The World Gates ประตูแห่งพิภพ-ตอนที่ 18 ข้าขอท้า

โดย  Black Peach

The World Gates ประตูแห่งพิภพ

ตอนที่ 18 ข้าขอท้า

จูไห่หยงที่เคยขี้ขลาดตาขาวได้ก่อกบฏขึ้นในยุคของทรราชย์แห่งราชวงศ์หยวน เขาเป็นนักยุทธศาสตร์ที่ฉลาดปราดเปรื่องจึงได้เป็นหัวหน้าของกลุ่มกบฏอย่างรวดเร็วและได้รับชัยชนะในการรบมากมาย ไม่ถึง 10 ปีเขาก็ล้มล้างราชวงศ์หยวนลงได้และได้สถาปนาราชวงศ์หมิงขึ้น

หลังจากนั้นก็ใช้เวลาเกือบ 10 ปีในการทำให้ประเทศสงบลงจากผลของสงคราม และยังขับไล่ชาติที่เป็นศัตรูออกไปให้พ้นชายแดน โจมตีจนพวกเขาไม่กล้าสู้กลับอีกเลย

นับว่าฮ่องเต้จูไห่หยงคืออัจฉริยะด้านการรบที่จะปรากฏขึ้นเพียงคนเดียวในรอบศตวรรษ แต่ความสามารถในการปกครองประเทศก็งั้นๆแหละ ตอนแรกๆที่สถาปนารางวงศ์ใหม่ขึ้นนั้น มีแต่ศึกสงครามและความโกลาหลวุ่นวายไม่รู้จบ เป็นผลให้สูญเสียพืชผลและขาดแคลนพื้นที่การเกษตร ทำให้เกิดภาวะข้าวยากหมากแพงและเงินเฟ้อ ประชาชนจึงอยู่อย่างอดอยากยากจน

ฮ่องแต้องค์ปัจจุบันคือพระราชนัดดาองค์โตของฮ่องเต้องค์แรก เป็นอัจฉริยะผู้ที่นำกลุ่มผู้ชำนาญทางเรือให้สร้างเรือสำหรับเดินทางในมหาสมุทรตอนที่อายุ 12 ปี เขาได้ออกเดินทางด้วยตัวเองและนำพืชผลอย่างเช่น พริก, มันฝรั่งหวาน, และถั่วลิสงกลับมาด้วย นอกจากนี้เขาได้ส่งออกชา, เครื่องเคลือบดินเผา, และผ้าไหมไปยังโลกใหม่เพื่อค้าขายกับชาวพื้นเมือง

มันฝรั่งหวานที่ให้ผลผลิตสูงสามารถทำให้ประชาชนที่อดอยากอิ่มท้องได้ พวกชาวบ้านทั่วไปพยายามดิ้นรนต่อสู้เพื่อความอยู่รอดเพียงเท่านั้น ดังนั้นพอมีอาหารให้กินแน่ๆ สภาพสังคมก็ค่อยๆมั่นคง

พอฮ่องเต้องค์ปัจจุบันบรรลุนิติภาวะในวัย 20 ปี ฮ่องเต้องค์แรกก็สละราชบัลลังก์และมอบบัลลังก์ให้กับเขา หลังจากนั้นอดีตฮ่องเต้ก็ใช้ชีวิตง่ายๆสบายๆเดินทางท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ

หลังจากฮ่องเต้เจี้ยนเหวินขึ้นครองราชย์ ก็เกิดการปฏิรูปหลายอย่างทั้งลดภาษี, ส่งเสริมการเกษตรและเลี้ยงไหม, และสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมและการค้า ในเวลาแค่ 5 ปีเขาก็สามารถจัดระเบียบและรักษาบ้านเมืองให้เข้าที่เข้าทางได้ และถูกบันทึกเอาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ว่าเป็น

‘ ฮ่องเต้แห่งสวรรค์ ’......

หยูเสี่ยวเฉารู้สึกสับสน เธอย้อนเวลามาเกิดใหม่หรือมาเกิดอีกโลกนึงที่มีประวัติศาสตร์เหมือนกันกันแน่ ?

โอ๊ย ! ประเด็นนั้นมันสำคัญตรงไหนเล่า ? ในเมื่อเธอมาอยู่ที่นี่แล้ว ก็ไหลตามน้ำไปซิ ประเด็นแรกคือเธอต้องแก้ปัญหาเรื่องอาหารให้พอกินกับหาเสื้อผ้าอุ่นๆมาใส่ก่อนซิ !

หยูเสี่ยวเฉามองไปทางโจวซือชู่ เจ้าแกะหลอกง่ายตัวนี้อาจจะเป็นก้าวแรกที่ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของเธอดีขึ้น

แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในช่วงสามวันที่ร้อนที่สุดในฤดูร้อน คุณชายสามแห่งตระกูลโจวก็รู้สึกหนาวเหยือกจนขนลุกขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขานึกสงสัยอยู่ในใจ ‘ รู้สึกหนาวตอนแดดแรงขนาดนี้เนี่ยนะ หรือว่าเราจะไม่สบาย ? ”

“ เอ่อ......คุณชายโจว ท่านคือคนดูแลร้านเจินซิวใช่ไหมคะ ? ท่านอยากได้หอยเป๋าฮื้อพวกนี้รึเปล่า ? ” หยูเสี่ยวเฉาถามออกมาตรงๆ

ตอนที่โจวซือชู่กำลังเล่าประวัติศาสตร์ให้พวกเด็กๆฟัง เขาก็ทำเป็นมองไปที่ไหดินเผาในมือเธอโดยไม่ได้ตั้งใจอยู่หลายครั้ง เขากำลังรอจังหวะเหมาะๆเพื่อที่จะถามอยู่พอดี จึงรีบตอบทันทีว่า “ ถ้าเป็นหอยเป๋าฮื้อที่มีคุณภาพสูง ร้านเจินซิวของเราจะเสนอราคาที่สมเหตุสมผลให้อย่างแน่นอน ขอ......ขอข้าดูก่อนได้ไหม ? ”

หอยเป๋าฮื้อที่หยูไห่จับมาคราวนี้เป็นของหายากอย่างแท้จริง ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนมันจะโตขึ้นอีกหลังจากแช่อยู่ในน้ำหินศักดิ์สิทธิ์ตลอดทั้งคืน พวกมันดูสดและหวานฉ่ำมากขึ้นด้วย

โจวซือชู่ไม่มีความรู้เรื่องอาหารทะเลมากนัก เขาจึงเชิญผู้จัดการเจียงและหัวหน้าพ่อครัวหวังมาดู พอเห็นหอยเป๋าฮื้อพวกนั้น พวกเขาก็ชมกันใหญ่ หัวหน้าพ่อครัวหวังทำอาหารทะเลมาเกือบ 30 ปี หอยเป๋าฮื้อที่ใหญ่และสดขนาดนี้เทียบได้กับหอยเป๋าฮื้อจักรพรรดิที่เขาเคยเห็นเมื่อ 5 ปีก่อนโดยบังเอิญ นอกจากนั้นหอยเป๋าฮื้อพวกนี้ก็มีขนาดเดียวกันทั้งหมดและอ้วนท้วนสมบูรณ์ไม่ผิดปกติเลย

“ ร้านเจินซิวจะรับหอยเป๋าฮื้อพวกนี้ไว้ ! ” โจวซือชู่พูดขึ้นอย่างตัดสินใจแน่แล้ว “ พวกเจ้าต้องการราคาเท่าไหร่ ? บอกราคามาได้เลย ! ”

สีหน้าและแววตาของผู้จัดการเจียงและหัวหน้าพ่อครัวหวังทำให้หยูเสี่ยวเฉารู้ว่าหอยเป๋าฮื้อพวกนี้หายากมาก หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งเธอก็พูดว่า “ เรามีหอยเป๋าฮื้อ 9 ตัว คิดตัวละ 1 ตำลึง ห้ามต่อรอง ! ”

หยูฮังลืมตาโตอย่างตกใจพร้อมกับหันไปมองหน้าน้องสาว หอยเป๋าฮื้อตัวละ 1 ตำลึง ก็เป็น 9 ตำลึงเลยน่ะซิ ตอนแรกเขาคิดว่า 2-3 ตำลึงก็มากที่สุดที่จะขายได้แล้ว แต่ 9 ตำลึงเนี่ยนะ ! น้องสาวของเขากล้าบอกราคาถึงขนาดนี้เลยเหรอ !

ผู้จัดการเจียงขมวดคิ้วเล็กน้อย ถ้าเป็นในเมืองหลวงกับเขตที่ไกลทะเลก็เข้าใจได้ที่หอยเป๋าฮื้อจะแพงเนื่องจากความหายากและขาดแคลน แต่เมืองถังกู่เป็นเมืองชายฝั่งเล็กๆที่ไม่ได้ขาดแคลนอาหารทะเลเลย ดังนั้นราคา 1 ตำลึงต่อหอยเป๋าฮื้อ 1 ตัวจึงหาได้ยาก

ขณะที่เขากำลังจะต่อรองราคา นายน้อยของเขาก็ทำการตัดสินใจและตอบตกลงทันที “ ผู้จัดการเจียง จ่ายเงิน ! ”

หัวหน้าพ่อครัวหวังอุ้มไหดินเผาที่ใส่หอยเป๋าฮื้อออกไปอย่างกระตือรือร้น สำหรับพ่อครัวที่มีชื่อเสียง อะไรจะน่าดีใจไปกว่าการได้วัตถุดิบดีๆกันล่ะ ?

ผู้จัดการเจียงไม่พูดอะไรอีก เขาเอาก้อนเงินเล็กๆออกมา 2 ก้อน แต่ละก้อนเท่ากับ 5 ตำลึง และนึกบ่นอยู่ในใจ “ คุณชายสามไม่ได้เป็นคนจัดการค่าใช้จ่ายในบ้าน ถึงได้ไม่รู้ค่าของเงิน 1 ตำลึงต่อหอยเป๋าฮื้อ

1 ตัว ! ราคาขนาดนี้หาทั่วทั้งเมืองถังกู่ก็หาไม่ได้ ! เฮ้อ เขายังเด็กเกินไปจริงๆ...... ”

“ ผู้จัดการเจียงครับ เราไม่มีเงินทอน...... ” หยูฮังมองก้อนเงินบนโต๊ะแล้วลอบกลืนน้ำลาย เขาไม่กล้าเอื้อมมือไปหยิบมัน

โจวซือชู่กำลังอารมณ์ดีเพราะแก้ปัญหาเรื่องอาหารจานหลักในงานเลี้ยงตอนบ่ายวันนี้ได้แล้ว เขาพูดขึ้นมาว่า “ ไม่ต้องทอน ! ถ้าคราวหน้าพวกเจ้ามีอาหารทะเลดีๆอีก ก็อย่าลืมส่งมาที่ร้านเจินซิวก่อนนะ ข้าจะให้ราคาดีแน่นอน ! ”

หยูเสี่ยวเฉายิ้มจนตาหยี เธอรับเงินสองก้อนไปอย่างมีความสุขและพูดว่า “ ไม่มีปัญหาคะ ตระกูลหยูของเราเป็นชาวประมงที่เก่งมากนะ คราวหน้าถ้าเราได้ของดีๆมาอย่างครีบปลาฉลามหรือปลิงทะเล เราจะส่งมาให้ร้านเจินซิวก่อนเป็นที่แรกเลย ! ”

“ ตระกูลหยู ? ใช่ตระกูลของหยูต้าไห่จากหมู่บ้านตงชานรึเปล่า ? ” ผู้จัดการเจียงเคยได้ยินข่าวลือเรื่องการล่าฉลามของหยูไห่ สำหรับร้านอาหารใหญ่ๆ อาหารราคาแพงอร่อยๆทุกประเภทหายากทั้งนั้น

ดูเหมือนคุณชายสามจะมีสายตาแหลมคมในการมองคน ถ้าพวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลหยู แบบนั้นพวกเขาก็ไม่ขาดทุนแล้ว

หยูฮังเพิ่งได้สติจากความตกใจ เขาสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วผ่อนลมออกเบาๆ 10 ตำลึง ! นั่นเท่ากับรายได้หลายเดือนของครอบครัวเลยนะ !

พอหยูฮังสงบสติได้ เขาก็ตอบคำถามของผู้จัดการเจียงว่า “ ใช่ครับ หยูไห่คือท่านพ่อของข้า ท่านพ่อเป็นคนดำน้ำไปใต้หินโสโครกแล้วจับหอยเป๋าฮื้อพวกนี้มา แต่พวกสมบัติแห่งท้องทะเลอย่างครีบปลาฉลามหรือปลิงทะเลนี่หายากมากเลยครับ อย่าไปฟังน้องสาวของข้าพูดเลย ! ”

“ หายากแต่ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้นี่นา ! ไม่เป็นไรหรอกตราบใดที่เจ้าทำตามที่น้องสาวเจ้าสัญญาเอาไว้และคิดถึงร้านเจินซิวเป็นที่แรกเวลาได้ของดีมา โดยเฉพาะพวกของดีๆแพงๆน่ะ ! ” โจวซือชู่ตบบ่าเขาและพูดยิ้มๆ

หยูเสี่ยวเฉายิ้มสดใสราวกับดอกไม้ผลิบาน “ ใช่เลยคะ ! ข้าจะกลับไปบอกท่านพ่อให้ ขอบคุณมากนะคะคุณชายโจว ! ”

โจวซือชู่ยิ้มกว้างกว่าเดิมเมื่อเห็นสีหน้าเด็กหญิง นางดูเหมือนคนหิวเงินเลย แค่ยังไม่ได้กัดก้อนเงินเข้าไปเท่านั้นเอง

เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นถามผู้จัดการเจียงด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ ผู้จัดการเจียงคะ ช่วยเปลี่ยนก้อนเงินพวกนี้เป็นเหรียญเงินให้หน่อยได้ไหมคะ ? ”

ผู้จัดการเจียงรู้สึกว่าเด็กหญิงคนนี้ค่อนข้างน่าสนใจ เขาจึงจงใจแกล้งเธอว่า “ เจ้าแน่ใจเหรอ ? ถ้าเปลี่ยนเป็นเหรียญเงินงั้นข้าจะให้เจ้าแค่ 9 ตำลึงนะ ”

หยูเสี่ยวเฉาไม่ใส่ใจเพราะราคาที่เธอเรียกก็คือ 9 ตำลึงอยู่แล้ว ส่วนที่ได้เพิ่มก็เป็นโบนัสที่ไม่ได้คาดไว้ แต่ถ้าไม่เปลี่ยนเป็นเหรียญเงินมันก็จะไม่สะดวกเลย เธอกับหยูฮังเป็นเด็กที่แต่งตัวมอซอทั้งคู่ ถ้าพวกเขาไปซื้อของตามถนนด้วยก้อนเงินสองก้อนนั้น มีหวังพวกโจรได้มองตาเป็นมันแน่ !

“ 9 ตำลึงก็ย่อมได้ ! ถ้าไม่รบกวนจนเกินไป จะดีมากเลยคะถ้าสามารถเปลี่ยนเป็นเงินอีแปะได้ด้วย ! ” เงิน 1 ตำลึงสามารถซื้อข้าวขาวกับแป้งได้มากมาย ดังนั้นหยูฮังจึงงงมากที่หยูเสี่ยวเฉาทิ้งมันไปได้ง่ายๆแบบนั้น

รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว