อน ดังนั้นจึงเร่งหาความสุขใส่ตัว...” เจิ้งซื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ก็ได้แต่ทอดถอนใจ “ในเรือนพรรณไม้ของเขา มีสตรีเลอโฉมมากหน้าหลายตาจากทั่วหล้า ในอวี้จิงถึงกับมีคำร้องเล่นเช่นนี้ ‘เมื่อเฮ่อกงมาจงรีบปิดหน้าต่าง สาวเจ้าเอยอย่าได้เมียงมองมองไปมองมา ตายละวา มีอันต้องพรากจากพ่อแม่’ ”

เซี่ยฉางเยี่ยนหลุดหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน

ทว่าเจิ้งซื่อกลับมีสีหน้ากลัดกลุ้ม “นี่เป็นคำเตือนให้เด็กสาวอยู่ห่างจากเขาไว้ อย่าได้ให้เขาเห็นหน้าและพาไปยังเรือนพรรณไม้ คนเช่นนี้จะให้มาเป็นอาจารย์ของเจ้าได้อย่างไร จะให้มาอยู่กับเจ้าทุกเมื่อเชื่อวันได้อย่างไร”

เซี่ยฉางเยี่ยนหัวเราะขึ้นอีก

“ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดคำครหา ขอท่านลุงห้าโปรดถวายฎีกาต่อฝ่าบาท ทูลขอให้พระองค์ทรงเปลี่ยนตัวอาจารย์ให้ฉางเยี่ยน” กล่าวจบเจิ้งซื่อก็ค้อมกายคำนับด้วยท่าทีเคารพยิ่ง

เซี่ยไหฺวยงไตร่ตรองครู่หนึ่งแล้วมองเซี่ยฉางเยี่ยน “ฉางเยี่ยน เจ้าเห็นเช่นไร”

เซี่ยฉางเยี่ยนตอบ “ท่านแม่เห็นว่าฝ่าบาททรงเป็นเช่นไร”

เจิ้งซื่ออึ้งไป ก่อนตอบว่า “พระองค์ทรงพระปรีชา เชี่ยวชาญกลยุทธ์หาผู้เทียบเทียมได้ยากยิ่ง”

“ถ้าเช่นนั้นท่านแม่คิดว่า หวงตี้ผู้ทรงพระปรีชาเช่นนี้ จะไม่ทรงทราบข้อด้อยของเฮ่อกง จะไม่ทรงคำนึงถึงเกียรติยศแห่งราชสกุล จะทรงเลือกอาจารย์ไม่เหมาะสมและก่อให้เกิดอันตรายหรือเจ้าคะ”

เจิ้งซื่อตะลึงงัน

เซี่ยฉางเยี่ยนจับมือมารดาพลางเอ่ย “หากข้าได้ศึกษาเล่าเรียนกับเขาแล้วพบว่าคนผู้นี้ประพฤติตนไม่เหมาะสม จึงค่อยถวายฎีกาต่อฝ่าบาทเช่นนี้ย่อมมีมูลและสมเหตุสมผล แต่หากเรากระวนกระวายใจเพียงเพราะข่าวลือ และขอให้ท่านลุงห้าถวายฎีกาเสียแต่บัดนี้ ฝ่าบาทจะทรงเห็นว่าข้าเป็นคนเช่นไร เฮ่อกงจะเห็นว่าข้าเป็นคนเช่นไร และเมื่อข้าไปอยู่ตัวคนเดียวที่อวี้จิง ซ้ำยังถูกฝ่าบาทและเฮ่อกงรังเกียจ ข้าจะใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวได้อย่างไร”

ใบหน้าของเจิ้งซื่อซีดเผือดไปทันใด เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของบุตรสาวก็ยิ่งรู้สึกหวาดหวั่น

เซี่ยฉางเยี่ยนยืนยิ้มอยู่ตรงหน้ามารดา ดวงตาดำขลับใสกระจ่างบนดวงหน้าอ่อนเยาว์ หากมองผิวเผินย่อมไม่เห็นสิ่งใดต่างไปจากเมื่อครึ่งปีก่อนแต่หากพิศมองให้ดีจะเห็นว่านางเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก

คิดย้อนไปในคราที่นางร้องไห้เสียใจจนตื่นขึ้นกลางดึกเพราะเหตุที่เซี่ยไหฺวยงไม่พอใจที่นางไม่ประสาและไร้แผนการ เหตุการณ์ครั้งนั้นช่างห่างไกลราวกับคนละภพชาติ...

เซี่ยไหฺวยงมองเซี่ยฉางเยี่ยนด้วยสีหน้าพึงพอใจ “ดีมาก มีความคิดอ่านขึ้นมาก ไม่เสียแรงที่ลุงพร่ำสอนมาตลอดครึ่งปี” จากนั้นเขาก็มองไปยังเจิ้งซื่อด้วยท่าทีน่ายำเกรง “ผู้แทนพระองค์บอกว่าการเดินทางครั้งนี้ไม่ต้องให้เอิกเกริก ทางวังหลวงตระเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว และให้บ่าวติดตามไปได้สองคน”

สีหน้าของเจิ้งซื่อเปลี่ยนไปเล็กน้อย

เซี่ยฉางเยี่ยนตกใจ “ท่านแม่ไปกับข้าไม่ได้หรือ”

“การไปอวี้จิงครานี้ แม้ไม่ได้ไปเพื่อเข้าพิธีอภิเษกสมรส แต่ก็ต้องเข้าวัง จึงต้องทำตามจารีต หากไม่ได้รับอนุญาต ย่อมไม่อาจพบคนในครอบครัวได้”

เซี่ยฉางเยี่ยนร้อนใจทันใด “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้”

กลับเป็นเจิ้งซื่อที่กุมมือบุตรสาวไว้พลางเอ่ย “แม่ไม่แข็งแรง คงเดินทางไกลไม่ไหว หากไม่ได้ไปก็ดี...”

“แล้วพิธีปักปิ่นของข้าเล่า ท่านแม่ก็จะไม่ไปปักปิ่นให้ลูกหรือ”

“แม่...ต้องไปแน่นอน”

“ถ้าเช่นนั้นท่านแม่ไม่กลัวหรือว่าเมื่อถึงตอนนั้นจะต้องทนเดินทางลำบาก”

“เอ่อ เรื่องนี้...เมื่อถึงยามนั้น คลองอวี้ปินก็จะขุดเสร็จมิใช่หรือ”

เซี่ยฉางเยี่ยนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย นางเม้มปาก ถอนหายใจเบา ๆ“ท่านแม่นี่ช่างเหลือเกิน ยามต้องเรียกร้องกลับไม่ยอมเรียกร้อง...”

เจิ้งซื่อรู้สึกเหมือนหัวใจของตนถูกกระแทกครั้งหนึ่ง

เซี่ยฉางเยี่ยนหันกลับไปหาเซี่ยไหฺวยง “ขอท่านลุงโปรดถวายฎีกาต่อฝ่าบาท ทูลว่าฉางเยี่ยนมีคำร้องขอสองประการ ประการแรก เดินทางไปอวี้จิงครานี้ ขอให้มารดาติดตามไปด้วย ประการที่สอง ขอให้ทรงจัดที่พักให้นอกวังหลวง มิฉะนั้น ข้าจะไม่ไป”

เซี่ยไหฺวยงหรี่ตา สีหน้าไม่อยากเชื่อ “เจ้ากำลังพูดอะไร”

“ท่านลุงเคยสอนฉางเยี่ยนว่า การเรียกร้องหรือไม่เรียกร้อง ขึ้นอยู่กับคำว่าเหตุผลเพียงคำเดียว ตามกฎหมายแคว้นเยียน ไม่มีข้อใดระบุว่าเด็กหญิงที่ยังไม่ได้เข้าพิธีปักปิ่นไม่สามารถอยู่กับมารดาได้ ทั้งการเข้าไปอาศัยในบ้านของสามีทั้งที่ยังไม่ได้เข้าพิธีแต่งงาน ก็ยิ่งไม่ถูกต้องตามจารีตเสียยิ่งกว่า”

“สามหาว!” เซี่ยไหฺวยงตบโต๊ะเตี้ยที่อยู่ตรงหน้าอย่างแรง เหรียญทองแดงบนโต๊ะกระเด้งขึ้นมา “ลุงไม่เคยสอนให้เจ้าขัดราชโองการ!”

เซี่ยฉางเยี่ยนหยิบม้วนราชโองการที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาเปิดออก ชี้ให้ทุกคนในที่นั้นดู “ข้าไม่ได้ขัดราชโองการ ทุกท่านโปรดดูให้ชัดเจน...ราชโองการมีทั้งหมดหกสิบสามตัวอักษร ไม่มีถ้อยคำใดที่กล่าวว่าไม่อนุญาตให้มารดาร่วมเดินทางไปด้วยได้”

เซี่ยจือเวยซึ่งอยู่ด้านข้างอดหัวเราะเบา ๆ ออกมาไม่ได้

เซี่ยไหฺวยงจ้องเซี่ยฉางเยี่ยนตาเขม็ง เซี่ยฉางเยี่ยนเองก็มองเขากลับตาไม่กะพริบ ทั้งคู่จ้องกันอยู่เช่นนี้สักพัก ในที่สุดเซี่ยไหฺวยงก็ถอนใจ“เอาเถิด”

ดวงตาของเซี่ยฉางเยี่ยนเป็นประกาย “ท่านลุงห้ายอมรับปากใช่หรือไม่เจ้าคะ”

“อืม”

“ขอบคุณท่านลุงห้ามากเจ้าค่ะ!” เซี่ยฉางเยี่ยนรีบดึงเจิ้งซื่อให้คำนับขอบคุณพร้อมกัน

“ไปได้แล้ว” เซี่ยไหฺวยงมีสีหน้าไม่อยากยอมรับ

รอจนกระทั่งเซี่ยฉางเยี่ยนกับเจิ้งซื่อออกไปแล้ว เซี่ยไหฺวยงลูบม้วนราชโองการ สีหน้าแสดงอารมณ์ซับซ้อน

เซี่ยจือเวยถอนใจพลางเอ่ย “ความคิดอ่านของสิบเก้าพัฒนารวดเร็วนัก ช่างน่าทึ่งเสียจริง”

“หากเป็นด้านความรู้ก็พัฒนาไม่มาก แต่นับว่าใจกล้าขึ้นมากทีเดียว”

“ผู้เป็นหวงโฮ่ว หากโอนอ่อนและอดกลั้นตลอดเวลาย่อมมิใช่เรื่องดี”เซี่ยจือเวยยิ้มอย่างมีนัย “เมื่อฎีกานี้ส่งขึ้นไป ฝ่าบาทผู้ทรงมีความคิดอ่านต่างจากผู้อื่นอาจมิได้กริ้ว ดีไม่ดีอาจพอพระทัยในตัวว่าที่ภรรยาผู้นี้อย่างตราตรึงก็เป็นได้”


ขณะที่เซี่ยฉางเยี่ยนกำลังนั่งหวีผมที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง นางเห็นมารดายืนนิ่งมองตนในคันฉ่องทองแดง จึงรีบเอ่ยถาม “ท่านแม่มีเรื่องจะพูดกับลูกหรือเจ้าคะ”

เจิ้งซื่อส่ายหน้า เดินไปนั่งลงที่ตั่งด้านข้างแล้วลงมือปักผ้า เซี่ยฉาง-เยี่ยนหันไปมองก็เห็นรองเท้าใหม่ข้างหนึ่งที่ปักใกล้เสร็จ บนรองเท้าปักลายดอกเสาเย่าสีแดงช่อหนึ่ง ฝีมือปักประณีตงดงามยิ่งนัก

“ท่านแม่...” เมื่อคิดถึงภาพมารดาตั้งอกตั้งใจปักเย็บรองเท้า ขอบตาของเซี่ยฉางเยี่ยนก็รู้สึกแสบร้อนจนอยากร้องไห้ “ที่ลูกพูดว่ายามต้องเรียกร้องท่านแม่กลับไม่ยอมเรียกร้อง ทำให้ท่านแม่เสียใจใช่หรือไม่”

เจิ้งซื่อหยุดฝีเข็ม ลูบศีรษะบุตรสาวอย่างอ่อนโยน “หวันหว่านพูดถูกเหตุใดแม่ต้องเสียใจด้วยเล่า แม่เพียงโทษตัวเอง...”

“โทษตัวเอง?”

“เดิมแม่เป็นคนสอนเจ้าเองว่า ไม่ว่ากระทำสิ่งใด จงวางตนอยู่ในครรลอง ยึดมั่นในคุณธรรม มีจิตเมตตา แต่บัดนี้เจ้ากลับเป็นฝ่ายสอนแม่ด้วยการทำให้แม่ดูเป็นตัวอย่าง” เจิ้งซื่อกล่าวถึงตรงนี้ สายตาก็มองไปที่ลวดลายดอกเสาเย่า “ผลิบานงดงามหอมกรุ่น ดั่งสุภาพชนยามแย้มสรวลอัปสรเล็มดอกนวล จึงมิควรถ่อมตัวตน”[3]

สองแม่ลูกสบตายิ้มให้กัน


เจ็ดวันต่อมา ฎีกาของเซี่ยไหฺวยงได้ถูกนำขึ้นถวายต่อเยียนหวังถึงโต๊ะทรงพระอักษร

มือเรียวงามข้างหนึ่งหยิบฎีกาขึ้นมา ครั้นเห็นข้อความบนฎีกานั้นเจ้าของมือก็อดยิ้มไม่ได้ หันไปถามหรูอี้ซึ่งยืนรับใช้อยู่ด้านข้าง “เจ้าพบนางแล้วใช่หรือไม่ เป็นเช่นไรบ้าง”

หรูอี้แสดงสีหน้ารังเกียจ “อัปลักษณ์ เตี้ย ไร้มารยาท”

จี๋เสียงผู้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนหรูอี้ราวกับแกะหัวเราะเสียงดังจากอีกด้าน “ฝ่าบาทอย่าได้ทรงเชื่อ ในสายตาเขา ไม่มีผู้ใดคู่ควรกับพระองค์”

“ใครว่า เซี่ยฝานอี นางเมื่อสี่ปีก่อนผู้นั้นนับว่าไม่เลว ว่าแต่เหตุใดฝ่าบาทจึงทรงเลือกเซี่ยฉางเยี่ยนเล่าพ่ะย่ะค่ะ” หรูอี้ถามด้วยสีหน้าสงสัย“หากจำเป็นต้องทรงเลือกสตรีสกุลเซี่ย ตระกูลนี้ก็ยังมีหญิงสาวที่งดงามเพียบพร้อมอีกมากมาย”

“เพราะเหตุใดน่ะหรือ” เจ้าของมือเลิกคิ้ว ดวงตาดำขลับเปล่งประกาย“ย่อมเป็นเพราะ...”

เขาเว้นจังหวะ ปล่อยให้ทั้งสองคนอยากรู้เสียเต็มประดาแล้วจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “นามของนางนั้นดีที่สุด ฉางเยี่ยน ฉางเยี่ยน อักษร‘เยี่ยน’ ในชื่อนางพ้องเสียงกับอักษร ‘เยี่ยน’ ที่แปลว่างานเลี้ยง[4] ขอเชิญร่ำสุรา รสโอชาพาเปรมปรีดิ์”

หรูอี้กับจี๋เสียงต่างจนด้วยถ้อยคำ

“ถ่ายทอดคำสั่ง ให้เสียวหย่ารีบกลับมาโดยเร็ว เพื่อมา...” พูดได้กลางคัน เยียนหวังก็ยิ้ม “เพื่อมาอบรมวิชาความรู้ให้แก่ว่าที่หวงโฮ่ว”


เป็นดังที่เซี่ยจือเวยคาดไว้ เมื่อเยียนหวังจางหฺวาได้ทราบคำร้องขอสองประการของเซี่ยฉางเยี่ยน เขามิได้โกรธ ทั้งยังอนุญาตตามคำขอนั้นด้วยความยินดี ด้วยเหตุนี้ เมื่อถึงวันขึ้นหนึ่งค่ำเดือนสี่ เซี่ยฉางเยี่ยนและเจิ้งซื่อผู้เป็นมารดาก็จากบ้านสกุลเซี่ยของผู้เป็นบิดา ออกเดินทางจากเมืองอิ่นโจวซึ่งมีอากาศชุ่มชื้นไปยังนครหลวงอวี้จิง เพื่อศึกษาจารีตธรรมเนียมและรอเข้าพิธีปักปิ่น

...เตรียมตัวเป็นหวงโฮ่ว


[1] คำเรียกจักรพรรดิองค์ก่อนที่สละราชสมบัติแก่จักรพรรดิองค์ปัจจุบัน

[2] หมายถึงโคมลอย ชื่อ“ข่งหมิง”ก็คือขงเบ้ง เพราะเชื่อกันว่าข่งหมิงเป็นผู้ประดิษฐ์โคมลอย นี้ขึ้นเพื่อส่งข่าวการศึก ต่อมาชาวจีนนิยมปล่อยโคมลอยเพื่ออธิษฐานให้มีความสุข นอกจากชื่อโคม ข่งหมิงแล้ว บางทีก็เรียกว่า “เทียนเติง” หรือโคมฟ้า

[3] ถอดความมาจากบางส่วนของลำนำดอกเสาเย่า (เสาเย่าเกอ) ประพันธ์โดยหานอวี้ กวีสมัย ราชวงศ์ถัง กลอนสองท่อนนี้สื่อความว่า ดอกเสาเย่าเป็นดอกไม้งดงามสูงส่งที่นางฟ้าเป็นผู้คอยดูแล จึง ไม่จำเป็นต้องลดตัวลงเหมือนเช่นดอกท้อ ดอกสาลี่ หรือดอกไม้อื่นทั่วไป

[4] อักษร“เยี่ยน” ในชื่อนางเอก มีความหมายว่า สงบ สันติ พ้องเสียงกับอักษร“เยี่ยน” ที่แปลว่างานเลี้ยง

รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว