เงากลางทรวง-ตอนที่ 13 หัวใจดวงเดิม

โดย  วนาลักษณ์ ลาเวีย บรรพกาล นักเขียน

เงากลางทรวง

ตอนที่ 13 หัวใจดวงเดิม

“หย่าค่ะ แต่ถ้าเทียบกับที่นี่ยังถือว่าเป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมาก คนไทยยังถือเรื่องผัวเดียวเมียเดียวไปตลอดชีวิต และการหย่าร้างถือว่าเป็นความล้มเหลวสูงสุดในชีวิตของผู้หญิง ผู้หญิงจะถูกมองว่ามีตำหนิ เป็นสินค้ามือสอง ผู้หญิงบางคนยอมเจ็บปวด ทนอยู่กับสามีที่เลี้ยงด้วยลำแข้ง หรือนอกใจครั้งแล้วครั้งเล่า เพียงเพราะต้องการรักษาสถาบันครอบครัวให้มีพร้อมทั้งพ่อแม่และลูก ผู้หญิงมักจะต้องกล้ำกลืนฝืนทนอยู่กับคำว่า ‘ทนเพื่อลูก’ เสมอ” หญิงสาวจ้องตาคมดุไม่หลบ

“หึ… แล้วคุณคิดว่าเด็กจะอบอุ่นเหรอ ถ้าต้องเห็นแม่ร้องไห้หรือทะเลาะกับพ่อวันแล้ววันเล่า ผมชอบแนวคิดเรื่องผัวเดียวเมียเดียวนะ แต่ผมไม่ชอบแนวคิดเกี่ยวกับการทรีตผู้หญิงในสังคมของคุณเลย” สีหน้าของเขาบอกว่าไม่ชอบใจในสิ่งที่ได้ยินเป็นอย่างมาก

“ฉันก็ไม่ชอบความสองมาตรฐานในสังคมไทยเหมือนกันค่ะ เพราะในขณะที่ผู้หญิงต้องทนก้มหน้าเลี้ยงลูก ถูกตราหน้าว่าเป็นสินค้ามีตำหนิ ผู้ชายกลับลอยตัวอยู่เหนือปัญหา ทั้งที่บ่อยครั้ง สาเหตุของการหย่าร้างเกิดจากการนอกใจของผู้ชาย”

“คุณคิดถูกแล้วล่ะที่เลิกกับหมอนั่น คุณไม่เหมาะกับผู้ชายไทยหรอก” คนพูดรีบซัดลูกบอลเข้าประตูตัวเอง

“งั้นก็ถือว่ามิสโชคดีสุดๆ แล้วใช่ไหมครับที่กำลังจะเป็นเจ้าสาวของคุณ” เจ้าของเสียงทุ้มปนหยอกเย้าคือบุรุษแปลกหน้าที่ก้าวตามเข้ามาในห้องนอน เขามีรูปร่างสูงใหญ่ไล่เลี่ยกับพอล สวมชุดสูททันสมัยสีกรมท่าและมีดวงตาสีเขียวมรกต

“แน่นอน เพราะสำหรับฉัน การแต่งงานคือ One-time deal” ร่างสูงเพรียวของพอลก้าวไปยืนเคียงเจ้าสาว วาดมือโอบเอวคอดแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ขณะพยักพเยิดแนะนำให้เธอรู้จักกับอีกฝ่าย “ซาร่าห์ นั่นเชส สโตนโคลด์ ทนายความของผม”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับมิส นามสกุลผมคือสโตนเฉยๆ อย่าบ้าจี้เชื่อตามมิสเตอร์ไวส์แมนนะครับ”

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะเชส ฉันได้ยินชื่อของคุณบ่อยมาก ในที่สุดก็ได้พบเสียที เรื่องเปลี่ยนชื่อหรือนามสกุลให้คนอื่นตามใจชอบน่ะ ไม่ใช่แค่คุณหรอกค่ะที่เจอ” ศราวณะยื่นมือไปจับมือของอีกฝ่าย เธอเกือบหลุดหัวเราะ เมื่อเขาแตะริมฝีปากลงบนหลังมือ แทนที่จะเชกแฮนด์เหมือนที่คนอื่นๆ ทำ

“มิสสวยหยาดฟ้ามาดินอย่างนี้นี่เอง มิสเตอร์ไวส์แมนถึงเร่งยิกๆ ให้ผมเดินเรื่องปรับสถานะ” เชสขยิบตาหยอกเอินให้คู่สนทนาโดยไม่เกรงสายตาคุกคามของผู้มีศักดิ์เป็นนายจ้าง

เจ้าสาวได้แต่ยิ้มรับคำชมแกมหยอก เธอโล่งใจที่ซามูเอลโผล่มาที่ประตูและแจ้งว่าได้เวลาเดินทางไปขอใบอนุญาตแต่งงานที่สำนักงานเขต หรือ เคาน์ที ออฟ คลาร์ก แมริเอจ บูโร

หญิงสาวขอบคุณมิเคล่ากับผู้ช่วยทั้งสองเมื่อรู้ว่าจะไม่ได้เจอกันอีก เธอเพียงแค่ยิ้มๆ เพื่อรักษามารยาท เมื่อพวกเขากล่าวอวยพรขอให้ชีวิตคู่หวานชื่นยืนนานและมีลูกหลานเต็มคฤหาสน์ ต่างจากเจ้าบ่าวที่ตอบรับด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจว่าคำอวยพรเหล่านั้นจะเป็นจริง

พอลพาเธอขึ้นรถลีมูซีนไปขอใบอนุญาตแต่งงาน จากนั้นก็นั่งรถต่อไปเพื่อขึ้นเฮลิคอปเตอร์ นอกจากเธอ พอล ซามูเอล และเชสแล้ว ก็ยังมีมินิสเตอร์ หรือเจ้าหน้าที่ที่จะประกอบพิธีแต่งงาน และช่างภาพกับช่างถ่ายวิดีโอ

เจ้าบ่าวของงานเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่ชมว่าเธอสวย เขาทำให้เธอแอบคิดว่าชุด ทรงผม และการแต่งหน้าของมิเคล่าอาจไม่ถูกใจ หากแต่ก็ไม่กล้าถาม คิดว่าหากไม่พอใจจริง เขาคงจะหาจังหวะบอกในช่วงใดช่วงหนึ่ง

สิ่งหนึ่งที่พอลทำมาตลอดตั้งแต่ออกจากที่พักคือการจับมือของเธอไม่ปล่อย เขาเล่าให้ฟังคร่าวๆ ในระหว่างเวลาหนึ่งชั่วโมงบนเฮลิคอปเตอร์ ถึงที่มาของแกรนด์แคนยอน ชี้ชวนให้ดูเขื่อนฮูเวอร์และแม่น้ำโคโลราโด แม่น้ำสายหลักซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่เรียกว่าแกรนด์แคนยอน

เมื่อแมลงปอยักษ์ลำนั้นลดระดับลงจอดที่ลานกว้างบนหน้าผาเหนือแคนยอนในส่วนที่้รียดว่านอร์ธริมหรือฝั่งเหนือ อันเป็นฝั่งที่เข้าถึงยากที่สุดของแกรนด์แคนยอน ศราวณะก็ยิ่งรู้สึกว่างานแต่งงานนี้เป็นความลับสุดยอด เธอมองไม่เห็นถนนหนทางหรือนักท่องเที่ยวเลยในรัศมีที่ตามองเห็น สิ่งเดียวที่แลดูเหมือนจะมีชีวิตคือคือแม่น้ำโคโลราโดที่ทอดตัวยาวเป็นแบ็กดร็อปอยู่เบื้องล่างของแคนยอน

พอลพาเจ้าสาวลงจากเฮลิคอปเตอร์โดยมีซามูเอลคอยดูแลความเรียบร้อยของชายชุด หลังจากยืนถ่ายรูปคู่กันกับพาหนะสีดำตามคำขอของตากล้อง มินิสตรีหญิงวัยห้าสิบเศษก็พาบ่าวสาวและพยานไปยังจุดประกอบพิธีซึ่งมีม้านั่งเพียงสองตัวไว้ให้แขก

“ช่อบูเกต์ของเจ้าสาวกับเข็มกลัดดอกไม้สำหรับเจ้าบ่าวครับ” ช่อดอกไม้แน่นขนัดไปด้วยกุหลาบหลากสีถูกกัปตันที่ขับเฮลิคอปเตอร์ส่งให้เจ้าสาว ส่วนเข็มกลัดดอกกุหลาบขาวถูกยื่นให้เจ้าบ่าว

“กลัดให้หน่อยสิ” พอลส่งเข็มกลัดในมือให้เธอ

“กลัดตรงไหนคะ” เธอยอมแลกช่อบูเกต์ในมือกับเข็มกลัดดอกไม้เพื่อทำตามคำขอ

“ตรงนี้” เขาชี้ลงที่ปกซ้ายของทักซิโด้

“ถ้าจิ้มโดนเนื้อเข้า โทษฉันไม่ได้นะคะ” ศราวณะออกตัวขณะบรรจงทำตามคำขออย่างระมัดระวัง เธอตั้งอกตั้งใจทำหน้าจนไม่เห็นรอยยิิ้มที่ผุดขึ้นเหนือริมฝีปากของคนฟัง

“วันนี้คุณสวยมากๆ ตอนเข้าไปเห็นคุณในชุดเจ้าสาว ผมลืมหายใจไปเลย” ชายหนุ่มกระซิบพอให้ได้ยินกันสองคน ตาสีฟ้าน้ำทะเลลึกซึ้งและหวานเชื่อมเสียจนคนถูกชมหลุบตาลงต่ำ

“ฉันนึกว่าคุณไม่ชอบชุด ทรงผม หรือการแต่งหน้าของมิเคล่าเสียอีกค่ะ” ปากอิ่มคลี่ยิ้มเขินๆ โล่งอกที่เขาชอบทุกอย่าง

“ถ้าไม่ชอบ ผมคงไล่ให้เปลี่ยนตั้งแต่เข้าไปเห็นแล้ว ที่เพิ่งบอกว่าคุณสวยเพราะหาโอกาสดีๆ ไม่ได้เสียที” ตาคมกริบสำรวจเสื้อผ้าหน้าผมของเธออีกครั้งอย่างพินิจพิจารณา “ไม่คิดจะชมผมบ้างเหรอ”

ศราวณะช้อนตาขึ้นมองเขาอย่างขำๆ คนอะไรมาทวงขอให้ชมกลับ ไม่มั่นหน้าจริงทำไม่ได้นะเนี่ย

“ชมตามมารยาทก็ยังดีนะ”

หญิงสาวหลุดหัวเราะ “วันนี้คุณดูดีมากค่ะ”

“แค่ดูดี?”สีหน้าของเขาบอกว่าผิดหวังสุดที่จะคณนา

“โอเค…หล่อก็ได้ค่ะ คุณหล่อม้ากมาก หล่อชนิดที่คนไทยเรียกว่าวัวตายควายล้ม พอใจหรือยังคะ” ศราวณะกัดฟันชม ดีนะที่วันนี้มิเคล่าลงรองพื้นให้ ไม่งั้นเขาคงได้เห็นว่าหน้าเธอแดงเป็นตูดลิงแล้ว

“จะพอใจกว่านี้ ถ้าปากกับใจของคุณตรงกัน”

“ถ้าปากกับใจตรงกัน ฉันก็คงปากเบี้ยวแล้วล่ะค่ะ” หญิงสาวเล่นมุกกับเขาเสียเลย

“รู้ใช่ไหมว่าตอนจบพิธี เจ้าบ่าวเจ้าสาวจะต้องจูบ มันเป็นธรรมเนียม” ตาอ่อนเชื่อมหลุบลงมองเรียวปากอิ่ม จูบผู้หญิงมานับครึ่งร้อย แต่ไม่เคยรู้สึกว่าหิวโหยริมฝีปากของใครเท่าปากรูปกระจับคู่นี้ ราวกับมันถูกเคลือบไว้ด้วยเฮโรอีนและเขาเป็นพวกติดยาในระดับที่กู่ไม่กลับ

“รู้ค่ะ เห็นในหนังจนชินแล้ว” คนบ้า! ถามอย่างกับไม่ได้จูบเธอตอนเช้าตรู่มางั้นแหละ

“แล้วก็คงต้องจูบอีกหลายครั้งตอนถ่ายรูปด้วย รูปออกมาจะได้สมจริง เวลายื่นขอปรับสถานะจะได้ไม่มีปัญหา” คนเจ้าเล่ห์หยิบยกประเด็นเดิมๆ มาไล่ต้อนพร้อมส่งยิ้มท้าทาย

“ปกติฉันไม่ชอบเสแสร้งหรือเล่นละครตบตาใครหรอกนะคะ แต่วันนี้ฉันจะท่องให้ขึ้นใจว่าเราเป็นคู่บ่าวสาวที่รักกันปานจะกลืนค่ะ”

“ดี งั้นผมว่าเราควรจะเริ่มต้นด้วยฮอลลีวูดคิสนะ คัปเค้ก” พอลส่งช่อบูเกต์คืนให้เจ้าสาวแล้วพยักพเยิดส่งสัญญาณให้ตากล้องเตรียมถ่ายรูป

“ฮอลลีวูดคิสเป็นอย่างไรคะ” คิ้วงามขมวดปม

“อย่างนี้” เขาจับมือซ้ายของคนช่างสงสัยขึ้นมาโอบลำคอ มือขวากระชับกับแผ่นหลังเปลือย ย่อตัวเล็กน้อยเพื่อใช้มือซ้ายรั้งขาขวาของคนฟังขึ้นมาจนร่างสมส่วนเอนลงตามการจัดท่า “ไม่ต้องเกร็ง ผมแข็งแรงพอ”

“ฉันรู้ค่ะว่าคุณฟิตจัด” เธอทิ้งน้ำหนักตัวลงบนท่อนแขนที่ประคองแผ่นหลังอยู่อย่างไร้กังขา หัวเราะคิกเมื่อเริ่มเข้าใจว่าไอ้จูบแบบฮอลลีวูดเป็นอย่างไร

“ไอ เลิฟ ยู” นักการเงินหนุ่มเปลี่ยนสีหน้าขำๆ นั้นให้กลายเป็นนิ่งงันทันทีที่เธอได้ยินคำว่ารักจากเขา ตาคมกริบจ้องลึกเข้าไปในดวงตาดำขลับที่ตื่นตระหนกราวตาของนางกวาง ก่อนที่แพขนตายาวงอนจะค่อยๆ หลุบต่ำลงยามเขาก้มลงใกล้มากขึ้น“ถ้าจะเล่นละครให้สมจริง คุณก็ควรจะตอบว่า ไอ เลิฟ ยู ทู”

“ไอ เลิฟ ยู ทู” ศราวณะทำตามที่เขาบอกราวกับคนอยู่ใต้อำนาจแห่งมนตรา

เธอสูดหายใจเข้าลึก ย้ำกับตัวเองอีกครั้งว่ากำลังเล่นบทเจ้าสาวที่รักเจ้าบ่าวอย่างสุดหัวใจ ยามปากนุ่มละมุนของเขาแนบลงมาเคล้าคลึงกับริมฝีปากของเธอ จูบแบบฮอลลีวูดของพอลไม่มีการสอดลิ้นเข้ามาในโพรงปาก ทว่ากลับให้ความรู้สึกพิเศษสุดราวกับถูกจูบอยู่บนพรมแดง กว่าจูบยาวนานจะสิ้นสุด เธอก็เข่าอ่อน ตัวร้อนผ่าวเหมือนคนกำลังมีไข้สูง

“คุณโอเคนะคัปเค้ก” เห็นตาปรือปรอยด้วยเพลิงเสน่หา คนถามก็ร่ำๆ จะก้มลงไปจูบซ้ำ

“ฉัน…อ่า… ฉันคิดว่านะคะ” หญิงสาวตอบกลับแบบเบลอๆ

ชายหนุ่มยิ้มเอ็นดู หยิบผ้าเช็ดหน้าสีฟ้าพาสเทลจากกระเป๋ามาเช็ดมุมปากที่เปื้อนลิปสติกของเจ้าสาว ตามด้วยการเช็ดทำความสะอาดปากของตัวเอง แล้วพับเก็บเข้าที่อย่างบรรจง

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว