ตามรักเติมเต็ม-คนในอดีต

โดย  uno2009

ตามรักเติมเต็ม

คนในอดีต

การพูดคุยกับครอบครัวของพุดพิชชานั้นผ่านไปได้ด้วยดีเพราะวศินกลับลดานั้นรู้จักกันอยู่ก่อนแล้ว ลุงและบิดาของเธอบอกว่าไม่ต้องการเรียกสินสอดอะไรทั้งนั้น ขอเพียงแค่มาทำให้ถูกต้องก็พอ ดูแต่ผกาดูจะไม่ค่อยพอใจเพราะตอนนี้ที่ร้านของเธอขาดทุนติดๆ กันมาหลายเดือนแล้ว เธออยากได้เงินตรงนี้มาช่วยสภาพคล่องภายในร้านของเธอด้วย

“อย่าถือว่าเป็นค่าสินสอดอะไรเลยนะคะ ถือว่าเป็นหลักประกันมากว่าตารัญสามารถเลี้ยงดูลูกของคุณได้เป็นอย่างดี ฉันจะจัดสินสอดเป็นเงินสด 10 ล้านกับแหวนเพชรอีกซักวงและทองคำแท่งอีก 50 บาท หวังว่าคุณปรีชาคงไม่ว่าอะไรนะคะ” ลดาหันมาพูดกับปรีชา

“ผมว่าคุณแค่เอาสินสอดทองหมั้นมาวางเป็นพิธีก็พอครับ ผมไม่คิดจะขายลูกสาวกินอยู่แล้วพอเสร็จงานก็ให้ทางคุณเอาสินสอดกลับจะเอาคืนทั้งหมดหรือยกให้ลูกสาวผม ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรผมขอแค่นี้ผมก็พอใจแล้วครับ”

พุดพิชชาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าบิดาของเธอจะคิดเช่นนั้น แม้ผกาจะพยายามเปลี่ยนความคิดของปรีชาแต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้ปรีชาเองจะยังมีความเป็นผู้ใหญ่อยู่บ้าง เขาไม่คิดจะขายลูกสาวกินอย่างที่พูดสินสอดทองหมั้นทั้งหมดเขาไม่ได้ต้องการอะไรเลยเพียงแต่ที่เขาต้องให้ชายหนุ่มมาจัดงานแต่งงานให้เพราะเขาไม่อยากให้ลูกสาวถูกนินทาลับหลังว่าหนีตามผู้ชายมากกว่า

“ส่วนเรื่องงานแต่งงาน ฉันว่าจะจัดกันที่กรุงเทพฯ ในอีกสามเดือนข้างหน้า คุณคิดว่ายังไงบ้างคะ”

“ผมว่าก็ดีเหมือนกันครับ ไม่เร็วและไม่ช้าเกินไปเพราะถ้าแต่งเร็วคนก็จะคิดไปอีกว่าเจ้าสาวท้อง” ปรีชาเห็นด้วยกับบิดาของชายหนุ่ม

“จัดที่กรุงเทพฯ ก็ดีเหมือนกันนะคะ ผการู้จักโรงแรมใหญ่ใหญ่ๆ ที่จัดงานแต่งงานเยอะแยะ ค่ะเดี๋ยวผกาจะจัดการเรื่องนี้เอง”

“ฉันว่าเรื่องนี้เธออยากเข้าไปยุ่งเลยให้คุณลดาจัดการจะดีกว่า” ปรีชาหันมาปรามภรรยา

“อ้าว ทำไมล่ะคะฉันก็อยากเป็นคนจัดการให้หนูพุดนะ”

“ทำตามที่ฉันบอกก็พอ” ปรีชาพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจเพราะรู้ดีว่าที่ผกาเป็นคนเสนอตัวจัดงานเลี้ยงครั้งนี้น่าจะมีแผนอะไรซักอย่าง

“ขอบใจคุณผกามากนะที่อยากช่วยเหลือ แต่ว่าเรื่องนี้ฉันเองก็รู้จักคนอยู่มาก น่าจะไม่ต้องรบกวนอะไรคุณผกาหรอกค่ะ”

หลังจากคุยธุระที่บ้านของพุดพิชชาเสร็จแล้วลดาและรัญภาคย์ก็พาหญิงสาวมายังบ้านของเธอที่กรุงเทพฯ ตอนนี้ป้าใจและลุงผลมารออยู่แล้ว พอรู้ว่าเจ้านายจะขึ้นมากรุงเทพฯ ทั้งสองคนก็อาสามาทำความสะอาดที่บ้านเพราะอยู่ไม่ไกลจากบ้านของลูกสาวมากนัก

“เข้ามาเลยจ้ะหนูพุดบ้านนี้ยินดีต้อนรับหนูนะลูก แม่ว่าต่อไปถ้าหนูกับตารัญขึ้นมากรุงเทพฯ ก็ให้มาใช้บ้านหลังนี้ดีกว่าไปอุดอู้อยู่ที่คอนโดฯ แบบนั้นห้องก็แคบนิดเดียว”

“โธ่ แม่ครับ ก็แต่ก่อนผมอยู่คนเดียวไม่รู้จะซื้อห้องใหญ่ทำไม ถ้าผมรู้ว่าผมต้องแต่งงานมีครอบครัวผมก็คงเลือกห้องที่มันใหญ่กว่านี้แล้ว”

“แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย เพียงแต่แม่อยากให้เราสองคนมาอยู่บ้านนี้บ้าง ปิดไว้แบบนี้นานๆ ไม่มีคนมาคอยดูแลเดี๋ยวบ้านจะเก่าเอานะ”

พุดพิชชาเดินสำรวจบริเวณบ้านรอบๆ แม้บ้านจะอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ แต่ก็มีความร่มรื่นต้นไม้ใบหญ้ายังเขียวขจีเพราะลุงผลกับป้าใจยังหมั่นมาดูแลบ้านหลังนี้อยู่เสมอๆ

“หนูพุดตามแม่ขึ้นไปบนห้องหน่อยสิลูก”

“ค่ะแม่” พุดพิชชาเริ่มชินกับการเรียกลดาว่าแม่แล้ว แม้จะดูขัดเขินอยู่บ้างในตอนแรกแต่พอเรียกบ่อยๆ อาการนั้นก็หายไป

“หนูพูดมาดูอะไรนี่หน่อยสิลูก”

“อะไรคะแม่”

“แหวนแต่งงานของแม่เอง แม่ยังเก็บไว้อย่างดีถึงแม้การแต่งงานครั้งนี้จะมีจุดเริ่มต้นจากความเข้าใจผิด แต่แม่เชื่อว่าหนูสองคนมีความคิดมีความชอบอะไรที่คล้ายๆ กัน แต่งงานกันไปก็น่าจะรักกันได้ แม่ว่ามันอาจจะดูหัวโบราณไปหน่อยแต่บางครั้งมันก็เป็นอย่างที่แม่พูดจริงๆ นะ” เธอมองออกว่าทั้งสองคนนั้นมีความรักให้แก่กัน แต่เหมือนว่ามีอะไรบางอย่างปิดกันหัวใจทั้งสองดวงไว้

“พุดไม่ได้หวังขนาดนั้นหรอกค่ะ”

“อย่าพึ่งปิดกั้นอย่างนั้นสิจ๊ะลูก ลองสวมแหวนให้แม่ดูก่อน”

“แหวนสวยมากเลยค่ะแม่ แต่พุดว่าพุดคงไม่กล้ารับเพราะแม่ก็รู้ถึงเหตุผลที่เราสองคนแต่งงานกัน”

“ใช่จ้ะไม่รู้แต่ที่แม่ให้หนูพุดเพราะแม่รักและเอ็นดูหนูพุดจริงๆ อย่าคิดอะไรมากลองสวมดูก่อน” ลดามีโอกาสคุยเรื่องการแต่งงานกับรัญภาคย์แล้ว ทำให้รู้ว่าลูกชายของเธอก็มีความรู้สึกไม่ต่างไปจากพุดพิชชา ลดามั่นใจเหลือเกินว่าพุดพิชชาจะเข้ามาเติมเต็มชีวิตที่อ้างว้างของลูกชายเธอได้เป็นอย่างดีแล้ว

พุดพิชชาหยิบแหวนตัวเรือนทำจากทองคำขาวมีเพชรเม็ดเล็กๆ ส่องประกายแวววาวยามต้องแสงไฟเธอสวมลงไปที่นิ้วนางข้างซ้ายของตัวเองด้วยความรู้สึกเต็มตื้น

“เพชรมันอาจจะไม่ใหญ่นะลูก แต่น้ำงามมาก ถ้าหนูใส่แล้วเล็กไปหรือใหญ่ไปเอาไปให้ร้านประจำปรับได้นะลูก”

“ค่ะ ขนาดพอดีนิ้วเลยค่ะ”

“ไหนให้แม่ดูสิ พอดีกับนิ้วจริงๆ เหมาะกับหนูจริงๆ เอาไว้แม่เอาไปให้ร้านเพชรทำความสะอาดก่อนที่เราจะได้ใช้วันงานนะลูก แหวนมันกันเก่าแล้วอาจจะต้องมีการซ่อมแซมในส่วนของหนามเตยนิดหน่อย”

“ค่ะแม่”

“หนีขึ้นมาอยู่บนห้องกันสองคนนี่เองผมก็เดินตามหาแทบแย่ทำอะไรกันอยู่ครับ”

“แม่กำลังให้หนูพุดดูแหวนจ้ะ”

“นี่แหวนที่พ่อให้แม่นี่ครับ” รัญภาคย์ถามอย่างแปลกใจ เขาจำได้ว่าแหวนวงนี้มารดาของเขาหวงมากขนาดตอนที่เขาแต่งงานครั้งแรกเธอยังไม่ยอมให้เขานำไปให้กับมนัสยา แต่วันนี้มารดาของเขากลับยกให้พุดพิชชาทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ขอเลยด้วยซ้ำ

“ใช่จ้ะ แล้วตอนนี้แม่ก็จะยกให้หนูพุด”

“ผมว่าจะพาพุดไปเลือกแหวนสักหน่อย แม่ก็ชิงตัดหน้าผมไปซะแล้ว”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พุดใส่วงไหนก็ได้ อันที่จริงก็ไม่ต้องมีแหวนก็ได้นะคะ”

“พุดอะไรอย่างนั้น แต่งงานกันทั้งทีก็ต้องมีแหวนแต่งงานสิลูก”

“ผมเห็นด้วยกับแม่นะครับ วงนี้เอาไว้ใส่งานแต่งดีกว่า ส่วนวงที่พี่จะซื้อให้ก็เอาแบบที่ใส่ได้ทุกๆ วันดีไหมครับ”

“ตารัญนี่ก็มีความคิดดีๆ เหมือนกันนะ แม่ว่าเอาอย่างนั้นก็ได้ เพราะแหวนวงนี้แบบมันดูจะโบราณไปหน่อย แม่ว่าลองไปดูที่ร้านเลือกวงที่เก๋ๆ ใส่แล้วเหมาะกับคนทำงานอย่างหนูพุดก็คงดี อย่าลืมเลือกสร้อยกับต่างหูที่เข้าชุดกันมาด้วยนะลูก”

การลงมากรุงเทพฯ ครั้งนี้นอกจากเรื่องพูดคุยกันของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายแล้ว พุดพิชชายังมาช่วยรัญภาคย์ทำงานที่ฟิตเนสเซ็นเตอร์สำนักงานใหญ่อีกด้วย เขาให้หญิงสาวเรียนรู้งานไปเรื่อยๆ เพราะมั่นใจว่าเธอสามารถทำงานทุกอย่างได้ดี

รัญภาคย์แอบมองหญิงสาวที่กำลังนั่งดูรายการสินค้านำเข้าต่างๆ ที่เขากำลังจะสั่งเพิ่ม

“คุณรัญทำไมไม่ลองเสนอลูกค้าเก่าๆ ที่เปิดไปนานแล้วดูบ้างล่ะ พุดว่าบางครั้งฟิตเนสฯ ที่เปิดมานานแล้วอุปกรณ์ก็คงจะเสื่อมไปตามสภาพ ถ้าเราลองเสนอสินค้าตัวใหม่ที่กำลังจะสั่งเข้ามาขายอยู่แล้วให้กับฟิตเนสฯ เขาอาจจะสนใจซื้อมาแทนตัวเดิม ยิ่งถ้าได้ส่วนลดจากการเป็นลูกค้าเก่าก็น่าจะพอทำให้การตัดสินใจซื้อไม่ยากนะคะ ถ้าเสนอพร้อมกันหลายๆ เจ้าจำนวนที่เราสั่งเข้ามาหลายๆ ตัวก็คงจะได้ราคาที่ดีกว่าใช่ไหมคะ”

“พุดคิดอย่างนั้นเหรอครับ”

“ค่ะ พุดไม่ได้ทำธุรกิจด้านนี้มาก่อน พุดเลยมองในมุมของพุด”

“แต่อุปกรณ์บางอย่างมันก็กินพื้นที่นะครับ ถ้าฟิตเนสฯ เดิมมีพื้นที่พอดีอยู่แล้วลูกค้าก็คงไม่อยากได้อุปกณ์ใหม่มาเพิ่ม เพราะจะทำให้ฟิตเนสฯ นั้นแคบลงกว่าเดิม”

“จริงด้วยค่ะ พุดลืมคิดเรื่องนี้ไปเลย แล้วส่วนใหญ่อุปกรณ์เก่าเค้าทำยังไงกันคะ” เธอถามเพราะไม่รู้เรื่องนี้เลยสักนิด

“บางครั้งก็ขายเป็นมือ 2 บางครั้งก็ให้ช่างมาซ่อมแซมทาสีใหม่เปลี่ยนอะไหล่บางชิ้นก็สามารถใช้งานต่อได้แล้วครับ เพราะของพวกนี้ค่อนข้างทนอยู่มาก”

“พี่รัญเคยคิดจะรับซื้ออุปกรณ์พวกนี้คืนในราคาถูกๆ ไหมคะ เหมือนที่เค้ารับเทิร์นสินค้า ถ้าเค้ามาขายคืนให้เรา เค้าก็จะได้ซื้ออุปกรณ์ใหม่กับพี่รัญด้วย ส่วนของที่เรารับเทิร์นมาพี่ก็ซ่อมแซมอย่างที่บอก แล้วขายให้ลูกค้าอีกกลุ่มที่อยากลองเปิดฟิตเนสฯ เป็นของตัวเองแต่อาจจะยังไม่มีงบประมาณพอ หรืออาจจะขายให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการก็ได้นะคะหรืออาจจะบริจาคให้กับชุมชนที่ไหนสักที่เพื่อให้คนหันมารักสุขภาพแล้วก็ยังได้ประชาสัมพันธ์ร้านไปในตัวด้วยนะคะ”

“เป็นความคิดที่ดีมากเลย” รัญภาคย์มองอย่างชื่นชมกับความคิดของหญิงสาว แม้เธอจะพึงมาทำงานช่วยเขาได้ไม่นานก็ตาม

รัญภาคย์ให้เจ้าหน้าที่การตลาดศึกษาเรื่องนี้ดูอีกครั้งแล้วค่อยวางแผนตามที่ได้คุยกับพุดพิชชา ดูเหมือนเจ้าหน้าที่การตลาดก็จะเห็นด้วยกับความคิดของหญิงสาว เขายกหน้าที่ให้การตลาดเสนอไปทางลูกค้าแล้วก็คงต้องให้เวลาลูกค้าได้ตัดสินใจอีกที

ตอนนี้ชายหนุ่มอยากจะเปิด Healthy bar เพิ่มขึ้นอีกหลายๆ สาขาแต่ก็ยังทำไม่ได้เพราะแต่ละสาขาของฟิตเนสเซ็นเตอร์นั้นอยู่ใจกลางเมืองการจะขยายพื้นที่จึงเป็นไปได้ยาก สิ่งแรกที่ทำได้ในตอนนี้ก็คือทุกสาขาจะมีน้ำดื่มสมุนไพรที่ใช้ หญ้าหวานแทนน้ำตาลเป็นทางเลือกให้กับลูกค้ามีรสชาติอยู่ 4 ชนิดคือเก๊กฮวย ใบเตย น้ำกระเจี๊ยบ น้ำตะไคร้ รัญภาคย์ให้พูดพิชชาคิดสูตรที่ลงตัวที่สุด จากนั้นก็สั่งให้โรงงานผลิตน้ำสมุนไพรทั้ง 4 ชนิดนี้ส่งให้ฟิตเนสเซ็นเตอร์ของตัวเองในเขตกรุงเทพฯ 10 สาขาและที่พิษณุโลกอีก 2 สาขา โดยในอนาคตเขาคิดว่าจะทำส่งไปตามฟิตเนสเซ็นเตอร์ต่าง ๆให้ได้มากที่สุด


“พี่รัญคะ พุดว่าเราซื้อแค่แหวนก็พอนะคะ” พุดพิชชากระซิบชายหนุ่มเมื่อเขาพาเธอมายังร้านเพชรเก่าแก่ที่ลดาโทร. มานัดเจ้าของร้านไว้ล่วงหน้าแล้ว แม้ว่าเธอไม่ได้มาด้วย แต่ก็กำชับทั้งลูกชายและเจ้าของร้านว่าให้เลือกเพชรที่สวยที่สุดให้สมกับการต้อนรับหญิงสาวเข้ามาเป็นสะใภ้ของเธอ

“ไม่ได้หรอก ต้องซื้อให้เข้าชุดกันอย่างที่แม่บอกน่ะดีแล้ว” รัญภาคย์ตอบโดยที่มาได้หันไปมองเลยสักนิดว่าคนถามมีสีหน้าเช่นไร วันนี้เขาพาเธอมาเลือกซื้อเครื่องเพชรหลังจากที่หญิงสาวบ่ายเบี่ยง มาหลายวัน เขาอยากซื้อให้เธอไม่ใช่เพราะมารดาแนะนำ แต่เพราะเขาเห็นว่าเธอคู่ควรที่จะได้รับของมีค่าเหล่านี้เขาเปรียบหญิงสาวกับเพชรเพราะนอกจากจะมีความสวยงามแล้วยังมีความแข็งแกรงซ่อนอยู่ภายในอีกด้วย

“พุดเกรงใจนี่ค่ะ เราไม่ได้ไปเป็นอะไรกันจริงๆ สักหน่อย”

“ตอนนี้ไม่ได้เป็นอีกหน่อยก็อาจจะเป็นก็ได้ ใครจะไปรู้” เขาพูดเบาๆ

“พี่รัญพูดอะไรคะ พุดฟังไม่ถนัด”

“เปล่าจ้ะ พี่ว่ารับไว้เถอะนะ พี่เต็มใจให้ ถือว่าเป็นโบนัสที่ช่วยงานพี่ดีไหม” เขาอยากให้เธอรับไว้จึงพยายามหาเหตุผลมาอ้างไปเรื่อย

“โบนัสเยอะไปหน่อยนะคะ” เธอเห็นราคาเครื่องเพชรทั้งหมดแล้วก็ไม่รู้ว่าอีกกี่ปีเธอถึงจะมีเงินขนาดนี้

“ก็โบนัสหลายๆ ปีรวมกันไง”

“พี่รัญก็พูดไปค่ะ ใครเขาให้โบนัสล่วงหน้าหลายๆ ปีกันบ้าง”

“ก็พี่ไง รับไว้เถอะ อย่าคิดมากเลย”

“พุดไม่ได้คิดมากนะคะ พุดว่าของพวกนี้ไม่เหมาะกับพุดหรอกค่ะ ถ้าพี่รัญจะซื้อให้จริงๆ พุดขอแค่แหวนก็พอ ส่วนสร้อยกับต่างหูก็แค่ใส่ในงานแต่งดีไหมคะ พอเสร็จงานพุดฝากไว้ที่พี่รัญนะคะ”

“ก็ได้ครับ แต่พี่แค่รับฝากนะครับของทุกชิ้นมันยังเป็นของพุด” เขารู้ว่าเธอนั้นเกรงใจเขามาก แต่ก็ยังดีใจที่เธอยอมรับแหวนเพชรที่เขาเป็นคนซื้อให้

“พี่รัญจะไปไหนต่ออีกหรือเปล่า” เธอถามขึ้นขณะที่เดินออกจากร้านเพชรหลังจากที่ช่วยกันเลือกเครื่องเพชรอยู่เป็นนาน

“ไม่ครับ พุดละจะไปไหนหรือเปล่า มีอะไรที่ต้องซื้อเพิ่มที่ร้านชา หรือที่ Healthy bar ไหม” ชายหนุ่มยกให้พุดเป็นคนจัดการเรื่องร้านทั้งหมด เพราะคิดว่าอีกหน่อยเขาจะยกทั้งร้านให้เธอ รวมไปถึงการเป็นเจ้าของน้ำสมุนไพรที่ตอนนี้เขากำรังเร่งผลิตให้เพียงพอกับการขายสู่ท้องตลาด

“พุดจะไปซื้อของจับสลากแจกช่วงปีใหม่ให้ลูกค้าที่ร้านชาหน่อยค่ะ”

“ซื้อเยอะไหม ถ้าเยอะพี่ว่าเราสั่งไว้แล้วให้เค้าส่งไปทางขนส่งเอกชนก็ได้”

“ยังไม่รู้เลยค่ะ ต้องดูก่อนว่าของที่ถูกใจอยู่ร้านเดียวกันไหม พุดว่าพี่รัญไปรอร้านกาแฟก็ได้นะคะ เพราะพุดคงเลือกนาน”

“ไม่เป็นไรครับ พี่ไปช่วยเลือกก็ได้”

“จะดีเหรอคะ”

“ดีสิ พี่ก็เลือกของเก่งนะครับ พุดว่าถ้าที่ฟิตเนสฯ จะจับสลากแจกของให้สมาชิกบ้างจะดีไหม”

“ก็ดีนะคะ ถ้าพี่รัญจะทำก็คงต้องทำให้ครบทุกสาขานะคะ สมาชิกจะได้รู้สึกว่าได้รับการบริการที่เท่าเทียมกัน”

“พี่ชอบพุดก็ตรงนี้แหละ คิดถึงความรู้สึกของคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ” เขากล่าวชมแล้วก็เห็นว่าเธอชะงักมือที่กำลังจะหยิบตุ๊กตาไปนิดหนึ่งแล้วรีบเดินไปอีกทาง รัญภาคย์พยายามบอกความรู้สึกที่มีให้เธอไปทีละนิด ชายหนุ่มหวังว่าเธอจะรับรู้ถึงสิ่งที่เขาพยายามบอกกับเธอ


“นี่แสดงว่าสองคนนั้นไม่ได้หนีตามกันไปจริงๆ หรอกเหรอครับคุณลดา” ปรีชามีสีหน้าตกใจเมื่อได้ฟังถ้อยคำที่ลดาเล่า ถึงเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ครั้งแรกที่เธอเจอพุดพิชญาที่บ้านของปราณติญา

“ผมทำผิดกับลูกมากเหลือเกิน แล้วทำไมคุณถึงพึ่งมาบอกเรื่องนี้ล่ะครับ” ปรีชาถามอย่างไม่เข้าใจ

“ฉันคิดว่าถ้าฉันบอกคุณไปคุณก็คงไม่เชื่อหรอกค่ะเพราะคิดว่าฉันเข้าข้างลูก”

“แต่ก็แปลกที่คุณยังยอมให้มีการแต่งงานเกิดขึ้นทั้งๆ ที่คุณเป็นฝ่ายเสียเปรียบนะครับ”

“เด็กสองคนนี้จริงๆ แล้วมีใจให้กันอยู่บ้าง ฉันรู้จักลูกชายของตัวเองดี เพราะถ้าไม่สนใจหนูพุดตารัญของฉันคงค้านหัวชนฝาไปแล้ว ส่วนหนูพุดนั้นฉันเคยถามเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกันหนูพุดเองก็คงจะมีใจอยู่บ้างแต่เธอเป็นผู้หญิงคงจะแสดงออกมากไม่ได้ พอมีเรื่องนี้เกิดขึ้นดูเหมือนทั้งสองคนจะยิ่งเข้าอกเข้าใจกันมากขึ้น ฉันคิดว่าอีกหน่อยทั้งสองคนคงจะสนิทกันมากพอที่จะบอกความรู้สึกของตนเองให้อีกฝ่ายได้รับรู้”

“ถ้าเป็นอย่างที่คุณบอกผมก็สบายใจ ผมขอบคุณมากที่คุณเอ็นดูลูกสาวและอยากฝากให้คุณช่วยดูแลเธอแทนผมด้วย”

“ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะคะ ไม่มีใครดูแลลูกได้ดีกว่าพ่อแม่หรอกค่ะ”

“ผมไม่ค่อยสนิทกับลูกมากนักเพราะเอาแต่ทำงาน หนูพูดจะสนิทกับแม่มากกว่าผม พอแม่แกเสีย ผมก็ยิ่งทำงานหนักเพื่อจะได้ไม่มีเวลามาคิดถึงแม่ของแก นั่นยิ่งทำให้เราห่างเหินกันไปเรื่อยๆ เรื่องทุกอย่างยิ่งแย่ลงไปเมื่อความไม่รู้จักพอของผม ผมมีภรรยาใหม่ และพาทั้งสองแม่ลูกเข้ามาอยู่ที่บ้านจากนั้นไม่นานผมกับลูกแท้ๆ ของตัวเองก็กลายเป็นคนอื่น” ปรีชามีท่าทางเสียใจอย่างเห็นได้ชัด ลดามองภาพตรงหน้าแล้วก็รู้สึกเห็นใจทั้งสองฝ่าย แต่เธอเป็นคนนอกจึงได้แค่ให้กำลังใจเท่านั้น

“ฉันรักและเอ็นดูหนูพุดเหมือนลูกสาวคนหนึ่ง คุณปรีชาไม่ต้องห่วงนะคะ” ยิ่งได้มาคุยกับบิดาของพุดพิชชาทำให้ลดานั้นรู้สึกเห็นใจหญิงสาวมากขึ้นอีกมาก เธออยากให้ลูกชายบอกความรู้สึกที่มีให้หญิงสาวได้รับรู้ แต่อีกใจหนึ่งก็รู้ดีว่าที่รัญภาคย์ยังไม่กล้าบอกกับพุดพิชชาเพราะยังกลัวความผิดหวัง ครั้งก่อนรัญภาคย์รักภรรยาเก่าอย่างมนัสยามาก แต่ด้วยความรักทั้งหมดที่มีให้นั้นก็ไม่เพียงพอที่จะประคับประคองชีวิตคู่ของทั้งสองคนให้อยู่มาจนถึงทุกวันนี้เพราะเมื่อชายหนุ่มเอาแต่ทำงานเพื่อสร้างฐานะ ภรรยากลับไปคบหากับผู้ชายอื่นและที่เจ็บใจไปกว่านั้นก็คือผู้ชายคนนั้นลูกชายของเธอเป็นแนะนำให้รู้จักกับภรรยาของเขาเอง อาจเป็นเพราะความใกล้ชิดและความสนิทสนมกันเพราะผู้ชายคนนั้นเป็นฟิตเนตเทรนเนอร์ที่มาดูแลการออกกำลังกายจากนั้นความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็เปลี่ยนสถานะไปเป็นอย่างอื่น แม้เวลาผ่านมาเกือบ 5 ปีแล้วลูกชายก็ยังไม่เคยให้ใครเข้ามาใกล้ชิดขนาดนี้มาก่อน ผิดกับตอนนี้รัญภาคย์กับพุดพิชชานั้นทำงานด้วยกันใกล้ชิดกันเธอคิดว่าเหตุการณ์เดิมๆ คงไม่เกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน อีกอย่างเธอก็มั่นใจว่าพุดพิชชาไม่มีทางทำให้ลูกชายของเธอเสียใจอย่างแน่นอน


รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว