กลิ่นฝุ่นทรายลอยคลุ้งในตรอกแคบ สอดประสานกับกลิ่นดินชื้นของพื้นที่เลียบคลอง ไอชาก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างเงียบเชียบ ขณะที่โซเอ้เดินตามอยู่ข้าง ๆ พลางสอดส่องไปรอบด้าน
“เพราะเขาเห็นว่าเจ้าทะเลาะกับข้า… แล้วแยกตัวไปคนเดียว… จึงติดตามเจ้าที่เดินไปในทางเปลี่ยว…”
โซเอ้ทวนคำพูดของไอชา ซึ่งเล่าถึงเหตุการณ์ที่นางได้พบกับมาลิกเมื่อคืนที่ผ่านมา ภายใต้สีหน้าครุ่นคิด พยายามจินตนาการตามภาพในหัว นิ้วชี้แกว่งตามจังหวะคำพูด
“เขาตามเจ้าเข้าไปในตรอก… เพราะกลัวเจ้าจะมีอันตราย… เหตุนี้ ทำให้เจ้ากับเขาได้พบกัน?”
“ใช่”
“มันดูแปลก ๆ นะ”
“แปลกยังไง?”
“ข้าไม่เข้าใจ เขาจะติดตามเจ้าไปทำไม?”
“เขาเป็นทหาร คอยระวังภัยและคุ้มครองชาวเมือง แปลกตรงไหน?”
“มันแปลกตรงที่… เขาไม่ใช่ทหารยามสักหน่อย” โซเอ้พูด ขณะปรับผ้าคลุมที่พาดไหล่ “เขาเป็นถึงองครักษ์เอกของชีคแห่งฮาซานนะ จะมายุ่งเรื่องชาวบ้านทำไมกันล่ะ”
ไอชานิ่งเงียบ ฟังไปพลางก้าวเท้าไปข้างหน้า
“ในตลาดเต็มไปด้วยผู้คน แต่เขากลับสนใจเจ้า… ติดตามเจ้า ทั้งที่ไม่ได้อยู่ในหน้าที่ ไม่ได้เข้าเวร…”
หญิงสาวเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบสนองจึงพูดต่อ ไม่ได้วิเคราะห์ หรือตั้งคำถามปรัชญาอะไร เพียงคิดแทนอีกฝ่าย หากเป็นตนในเวลานั้นจะทำอย่างไร
“ถ้าเขามองว่ามันเป็นหน้าที่จริง ๆ เขาน่าจะบอกให้ทหารตามเจ้าไป แบบนั้นน่าจะเหมาะสมกว่า เจ้าว่าไหม?”
คำพูดนั้นกระตุ้นความคิด ตั้งข้อสังเกตขึ้นมาอย่างง่าย ๆ แม้เต็มไปด้วยช่องให้โต้แย้ง แต่มันก็สมเหตุสมผลในตัวของมัน
“หรือว่าข้าจะคิดมากเกินไปนะ…”
โซเอ้พึมพำ ขณะสายตาเหม่อลอยเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“บางที… เขาอาจจะเฝ้ามองเจ้าแต่แรก และนึกสนใจเจ้า!”
หญิงสาวผมบลอนด์แกว่งนิ้วเร็วขึ้น เหมือนพยายามหาเหตุผลมารองรับและได้พบมันในที่สุด
“ตอนนั้นเจ้าเปิดผ้าคลุมศีรษะออกพอดี… ด้วยเสน่ห์แรงกล้าของเจ้าที่แม้แต่กลิ่นน้ำหอมยังต้องยอมแพ้ ทำให้เขาเผลอเฝ้ามองและสนใจเจ้าขึ้นมา! ดังนั้น หากรักแรกพบอุบัติขึ้น การที่เขาจะตามเจ้าไปก็ไม่ได้แปลกอะไรแล้ว!”
ไอชากลอกตาเบา ๆ ให้กับความคิดเพ้อเจ้อของอีกฝ่าย ทว่าคำว่า ‘เฝ้ามอง’ กลับดึงความคิดของนางให้ย้อนกลับไปยังอดีต น้ำเสียงนั้นยังชัดเจนในความทรงจำ
“ถ้าการเฝ้ามองคือความสุขของเจ้า การได้เฝ้ามองเจ้าก็คือความสุขของข้าเช่นกัน”
สายลมเย็นพัดผ่านยอดอินทผลัม ใบไม้แห้งเสียดสีส่งเสียงกรอบแกรบเป็นระลอก คลองเล็ก ๆ ที่ไหลมาจากโอเอซิสทอดตัวเลียบแนวสวน ปล่อยกระแสน้ำใสสะท้อนแสงแดดยามบ่ายระยิบระยับ กลิ่นดินชื้นและไอเย็นจากสายน้ำเจืออยู่ในอากาศ คอยบรรเทาความร้อนระอุจากผืนทรายที่ล้อมเมืองฝั่งตะวันออก
ท่ามกลางร่มเงาเงียบสงบของสวนในเขตเมืองด้านตะวันตก ห่างไกลจากตลาดและจัตุรัสกลางเมือง มีเพียงคนงานเดินไปมาเป็นครั้งคราว แม้ไม่ใช่ที่รกร้าง แต่ก็ไม่มีใครสนใจพวกเขาทั้งสามที่นั่งพักผ่อนเคียงกัน นานกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว
ดวงตาสีดำขลับสบกับดวงตาสีมรกตอีกครั้ง ขณะที่ดวงตาสีน้ำทะเลละสายตามองไปรอบด้าน
“ข้ากำลังรบกวนเจ้าหรือเปล่า?” มาลิกเอ่ยถาม
ไอชาไม่สบตาเขานานนัก นางหลุบตาหลบอย่างผิดวิสัยอีกครั้ง แล้วตอบเพียงสั้น ๆ
“ไม่”
“เจ้าให้ข้าพูดอยู่เพียงฝ่ายเดียว จนข้าเริ่มกลัวว่าเจ้าจะรำคาญ... ขออภัยหากเจ้าไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น”
เด็กสาวกะพริบตา มือกำชายเสื้อโดยไม่รู้ตัว
ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ คำพูดนี้นางเคยได้ยินมัน… เมื่อนานมาแล้ว และทั้งที่สนทนากันได้พักใหญ่ นางกลับยังรู้สึกเกร็งอย่างไม่น่าเชื่อ นี่ไม่ใช่ตัวนางเลย
“ข้าไม่ได้รำคาญท่าน”
โซเอ้ชำเลืองมองแล้วจึงว่า
“ท่านวางใจเถิด เพื่อนข้าคนนี้ซื่อตรงนัก หากนางไม่สนใจท่านก็คงไม่มาที่นี่ และหากถูกฝืนใจ นางจะหน้าง้ำ ไม่พูดอะไรกับท่านเลยด้วยซ้ำ” หญิงสาวพูดยิ้ม ๆ
“เจ้าเงียบไปเลย” ไอชาเง้างอดใส่
มาลิกอมยิ้ม ขยับตัวเล็กน้อย เพื่อให้สบตากับเด็กสาวตรงหน้าได้ชัดเจนขึ้น พลันนึกแปลกใจตัวเองที่เผลอสนใจนางมากกว่าที่ควรจะเป็น
เขาเคยพบเจอผู้คนไม่น้อย ทั้งสตรีสูงศักดิ์และนักรบผู้เกรียงไกร แต่ไม่เคยมีใครทำให้เขาต้องหยุดสายตาได้นานเช่นนี้ ทั้งที่นางไม่ได้มีรูปลักษณ์โดดเด่น ไม่ได้แต่งองค์ทรงเครื่องจนสะดุดตา กระนั้น นับแต่วินาทีแรกที่เห็นนางเดินผ่านซุ้มประตูเมือง เขากลับละสายตาจากนางไม่ได้แม้สักชั่วอึดใจ
การเฝ้ามองใครสักคน โดยปราศจากเหตุผลที่ชัดเจนนั้นไม่ใช่ตัวเขา บอกกับตนเองว่า อาจเป็นโชคชะตาบางอย่างที่ดลให้เขามาพบกับนาง และมีทวยเทพช่วยดลใจให้นางตอบรับคำชวนของเขา จนนำมาสู่การพบกันอีกครั้งในวันนี้
สายตาของเขาเลื่อนต่ำลงไปยังแขนของนาง มองแนวเสื้อที่ปกปิดผิวเนื้อไว้ แม้ไม่อาจเห็นได้ด้วยตา แต่รู้ดีว่าใต้เนื้อผ้าหนานั้น มีบาดแผลที่กำลังสมานตัว… บาดแผลจากคมหอกของเขาเอง
ใช่แล้ว เขาบอกกับตัวเองว่า ‘ข้าไม่ได้ละเลยต่อหน้าที่สักหน่อย ทั้งหมดคือการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างฮาซานกับบาร์บารีที่พังทลายลงไป’ เขาเพียงหวังเดินหน้าหาพันธมิตร เพื่อเดินหมากต่อสู้กับอำนาจที่ครอบงำฮาซาน นั่นคือสิ่งที่เขาอยากให้ตัวเองเชื่อ
มันคือข้ออ้างเดียวที่ทำให้เขามุ่งมั่น พยายามเกาะกุมมือของนาง
“ท่านองครักษ์ยังไม่ได้บอกข้าว่า ทำไมท่านถึงอยากพบข้า” ไอชาแทรกขึ้นกลางความคิดของชายหนุ่ม
เขาสบมองนาง ยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงบอก
“ข้าก็ไม่รู้… ข้ารู้เพียงว่าเจ้าอยู่กลางความมืดเพียงลำพัง หากข้าไม่ยื่นมือออกไปคว้ามือของเจ้าเอาไว้ เจ้าอาจหายไปจากสายตาของข้า และข้าไม่ต้องการให้เป็นอย่างนั้น”
ไอชานิ่งงันไปอึดใจก่อนบ่ายหน้าหลบ มือเผลอกำชายแขนเสื้อแน่นขึ้นอีกครั้ง
“ข้าไม่เข้าใจ”
มาลิกยังคงจ้องมองนางไม่วางตา ก่อนจะพูดขึ้นชัดถ้อยชัดคำ
“ข้าสนใจเจ้า และข้าอยากรู้จักเจ้า”
เด็กสาวมองสบเขาเพียงเสี้ยววินาที ก่อนเบือนหน้าหนี นิ่งเงียบไปในทันที ขณะที่หัวใจเต้นแรงอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมานาน มือเล็ก ๆ บีบชายเสื้อแน่น รู้สึกได้ถึงไออุ่นในอกที่แผ่กระจายออกมา จนชวนให้กระสับกระส่าย
“ท่านพูดไปเรื่อยเปื่อย”
คำตอบนั้นเรียกรอยยิ้มจากมาลิกอีกครั้ง ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขาหลงรักการตอบสนองของนาง
“ข้าพูดไปเรื่อยเปื่อย?” เขาทวนคำ เอนตัวเข้ามาเล็กน้อย “หรือเจ้าเพียงไม่อยากตอบคำถามนั้น?”
ไอชายิ่งเม้มริมฝีปากแน่นกว่าเดิม พยายามเลี่ยงสายตาของเขา
“เช่นนั้น ข้าถามเจ้าบ้าง” เสียงทุ้มทอดจังหวะช้า “ทำไมเจ้าถึงตอบรับคำชวนที่ไม่สมเหตุสมผลของข้า?”
คราวนี้หัวใจของไอชาราวกับถูกเขย่า นางไม่ยอมบอกเขาแน่ว่า ‘ข้าเพียงอยากเห็นหน้าท่าน เพื่อให้หายคิดถึง’
“ข้าพยายามหาคำตอบอยู่ทั้งคืนว่าอะไรดลใจเจ้า ทำให้เจ้ายอมมาพบข้าที่นี่”
“หากท่านไม่หยุดสงสัยเรื่องนั้น ข้าจะไม่มาพบท่านอีก”
“นางหมายความว่าท่านจะได้พบนางอีก หากท่านต้องการ” โซเอ้ขยายความ
ไอชาหันขวับ ส่งสายตาปะหลับปะเหลือก
“เพื่อนรักข้าปากไม่ตรงกับใจ”
“เจ้าเงียบไปเลย!”
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว