[จบบริบูรณ์] บุปผาเลี่ยมเพชร [ตีพิมพ์สำนักพิมพ์แสนรัก อ้ายหนี่]-บทที่ 1 ชีวิตของทหารสาวผู้หนึ่ง

โดย  moopeepink

[จบบริบูรณ์] บุปผาเลี่ยมเพชร [ตีพิมพ์สำนักพิมพ์แสนรัก อ้ายหนี่]

บทที่ 1 ชีวิตของทหารสาวผู้หนึ่ง

“ขอเป็นคู่ Pigalle Follies Loubitag กับกระเป๋า Loubiclutch แล้วกัน”

น้ำเสียงนุ่มนวลดังมาจากหญิงสาวที่ยังอยู่ในชุดกีฬายี่ห้อดัง ที่เป็นเพียงเสื้อครอปตัวสั้นกับกางเกงขายาวแนบเนื้อที่เผยให้เห็นสัดส่วนอันสมบูรณ์แบบจากการออกกำลังกายของเจ้าตัวเป็นอย่างดี เหงื่อที่ไหลซึมลงไปตามเส้นกล้ามเนื้อหน้าท้องอันแบนราบนั้น แสดงว่าเจ้าตัวเพิ่งจะออกกำลังกายเสร็จหมาด ๆ

มือเรียวปิดสมุดนัดหมายลงพร้อมกับแฟ้มที่บรรจุรูปของเสื้อผ้า กระเป๋า และรองเท้าของเธอเอาไว้เป็น collections เพื่อให้ง่ายต่อการตัดสินใจเรื่องเครื่องแต่งกายในแต่ละวันให้เหมาะสมกับกาลเทศะ ก่อนจะส่งแฟ้มนั้นให้แม่บ้านนำไปเก็บที่เช่นเดิม

“ก่อนเจ็ดโมงสี่สิบเตรียมรถให้ด้วยค่ะ” เธอสั่งการต่อในขณะยืดคลายกล้ามเนื้อกับเก้าอี้

“ค่ะ มิสเฉิน” เลขาคนเก่งเอ่ยรับ “อาหารเช้าวันนี้รับแบบเดิม...”

“อ่า...” หญิงสาวเอียงคอขณะตอบรับ

“วันนี้วันพุธสินะ... แต่วันนี้ต้องไปกับเด็ก ๆ ครึ่งวัน รบกวนคุณลิ่นเปลี่ยนจากกาแฟธรรมดาเป็น double shots ให้ด้วยค่ะ”

“รับทราบค่ะมิสเฉิน” เลขาสาวเอ่ยก่อนจะโค้งตัวลง และเดินออกจากห้องไป

หญิงสาวส่องกระจกอีกครั้งเพื่อสำรวจใบหน้าและรูปร่างตัวเองก่อนจะก้มดูอุณหภูมิร่างกายที่เริ่มลดลงจนเป็นตัวเลขสีเขียวจากสายรัดข้อมือเพื่อสุขภาพที่สวมเอาไว้ มือขาวเอื้อมไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่พาดเอาไว้ก่อนจะเดินเข้าห้องอาบน้ำไปก่อนที่เธอจะสายไปกว่านี้

‘มิสเฉิน’ เป็นชื่อที่ทุกคนที่ทำงานกับเธอเรียกเธออย่างนั้นมาตั้งแต่แรก ไม่เว้นแม้กระทั่งเลขาคนสนิทหรือแม่บ้านที่เลี้ยงดูเธอมาตั้งแต่เล็ก ที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือแม้แต่พี่ชายของเธอเองช่วงหลังมานี้ก็ยังเรียกเธอว่า ‘มิสเฉิน’ ตามคนพวกนั้นไปด้วยเลย

หญิงสาวทิ้งมือเข้าวัดอุณหภูมิน้ำ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องฝักบัวเพื่อชำระเหงื่อไคลอย่างรวดเร็ว เพราะนักธุรกิจอย่างเธอไม่ใช่คนประเภทที่จะชอบเอ้อระเหยลอยชายแช่อ่างอาบน้ำในยามเช้านัก

...เวลามีค่าดั่งทอง...

ในขณะที่อาบน้ำชำระร่างกายนั้น ในหัวของเจ้าตัวก็พลันนึกถึงตารางงานในวันนี้ไปด้วย เธอกำลังทบทวนแผนงานของตัวเองอย่างรวดเร็วในขณะที่มือของเธอก็ทำหน้าที่ทำความสะอาดร่างกายไปด้วย

การหยุดนิ่งใต้สายน้ำอุ่นนั้นทำให้สมองของมนุษย์สามารถเข้าสู่สภาวะพัก ที่เป็นสภาวะที่เหมาะที่สุดในการจัดระเบียบความคิดของตัวเองและตัดสินใจในเรื่องยาก มันอาจจะฟังดูน่าขำ แต่เป็นที่ยอมรับจากทั่วโลกว่าการตัดสินใจขณะอยู่ในห้องน้ำนั้นให้ผลที่ดีกว่าการตัดสินใจบนโต๊ะประชุมเป็นตัวเลขที่มีนัยสำคัญ...

กิจวัตรยามเช้าของหญิงสาวเป็นไปตามระบบและตารางที่เธอได้กำหนดไว้ ทุกอย่างจะต้องตรงเวลา ควบคุมได้ และไม่ทำให้เกิดข้อผิดพลาดที่จะกระทบต่องาน ไม่ถึงยี่สิบนาทีต่อมาร่างโปร่งในชุดเสื้อเชิ้ตแขนกุดสีขาวผูกริบบิ้นสีฟ้า little blue boy กับกางเกงเอวสูงขาตรงสีเดียวกับริบบิ้นก็เดินลงมาพร้อมกับกระเป๋าและรองเท้าลายสกรีนที่เธอเลือกเอาไว้

“มิสเฉินคะ...” เลขาลิ่นดูลำบากใจเมื่อเห็นอย่างนั้น

“ทำไมหรือคุณลิ่น หรือว่าสีลิปสติกไม่เข้ากัน” หญิงสาวเจ้าของใบหน้าที่งดงามราวกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบเอ่ยถามเลขาของตัวเองด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความแปลกใจ

“ไม่ค่ะมิส” เลขาลิ่นตอบ “สีนี้เหมาะกับงานวันนี้แล้วค่ะ”

‘มิสเฉิน’ พยักหน้ารับก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะอาหารเพื่อจัดการอาหารเช้าที่เรียบง่ายของตัวเองในขณะที่รอฟังรายงานของเลขาตัวเองไปด้วย เลขาสาวคนเก่งรอให้เจ้านายของตนจิบกาแฟไปได้ถึงสามครั้งก่อนจะเริ่มรายงานเพราะเธอรู้ดีว่าเรื่องนี้บอสของเธอจะต้องไม่ชอบใจแน่… อย่างน้อยกาแฟก็ช่วยให้บอสของเธออันตรายน้อยลงบ้าง

“เมื่อครู่มีโทรศัพท์จากคุณผู้หญิงเรื่องดูตัวค่ะ” เลขาสาวรายงานตามที่เพิ่งได้รับการไหว้วานมา

หญิงสาวที่กำลังละเลียดอาหารเช้าเลิกคิ้วน้อย ๆ ก่อนที่สมองของเธอจะเริ่มรวบรวมคลังข้อมูลในหัวที่มีเกี่ยวกับคำว่า ‘ดูตัว’ มาจัดเรียงอีกครั้ง หญิงสาวพยักหน้าเรียบ ๆ ขณะที่ใช้ส้อมจิ้มผลไม้สดในชามเข้าปาก เธอพอจะรู้มาบ้างว่าตอนนี้ทั้งคุณป๋าและมารดาค่อนข้างจะห่วงเรื่องการแต่งงานของเธอเป็นพิเศษ การได้ยินคำว่าดูตัวครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งที่สิบสี่ของสัปดาห์นี้แล้ว...

“คุณผู้หญิงบอกว่า รองศาสตราจารย์เว่ยฮุ่ยเฟิงขอนัดเป็นวันนี้ตอนเที่ยงค่ะ” เลขาลิ่นเอยทั้งที่รู้ดีว่านัดนี้ต้องถูกปฏิเสธแน่นอน

...ไม่มีใครนัดมิสเฉินกะทันหันได้ กฎการนัดมิสเฉินต้องนัดล่วงหน้าอย่างน้อยที่สุดหนึ่งสัปดาห์...

“เที่ยงนี้ไม่ว่าง ประชุมเสร็จจะไปที่ Universal Studios กับเด็ก ๆ เลย” หญิงสาวตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก

ท่าทางอย่างนั้นทำให้เลขาสาวลำบากใจไม่น้อย เพราะเธอเองก็โดนทางคุณผู้หญิงบังคับมาเช่นกันว่า ‘ให้ทำอย่างไรก็ได้ให้มิสเฉินยอมมาดูตัวครั้งนี้’ เพราะรองศาสตราจารย์เว่ยคนนี้เป็นคนที่คุณผู้หญิงเฉินหมายมั่นปั้นมือมากที่สุด มิสเฉินที่กำลังลิ้มรสโยเกิร์ตโฮมเมดอยู่ เงยหน้ามองเลขาของตัวเองที่มีท่าทีอึดอัดด้วยสายตาเห็นใจ

“คุณผู้หญิงเร่งมาหรือ” เธอถามด้วยน้ำเสียงอ่อนลง เพียงเท่านั้นก็เห็นแล้วว่าสีหน้ากังวลของเลขาสาวคลายลงไปมาก

“ค่ะ มิสเฉิน” เลขาลิ่นแทบจะก้มลงคำนับฟ้าดินที่ช่วยดลใจให้มิสเฉินเห็นใจเธอในครั้งนี้

“ถ้าอย่างนั้น ลองถามคุณผู้หญิงดูแล้วกันว่าเลื่อนเป็นมื้อค่ำได้หรือไม่” หญิงสาวตอบ

“ถ้าคำตอบคือ yes ก็หาเที่ยวบินฮ่องกง-สิงคโปร์ให้รองศาสตราจารย์คนนั้นด้วย เอาแบบบินตรง business class หมายเหตุกับสายการบินว่าเสิร์ฟแค่เครื่องดื่มกับของว่าง เพราะจะไปทานที่นั่นอยู่แล้ว...”

หญิงสาววรรคไปเล็กน้อยในขณะที่ตักโยเกิร์ตคำสุดท้ายขึ้นมาค้างไว้ ในหัวของเธอกำลังไล่ชื่อร้านอาหารที่พอจะเป็นที่ดูตัวได้ในสิงคโปร์อย่างรวดเร็วก่อนจะออกคำสั่งต่อไปทันที

“อย่างไรก็เช็กโต๊ะที่ LAVO ของโรงแรม Marina Bay Sands เอาไว้ด้วยแล้วกัน ถ้าไม่มีก็ดูที่ The Clifford Pier”

“รับทราบค่ะ” เลขาลิ่นจดข้อมูลต่าง ๆ ลงในสมุดนัดหมายของตัวเองอย่างรวดเร็ว

“ให้ดิฉันเตรียมชุดให้มิสเปลี่ยนที่นั่นด้วยเลยไหมคะ หรือว่ามิสจะไปซื้อที่นั่น...”

คำถามของสุดยอดเลขานั้น ทำให้ผู้เป็นนายแย้มยิ้มอย่างน่ารัก เลขาลิ่น… สมกับที่ทำงานให้เธอมานาน จะมีใครรู้งานกว่าเลขาลิ่นคนนี้คงไม่มีแล้ว ผู้ถูกเรียกว่ามิสเฉินใช้ผ้าเช็ดปากตัวเองพร้อมกับลุกขึ้นจากโต๊ะอาหาร ในหัวของเธอกำลังคำนวณบางอย่างอยู่อย่างรวดเร็ว

“อื้ม เอาเป็นว่าถ้าฝ่ายนั้นตอบรับนัดมาก็เตรียมกระเป๋า Rubylou Mini สีขาวกับรองเท้า So Kate สี Latte ไปส่งไว้ที่รถของที่นั่นก็พอ” หญิงสาวเอ่ยเสียงนุ่ม

เธอไม่ใคร่จริงจังขนาดจะเปลี่ยนชุดเพื่อไปเจอผู้ชายหรอกแค่เปลี่ยนกระเป๋ากับรองเท้าให้เข้ากับร้านอาหารก็เท่านั้นเอง ส่วนเรื่องดูตัวอะไรนั่นถ้าตกลงกันได้ด้วย ‘เงิน’ ก็ดีไป แต่ถ้าไม่ได้ก็ค่อยหาวิธีอื่นเอาทีหลังแล้วกัน

“รับทราบค่ะ” เลขาลิ่นตอบรับก่อนจะก้มลงมองนาฬิกาอีกครั้ง

“มิสคะ เจ็ดโมงสามสิบแปดแล้วค่ะ”

“ขอบใจมากคุณลิ่น แล้วก็ช่วยส่งประวัติของรองศาสตราจารย์คนนั้นมาให้ด้วยแล้วกัน”


...แต่งงานอย่างงั้นรึ...

ร่างโปร่งคิดในขณะที่รถคันหรูของเธอเคลื่อนไปตามถนนในฮ่องกงไปอย่างรวดเร็ว เอกสารการประชุมวันนี้ถูกใช้มือคั่นเอาไว้เพราะความคิดของเธอนั้นก็กำลังถูกกั้นเอาไว้ไม่ต่างกัน

นักธุรกิจอย่างเธอเกลียดสิ่งที่ไม่สมบูรณ์แบบที่สุด หากการแต่งงานยังมีกฎหมายการหย่าร้างรองรับก็แสดงว่าการแต่งงานนั้นไม่ใช่ผลผลิตที่เกิดขึ้นแล้วจะนับเป็นความสำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์แสดงว่าเบื้องหลังคำว่าชีวิตคู่ยังมีข้อผิดพลาดอยู่ ยิ่งสามปีให้หลังมานี้อัตราการหย่าร้างเพิ่งขึ้นสูงจนน่าตกใจ นั่นย่อมแปลว่าสภาพสังคมปัจจุบันอาจจะมีผลต่อชีวิตแต่งงานทำให้เกิดความล้มเหลวได้ง่ายขึ้น

จากเปอร์เซ็นต์ที่เพิ่มขึ้นปีละ 0.45 เปอร์เซ็นต์อย่างมีนัยสำคัญ ก็แสดงว่าหากเธอดูตัววันนี้แล้วแต่งงานในอีกสามเดือนหรืออีกหนึ่งปีต่อมา เธอก็จะมีเปอร์เซ็นต์หย่าร้างเท่ากับ 15.90 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นตัวเลขง่าย ๆ ในหนึ่งปีจะมีเวลาประมาณหกสิบวันที่เธอจะมีความคิดแวบเข้ามาในหัวว่า ‘อยากจะหย่า’ กับตัวเลขขนาดนี้ สองในสิบสองเดือนที่คิดจะหย่าคงจะมีแต่คนโง่เท่านั้นที่คิดจะแต่งงาน

“มิสเฉิน เราจะถึงบริษัทในอีกห้านาทีครับ” เสียงคนขับรถเอ่ยเตือน

“ขอบคุณมากคุณเจิ้ง”

หญิงสาวตอบรับก่อนจะรวบแฟ้มเอกสารต่าง ๆ ที่จะใช้วันนี้รวมกันไว้ในมือพลางหันออกไปมองนอกหน้าต่างรถอีกครั้ง หญิงสาวขมวดคิ้วเมื่อเห็นบางสิ่งบางอย่างที่แปลกไปในอีกฟากฝั่งของถนน

“นั่นประท้วงอะไรกัน” หญิงสาวที่นั่งอยู่เบาะหลังเอ่ยถาม

“ประท้วงเรื่องน้ำเสียของโรงงานแบตเตอรี่ครับ” ชายคนขับรถตอบก่อนจะตีไฟชิดเข้าซ้ายเตรียมจะเลี้ยวเข้าสู่บริษัท

“โรงงานนั้นไม่ได้ตั้งอยู่ในที่ดินของเราใช่ไหม? ” มิสเฉินเอ่ยถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดตกหล่น

เธอไม่ค่อยจะติดตามข่าวสารเท่าไหร่ ยิ่งข่าวสังคม ข่าวดราม่าตามหน้าโทรทัศน์ที่คนทั่วไปรู้แล้ว เธอมักจะไม่รู้เรื่องพวกนี้ เพราะเธอใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเรียนรู้เรื่องที่คนอื่นไม่ค่อยรู้กันเสียเท่าไหร่มากกว่า เพราะฉะนั้นต่อให้ข่าวเรื่องโรงงานแบตเตอรี่นี้ดังมาแล้วสามวัน หากไม่มีเอกสารมาส่งฟ้องว่าเป็นอสังหาริมทรัพย์ของเธอแล้วเธอก็จะไม่รู้ข่าวนี้

“ไม่ครับ” คนขับรถตอบในขณะที่รถแล่นผ่านป้ายน้ำพุหน้าบริษัท

“ดีไป” ผู้ที่เป็นนายตอบรับด้วยสีหน้าพึงพอใจ

M.J. Property บริษัทอสังหาริมทรัพย์และที่ดินที่นับว่ามีมูลค่าสินทรัพย์สูงติดอันดับโลกมาแล้วถึงสี่ปีซ้อนโดยมีเปอร์เซ็นต์การเติบโตไม่ต่ำกว่า 15.47 เปอร์เซ็นต์ต่อปีติดต่อกันมากว่าเจ็ดปีแล้วนับตั้งแต่ตั้งบริษัท

รถ BMW สีขาวคันโตจอดเทียบหน้าบันไดทางขึ้นบริษัทโดยไม่ต้องรอให้ใครเปิดประตูให้ ร่างโปร่งบางของคนที่นั่งอยู่ด้านหลังก็เปิดประตูลงมาก่อน ก็อย่างที่บอกเธอไม่ชอบเสียเวลากับการรอใคร มือของเธอเองก็ไม่ได้พิการ เธอไม่เข้าใจเลยว่าจะต้องรอให้คนมาเปิดประตูทำไม

เฉินมี่จวนบุตรสาวคนเล็กของนายเฉินฉู่เทียน ชายผู้มีอำนาจอย่างกว้างขวางในเขตปกครองพิเศษฮ่องกง หรือหลายคนจะรู้จักเธอในชื่อของเจ้าแม่แห่งอสังหาริมทรัพย์ทั้งในแผ่นดินใหญ่และฮ่องกง ไม่มีที่ในมณฑลใดในจีนแผ่นดินใหญ่ที่จะไม่มีชื่อการครอบครองของเฉินมี่จวน ไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม อพาร์ตเมนต์ หอพักใหญ่ ย่านการค้า หรือแม้กระทั่งห้างสรรพสินค้า ก็ล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่ในการครอบครองของเธอและ M.J. Property ทั้งสิ้น

ใบหน้าสะสวยที่เรียกได้ว่างามพร้อมของเธอมาพร้อมกับรูปร่างที่งดงามราวกับภาพวาดของศิลปินใหญ่ รวมถึงปริมาณเม็ดเงินที่สูงเสียดฟ้าในแต่ละปีที่เธอทำได้ ส่งให้เธอขึ้นเป็นสตรีผู้มีอิทธิพลของจีนและฮ่องกงได้ในเวลาไม่นาน แต่ก็ดูเหมือนตำแหน่งและคำเยินยอพวกนั้นจะไม่ได้ส่งสัญญาณให้เธอตระหนักว่าเธอถึงจุดประสบความสำเร็จที่ควรวางมือนัก มิสเฉินยังคงขยายธุรกิจของเธอต่อไปโดยไม่มีท่าทีจะหยุดยั้งแต่อย่างใด

หากมองจากฝั่งวงการธุรกิจแล้วนับว่าเฉินมี่จวนเป็นสตรีที่ประสบความสำเร็จจนน่าหมั่นไส้ไม่น้อย แต่ทุกครั้งที่เธอได้ขึ้นหน้าหนังสือพิมพ์ก็ไม่เคยมีข่าวฉาวทำนองเดียวกับข่าวที่พวกเซเลบริตี้ชอบทำกันจนเป็นกระแส แต่มักจะเห็นเธอใช้เงินที่ตัวเองหามาอย่างหนักไปกับการช่วยเหลือการศึกษาพัฒนาเด็กในชุมชนและสนับสนุนโครงการขององค์กรที่ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์มากกว่าเพราะฉะนั้นฉายา ‘นางฟ้า’ ของเธอนั้นจึงไม่มีข้อกังขาในสังคม

...ไม่มีใครสนหรอกว่าทำไมเธอถึงทำเช่นนั้น คนส่วนใหญ่มักจะสนแต่ผลประโยชน์ของตัวเองทั้งนั้น...

“มิสเฉินสวัสดีค่ะ”

เสียงทำความเคารพเธอดังเซ็งแซ่ในบริษัท เธอไม่ชอบภาพลักษณ์ราชินีจอมหยิ่งที่จะเดินเชิดใส่ทุกคนในบริษัทสักเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครก็ตามที่ทักทายเธอจะได้รับการตอบรับอย่างนุ่มนวลด้วยการเรียกชื่อของทุกคนเช่นกัน ในบริษัทที่มีเจ้านายใหญ่ใส่ใจลูกน้องดีอย่างทั่วถึงอย่างนี้มีหรือจะไม่เป็นที่ชื่นชอบ และเพราะอย่างนี้บริษัทของเธอถึงได้ขึ้นเป็นหนึ่งในห้าบริษัทที่คนอยากเข้าทำงานมากที่สุด

“มิสเฉินคะ ห้องประชุมพร้อมแล้วค่ะ” สตรีคนหนึ่งกล่าวรายงานเธอทันทีเมื่อเธอเดินออกจากลิฟต์ในชั้นที่ต้องการแล้ว

“ขอบคุณมากคุณผู้ประสานงานอู่” แม้กระทั่งตำแหน่งส่งข่าวประสานงานพนักงานในแผนกเล็ก ๆ ก็ยังได้รับการจดจำจากผู้เป็นนายเพราะอย่างนี้คนพวกนี้เลยยอมทำงานให้เธออย่างสู้ตายถวายหัวเสมอ

ประตูกระจกที่ทำไว้เป็นสีฝ้าขุ่นถูกเปิดออก ในขณะที่ร่างโปร่งเดินเข้าไปในห้องนั้นทันที เธอเกลียดเรื่องการเสียเวลาอย่างเช่นการทักทายเล็กน้อยหรือการสอบถามดินฟ้าอากาศ คนที่เสียเวลากับเรื่องอย่างนั้นไม่มีทางรู้เลยว่าเวลาการทักทายประมาณสามถึงห้านาทีต่อครั้งนั้น ทำให้หนึ่งปีเสียเวลาทำงานไปเกือบเจ็ดร้อยแปดสิบถึงหนึ่งพันสามร้อยนาทีต่อปี ซึ่งเวลาพวกนั้นเป็นระยะเวลาการทำงานเกือบ 65 เปอร์เซ็นต์ ของหนึ่งสัปดาห์

บรรยากาศสบาย ๆ ของคนที่อยู่รวมกันในห้องประชุมอยู่ก่อนนั้นเปลี่ยนเป็นบรรยากาศจริงจังขึ้นมาทันทีที่เจ้านายของพวกเขาก้าวเข้ามา มิสเฉินไม่ใช่คนที่ดุหรือร้ายกับลูกน้องอย่างที่เจ้านายในบริษัทใหญ่ชอบเขียนมาดของตัวเองให้เป็นเช่นนั้น หากแต่มิสเฉินคือคนที่เอาจริงเอาจังและเข้มงวดเรื่องงานกับเวลามาก จนเรียกได้ว่าเป็นพวก ‘Perfectionist’ หากทำงานกับมิสเฉินแล้วก็จำเป็นจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ

“สวัสดีมิสเฉิน” ทุกคนที่ยืนอยู่ก่อนแล้วเอ่ยทักทายเจ้านายของตัวเองอย่างพร้อมเพรียง

“สวัสดี มาเริ่มกันเลย” เฉินมี่จวนเอ่ยโดยไม่ทันจะนั่งลงด้วยซ้ำ

“ครับ/ค่ะ”

ภายในห้องประชุมขนาดย่อมที่ตบแต่งด้วยเครื่องใช้สีขาวล้วนตามรสนิยมของเจ้าของบริษัทที่ไม่ชอบสิ่งรกหูรกตา ห้องนี้จัดเป็นสถานที่หรูหราสวยงามและให้บรรยากาศเยือกเย็นสมกับเป็นสถานที่ประชุมของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ ทั้งที่เครื่องปรับอากาศถูกตั้งอุณหภูมิเท่ากันในทุกห้องแท้ ๆ ไม่รู้ทำไมพอเข้ามาในห้องนี้ทีไรต้องรู้สึกหนาวกว่าที่อื่นทุกที

…ไม่แน่ว่ามันอาจจะเป็นเพราะหญิงสาวที่เพิ่งนั่งลงก็ได้…

เหล่าบุรุษและสตรีที่รายล้อมโต๊ะประชุมขนาดกลางเพื่อรอรายงานสถานการณ์ปัญหาสำคัญนั้นต่างก็มองหน้ากันเป็นเชิงปรึกษา ในขณะที่คนที่เป็นนายของพวกเธอกำลังพลิกหน้าเอกสารที่เพิ่งวางเสนอวันนี้อย่างรวดเร็ว วันนี้มีอย่างน้อยสี่โครงการใหญ่ที่ต้องจัดการ มันอาจจะดูเยอะสำหรับบางคนแต่เชื่อเถอะถ้าเป็นมิสเฉินแล้วมันเสร็จทันเวลาแน่

“คุณผู้จัดการเสิ่น” ชื่อแรกที่ออกจากปากของเธอทำให้ชายหนุ่มที่อยู่ตรงริมขวาสุดหันมารับคำ

“ครับมิสเฉิน”

“ที่ดินเขตฉานตงมีปัญหาเรื่องต้นไม้อีกแล้วหรือ? ” แม้จะเอ่ยอย่างนั้นแต่สีหน้าของคนพูดดูแล้วไม่ได้มองมันเป็นปัญหาใหญ่มากนัก

“ครับมิสเฉิน ชาวบ้านแถวนั้นอยากให้เราตัดต้นก้านหลานฉู่สองต้นใหญ่ออก บางคนก็บอกว่าเป็นเรื่องอัปมงคล บางคนก็บอกว่าฝนตกลมแรงจะล้มมาทับบ้านเรือนเขาครับ” ชายหนุ่มเอ่ยรายงาน

“แล้ว... คุณผู้จัดการเสิ่นส่งคำตอบไปว่าอย่างไรบ้างล่ะ”

หญิงสาวปิดแฟ้มฉับก่อนจะเงยหน้ามองคู่สนทนาด้วยความสนใจ ผู้จัดการเสิ่นเป็นคนเก่ง เขาไม่ทำให้เธอผิดหวังแน่ ๆ เธอชอบทุกครั้งที่เขาออกไอเดียในการแก้ปัญหากับเรื่องพวกนี้ เชื่อเธอได้เลยว่าไม่มีผู้จัดการคนไหนทำได้ดีเท่าคนของเธอแน่

“ผมบอกไปว่าต้นไม้สองต้นนี้มีอยู่ก่อนที่พวกเขาจะมาสร้างบ้านครับ ต้นไม้ไม่ได้รบกวนใครตั้งแต่แรก ตอนเขามาสร้างบ้านก็น่าจะได้เห็นต้นไม้นั่นอยู่แล้วก่อนมาสร้างบ้านครับ”

คำตอบนั้นเรียกรอยยิ้มจากหญิงสาวเจ้าของบริษัทได้เป็นอย่างดี เธอหัวเราะน้อย ๆ ก่อนจะหันไปหาสตรีอีกคนที่ยืนอยู่ถัดไป หญิงสาวหน้าตาสะสวยรูปร่างสูงโปร่งผมซอยสั้นสวมแว่นตากรอบสีเงินดูจริงจังยืดตัวขึ้นก่อนจะรายงานทันทีโดยไม่ต้องให้สั่งการ

“แต่คนพวกนั้นไปแจ้งกับทนายความเรื่องกฎหมายการอยู่อาศัยค่ะมิสเฉิน ทนายความจึงยื่นเรื่องมาที่บริษัทขอให้จัดการเรื่องตัดต้นไม้ภายในสองอาทิตย์ หากไม่ทำแล้ววันหนึ่งเกิดเหตุอันเป็นอันตรายแก่บ้านเรือนเหล่านั้นทางทนายจะยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายค่ะ” นิติกรสาวรีบรายงานนายของตัวเองอย่างรวดเร็ว

“...พวกทนาย” หญิงสาวถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย

ทนายความที่ทำงานให้กับพวกชาวบ้านนั้นก็เหมือนพวกองค์กรสิทธิมนุษยชนที่ชอบเข้ามายุ่งเรื่องของคนอื่นโดยที่ตัวเองไม่ได้รู้เรื่องราวความเป็นมาของคนอื่นเขาตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ ได้ฟังตรงกลางเรื่องแล้วไปมโนเอาตอนต้นเรื่องกับท้ายเรื่องอย่างที่ตัวเองพอใจเอาเองอยู่เรื่อยไป ก็อย่างว่าคนพวกนี้ส่วนใหญ่ทำงานฟรี… การทำงานฟรีนั้นจะให้ไปใส่ใจหาความจริงเท่ากับการทำงานเพื่อเงินงั้นหรือ อย่าหวังเลยจะดีกว่า...

...แต่ก็ไม่แน่เสมอไป คนพวกนี้อาจจะมีคนจ้างอยู่ก็ได้...

“ถ้าหากว่าเราไม่ตัดต้นไม้สองต้นนั้นแล้วเกิดเหตุต้นไม้ล้มจริง เราจะเสียค่าปรับเท่าราคาบ้านบวกกับค่าเสียหายและค่าทำขวัญเป็นรายเดือน นับตั้งแต่เดือนที่มีหมายแจ้งไปจนถึงเดือนที่ต้นไม้ล้มค่ะบอส”

“ให้ตายสิ เป็นเพื่อนบ้านที่ไม่น่ารักเลยนะ” ผู้ที่ถูกเรียกว่ามิสบ่นเพียงแผ่วเบาเท่านั้น

เขี้ยวขาวขบริมฝีปากล่างดูแล้วยั่วยวนสายตาเป็นอย่างมาก แต่สำหรับคนที่ทำงานกับเธอมานานย่อมรู้ว่านี่คือท่าทางปกติของเจ้านายสาวเวลาใช้ความคิดเท่านั้น ดวงตาคมผิดกับคนจีนทั่วไปฉายแววไม่สบอารมณ์อย่างชัดเจนแม้ว่าท่าทางอื่น ๆ จะยังเหมือนเดิมก็ตาม จู่ ๆ บรรดาคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะประชุมก็พลันรู้สึกหนาวเยือกไปจนถึงสันหลังขึ้นมา

“คุณผู้จัดการเสิ่น” หญิงสาวเรียกผู้จัดการคู่ใจของตัวเองก่อน

“ครับมิสเฉิน” นายเสิ่นเอ่ยรับคำ

“ไปจัดการสืบมาทีว่ามีใครอยากได้ไม้ก้านหลานฉู่บ้าง เริ่มจากพวกกลุ่มเศรษฐีที่บ้าบ้านไม้โบราณนะ แล้วไปดูว่าคนพวกนั้นมีคนไหนติดต่อกับชาวบ้านแถวนั้นอยู่บ้าง...”

ไม่มีทางที่พวกชาวบ้านจะคิดเองอยู่แล้ว ก็อย่างที่ผู้จัดการเสิ่นบอกว่าต้นไม้สองต้นนั้นมีมาก่อนที่คนพวกนี้จะสร้างบ้าน เพราะฉะนั้นหากว่าจะมีคนคิดจะตัดมันแล้วก็คงไม่พ้นพวกคนมีอิทธิพล พวกที่อยากได้ไม้ก้านหลานฉู่แล้วมายุยงชาวบ้านให้มาทักท้วงเรื่องพวกนี้กับเธอ หรือไม่หากร้ายไปกว่านั้นก็อาจจะจ่ายเงินให้ชาวบ้านเป็นค่าหัวค่าไม้หากว่าตัดได้ด้วยก็ได้

“ครับมิส แล้วให้ผมจัดคนไปขู่คนซื้อเลยมั้ยครับ” ผู้จัดการเสิ่นเอ่ยถามต่อ เขารู้ได้ทันทีว่ามิสเฉินกำลังคิดอะไรอยู่

“ยังก่อนคุณเสิ่น... คุณจะเจอคนพวกนั้นแน่ แต่เราจะยังไม่คุยกับเขา…” หญิงสาวยกยิ้มก่อนจะหันไปหาอีกคน

“คุณผู้ช่วยเหอ”

“ครับมิส”

“ช่วยไปบอกฝ่ายจัดซื้อให้ไปซื้อต้นไม้ใหญ่จากกุ้ยหยางสักแปดสิบต้น ไม่จำกัดชนิดแต่ขอเป็นต้นที่มีรากแก้วและสูงเกินห้าเมตรทุกต้น จะเป็นไม้หนาหรือไม้เนื้อเบาก็ได้คละกันมา สั่งให้ข้ามเรือมาในห้าวัน แล้วก็เตรียมคนงานเอาไว้ด้วย เราจะเอาต้นไม้พวกนั้นไปปลูกเพิ่มที่ที่ดินฉางตง” หญิงสาวออกคำสั่ง

“ครับมิสเฉิน”

แม้จะเป็นคำสั่งที่น่ากลัวแต่เขาก็รู้ว่าหากไม่รับคำแล้วนั้นเรื่องน่ากลัวยิ่งกว่าจะเกิดขึ้นแน่นอน เจ้านายของเขาไม่ใช่คนที่จะใจเย็นกับเรื่องแบบนี้สักเท่าไหร่ ‘ใจดีและงดงามดุจนางฟ้า’ อย่างนั้นหรือ… ปิศาจเสียมากกว่า เฉินมี่จวนไม่ใช่ผู้หญิงที่จะยอมให้ใครมาลูบคมง่าย ๆ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางที่ผู้หญิงอายุเพิ่งเข้าเลขสองมาไม่นานอย่างเธอจะขึ้นเป็นท็อปลิสต์ผู้ครอบครองสินทรัพย์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้

วงการอสังหาริมทรัพย์หากจะเปรียบเทียบในตลาดเศรษฐกิจแล้วก็เทียบได้กับฝูงหมาป่าล่าเนื้อ ไม่รวมพวกอยู่ในสารบบไม่ขึ้นเป็นเจ้าป่า แต่ก็ไม่ด้อยไปกว่าเสือและสิงโตเสียเท่าไหร่ การที่หญิงสาวอย่างมิสเฉินสามารถขึ้นมายืนด้วยขาของตัวเองในวงการนี้อย่างมั่นคงได้แล้ว หากชาวบ้านพวกนั้นยั้งคิดสักนิดก็คงไม่ลงมือทำตามคำยุยงเพื่อเศษเงินเหล่านั้นแน่ หญิงสาวที่นั่งอยู่ที่โต๊ะหยิบปากกาด้ามสีโรสโกลด์ทันสมัยประดับคริสทัลออกมาจากกระเป๋าก่อนจะเขียนบางอย่างส่งให้เขา

“นี่ชื่อไร่สองสามแห่งที่มีต้นสนสวย ๆ เยอะ” มือเรียวขาวกรีดพับกระดาษก่อนจะยื่นส่งมันให้กับชายหนุ่มด้วยท่าทีนุ่มนวล

“ครับมิส” เขาทำได้เพียงแต่รับคำเท่านั้น

“คุณนิติกรซือ ส่งจดหมายรับทราบกลับไปให้ทนายความคนนั้นด้วย” หญิงสาวยังคงเอ่ยสั่งต่อในขณะที่ในมือกำลังเขียนบางอย่างอยู่

“ยังไม่ต้องไปขู่เขาล่ะ ดิฉันไม่ชอบวิธีของพี่หลวนคุนเลยเดี๋ยวก็ขู่เดี๋ยวก็ซ้อมมันดูไม่มีสมอง”

หญิงสาวจีบปากจีบคอพูดด้วยท่าทีน่าโมโหหากแต่ก็ไม่มีใครกล้าโมโหเธออยู่ดี เธอเขียนบางอย่างลงสมุดนัดหมายของตัวเองสองสามตัวก่อนจะหยิบนามบัตรที่อยู่ในกล่องส่งให้กับผู้จัดการคนเก่งของตนพร้อมกับกระดาษรายชื่อของที่ตนเองต้องการ มันเป็นของที่เธอคิดว่าคนที่อยากได้ต้นก้านหลานฉู่ของเธอจะต้องสนใจแน่

“ช่วยจัดหาของให้ตามนี้ด้วยคุณผู้จัดการเสิ่น”

“ครับมิสเฉิน”

“แล้วก็คุณผู้ช่วยเหอ…” หญิงสาวเอ่ยเรียกอีกคนที่ดูยังมีเวลาพอจะจัดการเรื่องนี้ให้เธอ

“คุณประชาสัมพันธ์คนใหม่ที่เพิ่งจะรับเข้ามาหน้าตาน่ารักดีชื่ออะไรนะ... มิสซิสหวังลี่จ้ง” หญิงสาวหรี่ตาก่อนจะพยักหน้ากับตัวเองเมื่อมั่นใจว่าชื่อที่ออกมานั้นถูกต้อง

“อย่างไรก็ช่วยบอกให้คุณประชาสัมพันธ์หวังให้ไปคุยกับเพื่อนบ้านของดิฉันที ว่าดิฉันกำลังมีโครงการจะปลูกต้นไม้เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวในบริเวณนั้น ...จะมีต้นไม้ใหญ่ร่วมร้อยต้นไปลงที่นั่นในอาทิตย์นี้ ถ้าเกิดเขากังวลว่าต้นไม้พวกนั้นจะล้มมาใส่บ้านเขาจริง เรายินดีจะรับซื้อที่ดินของเขาต่อในราคาที่ดิน ไม่นับรวมราคาบ้านรสนิยมแย่ ๆ พวกนั้น...”

“ครับมิสเฉิน” ผู้ช่วยเหอทำได้เพียงตอบรับเท่านั้น

“อ่อ... แต่เรายินดีจ่ายค่าทุบบ้านให้ฟรีนะ”

ผู้เป็นนายเอ่ยพร้อมรอยยิ้มราวกับว่าสิ่งที่เธอพูดไปนั้นเป็นโปรโมชั่นชั้นดีที่ไม่อาจจะหาที่ไหนได้อีกในโลก ทั้งที่มันเป็นการขู่ไล่ที่คนอื่นเขาแท้ ๆ หญิงสาวที่บอกว่าไม่ชอบวิธีการป่าเถื่อนของพี่ชายตัวเองที่คอยไประรานคนอื่นนั้นกำลังเอ่ยปากสั่งไล่ที่ชาวบ้านพวกนั้นหน้าตาเฉย แถมยังมีความเชื่อผิด ๆ อีกว่าตัวเองกำลังเสนอข้อเสนอที่ดีให้กับคนนั้น เธอไม่ได้แก้เพียงปัญหาเรื่องข้อพิพาทต้นไม้เท่านั้น เธอคิดจะพลิกปัญหานี้ให้เป็นโอกาสหาแหล่งทรัพย์เพิ่มชัด ๆ

“เอ่อ... มิสครับ ถ้าเกิดว่าเขาไม่มีที่อยู่อื่น...”

เมื่อได้ยินคำทักท้วงอย่างนั้นหญิงสาวก็ยกนิ้วที่ปลายเล็บเคลือบด้วยยาทาเล็บสีขาวเพนต์ลายสีทองดูหรูหราขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองเบา ๆ ใบหน้าสะสวยของมิสเฉินฉายแววครุ่นคิดเพียงครู่ก่อนจะเอ่ยสิ่งที่น่ากลัวต่อไป

“ก็ถ้าเขาอยากทำการเกษตรเรามีที่แถวเล่ยซานให้เช่าอยู่นะ แต่ถ้าอยากจะอยู่บ้านในเมืองด้วยรายได้เท่านั้น...” หญิงสาวขมวดคิ้ว

“อ๊ะ! หมู่บ้านจัดสรรแถวไค่หยางแล้วกัน ราคากันเอง”

ไม่มีความคิดแม้แต่ครึ่งเสี้ยวที่จะยกที่ตรงนั้นกลับคืนให้ เธอไม่ใช่นักบุญที่จะมาคอยโปรดชาวบ้านที่คิดหาเศษเงินเล็กน้อยจากการตัดต้นไม้ในที่ของเธอแน่ แค่อนุโลมให้แอบเข้ามาปลูกพืชล้มลุกโดยทำเป็นแกล้งหลับหูหลับตาก็นับว่าบุญหัวแล้ว

แต่คนพวกนั้นเป็นพวกไม่มีอันจะกินเสียจนหูหนวกตาบอดเกินเยียวยา กับแค่เศษเงินพวกนั้นก็กล้ารับปากเรื่องตัดไม้ในที่ของคนอื่น แต่ก็ยังถือว่าดีที่คนพวกนั้นไม่คิดจะตัดไปก่อนแล้วค่อยมาแจ้งเธอว่าต้นไม้ล้ม ไม่เช่นนั้นแล้วเธอคงได้ใช้บริการลูกน้องของพี่ชายเธอแน่

จะว่าไปเธอก็ใจดีไม่น้อยนอกจากจะรับซื้อที่ดินคนพวกนั้นแล้วเธอก็ยังอนุญาตให้เขาต้องมาเช่าที่เธอต่ออีก เงินที่เธอให้คนพวกนั้นไปเป็นค่าที่สุดท้ายก็ต้องวนกลับมาในมือเธออยู่ดี... คนใจดีอย่างเธอเนี่ยหาได้ง่าย ๆ เสียเมื่อไหร่กัน

...หาเรื่องผิดคนแล้ว...

หญิงสาวยังคงเปิดแฟ้มข้อมูลเอกสารเรื่องอสังหาริมทรัพย์ในการดูแลและธุรกิจต่าง ๆ ของตัวเองต่อไป โดยที่มีเหล่าผู้ช่วยคอยรายล้อมเก็บข้อมูลรับคำสั่งอย่างรวดเร็ว ในพื้นที่ที่ต้องจัดการร่วมแสนไร่ต่อวันนั้นถือว่าฝีมือของบอสคนนี้ไม่ธรรมดาทีเดียว

เพราะว่ามิสเฉินสามารถอ่านเกมธุรกิจได้ขาดกว่าใครจนกระทั่งเงินทองของเธอนั้นไปไกลกว่าคำว่าพอมีพอกินจนไปแตะขั้นพอเหลือพอแจกอย่างง่ายดาย ในสายตาของพนักงานแล้วแม้ว่าเบื้องหลังธุรกิจจะโหดร้ายใจดำเพียงใดแต่การได้ทำงานที่ M.J. Property นั้นก็นับเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย

“วันนี้พอแค่นี้”

หญิงสาวเอ่ยเมื่อพบว่าถึงเวลาที่ต้องไปแล้ว เธอส่งยิ้มให้กับบรรดาผู้ช่วยและเลขา ก่อนจะหันไปมองแฟ้มอีกสองสามแฟ้มที่เธอจะเก็บมันไว้จัดการวันพรุ่งนี้เพราะเธอต้องรอข้อมูลบางอย่างอีก หญิงสาวนึกทบทวนคำสั่งทั้งหมดของเธออีกครั้งเพื่อให้แน่ใจดีแล้วว่าไม่มีอะไรผิดพลาดก่อนจะเอ่ยอนุญาตให้เหล่าผู้ช่วยคนสำคัญของเธอไปทำงานต่อได้

“เจิ้งหู่ นายไปตามคุ้มครองคุณนิติกรซือที่จะไปเจรจากับฝ่ายนั้นด้วย”

หญิงสาวหันไปสั่งการบอดี้การ์ดของตนในขณะที่กดเปิดโทรศัพท์ของตัวเองที่ปิดเอาไว้เวลาประชุมเพื่อเช็กข้อความทั้งหมดที่ส่งมาในช่วงนั้น เธอไม่ชอบเปิดเครื่องมือสื่อสารเวลาประชุม บางคนก็บอกว่านี่เป็นข้อเสียของเธอ เพราะไม่มีทางรู้ว่าเกิดอะไรสำคัญขึ้นบ้างในระหว่างที่เธอปิดเครื่อง แต่เธอไม่คิดเช่นนั้นการไม่ติดต่อสื่อสารกับใครในช่วงเวลาหนึ่งจะทำให้สามารถโฟกัสกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้ดีขึ้น แล้วหากว่ามีใครตายจริง ๆ ขึ้นมาแล้วเรื่องนั้นก็จะวิ่งมาหาเธอเองนั่นแหละ...

“แต่นายท่านให้ผมตามคุณหนู” เจิ้งหู่เอ่ยค้าน

เขาไม่อยากห่างจากคุณหนูเสียเท่าไหร่แม้ว่าเธอจะไม่ค่อยทำเรื่องอะไรที่เสี่ยงก็ตาม แต่ว่าหากว่าเขาละสายตาแล้วล่ะก็ ถ้านายใหญ่รู้มีหวังได้จับเขาโยนลงไปเป็นอาหารปลาในทะเลแน่ มิสเฉินเงยหน้าขึ้นมองบอดี้การ์ดของตัวเองที่กำลังลำบากใจ ก่อนจะถอนหายใจยาวอีกครั้ง...

“ตามคุณนิติกรซือไปเถอะ นิติกรที่ดีหายากกว่าผู้บริหารที่เก่งเยอะ” หญิงสาวปัดไม้ปัดมือไล่ออกไป

อย่างที่บอกไปโลกใบนี้จนปัจจุบันก็ยังมีสามสิ่งที่หายากอยู่ หนึ่งคือนิติกรที่ทำงานได้ดีซื่อสัตย์และมีความกล้าหาญ สองคือช่างรับเหมาที่ตั้งใจทำงานให้เสร็จไวและไม่ทิ้งงาน สามก็คือสามีที่ดูแลใส่ใจดีไม่มีเรื่องสตรีนอกบ้าน หากมีหนึ่งในสามอย่างนี้แล้วต้องรักษาเอาไว้ให้ดี

“ไปเถอะเจิ้งหู่ ที่นี่ยังมีเจิ้งเจี๋ยดิฉันไม่เป็นอะไรหรอก” มิสเฉินเอ่ยถึงบอดี้การ์ดฝาแฝดของเขาที่จะอยู่กับเธอวันนี้

แม้จะไม่อยากทำตามคำสั่งนัก แต่ในเมื่อนายหญิงน้อยของเขาคงไม่ยอมปล่อยนิติกรคนนั้นไปเผชิญหน้ากับชาวบ้านพวกนั้นตัวคนเดียวแน่ เขาก็จำใจต้องตามนิติกรสาวออกไปอย่างช่วยไม่ได้ เขาทำความเคารพหญิงสาวที่อายุน้อยกว่าเขาเกือบรอบก่อนจะรีบสาวเท้าตามออกไป

หญิงสาวเจ้าของสินทรัพย์อันมหาศาลของบริษัทมองเครื่องมือสื่อสารรุ่นเก่าของตัวเองที่กำลังรีบูทเครื่องใหม่ทุกครั้งที่เปิดด้วยความรำคาญใจ แต่ถึงแม้ว่าเธอจะรำคาญใจอย่างไรแต่เธอก็ยังไม่มีความคิดจะเปลี่ยนมัน เพราะเธอไม่ชอบเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์กับของพวกนี้เสียเท่าไหร่ มันก็แค่ช้ายังไม่ถือว่าเสีย จะว่าไปถ้าเทียบเธอกับพนักงานทั้งบริษัท M.J. Property ของเธอ คิดว่าโทรศัพท์ของเธอน่าจะเป็นรุ่นเก่าสุดด้วยซ้ำ

“มิสเฉิน ทำไมไม่ซื้อใหม่ครับคุณท่านก็อุตส่าห์ให้บัตรมาแล้ว” เจิ้งเจี๋ยบอดี้การ์ดอีกคนที่ยังอยู่ในห้องเอ่ยถามด้วยความอ่อนใจ

เขาทำหน้าที่ตามนายหญิงคนนี้มานานแล้ว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าโทรศัพท์ของนายหญิงเขาทำได้แค่บลูทูธบางอย่าง และโทรเข้าโทรออกเท่านั้น

มันคือโทรศัพท์ฝาพับปุ่มกดรุ่นที่หากบอกว่าไว้เพื่อใช้ในการกดระเบิดก็เชื่อได้ไม่ยากนัก ทั้งที่มิสเฉินของพวกเขานั้นมีเงินมากพอจะซื้อบริษัทโทรศัพท์ด้วยซ้ำ แต่ก็ดูเหมือนว่าเธอจะพอใจกับการที่ได้ใช้แค่โทรศัพท์รุ่นอนุรักษ์มากกว่า หรือไม่ก็อาจจะกำลังเก็งกำไรโทรศัพท์รุ่นโบราณไว้ขายเข้าพิพิธภัณฑ์...

“ก็มันยังไม่เสีย” หญิงสาวถอนหายใจ

“เปิดเครื่องทีครึ่งชั่วโมง ใครเห็นก็ว่าเสียแล้วทั้งนั้น” เสียงหนึ่งดังขึ้นดึงความสนใจจากเจ้าของห้องได้เป็นอย่างดี

“ต้าเกอไม่มีนัดนี่คะ…” เธอเอ่ยทั้งที่ยังไม่เงยหน้าจากเครื่องมือสื่อสารของเธอที่เพิ่งจะขึ้น logo ของเครื่องด้วยซ้ำ

“เป็นต้าเกอต้องนัดก่อนด้วยรึไง” น้ำเสียงนั้นติดจะไม่พอใจจนคนเป็นเจ้าของห้องต้องเงยหน้ามองทันที

“ก็เวลางาน…” แต่เมื่อเธอเห็นอีกคนที่มากับพี่ชายของตัวเองเธอก็ค้อมหัวลงทันที “คุณฟ่านยินดีที่ได้พบค่ะ”

ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีดำสนิทรวมถึงเชิ้ตและเนกไทสีดำอย่างดีดูสูงสง่าน่าเกรงขาม เขาไว้ผมรองทรงที่บัดนี้ยาวพอจะให้มัดเอาไว้ข้างหลังได้แล้ว แม้ว่าตอนนี้จะมีหนวดเคราอยู่บ้างแต่ก็ไม่ถือว่าทำให้ความหล่อเหลาของเขาลดลงนัก เขาเดินมาพร้อมกับพี่ชายของเธอที่รูปร่างใหญ่โตเสียจนทำให้ตัวเขาดูเล็กลงไปถนัดตา

เฉินมี่จวนขมวดคิ้วน้อย ๆ เธอไม่คิดว่าจะเจอกับชายคนนี้ที่นี่เวลานี้เพราะครั้งล่าสุดที่เธอเจอเขาก็คือที่งานพิธีศพของน้องสาวเขาที่เพิ่งจะจัดไปไม่นาน ต่อให้มองลงมาจาก M. Tower 2 ก็ดูออกว่าชายคนนี้แอบชอบน้องสาวนอกไส้ของตัวเองอยู่

เพราะฉะนั้นการจากไปของน้องสาวคนนั้นของเขาย่อมทำให้เขายังอยู่ในอารมณ์เศร้าแน่นอนอยู่แล้ว และคนที่ยังเศร้าอยู่อย่างนั้นคงไม่ได้คิดจะมาติดต่อธุรกิจอะไรบนตึกแห่งนี้หรอกจริงมั้ย?

“มีอะไรให้ดิฉันช่วยเหลือหรือคะ…”

เฉินมี่จวนเอ่ยถามด้วยความแปลกใจในขณะที่เริ่มก้าวเดินออกจากโต๊ะประชุมเมื่อเห็นนาฬิกาของตัวเองที่เข็มยาวเลื่อนใกล้เลขสิบทุกที

“ถ้าอย่างไรเดินไปคุยไปสะดวกมั้ยคะ พอดีวันนี้ดิฉันมีนัดกับส่วนลดหย่อนภาษีค่ะ”

นักธุรกิจสาวเอ่ยในขณะที่เริ่มเดินนำคนทั้งคู่ไปโดยไม่รอคำตอบ สองหนุ่มหันมองหน้ากันก่อนจะเดินตามไปอย่างง่ายดายเพราะเรื่องที่พวกเขาจะพูดกับเธอนั้นก็ไม่ได้มีอะไรมากมายนักหรอก

“แค่จะมาเตือนเรื่องที่ช่วงนี้มีคนตามสืบเรื่องเธออยู่น่ะ”

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว