เสน่ห์ร้อนเทพบุตรเถื่อน-บทที่ 7 มนตร์รักพ่ายหัวใจ 50 เปอร์เซ็นต์

โดย  นารี/รังรอง/รีณาวดี

เสน่ห์ร้อนเทพบุตรเถื่อน

บทที่ 7 มนตร์รักพ่ายหัวใจ 50 เปอร์เซ็นต์

สุภัทรชาก้าวพรวดเข้ามาในห้องทำงานแล้วปิดประตูตามหลังดังปัง ถอดสร้อยพิงค์โกลด์ที่ห้อยจี้ผีเสื้อขว้างไปที่โต๊ะด้วยความโกรธเกรี้ยวผิดหวัง ไม่สนใจแม้มันจะไถลลงไปตกที่พื้นพรม ทำไมถึงไม่มีปาฏิหาริย์แบบที่เคยเกิดขึ้นกับพรนางฟ้าเสียที ! เธอสวมสร้อยบ้า ๆ นี่มาหลายวันแล้ว วันนี้เมื่อแฟรงคลินเรียกไปพบที่ห้องทำงาน หญิงสาวอุตส่าห์ดีใจ นึกว่าจะได้เลื่อนเป็นผู้อำนวยการสมใจ แต่แล้วความฝันก็กลับกลายเป็นเพียงอากาศธาตุ เพราะไม่เพียงเจ้านายไม่บอกข่าวดีเรื่องเลื่อนตำแหน่ง เขายังแนะนำให้เธอรู้จักกับ...

‘นี่อันดามัน รัชชตานนท์ เธอจะให้เกียรติมาเป็นผู้อำนวยการคนใหม่ของฝ่ายออกแบบ รู้จักกันไว้สิ’ น้ำเสียงแฟรงคลินมีทั้งความชื่นชม ยินดี และปลาบปลื้มในตัวอีกฝ่ายชนิดที่ทำให้คนฟังริษยาจนหน้าตาเนื้อตัวร้อนผ่าวไปหมด

‘เรารู้จักกันแล้วค่ะแฟรงค์’ ผู้หญิงคนนั้นยิ้มนิด ๆ อย่างมีมาด วางท่าเหนือกว่าจนสุภัทรชาหน้าร้อนฉ่า เมื่อระลึกได้ว่าครั้งก่อนที่พบกันยังโรงแรมคีรีธารา อันดามันรู้ทันเธอจนน่าโมโหเพียงใด

คุณพระ ! ผู้หญิงคนนี้จะเป็นเจ้านายเธอ ! นี่มันฝันร้ายยิ่งกว่าตอนที่พรนางฟ้าได้ตำแหน่งนั้นไปซะอีก

ทั้งที่โกรธจนตัวแทบสั่น แต่เพราะความมีมารยาท สุภัทรชากลับจำต้องพนมมือทำความเคารพและฝืนยิ้ม ‘ขอต้อนรับสู่ทีเอ็นเอสค่ะคุณอันดามัน ยินดีมากที่จะมีโอกาสได้ทำงานร่วมกัน’

คนโปรดของแฟรงคลินพยักหน้าแทนการรับไหว้ เป็นท่าทางแสนไว้ตัวอย่างที่ไม่เคยมีใครกล้าทำกับสุภัทรชามาก่อน ทำให้หญิงสาวจงใจฝังความเกลียดชังลงในความรู้สึกที่มีต่อผู้หญิงคนนี้โดยไม่ลังเลสักวินาที

‘คุณกลับไปทำงานต่อได้แล้วสุภัทรชา ผมแค่เชิญคุณมาแนะนำให้รู้จักเอ็มเท่านั้นแหละ แล้วก็...รู้ไว้ด้วยนะ กว่าผมจะได้ตัวผู้หญิงคนนี้มาทำงานกับทีเอ็นเอสได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะฉะนั้นผมจะไม่ลังเลเลยถ้าต้องเลือกอันดามันมากกว่าจะเลือกพนักงานปัจจุบันสักแผนกนึง อย่าทำเรื่องวุ่นวายเหมือนครั้งที่ผมแต่งตั้งพรนางฟ้าล่ะ เพราะคราวนี้ผมไม่ปล่อยคุณไว้แน่’

ไม่ใช่แค่โปรดปรานธรรมดา แต่คำประกาศนั้นย้ำให้เธอรู้ว่าเสียเปรียบในศึกนี้ชนิดที่ไม่มีโอกาสชนะเลย หากพนักงานทั้งแผนกแข็งข้อกับอันดามัน แฟรงคลินยินดีไล่คนทั้งแผนกออกเพื่อผู้หญิงคนนี้คนเดียว บ้าชะมัด !

หญิงสาวทุบโต๊ะด้วยความโกรธไม่ได้ดังใจ แต่เพราะไม่สามารถทำอะไรมากไปกว่านั้น เธอจึงหยิบโทรศัพท์มากดหาคู่ควง หวังจะได้รับการปลอบประโลม ทว่าภูผากลับปิดเครื่อง เมื่อพยายามโทร.เข้ากระทรวงแทน เลขาฯก็บอกว่าเขาออกไปข้างนอกตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้ว

สุภัทรชาร้อนใจ ระยะหลังภูผาติดงานจนแทบไม่มีเวลาให้เธอเลย บางทีเธอน่าจะบุกไปหาเขาที่คอนโด ดีกว่ารอให้เขาติดต่อกลับมาอย่างไร้ความหวังเช่นนี้ หญิงสาวคว้ากระเป๋าผลุนผลันออกจากออฟฟิศทันที ไม่สนใจแม้ยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน ไม่สนใจแม้จะมีรถญี่ปุ่นเก่า ๆ คันหนึ่งลอบติดตามเธอมาตลอดทาง !

‘แพนปิดบังผมไว้ทำไม’

คำถามของคิรินทร์ดังสะท้อนอยู่ในหัวเธอซ้ำ ๆ แรกทีเดียวพรนางฟ้าตกใจที่อีกฝ่ายรู้ทันและถามตรง ๆ ทว่าวินาทีถัดมา หญิงสาวกลับตระหนกมากกว่าที่เธอไม่รู้สึกถึงอาการหัวใจเต้นแรงเลยสักนิด ทั้งที่ตอนนี้เธอกำลังตกใจมากถึงขนาดนั้น

“คุณคี...” เธอยกมือกดหัวใจและเคลื่อนเปลี่ยนที่ไปเรื่อย สีหน้าที่หันมาทางชายหนุ่มเผือดซีด “ฉันรู้สึกเหมือนไม่ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเลย มัน...เหมือนหยุดเต้นไปแล้ว”

คิรินทร์ถอนหายใจ ไม่คาดคั้นให้เธอตอบคำถาม แต่ให้ความใส่ใจกับปัญหาที่ทำให้เขาดั้นด้นมาเชียงรายเพื่อพบบิดาของพรนางฟ้าแทน “ตอนแพนเข้าโรงพยาบาล หมอก็บอกว่าหัวใจแพนเต้นช้ามากผิดปกติ”

พรนางฟ้าหน้าเสีย มือเลื่อนมาควานหาสร้อยเส้นที่เคยสวมติดคอด้วยความลืมตัวคล้ายต้องการเรียกความมั่นใจ เมื่อไม่พบก็ถอนหายใจ พึมพำ

“ฉันอยากได้สร้อยจี้ผีเสื้อคืนจัง”

“แพนก็แค่คุ้นเคยที่จะสวมมันเท่านั้นเอง เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าต่อให้ไม่สวมสร้อยเส้นนั้น แต่แพนก็ยังคงพูดสิ่งที่คิดอยู่ดี”

หญิงสาวเหลือบมามองเขาอย่างหวาด ๆ ก่อนอุบอิบสารภาพเสียงอ่อย

“ค่ะ ฉันยังพูดทุกเรื่องที่ตัวเองคิด ยกเว้นเวลาอยู่กับคุณ”

มีความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะ จู่ ๆ พรนางฟ้าก็รู้สึกว่าผมที่ท้ายทอยและหลังคอลุกชัน เมื่อนึกถึงบางเรื่อง “ความจริงเรื่องหัวใจเต้นเบา ฉันก็เคยรู้สึกนะ แต่ตอนนั้นคิดว่าไม่มีอะไร”

“แพนเคยเป็นแบบนี้มาก่อนหรือเปล่า” มือเรียวสวยที่เคยจับพู่กันเป็นนิจ วันนี้จับพวงมาลัยรถมั่น ดวงตาเขามองตรงไปยังท้องถนนเบื้องหน้า และแม้ไม่ต้องหันมาสบตากัน แต่น้ำเสียงของเขาก็ทอดอ่อนโยนจนเธอรู้สึกอบอุ่นใจ

“ไม่เคยค่ะ ฉันตรวจสุขภาพประจำปีตลอด ร่างกายแข็งแรง ไม่เคยมีอาการผิดปกติเลย ทุกอย่างมันเพิ่งมาแปลกไปก็ตอนได้สร้อยต้องคำสาปเส้นนั้นมานั่นแหละ”

คิรินทร์ส่ายศีรษะ “เรียกว่าสร้อยต้องสาปไม่ได้หรอก เพราะตอนนี้ไม่มีสร้อยแล้ว แต่แพนก็ยังตกอยู่ใต้ความลับของคำสาปนั้นอยู่ดี”

หญิงสาวถอนหายใจลึกยาว “ตลอดชีวิตที่ผ่านมาฉันเคยใฝ่ฝันอยากให้ตัวเองกล้าพูดมากกว่านี้ และฉันก็เชื่อเอาซะจริง ๆ จัง ๆ เลยว่าถ้าฉันทำได้อย่างนั้น โลกจะเป็นของฉัน ฉันจะประสบความสำเร็จตามที่ฝัน แต่ความจริงแล้วฉันเพิ่งเข้าใจตอนนี้เองว่า การพูดทุกสิ่งที่คิดคือฝันร้ายชัด ๆ ฉันเสียเพื่อน ไม่เหลือมิตรแท้สักคน กระทั่งงานที่ฉันรัก ฉันก็ยังไม่รู้เลยว่ามันถูกใครบนฟ้าเอากลับคืนไป เพื่อลงโทษที่ฉันพูดสิ่งที่คิดมากเกินไปหรือเปล่า”

“มันผ่านไปแล้ว ไม่ว่าคุณจะตอกย้ำหรือลงโทษตัวเองยังไง ก็กลับไปแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้” คิรินทร์เตือนสติ

พรนางฟ้านิ่งอยู่อึดใจใหญ่ สุดท้ายจึงเอื้อมไปดึงมือข้างหนึ่งของชายหนุ่มมากุมหลวม ๆ “แพนยังไม่ได้ตอบคุณคีเลย ว่าทำไมถึงปิดบังเรื่องนั้นไว้”

คิรินทร์เหลือบมามองเธอนิดเดียว แล้วเขาก็เคลื่อนรถเข้าไปจอดที่ข้างทางพร้อมกับเปิดไฟฉุกเฉิน สุดท้ายจึงหันมาสบตาหญิงสาวนิ่ง ๆ “ผมกำลังรอฟังอยู่”

พรนางฟ้าขยับแว่นนิด ๆ สูดหายใจเข้าลึกเพื่อรวบรวมกำลังใจ ก่อนเริ่มเอ่ยช้า ๆ “นับตั้งแต่วันแรกที่เรื่องพิลึก ๆ นี่เกิดขึ้นกับแพน คุณคีเป็นคนที่รู้เรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้น คุณยอมไปช่วยแพนตามหาหมอดูคนนั้น ทนฟังความในใจแย่ ๆ ของแพนมาโดยตลอด แล้วคุณก็คอยให้กำลังใจ คอยเป็นเพื่อน เป็นอะไรอีกหลายอย่างที่แพนไม่เคยมีมาก่อนในชีวิต”

หญิงสาวหลุบตาลงมองมือใหญ่ที่เธอกุมอยู่ ยอมรับในใจว่าไม่กล้าสบตาเขา กลัวต้องเห็นสายตาบอกความผิดหวัง ไม่ไว้ใจ หรือถ้าเลวร้ายที่สุดก็คือ...เกลียดชัง !

“แพนขอโทษที่โกหกและปิดบังคุณ แพนแค่กลัวว่าถ้าคุณรู้ความจริง คุณอาจคิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องอยู่เป็นหลักประคับประคอง หรือไม่จำเป็นต้องใจดีกับแพนอีกต่อไปแล้ว แค่นึกว่าคุณจะไม่ใส่ใจ ไม่ไยดีแพน...” ไหล่บอบบางไหวแรงเพราะเจ้าตัวถอนใจหนักหน่วง “แพนกลัวว่าอะไร ๆ ระหว่างเราจะไม่เหมือนเดิมค่ะ”

คิรินทร์ส่ายหน้านิด ๆ พร้อมกับดึงมือจากการเกาะกุมมาวางแปะบนศีรษะหญิงสาว แล้วโยกเบา ๆ อย่างล้อเลียน “เด็กโง่ กลัวอะไรไม่เข้าท่าเลย ผมก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรือว่าผมชอบแพน ทำไมยังต้องกลัวอีก”

“ก็เพราะคุณบอกว่าชอบแพน แพนถึงยิ่ง...”

คำพูดที่ขาดหายไป บอกให้รู้ว่ายังมีข้อความตกค้างอยู่ในใจเธอ นิ้วมือเรียวยาวของจิตรกรหนุ่มจึงเชยคางพรนางฟ้าบังคับให้เธอเงยขึ้นสบตา

“ยิ่งอะไร บอกมาเดี๋ยวนี้นะ”

คนถูกบังคับหน้าแหยท่าทางละม้ายเด็กโดนสั่งให้กลืนยาขม “แพนสติแตกค่ะ กลัวคุณชอบพรนางฟ้าที่มั่นใจ กล้าพูดทุกอย่าง มากกว่าพรนางฟ้าคนที่ไม่กล้าพูด ขี้อาย แล้วก็ไม่มั่นใจ”

คิรินทร์กดปุ่มที่ข้างประตู เลื่อนเบาะไฟฟ้าออกห่างจากพวงมาลัยจนสุด แล้วเขาก็ทำในสิ่งที่พรนางฟ้าได้แต่ตกตะลึง เมื่อชายหนุ่มปลดเข็มขัดนิรภัยของเธอ ใช้สองมือเอื้อมมาโอบเอว ดึงเธอข้ามคอนโซลไปนั่งบนตักเขาอย่างรวดเร็ว ให้เธอวางขาทั้งสองข้างบนเบาะฝั่งตัวเอง

“คุณทำอะไรน่ะ” พรนางฟ้าตกใจ ดิ้นขลุกขลัก ทำท่าจะกระโจนกลับไปนั่งที่เดิมให้ได้

คิรินทร์ตวัดแขนโอบรอบเอวเธอไว้แน่น ทั้งยังกดคางที่บ่าข้างซ้ายของเธอ จ้องคนหน้าแดงอย่างล้อเลียน “ก็จะยืนยันไง ไม่ว่าพรนางฟ้าคนไหน ผมก็ชอบทั้งนั้นแหละ”

การนั่งอยู่บนตักอีกฝ่าย แม้ชายหนุ่มมิได้มือไวยุ่มย่ามลวนลามเธอให้เสียหาย แต่ลมหายใจร้อน ๆ ที่เป่ารดอยู่ห่างจากแก้มไม่ถึงคืบก็ทำให้หญิงสาวหน้าร้อนฉ่า พยายามใช้มือยันแผงอกเขา ดันตัวเองออกห่างให้ได้มากที่สุด

“ปล่อยแพนเถอะค่ะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”

“ฟิล์มติดรถมืดตื๋อขนาดนี้ ไม่มีใครมองเข้ามาเห็นหรอก” เขาบอกราวกับเป็นเรื่องปกติ “แปลกนะ...ใคร ๆ ก็รู้กันทั้งนั้นว่าผมชอบแพน ทำไมแพนถึงเป็นคนเดียวที่ไม่รู้ตัวซะทีล่ะ”

พรนางฟ้าสะดุ้งเมื่อได้ยินประโยคนั้นชัด ๆ เธอหันมาสบตาเขา

“คุณพูดจริงเหรอ”

คิรินทร์ใช้มือข้างหนึ่งดึงแว่นตาที่เธอสวมอยู่ออก พับวางไว้ที่แผงคอนโซลหน้ารถ

หญิงสาวเบือนหน้าหลบทันที รู้สึกเหมือนเธอกำลังเปลือยเปล่า ไร้เกราะกำบังความรู้สึกใดทั้งสิ้น มือที่มักขยับแว่นแก้เก้อ บัดนี้เก้งก้างเกะกะจนไม่รู้จะเอาไปวางไว้ที่ไหน

“อย่าหลบตาผมสิ” คนพูดจับปลายคางบังคับให้เธอหันมาสบตา แล้วบอก “ถ้าอยากรู้คำตอบก็ต้องถามเพราะ ๆ สิ ‘พี่ใหญ่พูดจริงเหรอคะ’ หรืออะไร ๆ ทำนองเนี้ย พูดเป็นไหม”

หญิงสาวดึงมือเขาออก แล้วหลุบตาลงต่ำ ไม่เอ่ยอะไรสักคำ

“ไม่ถามก็ตามใจ งั้นก็นั่งกอดกันไปเรื่อย ๆ ละกัน”

“เอ๊ะ ! คุณคี ! ”

คิรินทร์ส่ายหน้า แก้คำผิดให้ทันควัน “พี่ใหญ่”

คนฟังเพิ่งนึกได้ว่ามีบางอย่าง...แปลก ๆ ! “ทำไมถึงเป็นพี่ใหญ่ ทำไมไม่ใช่พี่คีเหมือนที่คุณฤทธิ์เรียก”

“เพราะคีเป็นชื่อที่คนอื่นเรียก ใหญ่เป็นชื่อที่คนในครอบครัวใช้ อีกหน่อยแพนจะต้องมาเป็นคนในครอบครัวผม เพราะฉะนั้นก็หัดเรียกให้คุ้นปากไว้น่ะดีแล้ว”

“ตลกอีกแล้ว คุณแค่ชอบฉัน ถึงกับจะให้ฉันไปเป็นคนในครอบครัวแล้วเหรอ” พรนางฟ้าหน้าร้อนฉ่า แต่ไม่ยอมให้คนเจ้าเล่ห์รู้เด็ดขาด เธอโต้เสียงสั่น เปลี่ยนจากสรรพนามแทนตัวออดอ้อนมาเป็นห่างเหินดังเดิมด้วย

“ชอบน่ะใช่ ไม่เถียง ชอบมากด้วย ที่ยังไม่อยากใช้คำอื่น เพราะกลัวแพนจะหัวใจวายช็อกไปซะก่อนต่างหาก แต่การไม่พูดออกมา ไม่ได้หมายความว่า ‘พี่’ ไม่รู้สึกอย่างนั้นหรอกนะ” เขาเปลี่ยนสรรพนามเรียกตัวเองหน้าตาเฉยบ้าง เหมือนจะประชดที่เธอทำตัวห่างเหินอย่างไรอย่างนั้น

“คุณคี นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ ฉันไม่ตลกนะ”

“พี่ก็ไม่ได้พูดให้ตลก แพนพร้อมจะฟังความในใจของพี่หรือยังล่ะ”

พรนางฟ้าพยายามผลักเขาออกห่าง และจะกลับไปนั่งที่เบาะฝั่งตัวเองให้ได้ ทั้งยังเก๊กเสียงขรึม ๆ โหด ๆ ขู่

“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะคุณคี”

ชายหนุ่มไม่ยอมง่าย ๆ เขากอดเอวเธอแน่น ใช้มือหนึ่งเชยคางบังคับให้คนในอ้อมแขนหันมาสบตากันนิ่งขณะเอ่ยช้า ๆ “แพนเป็นผู้หญิงที่พิเศษมากเลยรู้ไหม ทั้งที่แพนคิดว่าฐานะของเราต่างกัน แต่ไม่ว่าจะความในใจหรือคำพูดที่ไตร่ตรองแล้ว แพนก็ไม่เคยดูถูกพี่เลยสักครั้ง พี่ชอบทัศนคติของแพนตั้งแต่ครั้งแรกตอนเราพบกันที่ปลายแปรงแกลเลอรี่ ประทับใจมากขึ้นเมื่อแพนห่วงใยคนแปลกหน้าที่บังเอิญขับรถชนกัน ช่วงแรก ๆ ที่แพนเสียศูนย์เพราะสร้อยผีเสื้อนั่น แพนโกรธโลกทั้งใบ แต่แพนไม่เคยพูดจาร้าย ๆ ใส่พี่เลยสักครั้ง

“พี่ไม่เคยต้องพยายามเป็นอะไรที่ไม่ใช่ตัวเองเพื่อให้แพนประทับใจ ทุกเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน แพนไว้ใจพี่ เชื่อใจพี่ แล้วก็เชื่อมั่นว่าพี่จะให้เกียรติแพน ไม่ทำให้แพนเสียหายหรือเอาเปรียบแพนอย่างผู้ชายทั่วไป รู้ไหม...สำหรับผู้ชายแล้ว การได้รับเกียรติแบบนั้น มันยิ่งใหญ่มากนะ”

พรนางฟ้าคิดว่าเธอต้องหลงอยู่ในความฝันแน่ ๆ คำพูดของคิรินทร์ไพเราะยิ่งกว่าคีตกวี ทั้งยังอ่อนหวานกว่าลำนำใดบนโลกนี้มารวมกันเสียอีก “คุณชอบคนเชย ๆ เฉิ่ม ๆ อย่างฉันจริงเหรอ มันไม่มีเหตุผลเลย”

“ความรู้สึกของคนเราไม่จำเป็นต้องมีที่มาหรอกนะ แต่มันจะต้องมีที่ไปเสมอ” เขาจับปอยผมที่ข้างแก้มของเธอมาจรดจมูกแผ่วเบา กิริยานั้นช่างอบอุ่น นุ่มนวล แล้วก็ทำให้เธอหน้าร้อนผ่าวโดยอัตโนมัติ

“ปล่อยฉันเถอะค่ะ” พรนางฟ้ารีบยืนยันคำเดิม

“พูดเพราะ ๆ ก่อนสิ ‘พี่ใหญ่ขา...ปล่อยแพนเถอะค่ะ’ แล้วพี่จะปล่อย”

“คุณคี...” หญิงสาวเสียงอ่อย หน้าจ๋อยจนคนมองใจอ่อนในที่สุด

“ไม่พูดก็ได้ งั้นบอกมาก่อน ว่าจากนี้ไปยังจะกลัวอะไรบ้า ๆ อย่างนั้นอีกไหม”

พรนางฟ้ารีบส่ายหน้ายิกทันที

“ดีมาก งั้นต้องให้รางวัล” พูดจบ เขาก็คว้ามือซ้ายของเธอขึ้นมาจรดริมฝีปากลงที่โคนนิ้วนาง และนิ่งอยู่ในอิริยาบถนั้นเนิ่นนาน

แม้ไม่มีกิริยาพยายามล่วงเกินไปมากกว่านั้น แต่ลมหายใจผะผ่าวที่แต้มอยู่บนผิวก็ทำให้พรนางฟ้ารู้สึกถึงรอยร้อนที่แล่นจี๊ดขึ้นบนใบหน้าและซ่านไปตามเนื้อตัวรวดเร็ว เพียงคิรินทร์ยืดตัวตรงอีกครั้ง เธอก็รีบฉวยจังหวะที่เขากำลังเผลอ ดึงมือจากการเกาะกุม แล้วกระโจนกลับไปนั่งคุดคู้บนเบาะข้าง ๆ ทันควัน

ขณะกำลังจะหมุนตัวหย่อนขาลงไปยังที่พักเท้าดังเดิม เสียงหัวเราะหึ ๆ จากด้านหลังก็ดังขึ้น พรนางฟ้าหันขวับไปหมายเอาเรื่อง แต่เพียงเห็นสายตาเอื้อเอ็นดูแสนอบอุ่นคู่นั้น เธอก็รู้สึกเหมือนกำลังจะหลอมละลายอีกครั้ง...

คิรินทร์ไม่เอ่ยอะไร เขาแต้มยิ้มกว้างขึ้น คอยจนเธอนั่งเรียบร้อยแล้วจึงโน้มตัวข้ามไปดึงสายเข็มขัดนิรภัยมาคาดให้หญิงสาวอย่างเอาใจ ย้ำคำหนักแน่น

“จากนี้ไป...พี่จะเป็นคนดูแลแพนเอง”

“ถามฉะ...” เห็นสายตาวิงวอนคู่นั้นชัดเจน พรนางฟ้าจึงเปลี่ยนสรรพนามเสียใหม่ “ถามแพนบ้างก็ได้นะคะว่าเต็มใจหรือเปล่า”

“ถึงแพนไม่อนุญาต แต่ถ้าพี่จะดูแลแพนซะอย่าง แพนจะบังคับพี่ยังไง”

“อย่าทำดีกับแพนนักเลยค่ะ” พรนางฟ้าฝืนยิ้ม “เพราะมันจะทำให้แพนคาดหวังว่าความสุขแบบนี้จะคงอยู่ตลอดไป”

คิรินทร์ยืดตัวไปดึงมือข้างซ้ายของพรนางฟ้ามากุมไว้อีกครั้ง เขาลูบโคนนิ้วนางแผ่วเบา

“รู้ไหมทำไมพี่ถึงจูบแพนตรงนี้” เขาคอยจนเธอส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วจึงอธิบายต่อ “เพราะเคยมีนักวิทยาศาสตร์บอกว่านิ้วนางข้างซ้ายมีเส้นเลือดเส้นนึง เชื่อมไปถึงหัวใจ พี่จูบตรงนี้แทนการจูบที่หัวใจยังไงล่ะ พี่บอกความรู้สึกแพนขนาดนี้แล้ว แพนยังกลัวอีกเหรอว่าความสุขนี้จะไม่ยั่งยืนน่ะ”

“แต่แพนไม่สวยหรือน่ารัก ไม่ใช่คนมั่นใจ ไม่มีอะไรดีสักอย่าง”

คิรินทร์พยักหน้า “ใช่ อดีตสาวออฟฟิศที่เงินเดือนเป็นเลขหกหลัก จบโทด้านคอมพิวเตอร์จากอังกฤษ ไม่มีอะไรคู่ควรกับจิตรกรขวางโลกที่ยังชีพด้วยการวาดรูปขายเลยสักนิด แพนจะบอกแบบนี้ใช่ไหม”

“คุณประชดแพนนี่นา” เจ้าตัวโอด

“ไม่ชอบเลย เรียกคุณ ห่างเหินจัง สัญญากับพี่ก่อนว่าจากนี้ไปแพนจะเรียกพี่ว่าพี่ใหญ่”

“คุณนอกเรื่อง เลี่ยงตอบคำถามของแพนใช่ไหมคะ”

“แพนก็เลี่ยงบาลี ไม่ยอมสัญญากับพี่เหมือนกัน” เขาย้อนอย่างทันกัน “โอเค...งั้นแพนตั้งใจฟังให้ดีนะ พี่จะพูดให้ฟังเป็นครั้งแรกแล้วก็ครั้งสุดท้ายด้วย พี่ไม่ได้ชอบแพนเพราะรูปร่างหน้าตา เพราะความมั่นใจอะไรพวกนั้น แต่พี่รักแพนเพราะหัวใจที่สวยสมกับชื่อ...พรนางฟ้า”

หากหัวใจบางเบาและยืดหยุ่นประหนึ่งยางลูกโป่ง หญิงสาวเชื่อว่าตอนนี้มันก็ถูกอัดด้วยเชื้อเพลิงชั้นดีที่ชื่อว่าความสุขจนพองฟูและลอยลิบขึ้นไปบนฟากฟ้า

“คุณ...เอ้อ...พี่ใหญ่พูดแบบนั้นอีกครั้งได้ไหมคะ แพนอยากฟัง”

คิรินทร์ส่ายหน้า “นี่เป็นทั้งคำมั่นแล้วก็สัญญา พี่ไม่พูดพร่ำเพรื่อ แต่เมื่อไหร่ที่แพนลืมคำพูดนี้ของพี่ ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีก แสดงว่าแพนไม่เชื่อมั่นในตัวพี่ เมื่อนั้น...แพนก็ไม่มีค่าพอให้พี่รักอีกต่อไป”

ถ้อยคำนั้นทั้งอ่อนหวานและเด็ดขาดไปในคราวเดียวกัน และคนฟังก็สะดุ้งโหยง โดยเฉพาะกับท้ายประโยคที่ประกาศความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างแรงกล้าออกมาชัดเจน

‘เมื่อไหร่ที่แพนไม่เชื่อมั่นในตัวพี่ เมื่อนั้นแพนก็ไม่มีค่าพอให้พี่รักอีกต่อไป’

ขนาดเป็นแค่เหตุการณ์สมมติในวันหน้า แต่เพียงได้ยินเขาเอ่ยคำนั้น พรนางฟ้าก็ยังรู้สึกละม้ายใจจะขาดและทนฟังไม่ได้เสียแล้ว “แพนจะไม่พูดเรื่องนี้อีกแล้ว” หญิงสาวละล่ำละลักยืนยัน “จริง ๆ นะคะ”

“สัญญาแล้วนะ”

“ค่ะ สัญญา” พรนางฟ้ารีบรับคำ แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความไม่แน่ใจ “พี่หมายถึงสัญญาว่าไม่พูดเรื่องรูปร่างหน้าตาใช่ไหมคะ”

“ก็...หมายถึงทุกเรื่องนั่นแหละ”

พรนางฟ้านึกย้อนไปถึงบทสนทนาเมื่อครู่ แล้วใบหน้าก็ร้อนเห่ออีกครั้ง เธอหยิบแว่นตากลับมาสวม แล้วเอื้อมมือไปฟาดบ่าคนเจ้าเล่ห์ “หลอกให้แพนสัญญาเหรอเนี่ย ร้ายนักนะ ! ”

----------------------------------------------

นี่หวานเริ่มต้นค่ะ ยิ่งอ่านไป พี่คีจะยิ่งกวนน้ำเชื่อมขายหนักกว่านี้อีก อิอิ

มาครึ่งทางแล้ว ยังเหลืออีกครึ่งเล่มนะค้า

ใครอไม่ไหว จัดอีบุ๊กกันโลดค่ะ

E-book ความยาว 397 หน้า ราคา 295 บาท

mebmarket >> https://goo.gl/Xbezzr

ookbee >> https://goo.gl/fcb3tj

Hytexts >> https://goo.gl/TirrjJ

sds

ใต้ปีกรักสีเพลิงเคยตีพิมพ์แล้วกับสำนักพิมพ์อรุณ (ตุลาคม 2556)

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว