“หรงเอ๋อร์คิดว่าองค์ชายห้าจะเลือกเสียทรัพย์หรือเสียชื่อเสียงกัน?” คุณชายหวังเอ่ยถาม
“บุรุษผู้นี้รักหน้าตายิ่งนัก เห็นทีคงต้องควักเนื้อซื้อสิ่งไร้ประโยชน์เป็นแน่”
“ยามนี้เรื่องกิจการที่เขาดูแลล้วนเกิดปัญหา เช่นนั้นข้าขอคาดเดาอีกทางว่าเขาจะต้องตัดสินใจเลือกเก็บสำรองเงินเป็นแน่” คุณชายหวังหัวเราะน้อยๆ
“อีกสักครู่ก็รู้ผลแล้วว่าเป็นอย่างไร” ฟางหรงเลิกคิ้วท้าทาย
เพียงไม่นานอาเป่าก็เข้ามาแล้วกระซิบกระซาบเล่าเรื่องราว
“เหล่าพ่อค้าเดินออกจากวังมาด้วยสีหน้าไม่ดีนักเจ้าค่ะ เห็นว่าองค์ชายห้าใช้วาจาบีบบังคับเหล่าพ่อค้าให้ร่วมแรงร่วมใจกันเสียสละสินค้าของตนเพื่อช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติ ผู้ใดนำของไปด้วยมากก็เสียมากเท่านั้น” อาเป่าเล่าด้วยความรู้สึกยินดี
“คุณชายหวังช่างคาดเดาเก่งกาจนัก หรงเอ๋อร์ขอยอมแพ้...แท้จริงแล้วองค์ชายห้าสายตาสั้นปานนี้” ฟางหรงหัวเราะ
“จะโทษที่เขาคิดเช่นนี้ก็มิได้ เป็นเพราะเขารู้ว่าเราเป็นผู้จัดการเรื่องพ่อค้าเหล่านั้นเพื่อที่จะทำให้เขาสูญทรัพย์หนัก ใจเขาจึงจดจ่ออยู่แต่กับเรื่องเงินทองจึงไม่ยอมที่จะเดินตามที่เราวางไว้ ทั้งยังไม่เคยใส่ใจในตัวพ่อค้าที่เป็นชาวบ้านเหล่านั้นอย่างแท้จริงจึงไม่อาจมองสถานการณ์นี้ออก” คุณชายหวังอธิบาย
กว่าองค์ชายห้าจะทันรู้ตัวว่าเดินพลาดไปก็สายไปเสียแล้ว พ่อค้าร้านเล็กๆ ที่ขายของเลี้ยงชีพย่อมไม่มีสายป่านยาวหรือทรัพย์สินมากเท่าพ่อค้าใหญ่หรือเหล่าขุนนาง ทรัพย์สินที่นำติดตัวไปก็นับได้ว่าทั้งหมดที่มีเดิมทีด้วยหวังได้กำไรมาจุนเจือครอบครัวต่อไป
แต่ยามนี้องค์ชายห้าทำให้เขาหมดเนื้อหมดตัวทั้งยังไม่ยอมจ่ายเงินให้ ล้วนเป็นการบีบเหล่าพ่อค้าตัวเล็กๆ ให้เดินทางไปสู่ความตาย
แน่นอนว่าเขาเรียกตัวพ่อค้าเข้าวังทั้งหมดย่อมไม่อาจเลือกปฏิบัติโดยเรียกเก็บเพียงเฉพาะที่ต้องการ มิฉะนั้นจะทำให้พ่อค้าที่ถูกบีบบังคับรู้สึกได้รับความอยุติธรรม เขาย่อมต้องให้ทุกคนทิ้งสินค้าทั้งหมดอย่างเท่าเทียมกัน
แต่เขาลืมคิดเรื่องหนึ่งไปว่า หากเขาบีบบังคับแม้แต่เหล่าพ่อค้าทิ้งของที่ไร้ประโยชน์ต่อการบรรเทาทุกข์ย่อมถูกนินทาลับหลังว่าไร้หัวคิด
พ่อค้าเหล่านั้นย่อมต้องมีความคิดว่าแท้จริงแล้วองค์ชายห้ามีใจอยากช่วยเหลือราษฎรจริงหรือ? หรือเพียงต้องการหาประโยชน์จากทรัพย์สินชาวบ้านกันแน่? หากมิใช่เช่นนั้นแล้วไฉนจึงต้องยึดไปทั้งหมดแม้แต่ของไร้ประโยชน์เช่นนี้ด้วยเล่า?
“ยามที่เขาเดินทางถึงอำเภอชิวสุ่ยแล้วทราบว่าเกิดโรคระบาดขึ้นด้วย ไม่รู้ว่าจะมีสีหน้าอย่างไร” คุณชายหวังหัวเราะ
“นั่นสินะเจ้าคะ…”
โครมมม!!!…
ไม่ทันที่ทั้งสองจะได้กล่าวสิ่งใดต่อ ระเบียงที่นั่งอยู่ก็ถล่มลงมาเพราะรากฐานถูกเผาไหม้จึงไม่แข็งแรงทำให้ทั้งสองร่วงสู่พื้นอย่างรวดเร็ว
แม้ระเบียงที่นั่งจะสูงเพียงเข่าไม่ทำให้ทั้งสองได้บาดเจ็บ แต่ยามที่ร่วงถึงพื้นก็ทำให้ทั้งสองเนื้อตัวมอมแมมจากเขม่าที่อยู่ตามไม้
แม้รู้ว่าไม่มีทางบาดเจ็บแต่ในจิตสำนึกของคุณชายหวังก็เร่งเข้าไปปกป้องนางมิให้ได้รับอันตราย
เมื่ออาเป่าได้ยินดังนั้นก็ตกใจและจะวิ่งเข้ามาช่วยพยุงแต่กลับถูกพ่อบ้านสวี่ผู้เป็นบ่าวของคุณชายหวังฉุดรั้งไว้ เขาส่ายหน้าห้ามปราม เมื่ออาเป่าหันไปมองจึงตัดสินใจเดินล่าถอยออกไป
“เห็นทีระเบียงไหม้ๆ นี้คงมิอาจรับน้ำหนักได้ถึงสองคน” ฟางหรงเกาศีรษะแก้เก้อแล้วมองไปยังคุณชายหวังก่อนที่จะมิอาจกลั้นหัวเราะได้
“เจ้าหัวเราะอันใด” คุณชายหวังเอ่ยถาม
“เป็นครั้งแรกที่ข้าเคยเห็นคุณชายตัวสกปรกมอมแมม แม้แต่ใบหน้ายังมีรอยดำเป็นปื้น” ฟางหรงชี้ไปยังจุดที่เปื้อนแล้วหัวเราะเบาๆ
คุณชายหวังมักปรากฏกายในรูปโฉมที่เรียบร้อยดูดีเสมอ แม้แต่ผมยาวสลวยของเขายังไม่เคยพันกัน ไม่คิดว่าจะได้มาเห็นเขาในสภาพนี้เสียบ้าง
“แล้วข้ายังดูดีอยู่หรือไม่” คุณชายหวังเอนกายลงนอนกับพื้นโดยไม่คิดลุกขึ้นยืนแล้วโน้มใบหน้าเข้าใกล้นาง อย่างน้อยในยามนี้สีหน้าของนางก็สดใสน่าดูอย่างยิ่ง
“แค่ก...แน่นอนเจ้าค่ะ ไม่ว่าคุณชายจะเป็นอย่างไรล้วนดูดี” ฟางหรงกระแอมกระไอเบาๆ แล้วจึงหลบสายตา แล้วจึงพลิกตัวหวังจะลุกขึ้นยืนแต่ว่ากลับถูกคุณชายหวังรั้งตัวให้ล้มลงเช่นเดิม
“เจ้ากล่าวว่าข้าดูดี...แล้วเจ้าชอบข้าหรือไม่…” เขาเอ่ยและขยับใกล้ชิดนางยิ่งขึ้น แม้น้ำเสียงจะหยอกเย้าเชิงทีเล่นทีจริงแต่ดวงตาเขาสบตานางราวกับว่าจะมองให้ลึกลงไปถึงหัวใจ
คุณชายหวังโน้มใบหน้าเข้าใกล้ชิดนางเรื่อยๆ จนกระทั่งสามารถสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน เหลือระยะห่างเพียงหนึ่งชุ่นริมฝีปากของทั้งสองก็จะประกบแนบชิดกันเสียแล้ว
ฟางหรงสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจนมิกล้าสบตาเขาต่อไป หัวใจของนางเต้นแรงเหมือนจะหลุดออกมานอกร่างกาย นางอยากจะเบนหน้าหลบแต่เหมือนถูกบางสิ่งที่มองไม่เห็นตรึงเอาไว้มิให้ขยับได้ นางจึงหันกลอกตาไปทางอื่นเพื่อหลบสายตาที่ร้อนแรงของคุณชายหวัง
“อ๊ะ...คุณชาย สิ่งนี้คืออันใด...โอ๊ย!” เมื่อฟางหรงมองเห็นบางสิ่งจึงหันมองให้เต็มตาจนศีรษะนางโขกกับคุณชายหวังเต็มแรงให้ได้สติขึ้นมา นางลูบศีรษะป้อยๆ แล้วจึงแหวกอกเสื้อของคุณชายหวังออกเพื่อมองให้ชัดๆ
“หรงเอ๋อร์มิใช่ร้อนแรงไปหน่อยหรือ ไม่ทันใคร่ครวญว่าผู้ใดคือคนรู้ใจก็คิดเปลื้องผ้าข้าเสียแล้ว ข้าช่างเสียเปรียบยิ่งนัก” คุณชายหวังเอ่ยหยอกเย้า
“คุณชายเจ้าคะ...สัญลักษณ์คือสิ่งใด” ฟางหรงเพ่งมองรอยสีดำที่ปรากฏบนหน้าอกของคุณชายหวัง จู่ๆ ก็ขมวดคิ้วโดยที่มิได้สนใจถ้อยคำหยอกเย้าของคุณชายหวังอีก
“นี่หรือ?...สิ่งนี้ล้วนเป็นตราสัญลักษณ์รอยสักที่ข้าได้รับมาจากแคว้นเซี่ยง ยามที่ข้าแฝงตัวเข้าแคว้นเซี่ยงจำต้องสักด้วยน้ำยาพิเศษเพื่อแสดงตนว่าเป็นประชาชนที่อยู่แคว้นเซี่ยงแต่ข้ายังมิได้รับน้ำยาลบรอยสักจากสหายที่แคว้นเซี่ยง มันจึงยังคงอยู่” คุณชายหวังมองตามแล้วจึงเอ่ยอธิบาย
“ท่านหมายความว่าชาวเซี่ยงทุกคนต้องสักสัญลักษณ์นี้หรือเจ้าคะ”
“หรงเอ๋อร์เข้าใจถูกแล้ว เด็กที่อายุกว่า 7 ปีขึ้นไปไม่ว่าจะเป็นประชาชนหรือเชื้อพระวงศ์ล้วนต้องถูกประทับตราด้วยน้ำยาพิเศษทั้งนั้นเพียงแต่จะมีรอยขีดเพิ่มเพื่อแสดงสถานะของบุคคล แคว้นเซี่ยงรอบคอบและรัดกุมกับประชาชนชาวเซี่ยงอย่างมาก” ในขณะอธิบายเขาก็ขยับกายเข้าใกล้นางยิ่งขึ้น
“สัญลักษณ์นี้สามารถลอกเลียนแบบได้หรือไม่เจ้าคะ” ฟางหรงยังคงสงสัย
“ใช่ว่าสัญลักษณ์นี้จะเลียนแบบได้ง่ายเพราะน้ำยาพิเศษที่ใช้สักนั้นเป็นของควบคุมเฉพาะที่ไม่เคยหลุดออกไปที่ใด หากมิใช่ข้าเคยช่วยสหายชาวเซี่ยงผู้หนึ่งไว้ในอดีตยามนั้นคงมิอาจลอบเข้าไปสืบข่าวในแคว้นเซี่ยงได้”
“คุณชายบอกว่านอกจากสัญลักษณ์ตรงกลางนี้แล้วก็จะมีรอยขีดเพิ่มเพื่อบ่งบอกสถานะของผู้นั้นใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“เจ้ากล่าวถูกต้องแล้ว หากเป็นประชาชนทั่วไปล้วนมีสัญลักษณ์เช่นเดียวกับข้า หากเป็นขุนนางจะมีขีดอย่างนี้เพิ่มขีดหนึ่ง ยิ่งมีบรรดาศักดิ์หรือตำแหน่งสูงก็จะมีขีดเพิ่มอีกขีดหนึ่ง ขีดสูงสุดที่มีคือจำนวนสี่ หากเป็นเชื้อพระวงศ์ก็จะมีวงกลมล้อมรอบอย่างนี้…” คุณชายหวังไม่พูดเปล่าแต่ยังจับมือฟางหรงมาขีดลากแสดงเป็นตัวอย่างที่หน้าอกของตน
“ข้ารู้จักผู้หนึ่งที่มีสัญลักษณ์นี้อยู่บนตัว...และนางมีขีดถึงสี่” ใบหน้าของฟางหรงไม่ได้เผยแววล้อเล่นทำให้คุณชายหวังหยุดหยอกล้อนาง
“นางคือผู้ใดหรือ” คุณชายหวังมีสีหน้าจริงจังมิได้หยอกเย้านางต่ออีก
“นางคือผู้หนึ่งที่หม่อมฉันใกล้ชิดที่สุด ยามนี้อาศัยอยู่ในวังขององค์ไท่จื่อ...แม่นมเมิ่งเจ้าค่ะ…” ฟางหรงตอบชัดเจน
“พวกเรารีบไปพบนางที่วังขององค์ไท่จื่อในเวลานี้เถิด” คุณชายหวังลุกขึ้นยืนแล้วช่วยฉุดให้ฟางหรงยืนขึ้น
“เจ้าค่ะ” ฟางหรงรับคำแล้วจึงเดินคิดอย่างเหม่อลอย
...แม่นมเมิ่ง...ท่านคือผู้ใดกัน...ในอดีตเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?
------------------------------------------------------------------------------------
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่